ไปสอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์


การทำธุรกิจในยุคใหม่จะเกี่ยวข้องกับอินเทอเน็ตมากขึ้น  การวางแผนการตลาดที่เข้าถึงผู้คนในฝั่งออนไลน์ก็มากขึ้นอย่างชัดเจน  ทุกธุรกิจเริ่มต้องเรียนรู้คำว่าดิจิทัลมาเก็ตติ้ง  และทุกธุรกิจก็มีความพยายามหาลูกค้าใหม่จากออนไลน์เป็นหลัก  จนคนทำมาเก็ตติ้งต้องไปเรียนรู้วิธีการที่จะทำการโฆษณาบนอินเทอเน็ตให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน  นั่นก็เป็นที่มาของการเรียนรู้ที่จะใช้งานเฟสบุ๊คแบบผู้รู้จริงของผู้มีอาชีพเป็นดิจิทัลเอเจนซี่  

เฟสบุ๊คเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์คตัวหนึ่งที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก  ในปี 2022 เชื่อว่ามียอดสมาชิกกว่า 2.9 พันล้านคน  ซึ่งเกินกว่า 50% ของจำนวนประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอเน็ตได้  นั่นหมายความว่า  ถ้าพบคน 10 คน จะมีคนใช้เฟสบุ๊คอย่างน้อย 5 คน  และยิ่งถ้าเป็นในประเทศไทยเราก็จะยิ่งเจอคนใช้เฟสบุ๊คมากถึง 8 คนเสียด้วย  เพราะในไทยนิยมใช้เฟสบุ๊คมาก

การจะทำธุรกิจบนเฟสบุ๊คจะต้องศึกษาวิธีการยิงโฆษณาในระบบของเฟสบุ๊ค หากจะศึกษาเฟสบุ๊คอย่างจริงจังให้เข้าใจที่สุด  จะต้องไปเรียนรู้จากเฟสบุ๊คโดยตรง  และเมื่อผ่านการเรียนรู้แล้วก็ให้สอบเพื่อเอาใบประกาศหรือใบรับรองจากเฟสบุ๊คให้ได้เลย  เพื่อเป็นการเช็คความรู้ว่าเราเข้าใจเครื่องมือตัวนี้แค่ไหน  นั่นคือที่มาของการไปเรียนและไปสอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์

Untitled-design-3

เฟสบุ๊คบลูพริ๊นท์ คือศูนย์ e-learning ชนิดหนึ่งที่ทำออกมาเพื่อให้ความรู้คนที่ใช้เฟสบุ๊คทำการตลาด  เนื้อหาในนี้จะเป็นเนื้อหาที่ครบเครื่องที่สุดสำหรับการใช้เฟสบุ๊คช่วยทำธุรกิจ  เช่นสร้างการรับรู้ของธุรกิจเราในชุมชน  การเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า   การสอนความรู้เหล่านี้เป็นของฟรี  เราสามารถเข้าไปเรียนฟรี  และสามารถเรียนซ้ำได้อย่างอิสระ 

แหล่งความรู้ตรงนี้ผู้คนไม่ค่อยรู้  แต่จะรู้กันดีในแวดวงของนักการตลาดที่พยายามพัฒนาตัวเอง  เนื้อหาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยมีคนไทยเข้าไปเรียน  เจมส์ได้รับคำแนะนำให้ลองเรียนดูเพื่อเพิ่มเติมความรู้ที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน  แม้ภาษาอังกฤษเป็นอุปสรรคในการเรียน  แต่ก็ไม่ได้ยากเกินพยายาม  เพราะอินเทอเน็ตก็มีเครื่องมือช่วยแปลให้อยู่แล้ว  เรียนไป แปลไป ทำความเข้าใจไป  เรียนซ้ำได้ด้วย จนในที่สุดก็ได้ความรู้ที่ดีและสามารถสอบผ่านจนได้รับใบรับรองหรือ certificate  เรียกว่า เจมส์สอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์ผ่าน  นับว่าเป็นนักการตลาดรุ่นแรกๆที่ได้รับใบรับรองของเฟสบุ๊ค

