PSU หุ่นยนต์เพิ่มกำลังการผลิต ไม่เพิ่มคน

อารีย์ สวัสดิ์มูล เป็นคนจังหวัดนนทบุรี   ที่บ้านเป็นชาวสวนทุเรียน ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ  ชีวิตวัยเด็กจะช่วยเก็บดอกไม้ไปส่งขายแม่ค้าพวงมาลัย     ตอนเช้าไปส่งดอกไม้เก็บเงินแล้วค่อยไปเรียน ตอนเย็นกลับไปขายดอกไม้ต่อที่ตลาด  สองทุ่มก็เก็บแผง กลับบ้าน  เป็นคนขายของทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก

สมัยเรียนก็เป็นทั้งนักวิ่ง นักวอลเล่บอล  เป็นคนเล่นกีฬาและเรียนดี จนมีทุนการศึกษาจากหลายสถาบัน  ในที่สุดก็ได้เลือกไปเรียนที่ช่างกลนนทบุรี  โดยเลือกไม่เรียนสายวิชาการช่วงมัธยมปลาย เนื่องจากอยากเรียนรู้เกี่ยวกับสาขาอิเล็กทรอนิกส์ เรียนจบวุฒิ ปวช.  เรียนต่อ ปวส. ทางด้านคอมพิวเตอร์ที่ราชมงคลพระนครเหนือ  เรียนสองปีก็จบและได้ไปสอบเข้าเพื่อเรียนต่อที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า เทคโนบางมด ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี   จนจบเป็นวิศวกร ไฟฟ้า

ที่บางมดช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ อาจารย์มีรับจ๊อบเดินสายไฟตามตึก   ก็เลยติดไปรับจ๊อบด้วย ทำให้ไม่ได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดเลย  งานรับจ๊อบได้ค่าแรงวันละ 700 บาท  พอมีรายได้เป็นของตัวเองก็แทบไม่ได้ขอเงินทางบ้านใช้ เป็นการฝึกทำงานตั้งแต่สมัยเรียน   เรียนจบคณะวิศวะไฟฟ้า  เอกด้านสื่อสาร  ในยุคนั้นจะเน้นเรียนเรื่องระบบสายอากาศ ระบบการสื่อสารไร้สาย  โทรศัพท์มือถือเริ่มเข้าสู่ประเทศไทย

ตอนเรียนจบ ก็มีบริษัท 3bb  กับ ais มาช็อปปิ้งนักศึกษาไปแทบหมดคณะ  นศ.ผู้ชายได้เข้าทำงานบริษัทใหญ่  ส่วนผู้หญิงบริษัทอยากให้ไปเป็นเซลส์ทุกคนได้งานง่ายมากพี่อารีย์ไม่อยากเป็นเซลส์  เลยรองานอยู่ช่วงหนึ่ง  ต่อมาการสื่อสารแห่งประเทศไทย มีการทดสอบเพื่อเข้าทำงาน  พี่อารีย์สอบผ่าน ได้ทำงาน แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะรู้สึกว่างานไม่ตรงสายเลยไปสมัครไปทำงานกับบริษัทเทเลคอมเอเซีย ซึ่งเป็นบริษัทแนวเทคโนโลยีการสื่อสาร  ดูแลโครงข่ายโทรศัพท์บ้าน  ได้เป็นคนมอนิเตอร์สายสัญญาณ  จนมีโอกาสใหม่เข้ามาอีกครั้ง  มีคนชวนไปทำงานกับบริษัทดีแทคซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ

IMG_3785.JPG

ที่ดีแทค เริ่มดูแลเกี่ยวกับซอร์ฟแวร์  เริ่มมีมือถือที่ต้องเขียนโปรแกรม  เริ่มมีเทคโนโลยีเสียงรอสาย มีระบบ sms  mms และ application หัวหน้าเลยชวนออกมาตั้งบริษัท แล้วเขียนซอร์ฟแวร์ส่งดีแทค  เลยได้เปิดบริษัทซอร์ฟแวร์เต็มรูปแบบ โดยที่งานหลักบริษัทก็จะทำ applcation ที่ทำงานบนโทรศัพท์มือถือ  แถมบริษัทยังได้งานดูแลระบบ back office ของค่ายมือถืออีกด้วย หน้าที่โดยตรงของพี่อารีย์คือ system analist ดูฝ่ายขาย รับบรีฟลูกค้า เขียนสเป็ค ทำราคา  ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่รายได้บริษัทดีมาก และช่วงนี้เองก็ได้ไปเรียนปริญญาโทด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มเติมความรู้ด้านซอร์ฟแวร์

ทำงานให้ดีแทคอยู่ 10ปี ทั้งบริษัทมีลูกค้าหลักแค่ดีแทค เติบโตไปกับดีแทค   ตอนที่ดีแทคเปลี่ยนเจ้าของก็เกิดการเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่  งานที่เคยได้เริ่มน้อยลง   ดีแทคเริ่มหาบริษัทซอร์ฟแวร์รายอื่นมารับงาน  ทำให้รายได้ลดลงไปกว่า 50% สุดท้ายต้องลดขนาดบริษัท   ลดคนเหลือ 30%  กลายเป็นบริษัทเล็กๆ  พอจังหวะงานน้อยลงทำให้เริ่มมีเวลาว่าง  เลยได้มาลองทำงานกับบริษัทของแฟนเต็มเวลา ซึ่งเป็นบริษัทรับผลิตและติดตั้งเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรม ชื่อบริษัท Professional Service United. หรือ PSU

ตอนทำงานบริษัท PSU ที่เน้นงานติดตั้งเครื่องจักร  จากตอนแรกที่รู้สึกเชย ดูเลอะเทอะ  พอลงรายละเอียดกับธุรกิจเครื่องจักรแล้วรู้สึกว่า งานเครื่องจักรน่าจะง่ายกว่าซอร์ฟแวร์  เครื่องจักรไม่ซับซ้อน   บางเครื่องไม่มีหน้าจอก็ยังใช้งานกันได้ แทบไม่เคยเปลี่ยนเครื่อง ไม่ต้องปรับปรุงอะไรเลย  เลยรู้สึกน่าสนใจ  เพราะงานเครื่องจักรจะอยู่ได้นานมาก  ไม่เหมือนซอร์ฟแวร์โทรศัพท์ที่ต้องเปลี่ยนเร็วมาก  เขียนอะไรออกมาปีเดียวต้องปรับรุ่น หรืออาจต้องเขียนใหม่เลย   ดังนั้นงานเครื่องจักรง่ายกว่ามากในแง่ของการทำธุรกิจ

จุดเด่นของงานเครื่องจักรอีกแง่มุมหนึ่งคือ  ลูกค้าต้องรับส่งมอบงาน  การทำงานมีเดทไลน์ชัดเจน  เพราะโรงงานของต้องใช้  เครื่องจักรต้องเริ่มผลิต  ต่อให้มีความต้องการเพิ่มขึ้นแม้จะทำไม่ทันก็ยังต้องรับส่งมอบ  รับงานแล้วค่อยไปปรับปรุงได้   ไม่เหมือนซอร์ฟแวร์ถ้าต้องการฟีเจอร์เพิ่มแล้วทำไม่เสร็จ ก็เลื่อนส่งมอบ  ผลคือทำให้เก็บเงินไม่ตรงเวลา  และจะมีปัญหาการบริหารเงินในบริษัท

เมื่อคลุกคลีกับการสร้างและติดตั้งเครื่องจักรได้สักพักก็ตัดสินใจว่าน่าจะพัฒนาเครื่องจักรของตัวเองขึ้นมา  ไม่ควรทำงาน custom ตลอดไป เลยลองไปดูว่าสายการผลิตใช้เครื่องจักรอะไรบ้าง  ไปดูแต่ละโรงงานจะพบว่าใช้เครื่องจักรคล้ายๆกัน  ของต้องผ่านสายพานมาติดฉลาก  เรียงลงกล่อง  ยกกล่องไปวาง  ทุกที่ใช้คล้ายกันหมด  ถ้าออกแบบเครื่องที่ใช้ในหลายโรงงานได้ ก็จะมีโอกาสขายให้กับทุกโรงงาน

ดูไลน์แพ็คของแล้วพบว่าทำง่ายกว่าระบบอื่น  เพราะเครื่องจักรไม่ซับซ้อน  ไม่เหมือนไลน์ผลิตที่จะมีเรื่องความสะอาด โรงงานของกินของใช้กับร่างกาย ต้องได้รับมาตรฐานหลายอย่างในการผลิต  เครื่องจักรในไลน์ผลิตต้องมีความเฉพาะทาง ซึ่งยากกว่า  แต่ไลน์แพ็คมันไม่ต้องสะอาดมาก ไม่อันตราย  ไม่มีมาตรฐานอะไรควบคุม  เลยเริ่มโฟกัสที่ระบบนี้ 

พอลูกค้าเริ่มใช้หุ่นยนต์ ทำให้สามารถลดกำลังคนได้ เพราะคนเป็นปัญหาใหญ่ของโรงงาน  งานที่เคยใช้5 คนเพื่อผลิตสินค้าหนึ่งหมื่นชิ้น  พอใช้หุ่นยนต์ ไม่ต้องใช้ถึง 5 คนแต่กำลังการผลิตได้ห้าหมื่นชิ้น  เพิ่ม productivity ได้หลายเท่า  จุดนี้เป็นจุดที่หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรเข้ามาแก้ไขให้ได้  โรงงานที่มีกำลังซื้อจะซื้อหุ่นยนต์แน่นอน

PSU เริ่มพัฒนางานเครื่องจักรและหุ่นยนต์โดยการเอาความรู้ซอร์ฟแวร์มาเพิ่มลูกเล่นให้เครื่องจักร  จากปุ่มควบคุมทื่อๆ ก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอทัชสกรีน  เปลี่ยนระบบมอนิเตอร์ที่เวลามีปัญหาจะแสดงสถานะหลอดไฟที่ดูเข้าใจยากให้เป็นระบบรายงานปัญหาเป็นข้อความ  แสดงผลเป็นภาพส่วนที่ติดขัดขึ้นมาเลย  สิ่งเหล่านี้คนทำงานหน้างานจะชอบมากเพราะเข้าใจง่าย แก้ปัญหาได้เร็ว แถมหัวหน้างานก็ชอบด้วยเพราะลูกน้องแก้ไขเองได้ ไม่ต้องตามหัวหน้า

ต่อมาก็เริ่มสร้างเครื่องติดสติ๊กเกอร์มาทำตลาด  เดิมทีเครื่องติดสติ๊กเกอร์ที่โรงงานมีใช้จะเป็นเครื่องจากญี่ปุ่นและไต้หวัน  แต่ PSU สร้างเครื่องติดสติ๊กเกอร์ พร้อมหน้าจอควบคุมและแสดงผลต่างๆ รวมถึงมอนิเตอร์ทุกอย่างบนหน้าจอ  แสดงเป็นภาษาไทยหรือภาษาที่ลูกค้าต้องการ หากเครื่องมีปัญหาคนใช้เครื่องจะรู้ว่าเครื่องติดขัดและต้องแก้ไขเบื้องต้นอย่างไร  เครื่องติดสติ๊กเกอร์ขายได้เพราะใช้งานง่าย ที่สำคัญราคาไม่แพงเท่าของต่างประเทศ  ลูกค้าชอบในคุณภาพที่ดี บริการเร็ว  มีบริการซัพพอร์ตภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของโรงงานชอบ  เพราะที่ผ่านมาโรงงานจะเจอแต่เครื่องจักรต่างประเทศที่ขายผ่านดีลเลอร์  ดีลเลอร์มักดูแลไม่เป็น  เสียเวลาติดต่อซ่อมนาน  แต่เครื่องไทย  สร้างและดูแลโดยคนไทย ติดต่อได้เร็วคุยรู้เรื่อง ราคาเริ่มต้นของ PSU สองแสนแต่สามารถตีตลาดเครื่องจากต่างประเทศราคาห้าแสนได้สบายมาก

ต่อมา PSU เริ่มทำเครื่องแพ็คของขนาดใหญ่  เครื่องต่างประเทศราคาสิบล้าน  เครื่องไทยของ PSU ทำได้ในงบ 3 ล้าน  ลูกค้ากล้าซื้อเพราะไว้ใจว่าทำงานได้  จากผลงานที่ผ่านมา PSU พิสูจน์มาแล้วว่าเครื่องติดสติ๊กเกอร์ทำงานได้ดี บริการดี   เครื่องจักรระบบที่ใหญ่ขึ้นก็เลยมีโอกาสได้นำเสนอ

PSU สร้างชื่อเสียงมาหลายปี ทำให้ค่อยๆได้รับความน่าเชื่อถือ และเกิดการบอกต่อในแวดวงโรงงานอุตสาหกรรม  PSU เริ่มขายเครื่องให้โรงงานฝรั่ง และ ญี่ปุ่น  โดยการสร้างความไว้วางใจจากการใช้เครื่องเล็กๆ  และค่อยๆนำเสนอเครื่องขนาดใหญ่ขึ้น  ทำให้โรงงานต่างชาติกล้าตัดสินใจลงทุนสูงขึ้นกับเครื่องจักรที่สร้างโดยคนไทย

โอกาสใหญ่เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ  PSU ได้รับงานจาก CP  ทำหุ่นยนต์แพ็คของมูลค่า 19 ล้าน  เป็นงานหุ่นยนต์ตัวแรก   จากที่เคยขายเครื่องติดสติ๊กเกอร์ให้มาก่อน  เครื่องจาก PSU ทำราคาต่ำกว่าราคาฝรั่ง 5 ล้าน  ลูกค้าประหยัดเยอะมาก  หลังจากส่งมอบแล้ว ทำให้ PSU มีโรงงานอ้างอิงและสามารถขยายลูกค้าหุ่นยนต์มาได้เรื่อยๆ

หุ่นยนต์ของ PSU มีจุดเด่น 3 อย่าง

1   PSU เป็นผู้ผลิต  ไม่ใช่ผู้นำเข้าซื้อมาขายไป  การผลิตเองทำให้ออกแบบเครื่องให้เหมาะกับลักษณะงานลูกค้าได้  และใช้งานง่าย

2  ทีมเอนจิเนียร์ที่เป็นของ PSU ทำเองทุกชิ้นส่วน ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าดูแลเครื่องได้ ซ่อมบำรุงได้ทุกชิ้น มีความรวดเร็วในการบริการ

3  PSU สร้างชิ้นงานของตัวเองทุกชิ้น  ทำให้อะไหล่ทุกชิ้นถูกผลิตขึ้นมาอย่างแม่นยำ  การประกอบอย่างปราณีตทำให้ เครื่องจักรเสถียร ทนทานมาก

