รีวิวเลนส์ canon ef85 f1.8 ถูกและดีของจริง

sale-18dec2013-IMG_0091

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนักถ่ายภาพ เราก็จะมีการถ่ายภาพหลากหลายแนว ทั้งภาพวิว ภาพสัตว์ สิ่งของ และภาพบุคคล ซึ่งสิ่งที่จะถ่ายนั้นจะนำมาซึ่งวิธีคิดและการเลือกใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเลนส์ที่จะใช้ หากเน้นไปที่การถ่ายภาพบุคคลก็จะมีเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพคนโดยเฉพาะ

IMG_0480

การเลือกใช้เลนส์สำหรับการถ่ายภาพบุคคล ในวงการถ่ายภาพจะใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสประมาณ 85 – 135มม. ซึ่งเลนส์ 85มม ตัวที่จะแนะนำนี้เป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลราคาไม่แพง และยิ่งหากเป็นของมือสองก็ยิ่งราคาลดลงไปเหลือแค่ครึ่งราคา นั่นคือเลนส์ canon EF85 f1.8 เลนส์สำหรับกล้อง SLR และ DSLR

IMG_20201107_213615

เลนส์ตัวนี้มีรูรับแสงกว้างสุดอยู่ที่ f1.8 ถือว่าเป็นเลนส์ไวแสงตัวหนึ่ง ทำให้การใช้งานทำได้ง่าย เหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย จะถ่ายภาพคนในที่ร่ม ในบ้าน ในตึก จะมีโอกาสได้ภาพจากแสงธรรมชาติหรือแสงจริงที่เกิดขึ้น เรามีโอกาสได้ภาพเหมือนตาเห็น รูรับแสงกว้างระดับ f1.8 สามารถใช้มือถือกล้องตรงๆโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ยิ่งกล้องรุ่นใหม่ๆสามารถเลือกใช้ค่าความไวแสงหรือ iso ได้สูงมากทำให้เลนส์ f1.8 ตัวนี้ยิ่งถ่ายภาพได้แทบจะทุกสภาพแสง และมุมมองของเลนส์ 85มม. ก็จะให้ภาพที่มีสัดส่วนสมจริง ความเพี้ยนต่ำ จึงนิยมใช้ถ่ายภาพบุคคลเป็นอย่างมาก และถ้าใช้ระยะถ่ายภาพตัวผู้ใหญ่ประมาณครึ่งตัว หรือภาพเด็กเล็กเต็มตัวก็จะได้ภาพที่สัดส่วนดูสมจริง ใกล้เคียงกับการมองจริง ใช้ถ่ายทอดความเที่ยงตรงของวัตถุได้

สามชุกIMG_0071

การใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะมีบุคลิกของภาพที่เด่นชัดในด้านระยะชัดที่ไม่มาก หรือชัดตื้นนั่นเอง การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอมักทำให้ภาพถ่ายดูสวยงาม ตัวแบบที่เป็นจุดสนใจจะชัดตามคุณภาพความคมของเลนส์ ขณะที่ฉากหลังมีความเบลอช่วยขับให้ภาพดูสวย เมื่อเราใช้ถ่ายภาพคนเราจะได้ลักษณะภาพที่ดูนุ่มนวล ภาพถ่ายแนวนี้จะเหมาะกับการถ่ายในสภาพแสงธรรมชาติ

IMG_2078

ภาพเด็กในห้องนอนก็เป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความไวแสง ตอนกลางวันแสงในห้องนอนจะมาจากหน้าต่างที่กำแพง เราเปิดผ้าม่านให้แสงเข้าจนดูสวยงามสบายตา แล้วเราก็หยิบกล้องพร้อมเลนส์ f1.8 ขึ้นมาถ่าย เลือกใช้รูรับแสงกว้างสุดเราก็จะได้ภาพเหมือนตาเห็น พร้อมกับจุดเด่นที่เราโฟกัส และมีความเบลอของฉากหลังช่วยขับให้ตัวแบบโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

20200603174615_IMG_0500

สภาพแสงที่ทำให้ภาพจากเลนส์ 85f1.8 ให้ภาพที่สวยที่สุดในความคิดผมก็คือคือมีความสว่างแต่ไม่มีแดด อย่างการถ่ายภาพในที่ร่มหรือไม่มีแดดโดยตรงแต่ไม่มืด ภาพเด็กยืนเป็นกลุ่มนอกอาคาร เป็นสภาพแสงตอนเย็นที่ยังสว่างอยู่ สภาพแสงแบบนี้ถ้าใช้เลนส์ไวแสงมาถ่ายภาพจะได้แสงเหมือนตาเห็น และได้ความนุ่มนวลในภาพยิ่งกว่าการถ่ายตอนโดนแสงแดด

kobfa-home-IMG_0055

การถ่ายภาพภายในบ้าน จะเป็นสภาพที่ไม่มีแสงแดดอยู่แล้ว และหากบ้านมีความสว่างเพียงพอจากไฟประดับภายใน เราใช้เลนส์ไวแสงมาถ่ายเราก็จะได้ภาพที่ได้สีสันและความสว่างเหมือนตาเห็น รูรับแสงกว้างทำให้ระยะชัดมีเพียงเล็กน้อย คนที่อยู่ในจุดโฟกัสจะชัด และมีฉากหลังที่เบลอ สร้างความสวยงามให้กับภาพได้ดี 

nan28oct2014-IMG_0022

ภาพคนในสถานที่ช็อปปิ้งภายนอกอาคาร ภาพมีความสว่างแต่ไม่โดนแดดโดยตรง ภาพจะสวย ดูนุ่มนวล ใช้ถ่ายภาพผู้หญิงก็ดูสวยขึ้น ใช้ถ่ายภาพเด็กก็ดูน่ารักขึ้น และสิ่งที่เป็นบุคลิกเด่นของเลนส์ Canon เกรดโปรก็คือภาพจะมีความหวานใส สีผิวคนจะดูเด่น สีสวยมาก และเลนส์ Ef85f1.8 ตัวนี้มีคุณภาพในระดับโปรเช่นกัน

IMG_2099

นอกจากเลนส์ระยะ 85มม ที่นิยมใช้ถ่ายภาพบุคคลแล้วก็ยังมีเลนส์ซูม 70-200 มม. f2.8 ที่ใช้กับภาพคนได้ดีเช่นกัน แต่เลนส์ซูมก็ขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะ ทำให้การพกพาเป็นเรื่องยาก กระเป๋ากล้องที่จะใส่กล้องและเลนส์เทเลซูมก็จะต้องใหญ่และหนักยิ่งขึ้น การใช้ 85f1.8 จะได้ของเล็กน้ำหนักเบากว่ากันมาก ยิ่งกล้องเบายิ่งทำให้เราอยากพกพา จะยิ่งทำให้เรามีโอกาสได้ภาพมากยิ่งขึ้น

เลนส์ EF85f1.8 เคยมีราคาเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อนประมาณ หมื่นกลางๆ และราคามือสองของเลนส์ตัวนี้ที่อายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ก็จะอยู่ที่ประมาณ 7000-8000 บาท ถือว่าเป็นเลนส์ที่มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ในระดับราคานี้ เพราะไม่มีของในระดับราคาหมื่นบาทที่จะให้คุณภาพของภาพที่คมชัดและไวแสงถ่ายภาพได้เหมือนตาเห็นแบบนี้ กล้องยุคใหม่พัฒนาไปสู่ระบบของ mirrorless แต่เลนส์ยุคเก่าก็ยังถูกใช้งานได้เรื่อยๆ ใช้ได้กับกล้องเก่า และกล้องใหม่ผ่านตัวแปลงเม้าส์เลนส์ คนใช้กล้อง Canon ถ้าจะหาของดีราคาถูกใช้ก็แนะนำให้ซื้อ EF85f1.8 ตัวนี้ไว้ได้เลย ถูกและดีคือคำจำกัดความของมัน

เปรียบเทียบภาพถ่ายจากหลายระบบ

การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนแล้วในยุคอินเทอเน็ต 5G เพราะโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องมีกล้องติดมาด้วย และส่วนมากก็จะมีคุณภาพดีพอใช้ได้ทั้งสิ้น ผู้คนถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมาก และบางทีก็อยากจะพิมพ์ภาพออกมาเป็นกระดาษบ้าง อาจจะใช้ใส่อัลบั้มเพื่อดูในเวลาอื่นๆ อาจจะใช้แจกเป็นที่ระลึก ซึ่งเมื่ออยากจะพิมพ์ภาพถ่ายดิจิทัลออกมา เราก็จะเป็นจะต้องไปอัพภาพที่ร้านรูปตามห้าง และบางคนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีปริ๊นเตอร์สีเอาไว้ทำงาน ก็อาจจะพิมพ์ภาพเองเลย และนอกจากเครื่องพิมพ์สำหรับสำนักงานแล้ว โลกเราก็มีเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนมากจะพิมพ์ภาพขนาดเล็ก 

เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพถ่ายสำหรับใช้ในบ้านที่มีให้เราใช้ในยุคปัจจุบันเท่าที่เหลืออยู่ก็จะเป็นระบบ

1 Zink paper ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Polaroid เพื่อทดแทนระบบการพิมพ์ภาพดั้งเดิมที่ใช้มานานหลายสิบปี ส่วนระบบดั้งเดิมที่ Polaroid สร้างจนมีชื่อเสียงแต่ไม่ยอมทำตลาดต่อ ก็ถูก Fuji นำไปทำตลาด นำเทคโนโลยีไปไปใช้ในกล้อง instant ของตัวเอง

2 Fuji instax ระบบถ่ายภาพลงบนแผ่นฟิล์ม เป็นสิ่งที่เกิดจากบริษัท Polaroid  ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนปัจจุบันยังคงมีกล้องระบบ instax ของ Fuji ออกมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง และมีหลายขนาดให้เลือกใช้

P_20160505_143122
กล้อง Polaroid ที่ใช้ระบบการพิมพ์ภาพแบบ Zink paper

3 Canon Selphy การพิมพ์ภาพถ่ายของ Canon โดยใช้ระบบการพิมพ์ Dye-Sublimation ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงและใช้อยู่ในเครื่องพิมพ์ Canon selphy ที่ขายอยู่ราคาไม่แพง และได้รับความนิยมในกลุ่มช่างภาพที่อยากได้ภาพคุณภาพสูง มีทั้งแบบเครื่องพกพา และเครื่องตั้งโต๊ะ

2018-03-15_12-37-38
ซ้ายคือภาพจากระบบ zink ขวาคือภาพจาก Dye-Sublimation

แต่ละระบบจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน และมีจุดด้อยของใครของมันที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องปวดหัวและต้องเสียเงินซื้อหลายระบบ เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง ทำให้คนรักการพิมพ์รูปแทบจะต้องเสียเงินซื้อทุกอย่าง