เทรนเนอร์ด้านมาเก็ตติ้งหลายคนเริ่มมาเรียนแล้วสอบเพื่อรับใบรับรอง  บางคนเป็นพนักงานเฟสบุ๊คแล้วก็ลาออกมาเรียนแล้วเปลี่ยนอาชีพเป็นเทรนเนอร์ก็มี  บางคนเปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชาเพื่อสอบบลูพริ๊นท์ก็มี  เจมส์เข้าสอบเมื่อปี 2018  โดยในยุคนั้นมี 3 หัวข้อ  เจมส์เลือก 2 หัวข้อคือ buying กับ planning   ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วในยุคนั้น แต่ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นหลายอย่างเช่น community manager, digital marketing associate,  marketing science professional, creative stratergy professional, marketing developer, community manager, smart ar creator  การสอบบลูพริ้นท์นี้ต้องสอบใหม่ทุกปี  เพราะเครื่องมือในเฟสบุ๊คมีการปรับปรุงตลอดเวลา  ข้อดีที่ได้เรียนและสอบบลูพริ๊นท์คือได้องค์ความรู้ของเฟสบุ๊คที่แท้จริง  ถูกต้อง 100%  ไม่ใช่ความรู้ที่เขาเล่าว่า  เพราะเป็นโรงเรียนที่ตั้งโดยเฟสบุ๊คโดยตรง

เมื่อได้เป็นนักการตลาดที่เข้าใจเครื่องมืออย่างแท้จริงแล้ว  ก็เริ่มลุยงานเอเจนซี่ช่วยลูกค้ายิงโฆษณา  และ ก็เปิดสอนผู้ประกอบการให้เข้าใจการยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คอย่างถูกต้อง  ในห้องเรียนมักมีคำถามจากนักเรียนชอบถามว่ามีเทคนิคอะไรล้ำๆแนะนำไหม  เพราะคนไทยชอบทางลัด  ชอบวาร์ป  ชอบคำตอบ  เจมส์จะแนะนำตลอดเวลาว่าให้เรียนพื้นฐานให้แน่นก่อน  เพราะถ้าพื้นฐานดี เดี๋ยวท่าแอดวานซ์จะเกิดขึ้นเอง  การมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง  พื้นฐานที่ถูกต้อง ทำให้เรามีความพร้อมจะไปทำงาน  และงานของเจมส์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา  ก็ใช้ความรู้พื้นฐานตลอด  เพราะการใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้ว

ทุกวันนี้เราจะได้ยินคำบ่นจากพ่อค้าแม่ค้าในเฟสบุ๊คตลอดเวลาว่า โดนปิดกั้นการมองเห็น  คนเห็นโฆษณาของเราน้อยลง ยิงโฆษณาแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เท่าเดิม  หรือต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม   เรื่องนี้เป็นคำถามที่พบบ่อยในคลาสที่เจมส์สอน  และเพื่อนรอบตัวก็มีคำถามแนวนี้บ่อยครั้ง  เหตุการณ์เหล่านี้มีคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมา  คือ ในช่วง 3 ปีของการระบาดของโควิด บรรดาธุรกิจที่รอดตายจากวิกฤตก็เป็นเพราะธุรกิจเหล่านั้นเข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ  ซึ่งออนไลน์ในประเทศไทยแทบจะหมายถึงเฟสบุ๊คเกือบ100% พอทุกคนเข้ามาพร้อมกับการยิงโฆษณา ก็กลายเป็นการแย่งลูกค้าก้อนเดียวกัน  จำนวนผู้ใช้ในระบบมีเท่าเดิม แต่ร้านค้ามีมากขึ้นทันทีทันใด  ดังนั้นใครจ่ายแพงก็จะทำให้ลูกค้าเห็นได้มากกว่า  มันเป็นไปตามหลักการของดีมานซัพพลาย ผู้เล่นเดิมจึงได้ผลลัพธ์น้อยลงเมื่อทำอย่างเดิม

517795-PIULUB-718

แม้ว่าจะมีเสียงบ่นเสียงด่าเรื่องผลลัพธ์จากการยิงโฆษณาว่าได้น้อยลง  แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรายังต้องใช้เฟสบุ๊คต่อไป เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ในประเทศอยู่ในเฟสบุ๊ค  สิ่งที่เราทำได้ก็คือเราต้องปรับตัวเพื่อใช้งานเฟสบุ๊คให้เกิดผลลัพธ์ให้ได้  แม้จะมีคำบ่นไปทั่ว  แต่ก็ยังมีคนที่ขายของได้  ยิงโฆษณาแล้วเข้าเป้าอยู่  มันยังมีโอกาสอยู่ และโอกาสเป็นของคนที่เข้าใจวิธีการ  ยกตัวอย่างโครงการคอนโดที่เจมส์ช่วยลูกค้าปิดการขายได้  2 โครงการ  เฟสบุ๊คช่วยให้เจ้าของขายได้ 100 ห้อง  ขายหมดตึก  ใช้เงินยิงโฆษณาแค่ล้านบาททั้งโครงการ แต่ยอดขาย 300 ล้าน  แบบนี้คุ้มสุดคุ้ม  เราเรียกว่าเรายังชนะตลาดได้หากเราเข้าใจเครื่องมือ