ถ้าเป็นเครื่องจักรที่ต้องนำเข้าจะต้องรออะไหล่หลายวันเมื่อมีปัญหา  ผลคือเครื่องต้องหยุดทำงานยาวนาน  แต่เครื่องของ PSU  ผลิตอะไหล่ได้ทันที  ภายใน24 ชม. สามารถเริ่มซ่อมได้เลย  ทำให้ไม่ต้องหยุดเครื่องจักรนานเกินไป  ส่วนอะไหล่ไฟฟ้าที่ต้องใช้ ก็จะเลือกใช้ยี่ห้อที่ดีมีชื่อเสียง เน้นความทนทาน โชว์ยี่ห้ออะไหล่ ยี่ห้อเซ็นเซอร์  ลูกค้าสามารถซื้ออะไหล่เองเพื่อเปลี่ยนแบบเร่งด่วนได้เลย 

ส่วนที่ยากที่สุดในธุรกิจผลิตเครื่องจักรและหุ่นยนต์ คือ การใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างของเครื่อง  หน้าตาภายนอกเครื่องจักรอาจจะดูเหมือนกัน แต่เวลาทำงาน เครื่องที่ออกแบบปราณีต ชิ้นส่วนทุกชิ้นจะถูกสร้างขึ้นอย่างแม่นยำ สามารถทำงานได้ดีกว่า ทนกว่า  เครื่องจากจีนแม้จะถูก แต่เครื่องของ PSU ก็ยังขายได้  เพราะเครื่องราคาถูก มักมีอาการสั่น  ทำให้การติดสติ๊กเกอร์ไม่แม่น  หรือติดไม่ตรง  ขณะที่เครื่องของ PSU ไม่สั่น  เพราะการประกอบที่แม่นยำมากจะทำให้เครื่องจักรอยู่ในสภาพดี  เมื่อประกอบแล้วก็ทดลองรัน 24 ชม. เพื่อดูประสิทธิภาพ ดูความนิ่ง ดูว่าไม่สั่น ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบก่อนส่งมอบ 

ทุกวันนี้ PSU ยังคงหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องจักร  มีชิ้นส่วนหลายอย่างที่ต้องมีมาตรฐาน ต้องหาวิธีเชื่อมต่อสารพัดมาตรฐานให้ทำงานร่วมกันได้   เช่นเครื่องเคสแพ็คเกอร์ ต้องไปทำงานต่อจากเครื่องบรรจุ  การทำงานให้ต่อเนื่องต้องใช้การเชื่อมต่อที่ออกแบบอย่างเหมาะสม  สินค้าที่ผ่านจากหน่วยแรก ไปหน่วยที่สองจะต้องไม่ล้ม ไม่เสียหาย ไม่ทำลายชิ้นงาน  เป็นการอินทิเกรตเครื่องของ PSU ไปเชื่อมกับเครื่องเดิมที่มีอยู่ เพื่อให้สายพานการผลิตไหลต่อเนื่อง

PSU ยังใช้ความรู้ทางคอมพิวเตอร์มากกว่าคู่แข่ง พัฒนาระบบออนไลน์มอนิเตอร์ให้ลูกค้าด้วย  เช่นลูกค้าเปิดโรงงานใหม่ที่ต่างประเทศ   ทีม PSU สามารถออนไลน์ไปแก้ไขปัญหาได้ตลอดเวลา  มีระบบ alarm ที่จะแจ้งเตือน มีคำอธิบายเบื้องต้นให้แก้ไขเองได้  การมอนิเตอร์ละเอียดทำให้ระบบไม่เสียนานเกินไป สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้เอง มีระบบการนับชั่วโมงการทำงานครบ 6000 ชั่วโมงก็ต้องแจ้งตรวจสอบเพื่อเมนเทนแนนซ์  จะได้แก้ไขเปลี่ยนอะไหล่ก่อนพัง

ผู้ประกอบการหรือโรงงานมักจะลงทุนกับหุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติเมื่อต้องเริ่มสายการผลิตใหม่  ส่วนถ้าโรงงานไหนมีระบบเก่าอยู่  ก็จะคิดเรื่องความคุ้มทุน  ระบบเดิมจะใช้คนกี่คนสำหรับไลน์การผลิตนี้ ต้องทำงานกี่กะ ถึงจะได้เป้า   เช่น ออเดอร์ 30000 ชิ้น ใช้คนทำจะต้องใช้กี่คน แรงงานกี่กะ  เช่น 3กะ กะละ 4 คน   แล้วก็เอาค่าแรงคนมาเทียบกับเครื่องจักร  ถ้าทำงานไป 3 ปีทางเลือกไหนจะประหยัดกว่ากัน  ส่วนมากถ้าคำนวณออกมาแล้ว คำตอบคือจะต้องใช้เครื่องจักรเสมอ

แนวโน้มการใช้หุ่นยนต์จะพัฒนาไปสู่จุดที่เป็นเป็นระบบ automation เกือบเต็มรูปแบบ เครื่องจักรจะมาแทนแรงงานคน   เมื่อ 5 ปีก่อน สัดส่วนการใช้เครื่องจักร 32%  แรงงานคน 68%     ปัจจุบัน ใช้เครื่องจักรมากขึ้น เป็น 48% แรงงานคนเหลือ 52% ในห้าปีข้างหน้าเครื่องจักรจะแซงแรงงานคน  ต่อไปอาจจะเป็น เครื่องจักร 70% แรงงานคน 30% ซึ่งเป็นจริงแล้วในแถบยุโรป  ยกตัวอย่างโรงงานผลิตน้ำเกลือ ในประเทศไทยใช้คน 1000 คน แต่เมืองนอกใช้เครื่องจักรทดแทนทำให้เหลือแรงงานคนแค่ 20 คน  เท่านั้น แต่ได้ผลผลิตเท่ากัน

อารีย์ สวัสดิ์มูน

บริษัท โปรเฟสชั่นแนล เซอร์วิส ยูไนเต็ด จำกัด

ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติ และระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ

https://www.psu.co.th/

aree@psu.co.th

ทนายความคบไว้ไม่มีเรื่อง

ทนายความผู้มากความสามารถเป็นที่ปรึกษาทางกฏหมายให้กับนักธุรกิจต่างชาติจำนวนมาก  ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่มาคู่กับความรู้ทางกฏหมายทำให้มีชาวต่างชาติต่อคิวรอใช้บริการอย่างต่อเนื่อง  หลักการของทนายความที่ป้องกันทุกปัญหาให้ลูกค้าด้วยวิธีแสนฉลาดคือทำให้ถูกกฏหมายตั้งแต่ต้น  ไม่ต้องแกว่งเท้าหาเรื่อง ไม่ต้องทะเลาะกับใคร  ลูกค้าบอกต่อจึงเยอะขึ้นเรื่อยๆ

IMG_9446

ทนายพงศ์เป็นคนกรุงเทพ เกิดและเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพมาตลอด  เรียนมัธยมปลายได้ปีเดียวก็สอบเทียบม.6 ผ่าน ทำให้สามารถสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุ 15   โดยสาขาที่เลือกเรียนคือคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ด้วยความมุ่งมั่นว่าอยากจะมีอาชีพที่ดูท้าทายเหมือนในภาพยนต์ที่เคยดูตอนเด็ก   การเรียนเร็วและข้ามชั้นไปหลายชั้นทำให้เรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุ  18    จากนั้นก็ไปสอบใบอนุญาตทนายความ  แม้จะสอบผ่านแล้วแต่ยังขึ้นทะเบียนทนายความไม่ได้ เพราะกฏหมายกำหนดไว้ว่าใบอนุญาติทนายความผู้ขอต้องมีอายุ 20 ปี ขึ้นไป  เมื่อยังไม่สามารถประกอบอาชีพทนายความได้ ก็เลยตัดสินใจไปสมัครทหาร  เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ตามกฏหมายให้ครบถ้วน  และเมื่อสิ้นสุดงานทหาร ก็ออกมาเป็นทนายความได้พอดี

IMG_9192

เริ่มงานเป็นลูกจ้างบริษัท  รับงานผ่านบริษัท  รับเงินเดือนบ้าง รับเป็นค้าจ้างบ้าง  รับงานส่งต่อบ้าง  ช่วงแรกของชีวิตการทำงานชอบทำคดีอาญา เพราะติดภาพความเท่ห์มาจากการดูหนัง   การได้ช่วยจำเลยออกมาจากคุกเป็นความรู้สึกที่ท้าทายความสามารถ   แม้ว่าการทำคดีอาญาจะสนุก  แต่ความจริงของการทำงานคือ ส่วนมากแล้วคนก่อคดีอาญามักจะเกิดจากการไม่มีเงิน  พอไม่มีเงินก็เลยทำผิดกฏหมาย  เช่น ลักทรัพย์  ทำร้ายร่างกาย โกงเงิน  ประกอบกับรายได้จากการเป็นพนักงานของบริษัทก็ไม่ค่อยพอใช้   เพื่อนฝูงหลายคนที่เติบโตมาพร้อมกันเริ่มขยายธุรกิจ เริ่มทำงานตำแหน่งใหญ่โตขึ้น     ประกอบกับลูกค้าคดีอาญาส่วนมากจะไม่ค่อยมีเงินจ่ายค่าทำคดี  สุดท้ายก็ทำต่อไม่ไหวจึงเริ่มมองหาแนวทางคดีลักษณะอื่น  อย่างเช่นคดีเกี่ยวกับธุรกิจ  เริ่มรับทำคดีแพ่งและอาญาคู่กัน  สะสมประสบการณ์เป็นลูกน้องในสำนักงานกฏหมายอยู่ประมาณ 10 ปี  พอมีความชำนาญเพิ่มขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น  ก็เริ่มมีลูกค้าส่วนตัว   ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกมาเปิดสำนักงานกฏหมายของตัวเอง 

IMG_9273

การเปิดสำนักงานกฏหมายจะมีความไม่มั่นคงในช่วงต้น  เพราะงานทนายความไม่ได้มีคนมาจ้างงานง่ายๆ   การเปิดสำนักงานแบบไม่มีคนรู้จักก็มักจะอยู่ไม่นาน ธุรกิจไปไม่รอด   เพื่อนร่วมอาชีพหลายคนเปิดสำนักงานแล้วแล้วปิดภายในเวลาไม่กี่ปี  คนที่จริงจังและมีจุดเด่นจริงๆเท่านั้นถึงจะอยู่รอด 

ส่วนมาก คดีแนวธุรกิจมักจะเป็นลูกค้าที่มีรายได้สูง  คนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยทำผิดอาญา   อย่างมากก็เป็นเรื่องภาษี  คดีส่วนมากก็จะเป็นคดีแพ่ง  พอทำคดีแพ่งบ่อยขึ้นอัตราการว่าความชนะก็เพิ่มขึ้น   ทำให้มีลูกค้านักธุรกิจเยอะขึ้น  และเกือบทุกคนก็จะมาจากการบอกต่อ  ปัญหาในคดีแพ่งมักจะเกิดขึ้นกับธุรกิจตลอดเวลา จบคดีแรกก็มีคดีถัดไปรออยู่  เมื่อคุ้นเคยกันกับลูกค้า  ลูกค้ากลุ่มธุรกิจนี้จะเริ่มปรึกษาก่อนดำเนินกิจการหรือก่อนจะต้องตัดสินใจทางธุรกิจ  ผลก็คือ  การให้คำปรึกษาก่อนช่วยทำให้ป้องกันผลเสียหายจากการเป็นคดี  ซึ่งลูกค้าก็ชอบผลลัพธ์แบบนี้ งานที่ปรึกษาก็เริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นงานหลักของสำนักงานไปเลย

IMG_9307

ในประเทศไทยคนเรียนกฏหมายประมาณ 80 เปอร์เซ็นจะไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ  ทนายพงศ์เลยเลือกจุดที่ทักษะภาษาอังกฤษของทนายไทยจะไม่ดีนัก ทำการฝึกฝนพัฒนาเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษให้ชำนาญมากขึ้นเพื่อรองรับตลาดต่างชาติ  และจากประสบการณ์กว่าสิบปีพบว่าถ้าทำงานที่ปรึกษารัดกุมตั้งแต่ต้น ชาวต่างชาติจะไม่มีคดีในไทยเลย  การป้องกันการทำผิดในไทยจะทำให้ชาวต่างชาติมีธุรกิจที่ยั่งยืน  เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งตัวเจ้าของธุรกิจและคู่ค้าคนไทย   ประเทศไทยก็ได้ประโยชน์ด้วย

ส่วนสำนักงานกฏหมายขนาดใหญ่จะไปเข้าหาลูกค้าระดับบนหรือระดับนานาชาติซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะสูงไปเลย    ลูกค้าต่างชาติที่ยังเป็นธุรกิจเล็กหรือ sme ก็เลยจำเป็นต้องหาสำนักงานกฏหมายขนาดเล็ก  และสำนักงานเล็กๆทั่วไปก็ไม่ค่อยชำนาญภาษาอังกฤษ ทนายพงศ์จึงได้ทำงานให้ต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาศให้ทำงานกับต่างชาติได้จริง และต่างชาติก็ชอบที่จะใช้บริการหรือติดต่อกับทนายโดยตรง เนื่องจากไม่ได้อยากติดต่อผ่านล่าม เพราะบางทีการแปลความหมายทางด้านกฏหมายอาจจะไม่ชัดเจน ล่ามไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องกฏหมาย ทนายที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้จึงได้รับโอกาสเหล่านี้

IMG_9500

คดีที่ทำบ่อยก็มักเป็นคดีพิพาทระหว่างต่างชาติด้วยกันแต่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในไทย  ทนายพงศ์ก็ดำเนินการให้  งานแนวนี้ไม่ซับซ้อน  ทนายก็ทำตามรูปแบบที่ต้องทำ ถูกผิดก็ว่าไปตามหลักฐาน เอกสาร ส่วนมากก็จะเจรจาไกล่เกลี่ยปิดคดีได้ ไม่ต้องเสียเวลาฟ้องร้อง ไม่ต้องขึ้นศาล หากจะให้แนะนำนักธุรกิจต่างชาติก็จะขอบอกว่า ให้ทนายดูแลทางกฏหมายก่อนจะเกิดปัญหา  เป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักธุรกิจต่างชาติในไทย เพราะการไม่มีเรื่องนั้นดีที่สุด

อีกหลักการหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำงานกับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติก็คือ ทนายความจะพยายามไม่เป็นข่าว  ไม่ออกสื่อ เพราะถ้าเกิดเป็นข่าว หรือ มีการจับตาจากสังคม จะทำให้คดีหรืองานที่ทำอยู่โดนจับตามอง อาจมีปัญหา  และลูกความก็ไม่สบายใจที่ทนายของเขาเป็นคนดัง  เนื่องจากส่วนมากลูกค้าธุรกิจมักจะมีปัญหาพิพาท เพราะลูกความก็กลัวจะโดนขุดคุ้ย