Zink ย่อมาจาก Zero ink เป็นระบบที่สะดวก ทำให้เล็กได้ สามารถยัดเข้าไปอยู่ในกล้องถ่ายรูปได้ และทำเป็นเครื่องพิมพ์แยกอิสระได้ การพิมพ์ระบบนี้ต้องใช้ไฟล์ดิจิทัลเท่านั้น ความคมชัดและคุณภาพสีอยู่ในระดับปานกลาง ความคงทนอยู่ในระดับต่ำ คือในเวลาไม่เกินสองปีภาพจะเกิดอาการสีซีด ไม่เหมาะกับการเก็บภาพชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าเราถ่ายภาพแม่ไว้ วันนึงในอีกหลายปีข้างหน้าภาพแม่จะจางหายไป

Fuji instax เป็นระบบถ่ายภาพทันใจอีกชนิด ต้นกำเนิดเกิดจากบริษัท Polaroid แต่เสื่อมความนิยมไปพักใหญ่ แล้ว Fuji ก็นำมาทำตลาดต่อ เป็นระบบการพิมพ์ภาพแบบอนาลอก ฟิล์มแผ่นที่ผ่านการถ่ายจะไหลออกมาจากกล้อง รอเวลาสักครู่ก็จะปรากฏเป็นภาพที่สวยงาม ระบบนี้ได้รับความนิยมมากเพราะสะดวก รวดเร็ว ถ่ายแล้วภาพไหลพรวดออกจากกล้อง แม้จะต้องรอเวลาสัก 1 นาทีเพื่อให้ภาพขึ้นชัดเจนแต่ก็เป็นความสนุกที่น่าลองใช้งาน เมื่อก่อนเป็นอนาลอก ปัจจุบัน Fuji พัฒนาให้เป็นเครื่องพิมพ์ภาพ ทำให้สร้างภาพดิจิทัลไว้บนแผ่นฟิล์ม instax ได้ ทำให้เรามีเครื่องพิมพ์ระบบ instax และทำให้ Fuji ทำกล้องดิจิทัลที่ยัดเครื่องพิมพ์ภาพ instax ไว้ข้างในออกมาขายด้วย ข้อดีคือเร็ว ข้อเสียคือภาพเล็ก เพราะขนาดที่นิยมและขายดีทั่วโลกก็มีขนาดแค่บัตรเครดิตเท่านั้น แม้จะมีขนาดจตุรัสออกมาบ้างก็ยังไม่ได้รับความนิยม 

Canon Selphy เป็นระบบ Dye-Sublimation ที่ให้ภาพสวยที่สุด ระบบการพิมพ์ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว ต้องใช้เครื่องพิมพ์โดยเฉพาะ ไม่สามารถทำให้เล็กได้ ทำให้เราไม่สามารถยัดระบบการพิมพ์แบบนี้เข้าไปในกล้องถ่ายภาพ ข้อดีคือภาพสวยคุณภาพสูงมาก ข้อเสียคือ ใหญ่ เทอะทะ ต้องทำงานในสภาพของปริ๊นเตอร์ คือพกพาลำบาก แต่จะเก็บภาพได้ยาวนานที่สุด canon เลยบอกว่าสามารถเก็บภาพได้ถึง 100 ปี ถ่ายภาพพ่อแม่ไว้ พ่อแม่จะอยู่ในกระดาษไปจนเราตาย ภาพก็ยังไม่จืด อันนี้เรียกว่าดีมาก

สรุป

การเลือกระบบการพิมพ์ภาพขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ภาพ ถ้าเราต้องการความเร็ว เช่นงานปาร์ตี้ ถ่ายแล้วได้ภาพทันที คุณภาพไม่ต้องดีที่สุด เราก็ใช้ระบบของ fuji instax ที่เป็นอนาลอกได้เลย คือถ่ายแล้วไหลพรวด

ถ้าเราอยากได้ภาพสวย สีสันยอดเยี่ยม มีคำตอบเดียวคือ canon selphy ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว

ถ้าเราอยากได้เครื่องพิมพ์ภาพจากไฟล์ดิจิทัลที่พกพาได้ เรามีทางเลือกคือ zink paper กับ ระบบ fuji instax printer ทั้งสองแบบเป็นเครื่องพิมพ์พกพา สามารถเลือกภาพดิจิทัลมาสั่งพิมพ์ได้ 

ถ้าเราอยากได้กล้องดิจิทัลที่ถ่ายแล้วเลือกภาพแล้วค่อยพิมพ์ เราก็มีทางเลือกที่เป็นกล้องระบบ zink ใช้กระดาษ zink paper กับกล้อง fuji รุ่นดิจิทัลที่พิมพ์ภาพบนแผ่นฟิล์ม instax ได้


แถมให้

ระบบ Zink เทียบกับ instax อันไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งสองระบบเป็นระบบการพิมพ์ที่ยัดไว้ในกล้องได้ ก็ขอให้ดูภาพตัวอย่างด้านล่าง ภาพแรกถ่ายสิ่งของพร้อมกัน ได้ภาพออกมาพอใช้ได้ทั้งคู่ zink จะใหญ่กว่าเพราะขนาดที่ใช้คือ 2×3นิ้ว ส่วน instax เล็กกว่าเพราะขนาดเท่าบัตรเครดิต

P_20160505_175002
ซ้าย Zink paper จากกล้อง Polaroid Z340 ขวาคือ Fuji instax จากกล้อง Mini8

เมื่อเวลาผ่านไป16 เดือน เอาภาพทั้งสองใบมาเทียบกันอีกครั้ง เราจะเห็นว่าภาพจาก zink จะซีดลงไปเยอะมาก สีสันจริงของวัตถุในภาพอาจจะดูไม่รู้แล้วว่าเคยเป็นสีอะไร ข้อมูลภาพอาจจะค่อยๆหายเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ส่วน instax ยังคงอยู่ดีดูไม่ค่อยแตกต่างจากปีแรก คาดว่า instax จะอยู่ได้อีกหลายปี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถึง 20 ปีไหม

IMG_0206
ซ้ายคือ Fuji instax ที่เวลาผ่านไป 16 เดือน ขวาคือ Zink paper


ลองปรับภาพให้ได้โทนเท่ห์ๆแบบฝรั่ง

ภาพนี้เป็นภาพสมัยที่ลูกผมอายุ 3 ขวบ และบ้านเราก็หอบหิ้วกันไปเที่ยวญี่ปุ่น ลูกตัวเล็กน่ารัก กำลังนั่งมองการ์ตูนในแท็บเบล็ตที่เราพกไว้สำหรับใช้ถ่วงเวลา เวลาที่งอแงหรือกินอะไรยากเย็น แสงสว่างตอนเช้าส่องเข้าที่หน้าต่าง แดดยังไม่แรง ความสว่างในระยะเริ่มต้นวันใหม่กำลังสวย เลนส์ efm 22f2 เป็นเลนส์ที่ใช้อยู่บนกล้อง canon eos m1 ซึ่งเป็นกล้อง mirrorless รุ่นแรกของ canon

ผมถ่ายภาพนี้ด้วย setting แบบ jpg+raw และตั้งค่าการถ่ายเป็น Av f2 ตั้งค่าให้กล้องไม่ต้องชดเชยขอบมืด เพราะเจตนาอยากได้ภาพที่ขอบมืดเล็กน้อย กลางภาพสว่างจะดูเด่นขึ้น ส่วนค่า White balance ก็ตั้งไว้ที่ Auto ซึ่งกล้องก็ทำงานได้ภาพที่ดี รูรับแสง F2 ทำให้นายแบบดูคมชัดและด้านหลังที่เป็นกำแพงก็ดูเบลอไปเล็กน้อย ชัดตื้นระดับแค่คนชัดข้างหลังเบลอเป็นลักษณะภาพที่สวยและต้องการอุปกรณ์ที่ดีระดับหนึ่ง เพราะหากเป็นเลนส์ที่รูรับแสงไม่กว้างมากก็ยากที่จะได้ภาพที่มีความเบลอด้านหลังแบบนี้

IMG_8995
dpp-japan2015t-IMG_8995

ในตอนเดินทางเราพบเหตุการณ์อะไร มีอะไรน่าสนใจ เราก็ถ่ายภาพเก็บไว้เรื่อยๆตลอดทริป และทริปนี้ก็เป็นทริปที่ผมพกกล้องและเลนส์ไปตัวเดียว ชุดเดียวถ้วน ไม่มีสำรอง ไม่มีเลนส์เปลี่ยน เนื่องจากการเดินทางข้ามประเทศพร้อมลูกเล็กและรถเข็นเด็กก็ทำให้มีข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้ไม่อยากพกอุปกรณ์กล้องไปเยอะ ผมไม่มีแม้แต่กล้องสำรอง คิดเพียงว่าถ้ากล้องพัง กล้องเสีย หรือ กล้องหาย ก็ซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นไปเลย

เมื่อกลับมาเมืองไทย และเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เปิดดูภาพชุดนี้อยู่เรื่อยๆ และหลายปีต่อมา ก็ทดลองเอามาปรับสีเล่นเพื่อให้ดูคล้ายๆกับแนวทางของช่างภาพเมืองฝรั่งดูบ้าง เพราะภาพแนวสตรีทหรือแนวชีวิตผู้คนก็มักจะมีโทนสีหม่นๆ หรือ อมเขียว อมฟ้าอย่างบอกไม่ถูก กำแพงห้องที่เป็นสีโทนขาว ในหนังอาร์ต หรือหนังฮอลีวู้ดบางเรื่องก็ถ่ายออกมาอมเขียวรุนแรงมาก ผมก็เลยคิดว่า ถ้าเราปรับโทนของภาพ ให้โทนขาวเทาดำมีความเจือปนสีเขียวเล็กน้อยจะเป็นอย่างไร ก็เลยออกมาเป็นภาพเหล่านี้

ภาพโทนอมฟ้าอมเขียวเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามกระแสกล้องฟิล์มที่ฮิตมากอย่างน่าประหลาดใจในช่วงหลายปีก่อน ฟิล์มที่ไม่มีคนสนใจเริ่มถูกซื้อไปถ่ายเล่น กล้องเก่าเริ่มขายดี ฟิล์มถ่ายภาพจากม้วนละไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท กลายเป็นสองร้อย สามร้อย และในปีนี้ คศ 2023 ฟิล์มสีม้วนละ 550 บาทไปแล้ว การลองย้อนไปถ่ายฟิล์มเพื่อให้ได้โทนสีแบบฟิล์มก็ดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ดิจิทัลที่นอนนิ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ลองเอามารับเล่นดูดีกว่า เลยเกิดเป็นภาพอมเขียว อมฟ้า เล็กน้อยแบบนี้