คนที่จะใช้เฟสบุ๊คทำธุรกิจ ควรจะเรียนรู้อย่างจริงจัง หรือเรียนจากบลูพริ้นท์แล้วไปสอบบลูพริ๊นท์ด้วยเลยยิ่งดี  น้องรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการดิจิทัลเอเจนซี่  ก็ควรสอบ  เพราะเราจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเครื่องมืออย่างแท้จริง  และทำให้เราใช้เป็นโพรไฟล์สำหรับสมัครงานได้ด้วย  เราจะสังเกตได้  เมื่อก่อนวงการสมัครงานมักจะถามว่าจบอะไร  จบที่ไหน  แต่เดี๋ยวนี้ จะมีคำถามว่า ยิงโฆษณาเฟสบุ๊คเป็นไหม  ดังนั้นการสอบบลูปริ๊นท์ผ่านจะทำให้เราได้งานแน่นอน เพราะเป็นบุคลากรที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทแน่ๆ

การเป็นดิจิทัลเอเจนซี่ ทำตลาดออนไลน์ ยิงโฆษณา  การเป็นคนรับจ้างให้ความช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ยิ่งต้องมีพื้นฐานที่ถูกต้อง  ต้องช่วยเหลือลูกค้าอย่างถูกวิธี  ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นคนที่ประสบปัญหาเสมอ ลูกค้ายิงโฆษณาไม่เป็นเราก็ต้องยิงให้เป็น   ลูกค้ายิงโฆษณาไม่เข้าเป้าหรือยิงแล้วแพง  พอมาปรึกษา อะไรที่เคยแพงก็ต้องทำให้ถูกลง  ยิงไม่เข้าก็ต้องทำให้เข้าเป้า นี่คือหน้าที่โดยตรงของดิจิทัลเอเจนซี่  แม้แต่บางครั้งเจ้าของธุรกิจเผลอทำผิดกฏเฟสบุ๊ค  โดนปิดเพจบริษัท  ดิจิทัลเอเจนซี่ก็ควรแนะนำวิธีแก้ไข และแนะนำให้ลูกค้าเรียนรู้เรื่องกติกาของเฟสบุ๊คเพื่อป้องกันปัญหาการโดนปิดหรือโดนแบน  เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของธุรกิจ

DSCF1959Phuket2011Full

ยกตัวอย่างร้านอาหารยี่ห้อ a b และ c  ทั้ง 3 บริษัทลงเงินค่าโฆษณาเท่ากัน  โดยมีลูกค้าเป้าหมาย1ล้านคนเหมือนกัน  เป้าหมายจะเห็นโฆษณาวันละ1ครั้ง  แต่อาจจะคนละเวลา  แต่ธรรมชาติของเฟสบุ๊คบอกว่า  เห็นครั้งเดียวไม่ดี  คนจะซื้อของอาจจะต้องทำให้เห็นบ่อย  ดังนั้นใครยิงโฆษณาเพิ่มหรือถี่กว่าเดิม  ใครเพิ่มเงินเข้าไปก็จะทำให้ลูกค้าเห็นวันละ 2 ครั้งได้   การมองเห็นสินค้าบ่อยๆก็จะเปลี่ยนเป็นการซื้อได้มากขึ้นนั่นเอง มันเลยกลายเป็นใครทุ่มเทมากกว่าคนนั้นได้ผลมากกว่า มันเป็นกฏธรรมชาติในทุกอย่าง

พอเรายิงโฆษณามาระยะหนึ่งก็จะพบได้ว่า ทุกแคมเปญโฆษณาไม่มีสูตรสำเร็จ  และไม่มีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด   มันมีแต่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าไปเรื่อยๆ  การไม่มีสูตรสำเร็จก็หมายถึง  แม้เราเคยทำได้กับโปรดักส์ตัวหนึ่ง  เราจะใช้วิธีเดียวกันกับโปรดักส์ที่2  ก็ไม่การันตีว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน  การยิงโฆษณาต้องทดลองทำไปเรื่อยๆ  ค่อยๆปรับเงื่อนไข ผลตอบรับมันถึงจะค่อยๆดีขึ้น  ผู้สอนที่เชี่ยวชาญการโฆษณาเฟสบุ๊คเกือบทุกคนจะมีคำแนะนำว่า “ทดสอบ  ทดสอบ ทดสอบ…..”  ทำไปเรื่อยๆ  แล้วผลลัพธ์จะค่อยๆดีขึ้นเอง

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265

https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

Leave a comment