IMG_9455

งานที่ทำบ่อยในช่วงปีนี้คือการเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างชาติ พอปรึกษาก็จะมีงาน ขอวิซ่า ขอเวิร์คเพอมิทที่ต้องช่วยบริการตามมา หลังวิกฤตโควิดชาวต่างชาติเริ่มมองหาการเปิดบริษัทในประเทศไทยมากขึ้น การมองหาทนายในก้าวแรกของธุรกิจในไทยถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็น

ปัจจุบัน ทนายพงศ์ เปิดเพจให้ความรู้สำหรับชาวต่างชาติที่จะตั้งใจมาทำธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงความรู้ทางกฏหมายทั่วไปที่ประชาชนอาจเข้าใจผิดก็จะรวบรวมมาเล่าเรื่องในเพจ อย่างเช่น

IMG_9507

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขับรถ    ถ้าเราขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ มีคนมาชน แล้วเราไม่มีใบขับขี่  หลายคนจะบอกว่าไม่มีใบขับขี่จะเป็นฝ่ายผิด  ความจริงแล้ว ต้องแยกข้อหา  ขับรถไม่มีใบขับขี่ผิด 1ข้อหา  แต่ขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะเป็นอีกข้อหา  

การที่ชาวต่างชาติจะทำธุรกิจในประเทศไทย ควรเริ่มต้นด้วยการทำทุกอย่างถูกกฏหมาย ควรได้รับการแนะนำอย่างตรงไปตรงมาโดยนักกฏหมาย เพราะการทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานระยะยาว

พงศ์ประพันธ์ มินสาคร
Pongprapan Minsakorn
Bangkok Law Firm
Mobile +66 86 604 2330
bangkok.lawfirm@hotmail.com

หนังสือการตลาดแบบบอกต่อ

IMG_3651

หลังจากที่ได้รู้จักการขยายธุรกิจด้วยเครื่องมือการตลาดชนิดหนึ่งที่ใช้คำว่า การตลาดแบบบอกต่อ หรือ Referral Marketing  ผมก็เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองไปทีละน้อย  จากเดิมที่เคยออกจากบ้านไปหางาน ไปสู่การแย่งชิง หาลูกค้า ขายของ พยายามทุกอย่างเพื่อที่จะได้งาน  และพบว่า เราได้งานบ้าง ไม่ได้งานบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่กับความรู้สึกตลอดเวลาคือ เราโดดเดี่ยว เหมือนต่อสู้อยู่กับทุกคน

เราเคยออกจากบ้านไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าด้วยการพกนามบัตรไปเต็มกล่อง คิดว่าจะไปหาลูกค้าจากกลุ่มเพื่อนเก่า  แต่พอไปถึงงานเรากลับรู้สึกอยากพูดคุย ถามไถ่ เราอยากรู้เรื่องราวชีวิตของเพื่อน เราอยากเล่าเรื่องของเราให้เพื่อนฟังบ้าง เราไม่ได้อยากมาขายของ  และตัดสินใจเก็บนามบัตรไว้ ไม่หยิบแจกถ้าไม่มีใครขอ อยู่ในงานเลี้ยงรุ่นด้วยความรู้สึกอยากอยู่กับเพื่อนเก่า อยากนั่งคุยให้นานๆ  ผ่านไปสักสองชั่วโมงก็ค้นพบว่า เราไม่ได้ต้องการเป็นเซลส์ตลอดเวลา เราอยากมีเวลาสนุกสนานกับคนอื่นๆ  เวลาที่ไม่ใช่การของาน  ไม่ใช่การแย่งงาน ไม่ใช่การขอร้องให้เขาซื้อเรา

ความรู้ทางการตลาดแบบบอกต่อ เปลี่ยนให้เรารู้จักกับคำว่าให้  เปลี่ยนประโยคคำถามจากซื้อของเราไหม เป็น ธุรกิจคุณเป็นอย่างไร  เรารู้จักคนอาชีพนี้ เขาจะมีประโยชน์กับคุณไหม  คุณอยากให้เราช่วยอะไรบ้าง  ทุกคำถามไม่ได้ออกมาแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่มันค่อยๆหลุดออกจากปากเราในการพูดคุยอย่างมีมารยาทและเชื่อว่าถูกกาลเทศะ  มันดูเหมือนเราเป็นคนผู้กว้างขวาง แต่จริงๆเราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่บังเอิญรู้จักคนอีกหลายอาชีพ  และบางอาชีพในแวดวงของเราก็มีประโยชน์กับเพื่อนเก่า  บางคนที่กำลังมีปัญหาบางอย่าง เราก็อาจจะได้แนะนำให้คนที่เรารู้จักอีกกลุ่มหนึ่งมาช่วยเพื่อนเราได้

ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ไปกับการทำงานโดยใช้การตลาดแบบบอกต่อ  ได้เรียนรู้การตั้งเป้าหมาย การแบ่งงาน  การทำงานร่วมกันเป็นทีม และที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ไม่เคยได้จากการทำงานตัวคนเดียวก็คือการได้หัดไว้วางใจในตัวเพื่อนร่วมทีม  เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่พอได้สัมผัส ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เราจะต้องไว้ใจกัน มันเกิดผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม และทำให้เราเรียนรู้ที่จะไว้ใจลูกน้อง  และสุดท้ายมันส่งผลดีต่อบริษัท ส่งผลดีต่อธุรกิจของเราเอง

หนังสือเล่มนี้ค่อยๆเขียนจากประสบการณ์การเป็นคนทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องน่ารู้ประจำสัปดาห์ให้กับเพื่อนร่วมงาน ทุกเรื่องที่ผมเคยเล่าก็จะถูกเรียบเรียงเป็นตัวหนังสือไว้ก่อน  ทำความเข้าใจแล้วค่อยๆเล่าให้เพื่อนฟัง  ตัวหนังสือเหล่านี้เลยถูกรวบรวมอีกครั้งให้เป็นเล่ม  เพื่อใช้ส่งต่อประสบการณ์ของการใช้การตลาดแบบบอกต่อในการทำธุรกิจ 

นอกจากความรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนในการแก้ปัญหาแล้ว  เรายังได้เรียนรู้ขั้นตอนพิเศษที่หาเรียนได้ยาก นั่นคือการคิดแบบ Growth mindset หรือการมุ่งแสวงหาการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ  หาปัจจัยที่พาธุรกิจของเราให้ก้าวผ่านวิกฤต  การวิเคราะห์หาแนวทางเพื่อเติบโตเป็นสิ่งที่ถูกฝึกฝนให้คิดและทำตลอดเวลา  ผลลัพธ์คือการพัฒนาตัวเอง  ผลลัพธ์ต่อเนื่องคือสร้างการเจริญเติบโตให้กับธุรกิจของเราเองและช่วยให้ธุรกิจของเพื่อนเติบโตไปด้วย 

อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับจากแหล่งความรู้ในเล่มนี้ก็คือ รู้แล้วอยากออกไปทำงาน  รู้แล้วอยากออกไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำไว้ไม่ดีนัก  เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากความรู้ประเภทชี้ช่องรวย อ่านวันนี้พรุ่งนี้สำเร็จ  หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แนวนั้น  เมื่ออ่านจบแล้วเราทุกคนยังคงต้องทำงานหนัก เพื่อพัฒนาคุณภาพงาน พัฒนาธุรกิจของเราเองต่อไป

สำหรับนักอ่าน  ท่านสามารถเลือกอ่านเนื้อหาในเล่มได้ตามสะดวก ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ จะข้ามไปยังบทที่สนใจเลยก็ได้  เพราะทุกบทเป็นบทที่จบในตัว เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เข้าใจการตลาดแบบบอกต่อและใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจของท่านได้

หากสนใจต้องการอ่านเป็นเล่ม ฝากชื่อ อีเมล ที่อยู่จัดส่งและเบอร์โทร ไว้ในแบบฟอร์มนี้ครับ

การสร้างยอดขายด้วย Funnel

ยอดขายคือลมหายใจของธุรกิจ  ไม่ว่าเราจะอยู่ในยุคใดก็ตามเรายังคงต้องการยอดขายเสมอ  การค้าในยุคก่อนจะมีอินเทอเน็ตเราก็อยากได้ยอดขาย  ตอนมีอินเทอเน็ตแล้วเราก็ยังอยากได้ยอดขาย  ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์คลูกค้านั่งอยู่กับบ้านก็ช็อปปิ้งได้เราก็ยังอยากได้ยอดขาย  การได้มาซึ่งยอดขายคือผลลัพธ์สุดท้ายที่ทุกธุรกิจต้องการ

ทุกธุรกิจต้องพยายามสร้างระบบการขายให้มีประสิทธิภาพ  การหาลูกค้าใหม่  การโฆษณา  และการทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อจะเป็นกระบวนการที่มีโครงสร้างที่คล้ายกันในเกือบทุกธุรกิจ  แต่จะเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยไปตามสินค้าและบริการที่เราขาย  

เครื่องมือแสนคลาสิคก็คือ Marketing Funnel ซึ่งถ้าจะแปลเป็นไทยก็คือเส้นทางการขาย แปลซ้ำอีกทีก็คือ กระบวนการทางการตลาดเพื่อทำให้ลูกค้าซื้อสินค้า  แปลซ้ำอีกที…. พอแล้ว  เข้าเรื่องเลย

เมื่อเริ่มลงมือกับคำว่า สร้างยอดขาย หรือ ทำการตลาด  ทีมการตลาดจะรวมรวบข้อมูลความต้องการของบริษัท  และโดยมากจะพบว่า การตลาดไม่ว่าจะอ๊อฟไลน์แบบดั้งเดิม หรือ แบบออนไลน์ในเว็บรวมถึงในโซเชียลเน็ตเวิร์ค จะมีคำถามและคำตอบที่ต้องการจริงๆของเจ้าของบริษัทไม่ใช่คำว่า มีคนกดไลค์เท่าไหร่  มีคนติดตามกี่คน  เนื้อหาไหนเป็นที่ต้องการของตลาด ภาพไหนคนชอบ  ภาพไหนคนไม่ชอบ  แต่สิ่งที่อยากรู้จริงๆคือ ขายได้เท่าไหร่   ลงทุนไปห้าหมื่นทำยอดขายถึง 1 ล้านบาทไหม  นี่คือคำถามและคำตอบที่ต้องการที่แท้จริง

การที่เจ้าของสินค้าจะอยากได้ยอดขายคือธรรมชาติของธุรกิจ  การมองหายอดขายมันไม่ใช่ความผิดปกติ และทุกกิจกรรมก็ต้องนำไปสู่ยอดขายเสมอ  มันจึงเป็นหน้าที่โดยตรงที่ทีมการตลาดจะต้องทำให้เกิดยอดขายด้วยเครื่องมือต่างๆที่มี  ทีมงานจะต้องนั่งออกแบบว่าการได้มาซึ่งยอดขายของธุรกิจนั้นๆจะได้มาอย่างไร  แต่ละธุรกิจจะมีวิธีการไม่เหมือนกัน  บางธุรกิจสามารถปิดการขายบนออนไลน์ได้ 100%  แต่บางธุรกิจก็ต้องมาปิดการขายในแบบพบหน้าหรืออ๊อฟไลน์  

ธุรกิจที่ปิดการขายบนออนไลน์ได้ 100% ก็จะวัดผลได้ตรงไปตรงมา ลงเงินเท่าไหร่ ได้ยอดขายเท่าไหร่  แบบนี้ชัดเจน  แต่คำถามคือ แล้วธุรกิจที่ปิดการขายบนออนไลน์ไม่ได้  จะวัดผลกันอย่างไร  อย่างเช่นการขายบ้าน ขายคอนโด หรือแม้แต่ธุรกิจขายรถยนต์

ธุรกิจพร็อพเพอตี้อย่างโครงการบ้านหรือคอนโด จะปิดการขายบนออนไลน์ไม่ได้เลย เพราะไม่มีใครหยิบคอนโดใส่ตระกร้าแล้วจ่ายเงิน  ทีมการตลาดต้องไปวิเคราะห์ว่ากระบวนการซื้อคอนโดสักห้องหนึ่งจะมีเส้นทางอย่างไร หรือมี Sale Funnel อย่างไร  โดยธุรกิจคอนโดจะมีวิธีการปิดการขายคือ ลูกค้าต้องเดินมาที่โครงการ มาดูห้องตัวอย่างหรือห้องจริง  แวะมาจับ มาสัมผัส มาคุยรายละเอียด คุยเรื่องสินเชื่อ แล้วถึงจะจ่ายเงินจอง ดังนั้นยอดขายของคอนโดจะเกิดที่หน้าโครงการ หรือเกิดที่เซลอ๊อฟฟิศเสมอ

กระบวนการทางการตลาดก็ต้องไปคิดว่า ทำยังไงให้ลูกค้าเดินเข้าโครงการ  การตลาดต้องถอยมาดูว่าทำอย่างไรถึงจะพาคนมาได้  ต้องทำงานประสานกับเซลส์อย่างไร  การที่คนหนึ่งคนจะแวะมาพบกับเซลส์ จะมีที่มามีเส้นทางอย่างไร

IMG_8398

สมมุตมีคนอยากได้คอนโดห้องใหม่  เขาจะมีความสนใจหรือความต้องการอยู่แล้ว  คนกลุ่มนี้จะถูกเรียกความสนใจได้ทางเฟสบุ๊ค  ระบบโฆษณาจะนำเสนอข้อมูลไปสู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา  ข้อมูลภาพและข้อความโฆษณาจะชักชวนให้ลงทะเบียน  หรือไม่ก็ชวนให้ส่งอินบ๊อกซ์  โครงการคอนโดส่วนมากจะใช้วิธีเรียกคนเข้ามาเพื่อรับส่วนลด เช่น ลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลด3แสนบาท   ระบบการยิงโฆษณาจะทำให้เขาได้เห็นข้อมูลของโครงการ  หากเขาคลิกหรือเกิดการทักแชตเมื่อใดก็ตามในทางการตลาดจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า lead  คนทัก1คนจะเรียกเป็น1 lead

เมื่อเกิด lead แล้ว ทาง admin ของเพจหรือของโครงการ จะต้องเป็นคนพูดคุยกับ lead นั้น  สอบถามให้รู้ว่า อยากได้ห้องอะไรแบบไหน  และเจ้าหน้าที่โครงการจะทำการขอข้อมูลเบอร์โทรศัพท์หรือไม่ก็ line   เมื่อ leadให้เบอร์หรือ line แล้ว ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าได้ 1 contact 

หลังจากได้มา 1 contact ทางทีมการตลาดจะส่งรายชื่อนี้ให้ฝ่ายขายหรือเซลส์  เซลส์จะมีหน้าที่โทรหาเพื่อนัดหมายให้เข้ามายังโครงการ  เมื่อโทรคุยเพื่อนัดหมายแล้ว  จะนับเป็น 1 appointment 

หลังจากนัดได้แล้ว  เมื่อเขาเดินทางมาแสดงตัวที่โครงการก็จะเรียกว่าเป็น 1 visitor  

เมื่อ visitor มาที่โครงการแล้วสุดท้ายได้ตัดสินใจจอง ก็จะกลายเป็นขั้นตอนปิดการขาย หรือ  close sale