โพสท์แบบ compare

การถ่ายภาพให้สวยทำอย่างไร

ในปัจจุบันที่ใครก็สามารถมีกล้องถ่ายภาพได้ โทรศัพท์ใหม่ๆทุกเครื่องก็มีกล้องถ่ายภาพติดมาด้วย สมาร์ทโฟนที่ใช้สื่อสารกับอินเทอเน็ตก็มีกล้องคุณภาพดีมาให้แล้ว กล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะสำหรับมือสมัครเล่น และมืออาชีพก็มีราคาเริ่มต้นไม่แพง ยิ่งหากหาของมือสองมาใช้ก็ยิ่งราคาต่ำ ยุคนี้เครื่องมือคือสิ่งที่นักถ่ายภาพแทบจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องสเป็คและคุณภาพอุปกรณ์อีกแล้ว

การถ่ายภาพให้สวยก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่มันก็มีหลักการนิดเดียวที่สามารถนำไปหัดใช้ได้ ผมขอให้แนวคิดเอาไว้ ถ้าเห็นด้วยก็ทดลองฝึกฝนดู “การถ่ายภาพให้สวยเกิดจากการที่เราผ่านการถ่ายแบบไม่สวยไปแล้ว” ให้ลองดูตัวอย่างภาพต่อไปนี้

IMG_6418
ภาพนี้คือต้นตำลึกที่ขึ้นมาเกาะต้นไม้ใหญ่ ใบอ่อนสีเขียวโดนแสงแดดส่อง ช่างภาพมองเห็นก็พอรู้ด้วยประสบการณ์ว่ามุมที่สวยน่าจะถ่ายย้อนแสง แสงแดดที่กระทบใบตำลึงจะทำให้ใบเรืองแสง ฉากหลังที่ไม่โดนแสงจะสีเข้ม ทำให้ใบไม้ยิ่งเด่นขึ้นไปอีก ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพสวยสำหรับผมแล้ว ดังนั้น ก่อนจะมาเป็นภาพนี้ จะให้ดูว่าผ่านภาพแบบไหนมาบ้าง

เริ่มจากเดินออกมาที่หน้าบ้านแล้วก็พบว่า ต้นไม้ใหญ่มีใบไม้เกาะอยู่ และมีแดดส่องพอดี และคิดจบในหัวแล้วว่าเราจะต้องถ่ายภาพใบตำลึงในมุมมองที่สวยแปกตา เลยหยิบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากเราเห็นภาพนี้

IMG_6419

หลังจากนั้นเราก็เดินดูรอบๆสิ่งที่น่าสนใจ ผมรู้แล้วว่าผมอยากได้ภาพใบตำลึง ก็เลยเดินดูรอบๆ ไปดูหน้าหน้าก็เห็นภาพนี้

IMG_6408

กล้องในมือก็คือ eos m ติดเลนส์ kit ที่แถมมาพร้อมกับกล้อง เป็นเลนส์ซูม 18-55มม. เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ราคาต่ำที่สุด และเลนส์ก็เป็นเลนส์ที่มีแต่คนถอดขายทิ้ง อัพเกรดไปเป็นตัวอื่น แต่ผมชอบเลนส์ตัวนี้เพราะมันคุณภาพพอใช้ได้ และราคาถูก ใช้แบบไม่ต้องระวัง ฟิลเตอร์คุณภาพสูงบางชิ้นยังแพงกว่าเลนส์ตัวนี้ นั่นหมายความว่าผมใช้เลนส์ตัวนี้ไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ก็ได้ เราจะได้คุณภาพที่สูงที่สุดจากเลนส์เพียวๆไม่ใส่ฟิลเตอร์ เพราะมีความเชื่อว่า best filter is no filter มองภาพด้วยตาเปล่าสวยกว่ามองผ่านแว่นตา ถ้าคุณไม่สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ

ลองถ่ายภาพใกล้เข้าไปอีกหน่อย ตัดสิ่งที่ไม่น่าสนใจในภาพด้วยการเลือกถ่ายเฉพาะต้นไม้และใบไม้ ขวดน้ำไม่ได้หยิบออกเพราะว่าสุดท้ายจะเข้าใกล้กว่านี้ เลยไม่จำเป็นต้องหยิบตอนนี้

IMG_6409

แล้วก็ขยับกล้อง พร้อมกับซูมภาพเข้าไปอีกให้เหลือแต่ต้นไม้กับใบไม้ ซึ่งก็ให้ลักษณะภาพที่ดูดีขึ้น ซึ่งภาพใบไม้เกาะต้นไม้ใหญ่แค่ภาพนี้ก็พอจะใช้นำไปเขียนบทความเกี่ยวกับใบตำลึงได้แล้ว

IMG_6410

ลองซูมเลนส์ให้ได้ภาพใหญ่ขึ้น เข้าใกล้มากขึ้นก็จะได้ภาพที่ใบตำลึงเด่นขึ้น แต่การเข้าใกล้มาก ก็จะมีผลตามมาด้วยคือระยะชัดของใบไม้ครอบคลุมไม่ครบทั้งใบ บางส่วนของใบไม่ชัด และรวมถึงมือก็อาจจะสั่นด้วยทำให้ภาพไม่คมชัด

IMG_6411

ผ่านสามภาพนี้ไปเราก็ได้ภาพที่ดูน่าสนใจขึ้นแล้ว แต่จากการที่ดูภาพมานาน และเคยถ่ายภาพต้นไม้ใบไม้มาแล้วเลยลองไปถ่ายจากด้านหลังบ้าง เพราะการถ่ายภาพย้อนแสงก็สามารถให้ภาพที่ดีได้

IMG_6413

ลองถอยออกมาอีกนิด ปรับภาพให้มีใบเรียงตัวกันแนวตั้ง ลองถ่ายมุมที่ห่างออกมาหน่อยก็พบว่าให้ภาพที่สวยขึ้น

IMG_6412

จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไปถ่ายภาพแนวนอนบ้าง เพราะอยากจะเก็บเฉพาะใบเดียวเด่นๆไปเลย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองเปลี่ยนลักษณะภาพไปเรื่อยๆ และก็พบว่าภาพมุมนี้ถูกใจตัวเราที่สุด

IMG_6415

จริงๆจะหยุดแค่นี้ก็ได้ ภาพที่พอใจเราถ่ายด้วยรูรับแสง f5.6 ซึ่งเป็นระยะรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์ที่ช่วงซูมสูงสุดของเลนส์คือ 55มม. การใช้รูรับแสงกว้างจะทำให้ระยะชัดน้อย อาจจะดีกับบางภาพ แต่ถ้าลองใช้รูรับแสงแคบลงไปหน่อยเพื่อให้ระยะชัดมากขึ้น จะได้ผลที่แตกต่างไปอีกเล็กน้อย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองได้เลย

IMG_6418

ภาพสุดท้ายนี้คือมุมภาพเหมือนเดิมแต่ปรับรูรับแสงให้มากขึ้นเป็น f11 ซึ่งจะทำให้มีระยะชัดมากขึ้น ฉากหลังจะไม่เบลอเท่ารูรับแสงกว้าง เราได้รายละเอียดในส่วนของใบและต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ส่วนของลำต้นที่มีรายละเอียดปรากฏให้เห็นทำให้ภาพดูสวยกว่าเดิม ความเบลอที่ทำให้ภาพสวย กับการลดความเบลอแล้วภาพสวย เป็นสิ่งที่ต้องทดลองทำ เห็นภาพถึงจะรู้คำตอบ ดังนั้น กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ทดลองไป

การถ่ายภาพให้สวยเป็นเรื่องของการค้นหา ทดลอง ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ภาพสวย และภาพที่สวยจะตามมาหลังจากที่เราถ่ายภาพไม่สวยไปครบแล้ว ดังนั้น การหัดถ่ายภาพต้องถ่ายให้เยอะ ผ่านภาพไม่สวยมาให้ครบทุกแบบเราถึงจะถ่ายภาพได้สวยตามที่คาดหวัง เมื่อเจอสิ่งที่อยากถ่าย ให้ลองมองรอบๆ เดินดู มองหา ทดลองถ่าย เปลี่ยนระยะภาพ เปลี่ยนตำแหน่งที่ยืน กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ทดลองไปเรื่อยๆ จะผ่านไปร้อยรูปก็ไม่ผิด ถ้ารูปสวยจะมาเป็นรูปที่ร้อยหนึ่ง ก็แค่ถ่ายให้ผ่านร้อยภาพที่แตกต่างกัน เรียนรู้ทุกภาพที่ถ่าย เดี๋ยวก็ถึงภาพที่สวยเอง


ถ่ายคลิปวิดีโอสไตล์โบราณ

การถ่ายภาพและวิดีโอในปัจจุบันปี คศ 2023 จะใช้เครื่องมือดิจิทัลกันหมดแล้ว และคุณภาพของภาพและวิดีโอก็สูงลิบ เป็นภาพความละเอียดสูงมาก และวิดีโอระดับ 2K 4K และในระดับโปรดักชั่นก็อาจจะไปถึง 8K กันแล้ว แถมโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปได้สวยจนกล้องคอมแพ็คดิจิทัลกำลังจะสูญพันธ์ุ กล้องระดับกลางเริ่มขายยาก เพราะมือถือพัฒนาคุณภาพขึ้นมาสูงมากแถมราคาก็แซงกล้องระดับมือสมัครเล่นไปแล้ว ทำให้ทุกคนที่ซื้อมือถือใหม่ๆสามารถทำคอนเท้นต์คุณภาพดีได้ไม่ยาก

ความนิยมกล้องฟิล์มก็เสื่อมถอยหลังจากที่บูมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากฟิล์มถ่ายภาพที่เคยราคาม้วนละร้อยบาทกลายเป็นม้วนละสี่ร้อย ไม่รู้ว่ากลไกราคาทำงานยังไงทำให้ราคาสูงขึ้นยิ่งกว่าทอง ผลก็คือคนแทบจะเลิกเล่นกล้องฟิล์ม นักถ่ายภาพที่ต้องการภาพสีประหลาด โทนสีอุ่นนุ่มแบบอนาลอก เริ่มถอยจากฟิล์ม แต่จะหันไปทางไหนเพื่อเล่นของแปลก ก็เลยเป็นกระแสกลับไปเล่นกล้องดิจิทัลโบราณ เพราะความต้องการที่จะไม่เหมือนใคร การเล่นฟิล์มที่เคยเป็นทางออก ก็เปลี่ยนมาเป็นกล้องดิจิทัลยุคแรกแทน

ลักษณะของภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลโบราณจะดูพอรู้ว่าคุณภาพไม่สูงมาก กล้องดิจิทัลอายุ 20 ปี จะมีความละเอียดประมาณ 2-4 ล้านพิกเซล ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการอัดขยายภาพในระดับโปสการ์ด เพียงพอสำหรับการดูในจอโทรศัพท์หรือแม้แต่จอคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่มันบ่งบอกถึงความโบราณคือคุณภาพของภาพที่ไม่สวยใสแบบกล้องสมัยใหม่ ซึ่งก็หลายเป็นลักษณะที่แตกต่างที่มีคนตามหา แและกล้องเหล่านี้ก็จะมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอด้วย ภาพวิดีโอแนวโบราณ ความละเอียดระดับ dvd หรือ 640×480 หรือต่ำกว่า กลายเป็นภาพที่ดูแปลก เป็นความอินดี้ด้วยคุณภาพที่ต่ำ มันก็เป็นเสน่ห์สำหรับบางคน มีไว้ถ่ายสนุกๆ เก็บภาพความทรงจำใหม่ด้วยสไตล์โบราณ

youtuber บางคน ก็ทำมิวสิควิดีโอแนวภาพโบราณออกมา เพลงเพราะรวมกับภาพแนวเก่าเหมือนสมัยคุณพ่อยังหนุ่ม มันก็ทำให้อารมณ์ในคลิปดูแปลกตา ภาพที่แปลกก็มักจะเป็นภาพที่เรียกร้องความสนใจได้ บางคนก็ถ่ายด้วยกล้องคุณภาพดีมากแต่นำมาประมวลผลด้วยฟิลเตอร์ที่ทำให้ดูโบราณก็มี หลายคนก็เลยหันไปใช้อุปกรณ์โบราณจริงๆเลยก็ได้เหมือนกัน และประหยัดเวลาไม่ต้องมาทำโพสโปรดักชั่นด้วย

นี่คือภาพวิดีโอจากกล้อง kodak c140 กล้องตัวนี้แม้ไม่โบราณมาก แต่ภาพวิดีโอก็ดูโบราณได้แล้ว กล้องตัวนี้ออกขายประมาณปี 2009 ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอด้วยความละเอียด 640×480 เท่านั้น เป็นกล้องที่ซูมภาพได้ประมาณ 3 เท่า คุณภาพจะดีที่ช่วงมุมกว้าง ถ้าซูมเยอะๆภาพจะไม่ค่อยสวย

ผมลองใช้อุปกรณ์เก่าๆไปถ่ายคลิปวิดีโอเพิ่มเติมด้วย เพื่อจะได้ดูคุณภาพ

คลิปที่สองนี้ใช้ ipod touch gen4 มาถ่าย คาดว่า ipod ตัวนี้ออกมาช่วงปี 2010 ซึ่งจะเริ่มมีการบันทึกคลิปวิดีโอระดับ Hd แล้ว คุณภาพของมือถือและอุปกรณ์ไอทีช่วงนี้จะเริ่มพัฒนาจนใกล้เคียงกับกล้องคอมแพ็คราคาถูกๆ และหลังจากรุ่นนี้ออกอีกไม่กี่ปีค่ายมือถือ จะเริ่มพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนผู้คนเริ่มไม่คิดจะซื้อกล้องคอมแพ็คอีกแล้ว

คลิปที่ 3 นี้เป็นคลิปที่บันทึกด้วยกล้อง canon eos m ซึ่งออกมาในปี 2014 โดยสามารถบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียดระดับ Full Hd หรือ 2k ซึ่งเป็นระดับความละเอียดมาตรฐานอยู่ถึงปัจจุบัน แต่ก็กำลังจะล้าสมัยเพราะอุปกรณ์ต่างๆในช่วงปีนี้กำลังไปสู่ 4K

จากการลองเล่นกล้อง 3 ยุค เพื่อถ่ายคลิปวิดีโอ ก็มีความรู้สึกว่า กล้องถ่ายภาพมีพัฒนาการไปตลอดเวลา คุณภาพการบันทึกก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และกล้องที่เกิดในยุคหลังจะมีคุณภาพที่ดีกว่าเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับการถ่ายภาพรวมถึงถ่ายวิดีโอก็คือ คุณค่าของภาพหรือคลิปจะแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราสนใจ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เราชอบ ถ้าเป็นคนที่เรารัก เราก็จะดูสิ่งที่เป็นเนื้อหาและเหตุการณ์ ไม่ได้ดูพิกเซล ไม่ได้ดูน้อยส์หรือสัญญาณรบกวน เรายังคงสนใจสิ่งที่เราสนใจ หมายความว่าเราใช้กล้องอะไรก็ได้ที่อยู่ในมือเราเพื่อบันทึกสิ่งที่เราต้องการ การเลือกใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ หรือ อุปกรณ์สมัยก่อน ต่างก็เป็นแค่แนวทาง เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น

ความนิยมในการใช้กล้องเก่ามาถ่ายภาพ น่าจะค่อยๆเพิ่มขึ้น เพราะราคาฟิล์มแพงเหลือเกิน มันแพงกว่าเมมโมรี่การ์ดไปหลายเท่าแล้ว ถ้ายังคงปรับราคากันไม่หยุด สุดท้ายเราจะได้เลิกใช้ฟิล์มกันจริงๆ และอาจจะถึงขั้นสูญพันธ์ุเหมือนแผ่น VCD DVD ที่ทุกวันนี้ไม่มีใครผลิตอีกแล้ว

แป้นหมุนเปลี่ยนโหมดของกล้องหลุด

กล้อง DSLR ของ Canon Eos 6d เป็นกล้องที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 2014 จนมาถึงปีนี้ 2023 มันก็มีอายุการใช้งานประมาณ 9 ปีแล้ว สภาพกล้องยังไม่ได้บุบสลาย แต่แป้นหมุนเปลี่ยนโหมดหลุดหายไป ทีแรกก็นึกว่าจะต้องส่งเข้าศูนย์เพื่อซื้ออะไหล่มาติด แต่ลองหาดูในเว็บก็พบว่ามีคนขายอยู่เป็นจำนวนมาก เลยสั่งมาติดเอง ซึ่งไม่ได้ยากเลย มันติดด้วยเทปกาว2หน้าเท่านั้น

IMG_6386

IMG_6387
IMG_6389
IMG_6391

ดูวิธีการตามลำดับภาพเลยก็พอจะทำเองได้ อะไหล่ชิ้นนี้ราคารวมค่าส่ง 69 บาท จาก lazada

ScreenClip

ส่งซ่อมเลนส์ canon 24-105f4L

IMG_3054

เลนส์ canon 24-105f4L ที่ใช้งานมานานหลายปีในมือผม และอาจจะนานอีกหลายปีในมือคนอื่นก่อนหน้านี้ก็คงถึงเวลาที่มันจะโทรม และเสีย อาการเสียของเลนส์ที่พบก็คือ เมื่อถ่ายด้วยค่า f ที่มากกว่า f4 กล้องจะขึ้น error แล้วก็หยุดการทำงาน ต้องปิดแล้วเปิดใหม่ แต่ถ้าตั้งค่า f เอาไว้แค่ f4 หรือ ค่ารูรับแสงกว้างสุดของเลนส์กล้องจะทำงานปกติ ถ่ายได้ปกติ สันนิษฐานว่า การใช้รูรับแสงที่กล้องต้องสั่งให้เลนส์หรี่รูรับแสงให้แคบลงจะทำให้ระบบมีปัญหา ระบบการควบคุมรูรับแสงคงเสียหายอยู่ ก็เลยจัดการส่งไปที่ศูนย์เพื่อซ่อมแซม

20220806191710_IMG_0007

ศูนย์ canon อยู่ที่อาคารสาธรทาวเวอร์ อยู่หัวมุมสี่แยกถนนนราธิวาสตัดสาธร ที่ศูนย์แห่งนี้ในปัจจุบันมีลูกค้าแวะเวียนไปไม่มาก ไม่รู้ว่าเพราะกล้องเสื่อมความนิยม หรือ โควิดทำให้คนน้อย หรือแม้แต่โควิดทำให้กล้องไม่ค่อยถูกใช้งาน ปริมาณกล้องเสียเลนส์เสียเลยไม่เยอะ ก็ได้แต่เดาไปเรื่อย เมื่อส่งไปซ่อม ช่างก็ตรวจสอบอาการอยู่หลายวัน แล้วก็โทรกลับมาแจ้งค่าใช้จ่ายพร้อมอธิบายอาการเสีย และอธิบายราคาค่าซ่อมต่างๆ และราคานี่แหละที่ทำให้ตกใจมาก

เจ้าหน้าที่ศูนย์ canon อธิบายว่า เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์หิ้ว ไม่ได้ขายผ่านระบบของประเทศไทย ทำให้ราคาค่าบริการต่างๆต้องคิดราคาเต็ม ไม่มีส่วนลด เพราะปกติ ค่าบริการอุปกรณ์ที่ขายผ่านตัวแทนประเทศไทยจะคิดค่าบริการลดราคา 50% คิดค่าอะไหล่ลดลง 30% (ผมอาจจำผิดเพราะเขียนโพสท์นี้หลังจากรับเลนส์กลับมาใช้งานนานเป็นเดือนแล้ว) นั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเลนส์ครั้งนี้อยู่ที่ 8368.47 บาท ตอนที่รู้ราคาก็ตกใจพอสมควร และในวินาทีที่คุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ ผมก็ย้อนนึกไปถึงตอนที่ซื้อเลนส์ตัวนี้มา ผมซื้อมือสองจากร้านกล้องถ่ายภาพ โดยผมซื้อบอดี้มือหนึ่งเป็นของตัวแทนไทยมีประกันถูกต้องทุกอย่าง แต่ผมเลือกใช้เลนส์มือสองเพราะเห็นว่าราคาถูกลงไปจากราคามือหนึ่งประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะด้วยความเชื่อมั่นว่าเลนส์เกรดโปรของ canon จะทน และสามารถซ่อมได้เกือบทุกอาการ ดังนั้นผมก็เสี่ยงกับของมือสองได้ แต่ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่าเลนส์จะเป็นของหิ้ว คิดว่ามันคงเป็นมือสองประกันศูนย์ ซึ่งตอนซื้อก็ไม่ได้ถามว่ามันเป็นของหิ้วหรือของประกันศูนย์