ขั้นตอนโดยรวมก็จะมี 5 ขั้นตอนดังนี้

1 lead 

2 contact 

3 appointment 

4 visite site 

5 close sale

กระบวนการทั้ง 5 ขั้นตอนนี้เรียกว่า Sale Pipeline ถ้าเราเก็บสถิติอย่างละเอียด เราจะรู้ conversion rate หรืออัตราการเปลี่ยนผ่านของแต่ละขั้นตอนเป็นกี่เปอร์เซ็น  เมื่อครบเวลาประมาณ 1 เดือนเราก็จะเห็นแนวโน้มหรือนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ หากปิดการขายได้น้อยเราจะเห็นได้ทันทีว่าจุดไหนบ้างทำให้ลูกค้าหลุดมือไป นั่นคือขั้นตอนที่ conversion rate ต่ำคือจุดที่มีปัญหา 

กรณีคนทักมาเยอะ  แต่มีการเก็บข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ได้น้อย  อาจจะเป็นเพราะกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง ก็ต้องย้อนไปดูแล้วว่าเพราะอะไร  เช่นมีคนทักมา 500 แต่ให้เบอร์ 5 คน ซึ่งน้อยเกินไป ทีมการตลาดก็ต้องไปปรับเนื้อหา ปรับกลุ่มลูกค้า ยิงโพสท์ให้ตรงเป้าหมาย

ถ้าคนทักมาเยอะ 500 คน  และให้เบอร์มา 250 คน  อัตราส่วนนี้ปกติ  แต่พอโทรกลับไปแล้วลูกค้าไม่คุยต่อ จะหมายความว่ามีปัญหาบางอย่าง  อาจจะแปลว่า การตลาดต้องไปดูว่า เนื้อหาที่โพสท์ หรือ content สื่อสารชัดเจนไหม หรือดูว่ากลุ่มเป้าหมายแม่นยำไหม ต้องลองปรับเนื้อหา และลองปรับกลุ่มเป้าหมายให้แคบหรือเฉพาะทางมากขึ้น

ถ้าพูดคุยต่อได้เยอะ  แต่เดินทางมาถึงโครงการน้อย ส่วนหนึ่งอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องทำเล  แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของการพูดคุยระหว่างเซลส์กับลูกค้า ต้องไปดูว่าน้องเซลส์คุยกับลูกค้าอย่างไร จีบกันอย่างไรทำไมลูกค้าไม่มา   หาเหตุผลให้ได้ว่าไม่มาเพราะอะไร  เช่น ลูกค้าติดงานหรือเปล่า  หรือลูกค้าให้โทรกลับไปนัดใหม่ใช่ไหม หรือ ถ้าติดงานให้นัดเสาร์อาทิตย์แทนวันธรรมดา

ต่อมา ถ้าลูกค้าเดินทางมาถึงโครงการแล้วแต่ปิดการขายไม่ได้ แสดงว่าเราต้องดู เรื่องราคาหรือของแถม โปรโมชั่นต่างๆอาจจะเร้าใจไม่พอ ต้องหาวิธีปรับ แถม หรือลด เพื่อทำให้ถูกใจจนนำไปสู่การซื้อ

เราต้องดูข้อมูลแต่ละขั้นตอนของ Sale Pipeline จะทำให้รู้ว่าลูกค้าหลุดในขั้นตอนไหน แล้วก็ตามไปแก้ให้ตรงจุด  หากเราไม่แยกขั้นตอนให้ชัดเจนเราก็จะไม่รู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร  ถ้าแก้มั่วๆไร้แนวทางก็จะกลายเป็นเกาไม่ถูกที่คัน อาจมีผลทำให้ยอดขายน้อยลงไปอีก

สมมุตว่าวิเคราะห์ออกมาแล้วเป็นปัญหาฝั่งการขาย  ทีมการตลาดจะรายงานผลให้เจ้าของโครงการรู้ว่า ขั้นตอนเซลส์เป็นปัญหา ให้เจ้าของโครงการแก้ไขด้วยการ ลงไปนั่งฟังว่าเซลส์คุยดีไหม  หงุดหงิดใส่ลูกค้าหรือเปล่า  เจ้าของต้องสอนให้เซลส์จีบลูกค้าให้ได้ 

การตรวจวัด การรายงานผล ควรจะทำตลอดทุกเดือน ควรมอนิเตอร์ทุกสัปดาห์  แล้วสรุปผลเป็นรายงานทีละ 2หรือ4สัปดาห์  เพื่อให้ค่อยๆปรับ  ถ้าทุกจุดได้รับการแก้ไข  ปัญหาจะหมดไป conversion rate ของแต่ละขั้นตอนจะสูงขึ้น สุดท้ายยอดขายก็จะเข้าเป้า

Sale Pipeline หรือ Funnel แบบนี้ใช้ได้กับธุรกิจเกือบทุกประเภท  บางธุรกิจจะมีจำนวนขั้นตอนน้อยกว่านี้  จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามรายละเอียดของธุรกิจ  ทีมการตลาดต้องวิเคราะห์พฤติกรรมให้เป็น ออกแบบขั้นตอนใน Sale Pipeline ให้เรียบร้อยตั้งแต่เริ่มต้นก่อนจะทำกิจกรรมทางการตลาด และต้องทำก่อนจะลงเงินโฆษณา

ตัวอย่าง Sale Pipeline ของธุรกิจอาหารเสริมและเครื่องสำอางค์  จะมี 3 ขั้นตอน

1 lead  

เปลี่ยนคนไม่รู้จักให้มองเห็น ทำให้ทักให้ได้  ในชั้น contact อาจไม่ต้องทำ

2 follow up

คุยต่อ ส่งข้อมูลเพิ่มเติม

3 close

ปิดการขาย

ในขั้นตอนที่1 เวลายิงแคมเปญออกไป หากคนทักเข้ามาเยอะ พอให้ข้อมูลเสร็จแล้วไม่คุยต่อ แสดงว่าสื่อหรือ content อาจมีปัญหา  ต้องแก้ไขที่ content หรือไม่ก็แก้ไขกลุ่มเป้าหมายที่จะยิงโฆษณา

ในขั้นตอนที่ 2 การ follow ต้องไปแตกย่อยต่อ  ว่าจะ follow ด้วยอะไร  เช่นอาจจะ follow ด้วยรีวิว หรือไม่ก็ด้วย promotion  ซึ่งหากลูกค้าถามถึงโปรโมชั่นนั่นคือการต่อราคาในยุคอินเทอเน็ต แปลว่าให้เราเลือกลดราคา หรือ แถมของ ให้ลูกค้าเพื่อปิดการขายได้เลย แต่ส่วนมากควรจะเป็นการแถม หรือให้สิทธิ์พิเศษอื่นๆ 

การทำธุรกิจขายอะไรสักอย่างหนึ่ง สิ่งสำคัญที่จะต้องไม่ลืมก็คือหัวใจ 4 อย่างในการทำการตลาดคือ 

1 สินค้าดี

2 แบรนด์ดัง

3 การตลาดโดน

4 ทีมขายเด่น

ข้อ 1 มีความสำคัญมาก  เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ  และยิ่งเรามีสินค้าที่ดีจะยิ่งทำงานขั้นตอนการขายง่าย ทีมขายจะมีความมั่นใจมาก พลังการขายจะออกมาจากตัวตนของเซลส์อย่างล้นเหลือ  และมันจะทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงคุณภาพสินค้าได้อย่างง่ายดาย

ข้อ 2  แบรนด์ดังเป็นผลมาจากการใช้พลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ทำให้แบรนด์อยู่ใกล้ตัวลูกค้า เหมือนเป็นเพื่อนในแวดวงของลูกค้า  ภาพลักษณ์ สื่อต่างๆที่ทำขึ้นแสดงในเพจ ในเว็บ ควรจะทำให้ดูเป็นเพื่อน มีความเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย  เพราะลูกค้าจะซื้อสินค้าด้วยความรู้สึกคุ้นเคย ซึ่งมันมักจะเริ่มจากความรู้สึกว่าแบรนด์เป็นเหมือนเพื่อนนั่นเอง

ข้อ 3 การตลาดโดน หมายถึง สื่อสารถูกกลุ่ม  ไม่ได้สื่อสารไปถึงทุกคน  เพราะสินค้า 1 ชนิดไม่ได้เหมาะกับทุกคน  สินค้าที่ดีจะเหมาะกับแค่บางคนเท่านั้น  ถ้าบอกว่าจะขายทุกคนระวังไม่ได้ขายเลย  เราเรียกว่าการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง

ข้อ 4 ทีมขายเด่น  ให้นึกถึงเวลาเรามีธุรกิจออฟไลน์วิธีขายแบบดั้งเดิม  ทีมขายคือเด็กหน้าร้าน เซลส์  เวลาจะให้เซลส์ขายของ  เราจะบอกเซลส์ว่า  เตรียมตัวไปพบลูกค้าให้ดี เตรียมพรีเซ้นเทชั่นหรือสไลด์ให้พร้อม  แต่งตัวดีๆ เสื้อผ้าหน้าผมต้องเป๊ะก่อนจะออกไปหาลูกค้า  กรณีนี้ทีมขายคือคน  ส่วนทีมขายบนออนไลน์คือ หน้าเว็บ ig Line ก็คือ frontend ของโซเชียลเน็ตเวิร์คนั่นเอง  เราต้องออกแบบเว็บ หรือเพจ ให้ดูสวยงาม  ดูดี  เราต้องแต่งหน้าทาปากฝั่งออนไลน์ให้เต็มที่  อย่างโพสเฟสบุ๊คก็ควรอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ  ถ้าไม่ได้อัพเดทนานให้ทำทันที  บางคนอัพเดทไว้3ปีที่แล้ว  ลองคิดดูว่าถ้าปล่อยให้ลูกค้าพบกับโพสท์อายุ 3 ปี ลูกค้าจะรู้สึกอย่างไร

Sale Funnel คือเครื่องมือสำหรับการตลาด ช่วยพัฒนาการขายให้เข้าเป้า  ทุกทีมในบริษัทควรใช้เวลาออกแบบทำความเข้าใจร่วมกันทั้งทีมการตลาด ทีมขาย และเจ้าของบริษัท  เมื่อพบว่าลูกค้าหลุดหายไปจากขั้นตอนใดเราก็จะสามารถเข้าไปแก้ไขให้ตรงจุด เพื่อทำให้ยอดขายเป็นไปตามเป้านั่นเอง

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265

https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

ไปสอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์

การทำธุรกิจในยุคใหม่จะเกี่ยวข้องกับอินเทอเน็ตมากขึ้น  การวางแผนการตลาดที่เข้าถึงผู้คนในฝั่งออนไลน์ก็มากขึ้นอย่างชัดเจน  ทุกธุรกิจเริ่มต้องเรียนรู้คำว่าดิจิทัลมาเก็ตติ้ง  และทุกธุรกิจก็มีความพยายามหาลูกค้าใหม่จากออนไลน์เป็นหลัก  จนคนทำมาเก็ตติ้งต้องไปเรียนรู้วิธีการที่จะทำการโฆษณาบนอินเทอเน็ตให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน  นั่นก็เป็นที่มาของการเรียนรู้ที่จะใช้งานเฟสบุ๊คแบบผู้รู้จริงของผู้มีอาชีพเป็นดิจิทัลเอเจนซี่  

เฟสบุ๊คเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์คตัวหนึ่งที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก  ในปี 2022 เชื่อว่ามียอดสมาชิกกว่า 2.9 พันล้านคน  ซึ่งเกินกว่า 50% ของจำนวนประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอเน็ตได้  นั่นหมายความว่า  ถ้าพบคน 10 คน จะมีคนใช้เฟสบุ๊คอย่างน้อย 5 คน  และยิ่งถ้าเป็นในประเทศไทยเราก็จะยิ่งเจอคนใช้เฟสบุ๊คมากถึง 8 คนเสียด้วย  เพราะในไทยนิยมใช้เฟสบุ๊คมาก

การจะทำธุรกิจบนเฟสบุ๊คจะต้องศึกษาวิธีการยิงโฆษณาในระบบของเฟสบุ๊ค หากจะศึกษาเฟสบุ๊คอย่างจริงจังให้เข้าใจที่สุด  จะต้องไปเรียนรู้จากเฟสบุ๊คโดยตรง  และเมื่อผ่านการเรียนรู้แล้วก็ให้สอบเพื่อเอาใบประกาศหรือใบรับรองจากเฟสบุ๊คให้ได้เลย  เพื่อเป็นการเช็คความรู้ว่าเราเข้าใจเครื่องมือตัวนี้แค่ไหน  นั่นคือที่มาของการไปเรียนและไปสอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์

Untitled-design-3

เฟสบุ๊คบลูพริ๊นท์ คือศูนย์ e-learning ชนิดหนึ่งที่ทำออกมาเพื่อให้ความรู้คนที่ใช้เฟสบุ๊คทำการตลาด  เนื้อหาในนี้จะเป็นเนื้อหาที่ครบเครื่องที่สุดสำหรับการใช้เฟสบุ๊คช่วยทำธุรกิจ  เช่นสร้างการรับรู้ของธุรกิจเราในชุมชน  การเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า   การสอนความรู้เหล่านี้เป็นของฟรี  เราสามารถเข้าไปเรียนฟรี  และสามารถเรียนซ้ำได้อย่างอิสระ 

แหล่งความรู้ตรงนี้ผู้คนไม่ค่อยรู้  แต่จะรู้กันดีในแวดวงของนักการตลาดที่พยายามพัฒนาตัวเอง  เนื้อหาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยมีคนไทยเข้าไปเรียน  เจมส์ได้รับคำแนะนำให้ลองเรียนดูเพื่อเพิ่มเติมความรู้ที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน  แม้ภาษาอังกฤษเป็นอุปสรรคในการเรียน  แต่ก็ไม่ได้ยากเกินพยายาม  เพราะอินเทอเน็ตก็มีเครื่องมือช่วยแปลให้อยู่แล้ว  เรียนไป แปลไป ทำความเข้าใจไป  เรียนซ้ำได้ด้วย จนในที่สุดก็ได้ความรู้ที่ดีและสามารถสอบผ่านจนได้รับใบรับรองหรือ certificate  เรียกว่า เจมส์สอบเฟสบุ๊คบลูพริ้นท์ผ่าน  นับว่าเป็นนักการตลาดรุ่นแรกๆที่ได้รับใบรับรองของเฟสบุ๊ค

เทรนเนอร์ด้านมาเก็ตติ้งหลายคนเริ่มมาเรียนแล้วสอบเพื่อรับใบรับรอง  บางคนเป็นพนักงานเฟสบุ๊คแล้วก็ลาออกมาเรียนแล้วเปลี่ยนอาชีพเป็นเทรนเนอร์ก็มี  บางคนเปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชาเพื่อสอบบลูพริ๊นท์ก็มี  เจมส์เข้าสอบเมื่อปี 2018  โดยในยุคนั้นมี 3 หัวข้อ  เจมส์เลือก 2 หัวข้อคือ buying กับ planning   ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วในยุคนั้น แต่ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นหลายอย่างเช่น community manager, digital marketing associate,  marketing science professional, creative stratergy professional, marketing developer, community manager, smart ar creator  การสอบบลูพริ้นท์นี้ต้องสอบใหม่ทุกปี  เพราะเครื่องมือในเฟสบุ๊คมีการปรับปรุงตลอดเวลา  ข้อดีที่ได้เรียนและสอบบลูพริ๊นท์คือได้องค์ความรู้ของเฟสบุ๊คที่แท้จริง  ถูกต้อง 100%  ไม่ใช่ความรู้ที่เขาเล่าว่า  เพราะเป็นโรงเรียนที่ตั้งโดยเฟสบุ๊คโดยตรง

เมื่อได้เป็นนักการตลาดที่เข้าใจเครื่องมืออย่างแท้จริงแล้ว  ก็เริ่มลุยงานเอเจนซี่ช่วยลูกค้ายิงโฆษณา  และ ก็เปิดสอนผู้ประกอบการให้เข้าใจการยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คอย่างถูกต้อง  ในห้องเรียนมักมีคำถามจากนักเรียนชอบถามว่ามีเทคนิคอะไรล้ำๆแนะนำไหม  เพราะคนไทยชอบทางลัด  ชอบวาร์ป  ชอบคำตอบ  เจมส์จะแนะนำตลอดเวลาว่าให้เรียนพื้นฐานให้แน่นก่อน  เพราะถ้าพื้นฐานดี เดี๋ยวท่าแอดวานซ์จะเกิดขึ้นเอง  การมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง  พื้นฐานที่ถูกต้อง ทำให้เรามีความพร้อมจะไปทำงาน  และงานของเจมส์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา  ก็ใช้ความรู้พื้นฐานตลอด  เพราะการใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้ว

ทุกวันนี้เราจะได้ยินคำบ่นจากพ่อค้าแม่ค้าในเฟสบุ๊คตลอดเวลาว่า โดนปิดกั้นการมองเห็น  คนเห็นโฆษณาของเราน้อยลง ยิงโฆษณาแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เท่าเดิม  หรือต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม   เรื่องนี้เป็นคำถามที่พบบ่อยในคลาสที่เจมส์สอน  และเพื่อนรอบตัวก็มีคำถามแนวนี้บ่อยครั้ง  เหตุการณ์เหล่านี้มีคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมา  คือ ในช่วง 3 ปีของการระบาดของโควิด บรรดาธุรกิจที่รอดตายจากวิกฤตก็เป็นเพราะธุรกิจเหล่านั้นเข้าสู่ออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ  ซึ่งออนไลน์ในประเทศไทยแทบจะหมายถึงเฟสบุ๊คเกือบ100% พอทุกคนเข้ามาพร้อมกับการยิงโฆษณา ก็กลายเป็นการแย่งลูกค้าก้อนเดียวกัน  จำนวนผู้ใช้ในระบบมีเท่าเดิม แต่ร้านค้ามีมากขึ้นทันทีทันใด  ดังนั้นใครจ่ายแพงก็จะทำให้ลูกค้าเห็นได้มากกว่า  มันเป็นไปตามหลักการของดีมานซัพพลาย ผู้เล่นเดิมจึงได้ผลลัพธ์น้อยลงเมื่อทำอย่างเดิม

517795-PIULUB-718

แม้ว่าจะมีเสียงบ่นเสียงด่าเรื่องผลลัพธ์จากการยิงโฆษณาว่าได้น้อยลง  แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรายังต้องใช้เฟสบุ๊คต่อไป เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ในประเทศอยู่ในเฟสบุ๊ค  สิ่งที่เราทำได้ก็คือเราต้องปรับตัวเพื่อใช้งานเฟสบุ๊คให้เกิดผลลัพธ์ให้ได้  แม้จะมีคำบ่นไปทั่ว  แต่ก็ยังมีคนที่ขายของได้  ยิงโฆษณาแล้วเข้าเป้าอยู่  มันยังมีโอกาสอยู่ และโอกาสเป็นของคนที่เข้าใจวิธีการ  ยกตัวอย่างโครงการคอนโดที่เจมส์ช่วยลูกค้าปิดการขายได้  2 โครงการ  เฟสบุ๊คช่วยให้เจ้าของขายได้ 100 ห้อง  ขายหมดตึก  ใช้เงินยิงโฆษณาแค่ล้านบาททั้งโครงการ แต่ยอดขาย 300 ล้าน  แบบนี้คุ้มสุดคุ้ม  เราเรียกว่าเรายังชนะตลาดได้หากเราเข้าใจเครื่องมือ

คนที่จะใช้เฟสบุ๊คทำธุรกิจ ควรจะเรียนรู้อย่างจริงจัง หรือเรียนจากบลูพริ้นท์แล้วไปสอบบลูพริ๊นท์ด้วยเลยยิ่งดี  น้องรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการดิจิทัลเอเจนซี่  ก็ควรสอบ  เพราะเราจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเครื่องมืออย่างแท้จริง  และทำให้เราใช้เป็นโพรไฟล์สำหรับสมัครงานได้ด้วย  เราจะสังเกตได้  เมื่อก่อนวงการสมัครงานมักจะถามว่าจบอะไร  จบที่ไหน  แต่เดี๋ยวนี้ จะมีคำถามว่า ยิงโฆษณาเฟสบุ๊คเป็นไหม  ดังนั้นการสอบบลูปริ๊นท์ผ่านจะทำให้เราได้งานแน่นอน เพราะเป็นบุคลากรที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทแน่ๆ

การเป็นดิจิทัลเอเจนซี่ ทำตลาดออนไลน์ ยิงโฆษณา  การเป็นคนรับจ้างให้ความช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ยิ่งต้องมีพื้นฐานที่ถูกต้อง  ต้องช่วยเหลือลูกค้าอย่างถูกวิธี  ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นคนที่ประสบปัญหาเสมอ ลูกค้ายิงโฆษณาไม่เป็นเราก็ต้องยิงให้เป็น   ลูกค้ายิงโฆษณาไม่เข้าเป้าหรือยิงแล้วแพง  พอมาปรึกษา อะไรที่เคยแพงก็ต้องทำให้ถูกลง  ยิงไม่เข้าก็ต้องทำให้เข้าเป้า นี่คือหน้าที่โดยตรงของดิจิทัลเอเจนซี่  แม้แต่บางครั้งเจ้าของธุรกิจเผลอทำผิดกฏเฟสบุ๊ค  โดนปิดเพจบริษัท  ดิจิทัลเอเจนซี่ก็ควรแนะนำวิธีแก้ไข และแนะนำให้ลูกค้าเรียนรู้เรื่องกติกาของเฟสบุ๊คเพื่อป้องกันปัญหาการโดนปิดหรือโดนแบน  เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของธุรกิจ

DSCF1959Phuket2011Full

ยกตัวอย่างร้านอาหารยี่ห้อ a b และ c  ทั้ง 3 บริษัทลงเงินค่าโฆษณาเท่ากัน  โดยมีลูกค้าเป้าหมาย1ล้านคนเหมือนกัน  เป้าหมายจะเห็นโฆษณาวันละ1ครั้ง  แต่อาจจะคนละเวลา  แต่ธรรมชาติของเฟสบุ๊คบอกว่า  เห็นครั้งเดียวไม่ดี  คนจะซื้อของอาจจะต้องทำให้เห็นบ่อย  ดังนั้นใครยิงโฆษณาเพิ่มหรือถี่กว่าเดิม  ใครเพิ่มเงินเข้าไปก็จะทำให้ลูกค้าเห็นวันละ 2 ครั้งได้   การมองเห็นสินค้าบ่อยๆก็จะเปลี่ยนเป็นการซื้อได้มากขึ้นนั่นเอง มันเลยกลายเป็นใครทุ่มเทมากกว่าคนนั้นได้ผลมากกว่า มันเป็นกฏธรรมชาติในทุกอย่าง

พอเรายิงโฆษณามาระยะหนึ่งก็จะพบได้ว่า ทุกแคมเปญโฆษณาไม่มีสูตรสำเร็จ  และไม่มีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด   มันมีแต่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าไปเรื่อยๆ  การไม่มีสูตรสำเร็จก็หมายถึง  แม้เราเคยทำได้กับโปรดักส์ตัวหนึ่ง  เราจะใช้วิธีเดียวกันกับโปรดักส์ที่2  ก็ไม่การันตีว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน  การยิงโฆษณาต้องทดลองทำไปเรื่อยๆ  ค่อยๆปรับเงื่อนไข ผลตอบรับมันถึงจะค่อยๆดีขึ้น  ผู้สอนที่เชี่ยวชาญการโฆษณาเฟสบุ๊คเกือบทุกคนจะมีคำแนะนำว่า “ทดสอบ  ทดสอบ ทดสอบ…..”  ทำไปเรื่อยๆ  แล้วผลลัพธ์จะค่อยๆดีขึ้นเอง

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265

https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

moserv นักออกแบบซอร์ฟแวร์

ในยุคปัจจุบันที่โลกเราเต็มไปด้วยระบบ AI และ โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ครอบครองพื้นที่ในอินเทอเน็ตไปเกือบทั้งหมด  ชีวิตคนเราต้องเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเสมอ  ภาคธุรกิจจะทำงานไม่ได้เลยถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์และ application นั่นทำให้อาชีพหนึ่งเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก และเป็นอาชีพที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาล  และแทบจะเป็นหัวใจของการทำงานยุคอินเทอเน็ตไปแล้ว นั่นคืออาชีพโปรแกรมเมอร์

โมเซิร์ฟเป็นบริษัทผลิตซอร์ฟแวร์ในหลายแพล็ตฟอร์ม  ซอร์ฟแวร์คือสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจ  หากเรามีซอร์ฟแวร์ที่ดีก็จะเหมือนเรามีเครื่องมือที่ดีในการแข่งขัน  และการได้มาซึ่งซอร์ฟแวร์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับธุรกิจของแต่ละคนก็จะต้องเป็นซอร์ฟแวร์ที่ถูกพัฒนาจากคนที่ทำงานเขียนโปรแกรมด้วยความเข้าใจและออกแบบอย่างปราณีต

โม หรือ ชิตสกุณ  คือเจ้าของบริษัทโมเซิร์ฟ  เริ่มต้นชีวิตการเขียนโปรแกรมจากการสังเกตและตั้งคำถามที่น่าสนใจ  นั่นคือตอนที่ได้หัดใช้คอมพิวเตอร์และได้รู้จักซอร์ฟแวร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เวิร์ดราชวิถี ซึ่งเป็นซอร์ฟแวร์ที่ใช้พิมพ์ข้อความ พิมพ์บทความต่างๆแทนเครื่องพิมพ์ดีดและดินสอปากกา  ก่อนที่โลกเราจะมีไมโครซอร์ฟเวิร์ดด้วยซ้ำ  โมรู้สึกว่า เวิร์ดราชวิถีเป็นซอร์ฟแวร์ที่น่าทึ่งและต่อมาก็ได้รูัว่าซอร์ฟแวร์ตัวนี้ถูกพัฒนาโดยคุณหมอ  ความสงสัยที่เกิดขึ้นตามมาคือมันจะเป็นยังไงถ้าซอร์ฟแวร์จะถูกพัฒนาด้วยคนที่ศึกษาและเรียนมาเป็นโปรแกรมเมอร์อย่างจริงจัง  จะทำให้ซอร์ฟแวร์ที่สร้างขึ้นมีความยอดเยี่ยมได้อีกแค่ไหน  นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยโมเริ่มเรียนเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม  เริ่มด้วยภาษาปาสคาล  ก่อนหน้านี้ก็ทดลองเขียนโปรแกรมมาบ้าง สมัยปี 1 ก็เห็นเพื่อนเล่นเกมส์  แคร็กข้อมูลเกมส์เพื่อแก้ไข โกงเกมส์บ้าง เอาชนะเกมส์บ้าง  เลยจับกลุ่มกันเล่นเกมส์   ในกลุ่มมีการแบ่งกันรับผิดชอบ  ตกลงกันว่าต่างคนต่างศึกษา  โมรับผิดชอบภาษาปาสคาล  เพื่อนคนอื่นไปศึกษาภาษาซี  แล้วนำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน

สมัยวินโดส์ 95  อาจารย์เห็นว่าโมมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ที่พอจะแบ่งปันกับผู้อื่นได้  อาจารย์เลยแนะนำให้ลองไปเขียนบทความลงหนังสือซีเอ็ดซึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนแนววิชาการเข้มข้น  โมก็ได้เขียนอยู่ 3 บทความ  การได้ลองเขียนแล้วได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือ  เกิดเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจทำให้เริ่มมีความมั่นใจในเรื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น  และเริ่มเห็นความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้  เพราะได้พบกับบทความเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย  และขณะเดียวกันก็มีบางคนที่เขียนแล้วเข้าใจยาก  ทำให้รู้ว่าศิลปะการถ่ายทอดมีความสำคัญมากเช่นกัน  ก่อนจะเรียนจบก็ทำโปรเจ๊คเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมมัลติทาสก์  ทำโปรแกรมหมุนรูปเลขาคณิตเพื่อสร้างภาพในจอ ความรู้จากเทคนิคนี้ในหลายปีต่อมาก็ถูกนำไปใช้สร้างระบบการ Report หรือทำเป็น Data visualizer

สมัยเรียนยังได้ทำโปรเจ๊ค Computer Telephony โดยเน้นไปที่ระบบที่เรียกว่า interactive voice response หรือ ivr  เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถรับสายโทรศัพท์ได้อัตโนมัติ พร้อมมีเสียงตอบรับเพื่อให้ผู้ใช้เลือกกดเบอร์โทรติดต่อภายใน  และได้เอาไปใช้กับระบบโทรศัพท์ของมหาวิทยาลัย  ซอร์ฟแวร์ ivr ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส (Dos)  ในยุคสมัยนั้นการเขียนระบบมัลติทาสก์หรือระบบที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกันบนดอส เป็นเรื่องยากมาก  เพราะเครื่องมือ (Software Development Kit) ส่วนมากที่จะช่วยเหลือผู้พัฒนาจะมีให้ใช้แค่บนระบบปฏิบัติการวินโดส์เป็นส่วนใหญ่  นั่นทำให้การพัฒนาซอร์ฟแวร์บนดอส เป็นงานที่โดดเดี่ยว ไร้ผู้ช่วย แต่ก็ทำจนสำเร็จ ได้ใช้งาน