IMG_20220806_210154

กลับมาที่การสนทนากับศูนย์ canon ผมรู้ว่าราคาเลนส์ตัวนี้ที่เป็นมือสองในปัจจุบันซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 9000-12000 บาท แล้วแต่สภาพ ณ นาทีนั้้นผมลังเลอยู่ว่าจะยกเลิกการซ่อมแล้วไปซื้อมือสองใช้ดีไหม แต่คิดแล้วก็ไม่อยากเสี่ยงว่าถ้าซื้อมือสองมาแล้วจะมาเจออาการเสียแบบรูรับแสงหมดอายุแบบนี้หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจซ่อมในราคาตามที่แจ้ง จ่ายแปดพันกว่าบาทแล้วได้ของที่ซ่อมบำรุงเรียบร้อยกลับมาใช้น่าจะดีกว่าไปเสี่ยงกับมือสองตัวอื่นๆ

พอพ้นเรื่องราคาไปแล้ว ผมก็คุยกับเจ้าหน้าที่ต่ออีกสักพัก ถามเรื่องระยะเวลาที่ศูนย์จะสต๊อคอะไหล่ของเลนส์รุ่นต่างๆว่าจะมีให้ซ่อมไปอีกนานแค่ไหน เพราะได้ข่าวว่า canon จะเลิกผลิตกล้อง DSLR และจะทำให้เลิกผลิตเลนส์เม้าท์ EF ด้วยแน่ๆ เนื่องจากตอนนี้ canon ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาระบบกล้องและเลนส์รุ่นใหม่อย่าง Eos R พร้อมเลนส์ชนิด RF ที่เป็นเม้าท์เลนส์ชนิดใหม่แต่เพียงอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลว่า เลนส์หลายๆตัวของ canon จะสต๊อคอะไหล่ไว้ประมาณอย่างน้อย 20 ปี นั่นหมายความว่าถ้าภายใน 20 ปี ก็น่าจะพอมีอะไหล่ให้ซ่อมได้ และยังมีเลนส์บางรุ่นอย่าง Ef 70-200L f2.8 ที่จะมีอะไหล่สต๊อคไว้ถึง 29 ปี นั่นถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมากสำหรับผลิตภัณฑ์สักตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจที่บริษัทพยายามดูแลช่างภาพที่ใช้อุปกรณ์เกรดโปรอย่างยาวนาน แต่ก็นับเป็นเรื่องเศร้าอีกประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมอยู่มานาน และกำลังจะถึงระยะเวลาที่เลนส์จะหมดเวลา 29 ปีแล้ว เพราะเลนส์ 70-200 f2.8 ถูกผลิตครั้งแรกปี คศ 1995 พอนับไป 29ปี มันก็จะไปถึงปี 2024 นั่นเอง ซึ่งมันคือเวลาอีกไม่นานแล้วหลังจากนี้

การซ่อมเลนส์ครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าการซื้อของมือสองทำไมเราถึงต้องสอบถามว่าเป็นของประกันศูนย์หรือประกันร้าน(ของหิ้ว) เพราะมันมีผลกับการคิดราคาค่าซ่อมและค่าอะไหล่ในอนาคตนั่นเอง ต่อไปก็จะได้ระวังไม่ซื้อของประกันร้านอีก จะได้ไม่ต้องตกใจตอนส่งซ่อมเหมือนครั้งนี้

รีวิวเลนส์ canon 24-105f4 L

IMG_20220713_162126

เลนส์ canon 24-105f4 L ตัวนี้เป็นเลนส์ซูมคุณภาพสูงจากค่าย canon ที่ทำออกมาขายหลายปีแล้ว โดยปกติเลนส์เกรดสูงของ canon จะใช้คำว่า L ติดไว้ในชื่อของเลนส์ เลนส์เกรด L จะมีคุณภาพของภาพที่คมชัด ใส และปกติจะไวแสง ส่วนมากก็จะมีรูรับแสงระดับ 2.8 หรือ น้อยกว่านี้ แต่ก็มีเลนส์ L บางตัวที่รูรับแสงแคบหรือเป็นตัวเลขที่มากกว่า 2.8 อย่างเช่นเลนส์ตัวนี้ที่มีรูรับแสง f4

IMG_3052

ความใสคือจุดเด่นของเลนส์ L และช่วงซูมที่กว้างระดับ 24-105mm ก็เป็นช่วงเลนส์ที่ได้ใช้งานบ่อยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การถ่ายภาพวิวโดยการใช้ช่วงที่เป็นมุมกว้าง การถ่ายภาพทั่วไปที่ใช้ช่วงซูม กลางๆ จนถึงถ่ายภาพบุคคลที่ใช้ช่วงเลนส์ 85 -105มม. เลนส์ตัวนี้เหมาะกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ที่มักจะได้พบตอนท่องเที่ยว การมีระบบกันสั่นทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยไม่เป็นปัญหา แค่สภาพแสงในบ้านที่พอมองเห็น หรือแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เลนส์ตัวนี้ก็บันทึกภาพเก็บแสงได้ ต่อให้ปริมาณแสงในภาพแม้จะน้อยไปกว่าที่กล่าวมาแต่ถ้าตามองเห็นมันก็มากพอสำหรับกล้องยุคใหม่ที่ตั้งค่าความไวแสงได้สูงลิบ

การใช้เลนส์ L เพื่อทำงานระยะยาวเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะนอกจากคุณภาพที่ดีมากแล้ว การบริการหลังการขายของ canon ก็ทำได้ดีน่าชื่นชม เลนส์เกรด L จะได้รับการดูแลในระบบศูนย์บริการที่ยาวนานมาก มีอะไหล่เอาไว้ซ่อมบำรุงไปอย่างน้อย 20 ปี บางรุ่นมีอะไหล่สต๊อคไว้ได้ถึง 29 ปี ตามข้อมูลที่พนักงานในศูนย์บริการได้เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และต่อให้ศูนย์จะเลิกสต๊อคอะไหล่ หรือ อะไหล่หมดจากบริษัทแล้ว โลกเราก็มีอุปกรณ์ยี่ห้อ canon ให้เราซื้อมือสอง ให้เราหาอะไหล่จากเลนส์เก่าไปได้อีกยาวนาน ใช้กันได้ตั้งแต่ลูกเกิดจนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เป็นไปได้

IMG_0262

2014-11-29 30 ขอบฟ้า เขาใหญ่-IMG_0067

IMG_0433
16:9

เลือกรูรับแสงตอนถ่ายภาพ

ปกติการถ่ายภาพจะมีเรื่องของรูรับแสงมาเป็นส่วนที่กำหนดลักษณะภาพ บางภาพอยากได้ฉากหลังเบลอ ให้วัตถุชัดแล้วที่เหลือเบลอเพื่อให้มีความเด่นอยู่บนวัตถุเท่านั้น เราจะเรียกว่าชัตตื้นคือมีช่วงชัดน้อยๆ ส่วนภาพที่จะถ่ายให้ชัดทั้งหมดก็มักจะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ เราจะเรียกภาพที่ชัดทั้งภาพหรือเกือบทั้งภาพว่าชัดลึก

IMG_20200711_165315


สิ่งที่กำหนดความเป็นชัดตื้น หรือ ชัดลึก คือค่ารูรับแสงของเลนส์ที่เราใช้ หากเราใช้รูรับแสงกว้าง หรือเปิดรับแสงมากๆ หรือ ค่ารูรับแสงเป็นเลขจำนวนน้อย จะหมายถึงเปิดรูรับแสงกว้าง ลักษณะภาพจะมีความชัดแค่ช่วงน้อยๆ หรือชัดตื้น ส่วนภาพที่มีรูรับแสงเล็ก หรือ แคบ หรือเป็นตัวเลขที่มากขึ้น จะให้ลักษณะภาพชัดเกือบทั้งภาพ จุดเด่นก็ชัด ฉากหลังก็ชัด การเลือกรูรับแสงจึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และเลือกใช้ตามความเหมาะสมของภาพนั้น

ภาพตัวอย่างด้านล่างที่นำมาลงนี้มาจากการถ่ายภาพ 3 ภาพ แล้วนำมาวางเรียงกัน ภาพส่วนบนเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 24-105มม. ใช้รูรับแสงที่ f4 จะเห็นว่าต้นไม้ชัด ฉากหลังเบลอ ส่วนภาพตรงกลางของตัวอย่างจะเป็นการปรับรูรับแสงให้เล็กลง หรือ มีตัวเลขรูรับแสงที่มากขึ้น ต้นไม้จะชัดอยู่เหมือนเดิม แต่ฉากหลังจะมีความชัดมากขึ้น พอจะดูรู้ว่าฉากหลังเป็นอะไร และภาพส่วนสุดท้ายคือภาพที่ใช้รูรับแสงแบบเล็กมาก ประมาณ f22 ฉากหลังจะยิ่งชัดมากขึ้นไปอีก

20220702153238_IMG_1027
f4
20220702153242_IMG_1028
f11
20220702153246_IMG_1029
f22

รีวิวเลนส์ Canon macro 100 mm

การถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพทั่วไปเราจะต้องมีอุปกรณ์คือตัวกล้องและเลนส์ กล้องคอมแพ็คจะเป็นกล้องพร้อมเลนส์ที่ติดเป็นตัวเดียวกัน ถอดแยกไม่ได้ ส่วนกล้องในระดับกึ่งอาชีพหรือระดับอาชีพจะเป็นกล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกซื้อเลนส์ที่เหมาะสมกับงานมาใช้ได้ และเลนส์มาโครก็เป็นเลนส์ที่สำคัญตัวหนึ่งของวงการถ่ายภาพ และยี่ห้อ canon ก็มีเลนส์มาโครให้เลือกใช้หลายตัว ตัวที่อยู่ในรีวิวนี้คือตัวที่ผมใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

sale2013-IMG_0220

หลักการของเลนส์มาโครก็คือ ต้องเป็นเลนส์ที่เข้าใกล้วัตถุได้ใกล้มาก จนได้ภาพใหญ่เต็มกรอบภาพ เลนส์ปกติที่แถมมากับกล้องจะถ่ายใกล้ได้ระดับหนึ่ง เราไม่สามารถถ่ายภาพเหรียญ 10 บาทให้เต็มเฟรมได้ เพราะว่า เลนส์แถมหรือเลนส์ทั่วไปเข้าใกล้วัตถุมากๆก็จะโฟกัสภาพไม่ได้นั่นเอง แต่กับเลนส์มาโครแท้ๆ จะเข้าใกล้ได้ ทำให้การถ่ายภาพสิ่งของเล็กๆทำได้สะดวก และแม้จะนำไปใช้กับการถ่ายภาพแนวอื่นก็ใช้ได้ด้วย เลนส์มาโครจึงเป็นที่นิยมของคนชอบถ่ายภาพ และมักจะเป็นเลนส์ตัวที่นักถ่ายภาพจริงจังมักจะซื้อ รวมถึงช่างภาพอาชีพที่ต้องทำมาหากิน ต้องถ่ายภาพสินค้าต่างๆก็ต้องซื้อเช่นกัน

IMG_8928

เลนส์มาโครมักจะเป็นเลนส์ที่ซื้อแล้วไม่มีการอัพเกรด เพราะเลนส์มาโครให้ภาพที่คมชัดสวยงามเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และมันก็เป็นเลนส์ที่ให้รายละเอียดได้สูงมาก แทบจะคมชัดที่สุดในบรรดาเลนส์ที่มีขาย รวมถึงการถ่ายภาพมาโครก็ต้องการความชำนาญที่มากขึ้น นักถ่ายภาพที่ชอบมาโครก็จะมีความสามารถมากกว่าช่างภาพมือใหม่ ทำให้ภาพที่ออกจากเลนส์มาโครมักจะมีคุณภาพที่ดี และมันก็ดีจนหลายคนอยากใช้เลนส์มาโคร

IMG_0149

ของที่ไม่เล็กมาก หรือสิ่งของทั่วไปก็ใช้เลนส์มาโครถ่ายได้ เพราะหากใช้งานในระยะปกติที่ไม่ได้เข้าใกล้วัตถุมากๆ เลนส์มาโครก็คือเลนส์ธรรมดาตัวหนึ่ง ใช้ถ่ายสิ่งของ ถ่ายคน ถ่ายวิว ถ่ายทุกอย่างได้ไม่ต่างกันกับเลนส์ทั่วไป แต่ข้อได้เปรียบในเรื่องความสวยงามจะมีมากกว่า เพราะเลนส์คมกว่า สีสวยกว่า และถูกใช้งานผ่านมือนักถ่ายภาพที่ฝึกฝนมามากกว่านั่นเอง

20210322132629_IMG_0796

ภาพมาโครจะมีเสน่ห์ตรงที่มันเป็นภาพแปลกตา เราไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาเปล่า งานสิ่งพิมพ์บางชนิดที่ดูด้วยตาเปล่าเราอาจจะไม่เห็นความน่าสนใจ แต่ถ้าเราใช้เลนส์มาโครถ่าย เข้าไปใกล้ๆกระดาษ เราจะเห็นเนื้อกระดาษที่มีร่องรอย มีพื้นผิวที่ไม่เรียบ มีรอยพิมพ์ที่กดจมเป็นตัวหนังสือ สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพถ่ายมาโคร หรือภาพจากเลนส์มาโครเป็นภาพที่สวยน่ามอง การพกเลนส์มาโครไปถ่ายภาพสารพัดก็เลยทำให้เรามีโอกาสได้ภาพที่สวยมากขึ้น

IMG_4368

เลนส์ทุกตัวจะมีจุดที่ชัดที่สุดคือจุดที่เลนส์ปรับโฟกัสไว้ หลายครั้งเราก็เรียกว่าเลนส์มาโครมีลักษณะชัดตื้นเป็นหลัก คือส่วนที่ชัดมีนิดเดียว ส่วนที่อยู่นอกจุดโฟกัสจะค่อยๆเบลอ และจะยิ่งเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ภาพถ่ายมีความน่ามอง แต่เราก็มีวิธีทำให้ช่วงชัดมีมากขึ้น หรือมีระยะชัดลึกเพิ่มขึ้นด้วยการหรี่รูรับแสงลงไป หรือปรับรูรับแสงให้เป็นตัวเลขมากๆนั่นเอง อย่างเช่น การถ่ายอาหารให้ชัดทั้งจานอาจจะต้องใช้ค่ารูรับแสงประมาณ f16 หรือ f22 ภาพแหวนที่อยากให้ชัดทั้งเกือบทั้งวงอาจต้องใช้ค่า f 32 ก็ได้

IMG_8401
IMG_0186

เลนส์มาโครนิยมนำมาถ่ายสิ่งของโดยเน้นบางส่วนของสิ่งของเหล่านั้น เป็นลักษณะการจัดองค์ประกอบแบบหนึ่งในทฤษฎีถ่ายภาพ ซึ่งเป็นแค่แนวทาง ไม่ใช่กฏตายตัว เราเลยได้เห็นภาพมาโครของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะดอกไม้ เจ้าของเลนส์มาโครที่นำไปถ่ายดอกไม้ อย่างน้อย จะต้องมีภาพเกสรดอกไม้เก็บไว้

IMG_8926
IMG_8933
2019-12-04_03-53-59

เรายังสามารถใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพคนได้ด้วย ด้วยความที่เลนส์มีลักษณะพิเศษคือ มีความคมชัดสูง ให้รายละเอียดได้สูง เราจะบอกว่าเลนส์มาโครเป็นเลนส์ที่ใกล้เคียงอุดมคติก็ได้ การถ่ายภาพให้ชัดเป็นเรื่องที่ดี การถ่ายคนด้วยเลนส์มาโครก็จะได้ภาพคมชัดมาก รายละเอียดบนหน้า เส้นผม ขนตา ร่องรอยต่างๆเห็นชัดทั้งหมดหากถ่ายอย่างถูกต้องและจัดแสงอย่างเหมาะสม แต่ก็มีผู้หญิงอีกหลายคนเคยให้ความเห็นว่า ถ่ายด้วยเลนส์มาโครนั้นชัดเกินไป สิวฝ้า รอยกระรอยด่างก็เห็นทั้งหมดเลย กลายเป็นข้อเสียของสาวๆไป แต่นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเลนส์มาโครให้รายละเอียดในภาพได้ดีมากนั่นเอง สามารถดูวิธีการถ่ายภาพเด็กครึ่งตัวได้ที่นี่

IMG_4387

เลนส์ในค่าย canon มีเลนส์มาโครสำหรับเม้าท์ EF หรือกล้องฟิล์ม อยู่ 3 ตัว ตัวแรกที่เป็นตัวยอดนิยมมายาวนานคือ macro100mm เป็นเลนส์ทางยาวโฟกัส 100 มม. รูรับแสงกว้างสุด 2.8 หากใช้ถ่ายภาพโดยการปรับให้เข้าใกล้วัตถุมากที่สุดจะได้อัตราขยาย 1:1 ก็คือของใหญ่เท่าไหร่ ก็จะเกิดเป็นภาพบนฟิล์มใหญ่เท่ากัน นั่นเป็นเหตุผลที่บอกไว้ในตอนต้นว่า เลนส์มาโครแท้ๆหรือเลนส์ที่ให้ขนาดภาพได้ถึง 1:1 จะถ่ายเหรียญ 10 บาทได้เต็มเฟรมนั่นเอง ซึ่ง ในภายหลังช่วงไม่กี่ปีนี้ก็ได้มีการปรับปรุงเลนส์ macro100 ตัวนี้ให้เป็นรุ่น 2 โดยมีสเป็คเหมือนเดิมแต่เพิ่มส่วนของ IS หรือ image stabilizer เข้ามาด้วย

20210327170149_IMG_0071

เลนส์มาโครอีกตัวหนึ่งที่เป็นของ canon ก็คือ macro50mm ทางยาวโฟกัส 50 มม. เป็นเลนส์มาโครเช่นกัน เข้าใกล้วัตถุได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ใกล้มาก ให้ภาพใหญ่ได้เพียง 1:2 หรือให้ภาพได้ใหญ่แค่ครึ่งเดียวของ macro100 แต่หากจะใช้ถ่ายภาพให้ได้ภาพระดับ 1:1 ก็จะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เพื่อทำให้เลนส์สามารถเข้าใกล้วัตถุได้มากกว่าสเป็ค แต่การใช้งานก็จะยุ่งยากกว่าเล็กน้อย

ยังมีเลนส์มาโครอีกตัวหนึ่งแต่เป็นตัวไม่ฮิตมาก ให้ภาพได้ใหญ่มากระดับ 5:1 นั่นคือเลนส์ MP-E65 แต่ก็จะเป็นเลนส์ที่ใช้ถ่ายภาพทั่วไปไม่ได้เลย เพราะระยะโฟกัสจะออกแบบมาใกล้มาก ทำให้ถ่ายภาพบุคคลหรือภาพวิวไมไ่ด้ มีแต่นักถ่ายภาพระดับจริงจังบ้าบิ่นเท่านั้นที่จะใช้เลนส์มาโครเฉพาะทางตัวนี้ ภาพที่ออกจากเลนส์ตัวนี้ก็จะเป็นภาพแนว ตาแมลงวัน ขาแมลง รูสอดเส้นด้ายของเข็มเย็บผ้า อัตราขยายระดับนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางมากๆ

ข้อดีของเลนส์ macro 100 รุ่น 1

ใช้ถ่ายมาโครได้ 1:1

ให้สีสันสวยงาม สีสวยมาก รายละเอียดสุดยอด

ใช้ถ่ายภาพจากฟิล์มสไลด์ เพื่อทดแทนเครื่องสแกนฟิล์ม

ข้อเสีย

จริงๆต้องบอกว่าไม่มี แต่ถ้าจะให้หามาเปรียบเทียบก็ต้องคุยกันเรื่องราคา เพราะปัจจุบัน macro100 รุ่น 1 ไม่มีขายแล้ว ราคาเคยมีตั้งไว้ระดับหมื่นปลายๆ แต่พอหมดรุ่น แล้วปรับมาเป็นรุ่น 2 ราคาก็เพิ่มขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว ทำให้ราคาแพงมาก

20210327142015_IMG_0027

ถ้าจะต้องพกเลนส์ตัวเดียวเพื่อถ่ายอเนกประสงค์ โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นภาพมุมกว้าง การเลือกใช้เลนส์มาโครก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะใช้ถ่ายภาพบุคคลก็ได้ ใช้ถ่ายภาพมาโครก็ได้ เราสามารถหาเลนส์ macro 100 มือสองได้ในราคาไม่แพง เพราะความนิยมของกล้องดิจิทัลแบบ Full frame ไม่ค่อยสูง นักถ่ายภาพรุ่นใหม่ๆจะไปเริ่มกับระบบกล้อง mirrorless ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์รับภาพที่เล็กกว่า นั่นก็ทำให้มีเลนส์มาโครที่ออกแบบมาเฉพาะของระบบเซ็นเซอร์เล็กด้วย และเลนส์ในกลุ่มนี้ก็จะมีราคาซื้อขายที่แพงกว่าเลนส์ตัวเก่าที่ไม่นิยม เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ราคามือสองของเลนส์ macro100 เม้าท์ EF เท่ากันหรือถูกกว่าเลนส์ macro60 เม้าท์EFS ที่เป็นของระบบเล็ก ใครหาเลนส์มาโครใช้ก็ไปช้อนซื้อเลนส์ macro100 ไว้ได้เลย ของดีราคาที่โลกเมิน คุ้มค่ารีบสอย