รุ่นพี่ได้มาเห็นฝีมือเลยชวนไปทำงาน บริษัท BEL  ไปทำงานเขียนโปรแกรมบนระบบปฏิบัติการยูนิกส์ (unix) เลยได้เขียนโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์ควบคุมระบบการทำงานต่างๆของเครื่องจักร เช่น ระบบจ่ายไฟ  ควบคุมเครื่องรดน้ำต้นไม้  ควบคุมแขนกลของหุ่นยนต์  โปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องจักร CNC  การเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เหล่านี้เป็นประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียนที่มีประโยชน์มาก  เพราะได้เรียนรู้ภาษาระดับที่เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง  นั่นทำให้ทักษะการเขียนโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นไปอีก

เรียนจบก็สมัครงานกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งหนึ่ง  ได้รับตำแหน่งการทำงานเป็น system analyst   เป็นงานโปรแกรมเมอร์ชนิดหนึ่ง  ยุคนั้นเป็นบริษัทในเครือสามารถคอร์เปอเรชั่น  บริษัทนี้เช่าเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากรายใหญ่ แล้วแบ่งแบนด์วิดธ์มาให้บริการลูกค้าในยี่ห้อ hello1800  โดยในการให้บริการ  เวลาคิดค่าบริการเจ้าของเครือข่ายจะส่งข้อมูลการใช้งานให้ hello แล้วโมต้องนำไฟล์เหล่านั้นมาคิดคำนวนค่าใช้จ่าย  หรือแม้แต่เวลามีปัญหาที่ตำรวจต้องการข้อมูลการโทร ก็ต้องเขียนโปรแกรมไปดึงบันทึกการใช้งานของเบอร์เป้าหมายมาให้ตำรวจ  นั่นคือการได้เริ่มทำงานกับ database ขนาดใหญ่นั่นเอง  

เรื่องน่าสนใจก็คือการคิดค่าโทรต้องดึงข้อมูลจากล็อกไฟล์แล้วมาคิดเงิน  ซอร์ฟแวร์คิดเงินตัวนี้เป็นของรัสเซีย ค่าซอร์ฟแวร์ 1 ล้านเหรียญ และทุกค่ายมือถือก็จำเป็นต้องใช้ซอร์ฟแวร์ตัวนี้  นั่นคือการจุดประกายว่าธุรกิจซอร์ฟแวร์น่าสนใจมาก

ทำงานอยู่สองปีก็มีบริษัทใหญ่มาเทคโอเวอร์  โมเลยถูกบริษัทแม่ดึงตัวไปอยู่อีกหน่วยงานหนึ่ง  ไปทำงานวงการประกันภัย  ตอนนี้ได้อยู่กับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมนั่นคือข้อมูลประกันภัยรถยนต์  ได้ทำระบบประมวลผล ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (mis)  ทำ report ต่างๆ  บริษัทประกันภัยแม้จะมีระบบอยู่แล้ว  แต่ก็ยังต้องการซอร์ฟแวร์เพิ่มเติม  โมเลยได้ทำงานกับฐานข้อมูลระดับโลกอย่าง Oracle  และ Db2  

ในเวลาต่อมาโมถูกชวนไปทำงานกับบริษัทให้บริการมือถือในสิงคโปร์ ด้วยลักษณะงานคือไปเช่าเครือข่ายท้องถิ่น แล้วนำมาให้บริการโทรศัพท์   ต้องทำการตลาดเอง  คิดค่าบริการเอง เก็บเงินเอง  ตอนไปทำงานระบบนี้ ก็ได้ทำระบบคิดเงิน (billing)  ระบบข้อความสั้น (sms alert system)  การได้เริ่มวางแผน เขียนโปรแกรมการทำงานทุกอย่างของธุรกิจสื่อสาร ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและเป็นต้นทุนที่สำคัญที่ทำให้ได้รับโอกาสที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา

จนวันที่กลับเมืองไทย และหางานทำในประเทศ ก็ได้งานในการดูแลเว็บวาไรตี้แห่งหนึ่ง  เหตุผลที่ได้งานก็เพราะมีประสบการณ์การทำงานต่างประเทศและมีทักษะการเขียนโปรแกรมระดับใหญ่ๆมาแล้ว  จากนั้นไม่นานก็ย้ายไปร่วมงานกับ Leonics

ที่ทำงานใหม่ให้พัฒนาระบบ Erp โดยเน้นไปที่ระบบมอนิเตอร์การทำงานของโซล่าฟาร์ม  ต้องแสดงผลสถานะ ตัวเลขและข้อมูลทุกชนิดที่ธุรกิจพลังงานอยากเห็น  การสร้างระบบการแสดงผลที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ใช้เครื่องมือเดิมที่เคยมี  ต้องพัฒนาโปรโตคอลการสื่อสารเองทุกอย่าง  ผลก็คือมีระบบการมอนิเตอร์ที่ทันสมัย  เป็นห้องวอร์รูมที่มีการแสดงผลระดับที่สวยงามเหมือนห้องควบคุมที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ต่างประเทศ 

มีการย้ายงานอีกครั้ง  ไปอยู่บริษัท  M touch เป็นบริษัทเกี่ยวกับระบบมือถือ  เนื่องจากบริษัทได้เห็นเรซูเม่ (Resume) จาก head hunter เลยอยากได้ตัวมาทำงาน  ตอนเข้าไปทำงาน ได้โชว์ผลงานที่เคยทำให้ดู  CTO ( Chief Technology Officer) ได้เห็นความยากของงานต่างๆและเข้าใจได้ว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  โมเริ่มงานในตำแหน่ง Software Engineer  ต้องเขียน Daily Report ทุกวัน  ตอนเข้าไปทดลองงานก็มีสัญญา 6 เดือน  เป็นตำแหน่ง senior บังเอิญมีจังหวะที่ต่างประเทศมีปัญหากับฐานข้อมูล  และโมทำงานแก้ปัญหาได้ โดยที่คนอื่นในทีมในบริษัททำไม่ได้   ทักษะการเขียนโปรแกรมติดต่อกับฐานข้อมูลกลายเป็นสิ่งที่แตกต่าง  คนอื่นทำงานครึ่งวันแล้วไม่จบ  แต่โมทำได้ภายใน 30 วินาที  เลยได้รับการยอมรับ และได้โปรโมท สุดท้ายได้ไปเป็น Regional ดูแล 3 ประเทศ  และได้ไปประจำอยู่ฮ่องกง  

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  โม  รู้วิธีบริหารธุรกิจหลายอย่าง และทำซอร์ฟแวร์ได้เกือบทุกอย่างในบริษัทเทคโนโลยี ทำให้ได้รับการสนับสนุนให้ออกมาเปิดบริษัท แม้จะมีความไม่กล้าไม่มั่นใจอยู่บ้างก็ตาม  จนในที่สุดก็เกิดเป็นบริษัทโมเซิร์ฟ  โดยโมบริหาร  เป็นบริษัทที่ให้บริการในการสร้างซอร์ฟแวร์ เริ่มต้นจากบริษัทที่มีโปรแกรมเมอร์คนเดียว  ปัจจุบันโมเซิร์ฟทำงานมีโปรแกรมเมอร์และพนักงานซัพพอร์ตรวม 20 คน  ที่นี่โมตั้งใจจะไม่ใช้คนเยอะ  เพราะงานซอร์ฟแวร์ใช้สมองมากกว่ากำลังคน  แม้คนจะไม่มากแต่โมเซิร์ฟก็สามารถเขียนซอร์ฟแวร์ให้ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้  รวมถึงสามารถออกแบบ Erp ให้เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าได้ด้วย  เพราะงานที่ทำคือประสบการณ์ตรงที่เคยผ่านมาแล้วทั้งหมด

โมเซิร์ฟได้รับความไว้วางใจจากธนาคารด้วย  โดยได้รับโปรเจ็คสร้างระบบ Telesale ซอร์ฟแวร์จะต้องรัดกุมและไม่ล่ม  มีกล้องวงจรปิดมอนิเตอร์ห้องทำงาน Telesale ตลอดเวลา  ก่อนจะเริ่มโปรเจ็คนี้จะต้องตอบแบบสอบถามจากธนาคารเป็นพันข้อ  เพื่อความมั่นใจว่ามีคุณภาพที่ตรงกับความต้องการ  เพราะธนาคารจะมีหน่วยงานควบคุมคุณภาพซอร์ฟแวร์โดยเฉพาะ และโมเซิร์ฟผ่านทุกเงื่อนไข

โมเซิร์ฟเชื่อว่าการเขียนซอร์ฟแวร์มีความสวยงามของมันอยู่  แต่คนทั่วไปมักตัดสินคนที่ความสำเร็จทางธุรกิจ  ไม่ได้สนใจในด้านของการพัฒนาซอร์ฟแวร์อย่างถูกต้องถูกทาง  วงการซอร์ฟแวร์มีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง  งานวิจัยซอร์ฟแวร์ไปไกลมาก ถ้าจะเทียบกับดาวพลูโตซอร์ฟแวร์โซเชียลเน็ตเวิร์คที่กำลังฮิตกันอยู่ถือว่าอยู่แค่บรรยากาศของโลกเท่านั้น  พลังของซอร์ฟแวร์ยังมีอีกมากรอเพียงเวลาที่จะนำออกมาใช้

อย่างเช่น ศาสตร์ของระบบ AI ก็เป็นการสร้างความฉลาดให้คอมพิวเตอร์ด้วยโครงสร้างวิธีคิดแบบมนุษย์  ปัจจุบันสามารถเขียนโปรแกรมให้คิดเหมือนคนได้แล้ว  สมมุติว่าถ้ามนุษย์เรามีความรู้ 100 อย่าง แล้วเอาสิ่งที่มีอยู่มาสร้างเป็นความรู้ใหม่  วิธีการนี้วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็ทำได้แล้ว  ในสายวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าคอมพิวเตอร์ฉลาดมาก ไม่มีอะไรที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้

มนุษย์อาจจะใช้เวลาทำโจทย์แก้ปัญหาบางอย่างประมาณ 1 ชั่วโมง  ส่วนคอมพิวเตอร์ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องฮาร์ดแวร์  คอมพิวเตอร์ก็สามารถแก้ปัญหานั้นได้ไม่ต่างกับคน แต่จะเร็วกว่ามากจนเหมือนเป็นความมหัศจรรย์

ปัจจุบัน โมเซิร์ฟ ชำนาญการสร้าง application ทั้งในเวอร์ชั่นบนระบบคอมพิวเตอร์และในระบบ mobile  รวมถึงสร้างระบบ Erp ที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้บริษัทไม่ต้องเสียเงินซื้อแพ็คเกจใหญ่ที่ไม่จำเป็น  และการทำงานกับ Erp เจ้าของธุรกิจควรจะได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนที่จะตัดสินใจเลือก  เพราะการการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พัฒนาและติดตั้งไปแล้วจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องเสียเวลาเรียนรู้และอบรมพนักงานกันใหม่  เวลาและทรัพยากรที่เคยทุ่มเทให้ระบบเก่าจะกลายเป็นสูญเปล่าเมื่อจะเปลี่ยน Erp   ดังนั้นการตัดสินใจในวันแรกบนความเข้าใจที่ถูกต้องโดยมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องซอร์ฟแวร์ให้คำปรึกษาจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด

ข้อมูลโดย

ชิตสกุณ ศุภศรี
Chitsakun Suphasri

https://th.moserv.co.th/home/

การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งต้องใช้ความรู้

ในชีวิตการทำงาน  เจมส์จะทำงานในบริษัทหลายแห่ง ทั้งแบบที่เป็นลูกน้อง และแบบที่เป็นเจ้าของ  แต่ละครั้งก็จะมีความคาดหวังในตอนต้น  และเมื่อดำเนินกิจการไปเรื่อยๆ  ก็จะเริ่มพบกับปัญหาที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น  อย่างเช่นการทำอีเว้น  ก็มีช่วงเวลาที่คึกคัก  และ ช่วงเวลาที่งานน้อยซึ่งมีหลายสาเหตุ  และทุกสาเหตุมันก็คือปัญหาที่ทำให้บริษัทเกิดผลกระทบ  และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง  

ช่วงการทำอีเว้นมีการพบปะผู้คนจำนวนมาก  และโชคดีที่เจมส์เป็นคนเรียนรู้เร็ว  ระหว่างที่อยู่กับออแกไนเซอร์ก็ได้เรียนรู้การทำธุรกิจทีวีไปด้วย  จนในที่สุดบริษัทก็ตัดสินใจรับงานผลิตรายการทีวี  โดยอาศัยคอนเน็คชั่นที่ผู้บริหารรู้จักกับบริษัทใหญ่ที่ซื้อเวลาในสถานีโทรทัศน์ไว้แล้ว  การผลิตรายการใหม่โดยบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นเรื่องที่เจ้าใหญ่จะต้องทำเป็นประจำ และบริษัทเล็กๆของเจมส์ก็นำเสนอโปรเจ๊คเพื่อขอทำรายการใหม่  และในที่สุดก็ได้รับโอกาส

Actor in front on the camera in an audition

รายการทอล์คโชว์รายการใหม่จึงได้เกิดขึ้นในการดูแลของทีมงานเจมส์  การเข้าสู่งานสาขาใหม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่อีกหลายอย่าง  การเป็นครีเอทีฟที่ระดมความคิดสร้างสรรค์ทำตัวอย่างสตอรี่บอร์ดไปของานนั้นเป็นสิ่งที่ทำผ่านแล้ว  การได้งานมาทำมันแปลว่าได้รับการยอมรับ  ได้รับความไว้วางใจ  เนื้อหาที่คิดเพื่อนำเสนอผ่านการคัดกรอง ปรับแต่งและออกแบบอย่างดีที่สุด  พอมาถึงโปรดักชั่นหรือการผลิต  มือใหม่อย่างเจมส์ก็จ้างทีมโปรดักชั่นเฮ้าส์มาช่วยกันทำ  มันคือการเรียนรู้อย่างไม่รู้ตัวเกี่ยวกับทีมงานโปรดักชั่น  ซึ่งในภายหลังเจมส์ก็หลงใหลการทำโปรดักชั่นมากขึ้นจนนำไปสู่การออกมาเปิดบริษัทเอง

รายการที่ต้องออกฉายทางทีวีเป็นประจำนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าท้ายมาก  การวางสคริปต์  การเช่าโรงถ่าย  การนัดหมายกับทีมแสง  ทีมเสียง การนัดหมายดาราแขกรับเชิญ การตัดต่อ   ทุกอย่างเป็นงานประจำสัปดาห์ที่หนักหนามากสำหรับคนประสบการณ์ระดับเริ่มต้น  การระดมคนดูเข้าโรงถ่ายเพื่อส่งเสียงเชียร์  การกำกับเสียงหัวเราะของคนดูก็เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเคยเห็น  แต่ก็ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละนิด  จนทำรายการให้ออกมาเป็นประจำได้