20210323162351_IMG_0815

20210327212516_IMG_0025

20200906175953_IMG_4321

IMG_0428

IMG_20191203_201814

IMG_0086

2018-10-14 08.28.52 2

รีวิว กล้อง canon eos 6d และเลนส์ ef 24-105 F4L

24-105f4L
IMG_0262

กล้องที่ดีที่สุดก็คือกล้องที่อยู่ในมือของเรา อะไรก็ได้ที่ทำให้เราได้ออกไปถ่ายภาพด้วยความมั่นใจ

การถ่ายภาพที่สนุกสนานและคล่องตัวเราจะนิยมใช้เลนส์ซูมมากกว่าเลนส์เดี่ยวหรือเลนส์ฟิกซ์ และมีความเชื่อที่บอกต่อกันมายาวนานว่าเลนส์ซูมคุณภาพต่ำกว่าเลนส์ฟิกซ์ ซึ่งมีความจริงและไม่จริงอยู่ในคำกล่าวนี้

IMG_0421

กล้องกึ่งโปร กึ่งจริงจัง รวมถึงกล้องถ่ายเล่นมักจะแถมเลนส์ซูมติดกล้องมาตัวหนึ่ง สมัยเป็นกล้องฟิล์มก็อาจจะเป็นเลนส์ 35-70 35-80 28-70 28-90 มม. รูรับแสงประมาณ f4-5.6 ซึ่งเลนส์ตัวเลขเหล่านี้เป็นเลนส์คิทติดกล้องกลุ่มราคาประหยัดมาตลอด เลนส์ซูมที่ราคาสูงขึ้นและนักถ่ายภาพนิยมอัพเกรดขึ้นไปก็จะมีเลนส์ระยะประมาณ 28-105 24-85 24-105 24-135 28-200 มม. ซึ่งเลนส์กลุ่มที่สองนี้จะมีคุณภาพสูงขึ้น รูรับแสง 3.5-4.5หรือ 5.6 หากซูมยาวๆแต่ก็ยังอยู่ในเกรดเลนส์ของมือสมัครเล่นเช่นเดิม แม้ว่าคุณภาพมันจะดีน่าใช้แล้ว แต่กลุ่มโปรก็ยังตะขิดตะขวงใจที่จะใช้ บ้างก็ว่าภาพไม่ใสเท่าเลนส์โปร รูรับแสงไม่กว้างเท่าเลนส์โปร เพราะเลนส์เกรดโปรมักจะมีรูรับแสง f2.8 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยระดับราคาที่ไม่แพงเท่าเลนส์โปร จะทำให้คุณภาพเท่ากันก็ผิดปกติแล้ว

IMG_0252

ยังมีข้อจำกัดทางกายภาพของกล้องฟิล์มอีกประการหนึ่งคือ ระบบโฟกัสจะทำงานได้ดีมากกับเลนส์รูรับแสงกว้าง และจะทำงานได้แย่ลงเมื่อรูรับแสงของเลนส์แคบลง ดังนั้น เลนส์ f4-5.6 จะโฟกัสไม่ไวมากเท่าเลนส์ f2.8 ตรงนี้เป็นเรื่องจริงของกล้องถ่ายภาพยุคฟิล์ม และกล้องแมน่วลโฟกัสบางรุ่นก็จะปรับโฟกัสแบบ split image ไม่ได้เลยถ้าใช้กับเลนส์รูรับแสงแคบหรือเลนส์ไม่สว่าง

คราวนี้ ทางค่ายกล้องก็เล็งเห็นว่า เลนส์โปรเกรดสูง รูรับแสง f2.8 เป็นเลนส์ที่ใหญ่ หนัก ราคาแพง คุณภาพสูงมาก และนักถ่ายภาพจำนวนน้อยเท่านั้นที่เอื้อมถึง ระดับราคาของเลนส์โปรและเลนส์สมัครเล่นมีช่องว่างที่กว้างมาก ก็เลยมีแนวคิดที่จะทำเลนส์คุณภาพโปรแต่ราคาลดลงมานิดหน่อยออกมาขาย รูรับแสง 2.8 ที่หนักและแพงก็ปรับเป็น รูรับแสง f4 ที่เบาและเล็กกว่า และทำให้ราคาปรับลงมาได้เกือบครึ่งของเลนส์โปร นั่นทำให้นักถ่ายภาพกลุ่มสมัครเล่นที่อยากได้ของราคาไม่แพงเริ่มสนใจเลนส์กลุ่มที่สามนี้ และ canon ก็ปล่อยเลนส์ 24-105f4L ออกมาให้เราได้ซื้อกัน

20200209122304_IMG_0147

เลนส์ 24-105 นับว่าเป็นเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสครอบคลุมการใช้งานเกือบจะทุกสถานการณ์ มันถ่ายภาพวิว ภาพมุมกว้างได้มากกว่าเลนส์คิทในอดีต มันมีช่วงเทเล่ที่ใช้ถ่ายภาพบุคคลได้สมส่วนภาพไม่เพี้ยน นั่นทำให้เลนส์นี้นับได้ว่าเป็นเลนส์อเนกประสงค์จริงๆ นักถ่ายภาพสมัครเล่นก็อัพเกรดขึ้นมาใช้เป็นจำนวนมาก ช่างภาพโปรก็ซื้อไว้เป็นเลนส์สำรองได้ เพราะคุณภาพดีเพียงพอสำหรับงานโปรฯ

IMG_0257

ในอดีตยุคของฟิล์ม การใช้เลนส์โปร รูรับแสงกว้างระดับ 2.8 เป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้มั่นใจว่าสามารถถ่ายภาพในหลากหลายสถานการณ์ได้ เพราะฟิล์มมีค่าความไวแสงไม่มาก นั่นทำให้เลนส์ไวแสงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในยุคดิจิทัล ความไวแสงของกล้องสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันเรามีกล้องที่ตั้งค่าความไวแสงระดับ iso 3200 หรือ 6400 หรือมากกว่าให้ใช้ ซึ่งหาไม่ได้ในฟิล์มถ่ายภาพ นั่นหมายความว่า ค่ารูรับแสง F2.8 สามารถถูกทดแทนด้วย F4 ได้ง่ายดาย ความแตกต่างของรูรับแสง 2.8 และ 4 ในด้านปริมาณแสงสามารถชดเชยได้ด้วยความไวแสงของกล้องที่ตั้งให้สูงขึ้นได้ ส่วนฉากหลังที่นุ่มเบลอของ 2.8 เทียบกับ 4 ก็ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางทีถ้าเลือกมุมกล้องดีๆเราอาจแยกไม่ออกเลยก็ได้ เลนส์ F4 จึงเป็นเลนส์ที่น่าสนใจมากสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน

20191214161856_IMG_0124

เลนส์ ef 24-105 F4L เป็นเลนส์ที่มีความคมชัดสูงกว่าเลนส์คิทเกรดล่าง มีความใสของภาพในระดับเลนส์ L ของค่าย canon การทำงานของมอเตอร์หมุนเลนส์แบบ usm เพื่อโฟกัสภาพทำได้นิ่มนวล เงียบ เสียงเลนส์หมุนตัวเพื่อโฟกัสภาพไม่ได้ดังสร้างความน่ารำคาญ มันสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างเหมือนเลนส์เกรดโปร แต่ราคาจับต้องได้ และภาพที่แสดงในบทความนี้ก็จะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 24-105F4L บนกล้อง Eos 6D เป็นหลัก

2014-11-29 30 ขอบฟ้า เขาใหญ่-IMG_0067

ในสภาพแสงที่ดี และลักษณะภาพที่ต้องการระยะชัด การใช้รูรับแสงแคบประมาณ f8 หรือ f11 เลนส์ส่วนใหญ่จะให้คุณภาพความคมชัดที่สูงมาก และเลนส์เกรดโปร กับ กึ่งโปรก็แทบจะคุณภาพไม่ต่างกันที่รูรับแสงกลางๆค่านี้ รวมถึงแม้เราจะมีรูรับแสงของเลนส์โปร f2.8 แต่ในทางปฏิบัติ ที่สภาพแสงมากๆ เราก็อาจไม่ได้ใช้รูรับแสงกว้างที่สุดก็ได้ กล้องส่วนมากถ่ายด้วยความไวชัตเตอร์สูงสุดได้ที่ 1/4000 วินาที ซึ่งหากเราใช้รูรับแสงกว้างที่สุดระดับ f2.8 ความไวชัตเตอร์ที่ต้องใช้ถ่ายภาพในที่แสงจัดก็อาจสูงเกิน 1/4000 วินาที และการถ่ายได้แค่ 1/4000 วินาทีก็อาจจะทำให้ภาพออกมาสว่างเกินไป ทำให้เราอาจจะต้องลดรูรับแสงลงไปเป็น f4 หรือ f5.6 เสียด้วยซ้ำ และนี่คือคำตอบของเลนส์ f4 เกรด L ของกล้อง canon ที่ออกเลนส์สเป็คนี้ออกมา เลนสมุมกว้างอย่าง 17-40F4L กับ 24-105F4L และเลนส์ 70-200F4L ให้ความคมชัดในระดับสุดยอดเทียบเท่าเลนส์โปร แต่ราคาลดลงมาเหลือแค่ครึ่งเดียว ทำให้นักถ่ายภาพที่จริงจังแต่งบน้อยสามารถซื้อหามาใช้ได้ไม่เดือดร้อนมาก

เด็กห้าคน 4jan2015-IMG_0219

การใช้เลนส์ซูมเกรดโปรจะมีข้อดีตรงที่ราคาเลนส์จะประหยัดกว่าการซื้อเลนส์ฟิกซ์ที่ครบช่วง อย่างเช่น หากเราเปรียบเทียบเลนส์อย่าง 70-200f2.8L ที่เป็นเลนส์เทเลซูมเกรดโปร คุณภาพดีมาก เทียบได้กับการที่เรามีเลนส์ 70 85 100 135 200 มม. หรือเท่ากับเลนส์ฟิกซ์ 5 ตัว ซึ่งเลนส์เดี่ยวที่คุณภาพดีเท่านี้จำนวน 4 ตัว ราคารวมกันแพงกว่าเลนส์ซูมตัวเดียวเสียอีก ดังนั้นการใช้เลนส์ซูมเกรดโปรนอกจากจะสะดวกแล้วยังได้ราคาเลนส์ทั้งระบบที่ถูกลงด้วย แน่นอนว่า คุณภาพเลนส์ฟิกซ์จะสูงมาก แต่เลนส์ซูมเกรดโปรก็ทำได้ดีใกล้เคียงกัน บางครั้งผมยังรู้สึกว่า เลนส์ซูมเกรดโปรให้คุณภาพดีทัดเทียมกับเลนส์ฟิกซ์ด้วยซ้ำไป