พอทำได้พักใหญ่จนสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในการผลิตรายการทีวีได้แล้วก็เริ่มนึกถึงรายการใหม่  มองหาเนื้อหาแนวอื่นที่น่าสนใจ  เพราะความอยากทำรายการที่เลือกเองเจมส์กับทีมงานบางส่วนจึงต้องออกมาเปิดบริษัทเอง  เป็นเจ้าของธุรกิจเอง  ลงทุนด้วยเงินตัวเอง  และผลิตงานที่คิดเอง  ย่างก้าวนี้สำคัญมาก ผลของการได้เรียนรู้เรื่องการผลิตรายการทีวีทำให้สร้างบริษัทของตัวเองได้  และโปรเจ๊คใหม่กับรายการตัวใหม่เจมส์เลือกทำแนวสารคดี  งานสารคดีทางดนตรีคือแพสชั่นที่ฝันอยากทำมาตั้งแต่เด็ก  เจมส์เป็นแฟนเพลงที่ซื้อเทปศิลปินที่ชอบ  ถ้ามีโอกาสก็จะต้องทำรายการเกี่ยวกับเพลงให้ได้   เจมส์บอกว่า อยากฝากรอยแผลไว้ในประวัติศาสตร์วงการเพลงไทยว่าเจมส์เคยทำสารคดีทางดนตรีออกทีวี

Cinematography Elements Template

บริษัทผลิตรายการทางดนตรีดำเนินไปอย่างดี  เจมส์ได้ทำรายการที่คิดเอง  ประสบการณ์การทำงานโปรดักชั่นก็เก่งกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันการลงทุนในเครื่องมือก็มากขึ้นเช่นกัน  พอทำอะไรได้ ก็ซื้ออุปกรณ์ไว้ทำเอง  อุปกรณ์กล้อง ไมโครโฟน เครื่องตัดต่อ คอมพิวเตอร์ตัวแรงๆ  ทุกอย่างที่รายการทีวีต้องใช้เจมส์ซื้อหมดเลย   รายการเดิมกำลังผลิตและฉาย รายการใหม่ก็ต้องคิดไปนำเสนอช่อง  พอผ่านไปเรื่อยๆทุกสิ่งเริ่มไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้

รายได้จากการทำรายการลดลง  เพราะสถานีที่เป็นผู้ว่าจ้างให้งบน้อยลง  แต่ค่าตัวทีมงานและเงินเดือนลูกน้องสูงขึ้น  อุปกรณ์ก็ต้องอัพเกรดลงทุนเพิ่มตลอดเวลา  รายได้ที่ลดลงสวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการทำสารคดีทางดนตรีที่เจมส์อยากทำงานในระดับมาสเตอร์พีช คือใส่ให้สุดทุกอย่าง  อย่างเช่น การได้สัมภาษณ์บุคคลสำคัญในวงการเพลง  แต่คิวนัดหมายไม่ลงตัว  แขกรับเชิญอยู่ต่างประเทศจะกลับเมืองไทยเดือนหน้า  กว่าจะรอนัด  ถ่ายทำ ตัดต่อ แล้วส่งออกฉายต้องใช้เวลารวมกันสามเดือน   ผลคือรายได้เข้าช้าไปหลายเดือน  แต่เงินเดือนลูกน้องจ่ายทุกเดือน  จึงเป็นเหตุผลที่ต้องรับงานเล็กๆ  งานโฆษณา  งานวิดีโอโพรไฟล์ของบริษัทต่างๆมาช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในบริษัท

ตอนนี้เจมส์เริ่มรู้แล้วว่าทำรายการทีวีอย่างเดียวไม่พอ  เพราะรายการทีวีเคยเป็นลูกค้าทีละ 12 ตอน  เหมือนมีลูกค้าประจำที่ซื้อ 12 ครั้ง  ต้องเปลี่ยนมารับงานบริษัทเล็กๆรับเงินทีละโปรเจ๊คทีละครั้ง  ปัญหานี้ค่อยๆเกิดขึ้น  นานวันเข้าก็ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายรับ  ในที่สุดมันกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่โตจนทำให้บริษัทต้องปิดตัวลง  ปิดตัวแบบเป็นหนี้ด้วย

ในแง่ของบริษัทแม้จะเป็นหนี้  แต่ในแง่ผลงานนั่นเป็นเลิศ  เพราะเจมส์ทำงานแบบลงเต็มที่ ใส่สมองกับทุกรายละเอียด   การทำงานที่ปราณีตทำให้มีลูกค้าหลายรายเห็นความสามารถ  และก็มีโอกาสใหม่ๆเกิดขึ้น  หนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดคือการได้ทำมาเก็ตติ้งให้กับคอนเสิร์ต  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องใหม่  คำว่ายิงโฆษณา  คำว่า ดิจิทัลมาเก็ตติ้ง  คำว่าเข้าถึงผู้คน  หลายคำเหล่านี้คือเรื่องราวใหม่ๆ

Beautiful shot of a live concert performance with a yellow light show and a big crowd cheering

เจมส์ลงทุนบินไปดูคอนเสิร์ตที่จัดเต็มรูปแบบที่ประเทศอังกฤษ  และผู้จัดงานในไทยก็ตั้งใจจะนำเข้าคอนเสิร์ตนี้มาจัดให้คนไทยได้ดู  คนที่ชอบวงการเพลงอย่างเจมส์ย่อมไม่พลาดที่จะเก็บประสบการณ์ครั้งนี้  นี่เป็นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ความชอบนำไปสู่ธุรกิจ  การลงมือบริหารจัดการทีมงานเพื่อขายตั๋วให้ได้ตามเป้าเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้  เทคโนโลยีในมือมีอะไรบ้าง เราจะเข้าถึงคนฟังเพลง จะเข้าถึงคนชอบคอนเสิร์ตด้วยวิธีการไหน ช่องทางไหน  ทุกโจทย์คือเรื่องใหม่ของคนทำโปรดักชั่น  เจมส์เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการยิงโฆษณา การสร้างแบรนด์  การทำดิจิทัลมาเก็ตติ้ง    ขณะเดียวกันในด้านคอนเท้นท์เจมส์มีทุนสำรองในสมองอยู่แล้วว่าวงการเพลงและสื่อชอบคอนเท้นท์แบบไหน  การยิงโฆษณาที่ตรงจุดคือสิ่งที่กำหนดรายได้ในโจทย์นี้ 

หลังจบงานคอนเสิร์ต  เจมส์เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คอย่างจริงจัง  ในวงการเฟสบุ๊คและดิจิทัลมาเก็ตติ้งมีคอร์สอะไรบ้างเจมส์หาที่เรียนไปหลายแห่ง  จนไปเจอกับครูคนหนึ่งที่ตอบคำถามหลายอย่างได้ดีนั่นคือครูมิ้น  เมื่อได้เรียนร่วมกับครูมิ้นแล้ว เจมส์ถามครูมิ้นตรงๆว่าอยากเก่งแบบครูต้องทำอย่างไรบ้าง  ครูตอบว่า ไปสอบเอาใบ cerificate ของเฟสบุ๊คที่ชื่อว่า เฟสบุ๊คบลูปริ๊นท์ให้ได้  แล้วเดี๋ยวจะเก่งขึ้น

ตอนนี้ก็งงแล้ว เฟสบุ๊คบลูปริ๊นท์คืออะไร  พอหาข้อมูลประกอบก็พอเข้าใจ  แล้วก็ลงทะเบียนสอบเลย  ผลคือ ไม่ผ่าน  พอสอบไม่ได้ก็มาสะสมความรู้ใหม่  อ่านหนังสือใหม่ ดูวิดีโอคอนเท้นท์ที่สอนเกี่ยวกับการทำโฆษณาในเฟสบุ๊ค ลงเรียนคอร์สอีกหลายอย่าง คอร์สไทยก็เรียน คอร์สต่างประเทศเรียนทางออนไลน์ก็เรียน สะสมความรู้ไปอีก 1ปี และระหว่างนี้บริษัทโปรดักชั่นที่เคยเปิดไว้ก็ตัดสินใจเลิกทำ เปลี่ยนธุรกิจมาเป็นการรับจ้างทำดิจิทัลมาเก็ตติ้ง หนี้สินที่มีอยู่ก็เจรจา ประนอมหนี้ ค่อยๆจ่าย  

เจมส์มีคติชีวิตอยู่อย่างหนึ่งที่เคร่งครัดคือ ต้องใช้ชีวิตให้ถูกต้อง  ซื่อสัตย์กับผู้คนและลูกค้า มีหนี้ก็ต้องใช้  แต่ดีเลย์ได้  แม้ชีวิตจะมีปัญหาแต่เราก็เลือกอยู่ในเส้นทางที่แก้ปัญหาได้  เจมส์วางแผนไว้ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นดิจิทัลเอเจนซี่  แล้วรับจ้างยิงโฆษณาให้ลูกค้า  แล้วเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นก็ค่อยทะยอยใช้หนี้   ตอนรับจ้างยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คก็พบกับโอกาสใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่ต่อเนื่องกันคือ ลูกค้าไม่เข้าใจการโฆษณาในเฟสบุ๊คและการทำธุรกิจออนไลน์  นั่นจึงเป็นที่มาว่า เจมส์ต้องสอนยิงโฆษณาเฟสบุ๊คด้วยเพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าการคิดและการวางแผนโฆษณาในเฟสบุ๊คต้องคิดอย่างไร ทำอย่างไร เจ้าของธุรกิจควรเข้าใจคำศัพท์ทุกคำที่เกี่ยวข้องกับการยิงโฆษณาออนไลน์  ตอนนี้ลูกค้าจ้างยิงโฆษณา กับลูกศิษย์เรียนยิงโฆษณาช่วยทำให้รายได้ของบริษัทดีขึ้น  และในที่สุดก็ครบปี เวลาสำคัญก็มาถึง  เจมส์สอบผ่านเฟสบุ๊คบลูปริ๊นท์ได้ในที่สุด

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265

https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

การเรียนรู้อยู่ในทุกช่วงชีวิต

สมัยเรียนมัธยมเจมส์มีความใฝ่ฝันที่จะทำงานวงการดนตรี  มีความชอบอุตสาหกรรมเพลง ตอนสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยปีแรกไม่ติดคณะที่ต้องการ  ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่นอยู่ 1 ปี แล้วกลับมาสอบใหม่  ครั้งหลังนี้สอบติดคณะ ครุศาสตร์ศิลปะ ที่นี่เขาเรียนเพื่อพัฒนาวงการการสอน วงการสื่อการศึกษาด้านศิลปะ  แต่เจมส์พัฒนาตัวเองมาเป็นศิลปินและผู้ประกอบการ  ด้วยเพราะชอบดูหนังฟังเพลง ชอบงานสื่อหลายรูปแบบ และความชอบพิเศษเกี่ยวกับวงการดนตรี  เมื่อเรียนจบก็เริ่มงานกับบริษัทเอเจนซี่โฆษณา  รับผลิตงานโฆษณา ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และจัดอีเว้นต่างๆ  ในที่สุดก็รวมตัวกับเพื่อนเปิดโปรดักชั่นเฮ้าส์ ผลิตรายการทีวีในช่วงยุคทองของวงการโทรทัศน์ของประเทศไทย 

 

รายการที่ทำอยู่มีทั้งรายการบันเทิงฉายในช่องทีวีกระแสหลัก เป็นการรับจ้างผลิตรายการให้กับเอเจนซี่ขนาดใหญ่  ขณะเดียวกันก็ทำสารคดีทางดนตรีส่งออกอากาศทางเคเบิ้ลทีวี  ยุคนี้เป็นยุคของช่องทีวีอิสระที่มีหลายร้อยช่อง ระบบเคเบิ้ลทีวีแบบเสียเงินรายเดือนเบ่งบานมาก รวมถึงทีวีดาวเทียมก็กำลังเติบโต  คนดูมีทางเลือกมากมายในหน้าจอโทรทัศน์  และรายการสารคดีทางดนตรีก็เป็นที่ต้องการของสถานีเคเบิ้ลทีวี  จนทำเป็นอาชีพหลักได้

2018-05-13 04.49.37 1

ทุกสิ่งก็มีช่วงเวลาที่รุ่งเรือง และช่วงที่ถดถอย  งานสื่อสิ่งพิมพ์ อีเว้นต่างๆเริ่มได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของเทคโนโลยีอินเทอเน็ต  หนังสือพิมพ์ นิตยสารได้รับผลกระทบชัดเจน เม็ดเงินโฆษณาหดหายไปจากสื่อยุคคลาสิค รายการทีวียังเป็นที่นิยมอยู่ แต่ก็มีการใช้เงินกับโฆษณาทีวีน้อยลง  ผู้คนเริ่มมีสมาร์ทโฟนใช้งาน  สถานีโทรทัศน์ช่องปกติกำลังปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล จาก 6 ช่อง กลายเป็น 30 ช่อง  ยังไม่รวมถึงรายการจากดาวเทียมอีกเกือบพันช่อง  ผลก็คือเม็ดเงินโฆษณาจากสินค้าต่างๆที่เคยใช้จ่ายกับโทรทัศน์แค่ 6 ช่อง กลายเป็นต้องกระจายไป 10 ช่อง กลายเป็น 20 ช่อง  สื่อทีวีดิจิทัลทุกช่องแย่งงบโฆษณาจากลูกค้า  บางช่องก็ล้มหายตายจากไปในเวลาไม่นาน  รายการทีวีที่เคยรับจ้างผลิตในงบหลักล้าน กลายเป็นต้องทำในหลักแสน จนถึงช่วงเวลาที่ตกต่ำมากๆจบที่หลักหมื่นบาทก็เคยผ่านมาแล้ว 

IMG_9618

จากความชอบในดนตรีไปสู่การเรียนรู้ในเรื่องการผลิตสื่อ ทักษะที่ค่อยๆสะสมถูกนำมาใช้งานกับการทำสื่อในบริษัทโฆษณา  ความชื่นชอบในการฟังเพลงและติดตามเบื้องหลังการผลิตดนตรีเป็นนิสัยที่พาไปสู่การทำสารคดีทางดนตรีที่ถือว่าเป็นงานที่ภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งของการเป็นแฟนเพลงที่มีโอกาสผลิตสื่อ  เพราะเป็นการรวมตัวกันของความชอบกับงานที่ใฝ่ฝัน  สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำแต่ละอาชีพคือเรื่องของความพยายาม  การตัดสินใจทำอะไรก็ตามมักจะมีอุปสรรคเสมอ  และเมื่อเราโดนอุปสรรคเข้าไป เราก็จะผิดหวังไปพักนึง แต่ต้องรู้ตัวเองว่าต้องกลับมาให้ได้  ความผิดหวังไม่ได้ฝากไว้แค่ความเสียใจ  แต่ฝากความรู้และความรอบคอบไว้ด้วย  การหาความรู้ใหม่เพื่อออกจากความผิดพลาด สานต่อสิ่งเดิมไปสู่สิ่งใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้จริง และเกิดขึ้นเสมอกับชีวิตการทำงาน   