IMG_0049_3
IMG_0015

กล้องที่ดีที่สุดก็คือกล้องที่อยู่ในมือของเรา อะไรก็ได้ที่ทำให้เราได้ออกไปถ่ายภาพด้วยความมั่นใจ เลนส์โปรราคาครึ่งเดียวแบบเลนส์ F4 เกรด L ก็ช่วยให้เราได้ภาพคุณภาพสูงแบบมืออาชีพได้ ทั้งถ่ายแนวท่องเที่ยว แนวรับจ้าง ได้หมด เลนส์ 24-105F4L เป็นเลนส์ที่ตอบสนองการใช้งานได้คลอบคลุมเกือบทั้งหมดของโลกการถ่ายภาพ ถ้าจะพกเลนส์ตัวเดียวออกทริปที่ไม่รู้ว่าจะพบเจอสถานการณ์อะไรบ้าง ผมก็คงเลือกเลนส์ 24-105F4L ตัวนี้เป็นตัวแรก

IMG_0113

ใช้เลนส์ kit ให้ถูกใจ

กล้องถ่ายภาพในปัจจุบันมักจะขายมาพร้อมกับเลนส์ติดกล้องมาสักตัวหนึ่ง สมัยก่อนถ้าเราซื้อกล้องฟิล์มรุ่นล่างๆ อย่างกล้อง SLR ราคาประมาณ 1-2หมื่นบาท เราก็จะได้เลนส์ติดกล้องมาด้วยเป็นเลนส์ช่วงระยะประมาณ 28-80มม. ซึ่งเป็นเลนส์เกรดล่างสุดของค่าย ไม่ว่าจะเป็น nikon หรือ canon ก็จะมีเลนส์ระดับนี้แถมให้กับกล้องราคาประหยัด

13jul2008_MG_4994

พอมาเป็นยุคดิจิทัล กล้องพัฒนามาเป็นกล้อง DSLR กล้องราคาประหยัดระดับเริ่มต้นของค่ายก็จะใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาดเล็กกว่าฟิล์มเล็กน้อย เราจะเรียกว่าขนาด APSC เมื่อใส่กับเลนส์ปกติ มุมรับภาพจะแคบลง เหมือนเลนส์จะมีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้น เช่น เลนส์ 50มม. ที่เคยใช้กับกล้องฟิล์ม เมื่อนำไปใช้กับกล้อง DSLR เซ็นเซอร์เล็กระดับ APSC ก็จะรับภาพคล้ายๆเลนส์ 80mm เราก็เลยเรียกว่า กล้องตัวคูณ 1.6X หรือ เอาไปใช้กับเลนส์อะไร ก็จะมีมุมรับภาพเหมือนเลนส์ตัวนั้นคูณด้วย 1.6เท่า 50มม เลยกลายเป็น 80มม. และเลนส์แถมมากับกล้องก็จะให้มาเป็น 18-55มม. นั่นเอง และเมื่อพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ เลนส์ 18-55 รุ่นหลังๆก็จะมีระบบ is หรือ image stabilizer มาให้ด้วย

16apr2008_MG_3474

เดิมเลนส์ 18-55 ของค่าย จะมีคุณภาพธรรมดา ไม่น่าสนใจ นักถ่ายภาพระดับสมัครเล่นเมื่อซ์้อกล้องพร้อมเลนส์มาแล้วก็จะทะยอยอัพเกรดเลนส์ติดกล้อง เริ่มหาเลนส์ 18-135 17-85 มาใช้ เหตุผลส่วนใหญ่ที่อัพเกรดก็เพราะอยากได้ระยะโฟกัสที่เพิ่มขึ้น และอยากได้คุณภาพที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ บางคนซื้อกล้องรุ่นใหญ่แบบไม่เอาเลนส์คิทหรือเลนส์แถมก็มี

cs2c_MG_3313

ในช่วงที่กล้อง DSLR เริ่มแถมเลนส์คิทตัวใหม่อย่าง 18-55is เป็นช่วงเวลาที่เลนส์แถมเริ่มมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา นักถ่ายภาพหลายคนติดอยู่กับความเชื่อเก่ากว่าเลนส์แถมเป็นของคุณภาพต่ำ แต่ของแถมในยุคที่เป็นเลนส์ 18-55is นั้นเป็นของแถมที่มีคุณภาพดีมาก หลายภาพที่ได้เห็นจากในอินเทอเน็ตมีคุณภาพสูงขึ้นมาก จนผมได้มีโอกาสลอง ขอยืมเลนส์ของเพื่อนมาลองถ่ายเล่นๆ แล้วเมื่อได้ดูภาพแล้ว ก็ติดตามหาซื้อมือสองทันที แล้วก็ได้เลนส์ 18-55is ที่เจ้าของเก่าขายต่อให้ถูกๆ

1may2008-suanrodfai_MG_3675

กล้องที่ผมใช้คือ canon และเลนส์ 18-55is ของ canon คือเลนส์แถมที่มีคุณภาพดีมาก ดีจนรู้สึกว่าเราสามารถอยู่กับมันได้ ใช้งานมันได้ตลอดทริปท่องเที่ยวหรือทำงานง่ายๆ แน่นอนว่าเลนส์ 18-55 ไม่สามารถให้ภาพฉากหลังละลายเหมือนเลนส์รูรับแสงกว้างได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเน้นการถ่ายให้ภาพชัด เน้นเรื่องความคม ความใสของภาพ มันก็ทำได้ดีน่าประหลาดใจ และผมก็ใช้มาตลอดโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอีกเลย ตัวอย่างภาพที่ใช้เลนส์ 18-55is ถ่ายก็ดูได้ตามภาพด้านล่างนี้

1may2008-suanrodfai_MG_3702
pattayaMos-30dec2007_MG_2389
dpp-picStyle-samedFull3022

คุณภาพกล้องและเลนส์ในระบบดิจิทัลดีขึ้นเรื่อยๆ จนในช่วงเวลาที่ canon ทำกล้อง eos m ซึ่งเป็นกล้องไร้กระจก หรือ mirrorless ออกมาขาย ก็มีกล้อง eos m พร้อมเลนส์ 18-55is stm ตัวใหม่ออกมา โดยจะเป็นเลนส์คิทหรือเลนส์แถมมากับกล้องอีกเช่นกัน เซ็นเซอร์รับภาพของ eos m มีขนาด APSC ซึ่งก็ถือว่าเป็นกล้องตัวคูณ 1.6X เช่นกัน ดังนั้นระยะเลนส์ที่แถมก็เลยเป็นตัวเลขทางยาวโฟกันเท่าเดิม แต่ในเลนส์ระบบใหม่นี้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลสองอย่างคือ เทคโนโลยีการผลิตดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นระบบกล้องที่ออกมาทีหลัง และเหตุผลอีกข้อคือ ระบบกล้อง eos m ไม่มีกระจกมากั้นหน้าเซ็นเซอร์ ดังนั้น เลนส์ระบบ eos m จะสามารถวางใกล้กับเซ็นเซอร์รับภาพได้มากกว่าเดิม ชิ้นเลนส์ที่ใกล้เซ็นเซอร์รับภาพก็จะให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่า ดังนั้นระบบเลนส์ 18-55is stm ในกล้อง eos m ก็เลยเป็นเลนส์คิทหรือเลนส์แถมที่ให้คุณภาพดีที่สุดของค่าย

kobfa-feb2014-IMG_8631

ในบางทริปที่ไปแบบลุยๆ การเลือกเลนส์ราคาประหยัดไปเที่ยวแบบเผื่อเสียเผื่อพังก็จะอาศัยใช้เลนส์ kit ไปถ่าย ยอมวางเลนส์ L ไว้กับบ้าน เน้นพกของเล็กๆไปเที่ยว จะไปทะเลเผื่อกล้องพัง เผื่อเลนส์ตกทะเลก็จะไม่เสียดายมาก แล้วเราก็ได้ภาพกลับมาแบบที่น่าทึ่งมาก
ประกอบกับเลนส์คิทเป็นเลนส์ขนาดเล็ก ทำให้ฟิลเตอร์ที่จะใช้กับเลนส์คิทมีราคาถูก เมื่อไปทะเลสิ่งที่พกไปด้วยก็คือฟิลเตอร์โพลาไรซ์ เมื่อใช้ฟิลเตอร์แล้วหมุนหามุมตัดแสงสะท้อน ก็จะได้ภาพสวยโอเวอร์เลย

2020-01-02_10-34-35-01
IMG_0074

การใช้เลนส์คิทให้ถูกใจเป็นเรื่องไม่ยาก หากเราเข้าใจพื้นฐานการถ่ายภาพ เราจะพบว่าภาพที่ดีมักจะไม่ได้ดีเพราะเลนส์ดี แต่ดีเพราะเราใช้อุปกรณ์ของเราอย่างเข้าใจ และเรียกประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด

IMG_6202

ปกติเลนส์ก็จะมีคุณสมบัติความคมชัดสูงสุดอยู่ที่รูรับแสงขนาดกลางประมาณf8-f11 อยู่แล้ว ซึ่งในการท่องเที่ยวและถ่ายภาพวิวหรือสิ่งของต่างๆ เราก็จะมีโอกาสถ่ายภาพที่รูรับแสงกลางๆแบบนี้บ่อยมาก อย่างภาพวิวที่ต้องการชัดทั้งภาพ รูรับแสงระดับ f11 ก็ทำให้ภาพชัดและได้คุณภาพสูงสุดของเลนส์ ต่อให้เราถ่ายภาพด้วยเลนส์เกรดโปร เมื่อเราเอาไปถ่ายวิวในสภาพแสงสวยๆ เราก็มักจะใช้ค่า f8 หรือ f11 เพื่อถ่ายภาพเช่นกัน

IMG_6097

อีกเทคนิคหนึ่งที่แนะนำเพื่อให้ภาพถ่ายมีคุณภาพสูงขึ้นก็คือ การถ่ายในระยะที่ใกล้แบบ หมายถึง ถ้าเราสามารถเข้าใกล้สิ่งที่จะถ่ายได้ การถ่ายใกล้ๆ จะได้ภาพที่คมชัดมากกว่าถ่ายไกล อันนี้เป็นข้อสังเกตส่วนตัว

IMG_3893
IMG_3888

เทียบกล้องโปรกับกล้องถ่ายเล่น