ทำรายการสารคดีทางดนตรีมาสักระยะก็เริ่มได้รับความไว้วางใจให้ดูแลโปรเจ๊คทางดนตรี ก็เริ่มมีงานคอนเสิร์ตให้ไปช่วยดูแล โอกาสที่ทำให้ได้เริ่มเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากอินเทอเน็ตก็คืองานคอนเสิร์ตจากต่างประเทศที่กำลังจะมาจัดที่เมืองไทย  คอนเสิร์ตระดับโลกที่จะยกหุ่นยนต์ยักษ์มาเปิดการแสดงเป็นองค์ประกอบหนึ่งในคอนเสิร์ต  และงานนี้ต้องการทีมโปรโมทเพื่อสร้างยอดขายบัตรให้เพียงพอที่จะใช้จ่ายดูแลทั้งโปรเจ๊ค  มาเก็ตติ้งออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ  เพราะคนเริ่มไม่อ่านหนังสือพิมพ์  ไม่ซื้อนิตยสาร  ไม่ซื้อสื่อที่เป็นยุคเก่าอีกแล้ว  ผู้คนเริ่มรับข่าวสารทางโทรศัพท์มือถือ  ดังนั้น  ทีมของเจมส์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องเผยแพร่ข่าวสารการจัดคอนเสิร์ตยักษ์ใหญ่นี้ไปสู่หน้าจอมือถือของกลุ่มเป้าหมาย  นี่คือโปรเจ๊คดิจิทัลมาเก็ตติ้งที่เจมส์ต้องดูแล  การลงมือทำร่วมกับเจ้าของโปรเจ๊คทำให้ได้เรียนรู้เครื่องมือต่างๆที่ต้องใช้  เริ่มเข้าใจคำว่ายิงโฆษณา  เริ่มเป็นคนกำหนดงบประมาณในการยิงโฆษณา  ในที่สุดคอนเสิร์ตก็จบลงพร้อมกับยอดขายเข้าเป้า  ผู้จัดไม่ขาดทุน  คอนเสิร์ตได้เล่น ทุกทีมทุกฝ่ายมีความสุข  นับตั้งแต่วันนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้มั่นใจว่า ความสำเร็จของอุตสาหกรรมดนตรี มีส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากมาเก็ตติ้ง ซึ่งเป็นส่วนที่กำหนดความเป็นความตายของธุรกิจได้เลย  งานศิลปะที่ขายไม่ได้ ก็คือไม่ได้ไปต่อ  ดังนั้นมาเก็ตติ้งสำคัญมาก

ทุกย่างก้าวที่ค่อยๆพัฒนาไปสู่งานที่ซับซ้อนขึ้นเป็นการเรียนรู้ทีละนิด  กว่าจะสะสมความรู้เพื่อพัฒนาไปทำชีพถัดไปเจมส์ใช้เวลา3-5 ปี  จนตอนนี้เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบปีแล้ว  ทุกอาชีพที่ผ่านมาคือการพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทันกับตลาด  เพื่อให้แข่งขันได้  เพื่อให้ยังมีอาชีพอยู่  และมันก็จะหมายความว่า การเรียนรู้คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการทำงาน  ตราบใดที่เราจะต้องมีอาชีพเพื่อให้มีรายได้  ต้องมีธุรกิจเพื่อให้ยังมีเราในอนาคต  เราต้องมีความรู้ที่พัฒนาตลอดเวลา  ไม่อยู่ในคอมฟอร์ตโซนแบบเดิม  ห้ามวางใจกับความสำเร็จที่ผ่านมา  เพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่มีแผนพัฒนา  เราจะตกยุค ไม่สามารถแข่งขันได้

ข้อมูลโดย

James 062 394 9265

ดิจิทัลมาเก็ตติ้งคือความรู้ที่จำเป็นในยุคนี้

“ดิจิทัลมาเก็ตติ้งคือความรู้ที่จำเป็นในยุคนี้”

ในอดีตเมื่อเรามีสินค้าที่ผลิตออกมา  เราก็จัดจำหน่ายด้วยการนำไปวางขายในร้านค้า  มีทั้งร้านค้าปลีก ค้าส่ง  ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า  และบางอุตสาหกรรมก็ขายส่งไปต่างประเทศ  บางคนก็ขายให้ตัวแทนจำหน่ายแล้วตัวแทนจำหน่ายก็ไปกระจายสินค้าสู่ห้าง สู่ร้านค้าที่ปลายทางอีกทอดหนึ่ง บางคนก็อาจจะต้องไปเช่าพื้นที่ในห้างเพื่อขายสินค้าของตัวเอง  เป็นที่มาของคำว่าเปิดร้าน  การเปิดร้านเราต้องเลือกทำเล  เลือกห้าง เลือกภาพลักษณ์ของห้างนั้นๆเพื่อทำการขายสินค้าของเรา

ยอดขายที่ดีมาจากการขายได้จำนวนมาก  การขายได้จำนวนมากมาจากคนซื้อรู้จักสินค้า  คนรู้จักสินค้าเพราะการโฆษณา  การโฆษณาสินค้าหรือแผนการตลาดจึงเป็นสิ่งที่กำหนดความอยู่รอดของธุรกิจ  เราจำเป็นต้องรู้ว่าเราจะโฆษณาอะไร  ไปสู่ลูกค้าคนไหน  ด้วยวิธีการหรือด้วยสื่อในช่องทางใด  

หากคุณเปิดร้านอาหาร  นอกจากการตั้งร้านตกแต่งให้สวยงามเรียบร้อยแล้ว  สิ่งที่ต้องทำลำดับถัดไปก็คือ บอกคนในพื้นที่รอบร้านอาหารว่ามีร้านนี้เปิดบริการอยู่ ในยุคก่อนจะมีโซเชียลเน็ตเวิร์ค การบอกคนในพื้นที่จะทำผ่านใบปลิว  บ้างก็โฆษณาทางวิทยุ  ออกโทรทัศน์  ซื้อหน้าโฆษณาในนิตยสารและหนังสือพิมพ์   การทำใบปลิวถ้าไม่แจกด้วยตัวเองก็ต้องจ้างคนไปแจก  จ้างคนไปหย่อนใบปลิวหน้าบ้าน  หย่อนตู้ไปรษณีย์ของแต่ละบ้าน  นั่นคือการทำมาเก็ตติ้งแบบออฟไลน์ มีต้นทุนการทำสื่อ  มีต้นทุนการซื้อเวลาของสถานีวิทยุและโทรทัศน์  และมีต้นทุนในการกระจายสื่อให้ทั่วถึง

สินค้าแบบเดียวกัน หรือถ้าเป็นร้านอาหารแบบเดียวกันแล้วจะโฆษณาในยุคอินเทอเน็ตแบบปัจจุบัน นอกจากวิธีเก่าแบบออฟไลน์แล้ว เรายังมีทางเลือกอื่นที่ทรงประสิทธิภาพ  อย่างวิธีการเปิดเว็บไซต์  เปิดเพจในโซเชียลมีเดีย  เพราะผู้คนยุคปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนติดตัว ทุกคนเข้าสู่อินเทอเน็ตได้ตลอดเวลา  และทุกคนเป็นสมาชิกโซเชียลเน็ตเวิร์คบางตัวอยู่แล้ว  เราก็แค่เอาร้านของเราไปเปิดตัวในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กลุ่มเป้าหมายเราเล่นอยู่ แล้วก็ซื้อโฆษณาในโซเชียลเน็ตเวิร์ค  กลุ่มเป้าหมายของเราก็จะได้รับรู้ข้อมูลของร้านอาหารของเรา เห็นภาพ เห็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอ  และเราเลือกได้ว่าจะเข้าถึงลูกค้าแบบไหน ชายหรือหญิง ช่วงอายุเท่าใด  มีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหนก็เลือกได้ และสามารถเปลี่ยนภาพโฆษณาให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายที่จะมองเห็นภาพเห็นโปรโมชั่นแตกต่างกันได้ นี่คือความสามารถของการตลาดในยุคอินเทอเน็ตที่ทำได้มากขึ้นละเอียดขึ้น ประหยัดเวลากว่าแบบเก่า  ประหยัดแรงกว่า เราเรียกการตลาดที่เราทำบนอินเทอเน็ตว่า ดิจิทัลมาเก็ตติ้ง

ความทรงพลังของดิจิทัลมาเก็ตติ้งยังมีมาในรูปแบบความเร็ว ความง่ายในการสื่อสาร  เราสามารถเพิ่มช่องทางการสอบถามความพึงพอใจเพื่อนำมาปรับปรุงบริการหรือปรับปรุงสินค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น  การร้องเรียนของลูกค้าผ่านระบบอินเทอเน็ตจะทำให้เราสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นและสามารถลงมือแก้ปัญหาได้เร็ว  ทำให้ลดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสินค้าได้  บริษัทยังสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำได้  ทำให้ผู้ประกอบการบางคนแทบจะหันหลังให้การตลาดแบบออฟไลน์หรือแบบดั้งเดิม  บางคนเลิกพิมพ์ใบปลิว  เลิกเดินแจกใบปลิวไปแล้ว  เพราะดิจิทัลมาเก็ตติ้งเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าในต้นทุนการตลาดที่ต่ำกว่า  การเรียนรู้และใช้งานดิจิทัลมาเก็ตติ้งจึงเป็นทางเลือกที่ต้องเลือกในปัจจุบัน 

การทำการตลาดที่แท้จริงก็จะหมายถึงการใช้เครื่องมือทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่เรามีเพื่อทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของเรานั่นเอง  บริษัทของเราควรจะมีแผนพัฒนาทั้งสินค้าและพัฒนาคนตลอดเวลา  การพัฒนาคนจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน  ถ้าธุรกิจของเราเป็นการทำงานแบบยุคเก่า  ไม่ยอมใช้เครื่องมือของดิจิทัลมาเก็ตติ้งในการทำตลาดเลยเราจะสูญเสียตลาดให้คู่แข่ง  เพราะคู่แข่งที่เกิดใหม่ทั้งหมดจะเข้าสู่ตลาดพร้อมเทคโนโลยี  คู่แข่งเก่าที่ปรับตัวพัฒนาตัวเองก็จะเก่งยิ่งกว่าเดิม  สื่อการตลาดชิ้นเดียวกันสามารถใช้เทคโนโลยีส่งโปรโมชั่นให้ว่าที่ลูกค้าได้นับล้านคนทั่วโลกพร้อมกัน  ซึ่งหากเราไม่รู้จักเครื่องมือ  ใช้ไม่เป็น สุดท้ายความไม่รู้จะเป็นปัญหา  และเราจะสูญเสียยอดขายที่ควรเป็นของเรา  หากเราละเลยไม่เรียนรู้เกี่ยวกับดิจิทัลมาเก็ตติ้งในวันนี้  วันข้างหน้าเราก็จะถูกบังคับให้เรียนรู้เพื่อให้ทันคู่แข่งอยู่ดี  แต่เมื่อวันนั้นมาถึงก็เท่ากับตลาดและคู่แข่งเริ่มทิ้งเราไปหลายก้าวแล้ว

ในเรื่องการทำตลาดด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์คก็มีประเด็นหลายอย่างที่ต้องคิดและวางแผนให้รอบคอบ  บางบริษัทลงทุนโฆษณาทางเฟสบุ๊คมายาวนาน แล้วก็ทำยอดขายได้เรื่อยๆจนวางใจ  วันหนึ่งเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเพจโดนปิด  โดนขโมย  หรือ หายไปเฉยๆ  สิ่งที่ลงทุนไว้  หรือกลุ่มเป้าหมายที่เรายิงโฆษณาไปถึงพวกเขาเกิดสูญหาย  การเชื่อมโยงกับผู้คนในเพจหายไปหมดเลย   ข้อมูลการติดต่อ การขาย การส่งสินค้า ข้อมูลลูกค้าควรจะนำมาเก็บในช่องทางอื่นแบบออฟไลน์ด้วย  จะเก็บในรูปแบบไฟล์  บันทึกชื่อที่อยู่เบอร์โทรลูกค้าไว้ในไฟล์เอกสาร excel ก็ได้  เรื่องเหล่านี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ  เพราะเหตุการณ์เพจโดนแฮ้คเกิดขึ้นตลอดเวลาทั่วโลก   และนอกจากแพลตฟอร์มอย่างเฟสบุ๊คแล้ว  โลกเราก็ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มให้เราเข้าไปทำตลาด  เราควรเข้าไปทุกแพลตฟอร์มที่มีกลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ในนั้น  ทั้ง ไลน์  ทวิตเตอร์ ติ๊กต๊อก และอื่นๆ  เหมือนกับคำที่เคยมีคนบอกว่า อย่าเก็บไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว  เราจึงควรทำตลาดดิจิทัลมาเก็ตติ้งในช่องทางที่หลากหลาย ทำในแพลตฟอร์มทั้งหมดที่ลูกค้าของเราอยู่ในนั้น

จากการเปิดบริษัทสอนทำดิจิทัลมาเก็ตติ้งมาหลายปี ผู้สอนยังรับจ้างทำการตลาดออนไลน์ให้ด้วย  เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สอนในหลักสูตรเป็นสิ่งที่นำมาทำจริงแล้วได้ผล  เพราะการลงมือยิงโฆษณาทำให้รู้ว่าต้องปรับปรุงความรู้ที่สอนในแง่ใดบ้าง  ต้องเพิ่มความทันสมัยของหลักสูตรทุกครั้งที่เปิดกลุ่มการสอนใหม่ตลอดเวลา  เพราะทุกแพลตฟอร์มก็ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลานั่นเอง

นอกจากบริษัทเอกชนที่มองเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ดิจิทัลมาเก็ตติ้งแล้ว  เป็นเรื่องน่ายินดีที่มหาวิทยาลัยก็เริ่มปรับปรุงหลักสูตรด้านมาเก็ตติ้ง  มีการเชิญไปสอนในหลักสูตร ปริญญาตรี และปริญญาโท  ส่วนของหน่วยงานราชการอย่างกระทรวงพาณิชย์ก็เชิญไปสอนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอยู่หลายครั้งต่อปี  ความรู้เรื่องดิจิทัลมาเก็ตติ้งกำลังจะเป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มผลประกอบการของภาคธุรกิจ  เริ่มเรียนรู้วันนี้เพื่อให้พรุ่งนี้เรายังอยู่ในธุรกิจของเราต่อไป

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265
https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

20180424094626_IMG_0397

น่าจะมีหลายคนสงสัยว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงฉลาดเกี่ยวกับคน  เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไร มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพฤติกรรมมนุษย์มาก่อน  บางคนอาจจะเผลอคิดไปเลยว่าเฟสบุ๊คน่าจะดักฟังเราอยู่ตลอดเวลา  เพราะบางทีการนั่งคุยเรื่องสิ่งของอย่างเช่น เสื้อผ้า  รองเท้า  ไปเที่ยว  ไปดูรถคันใหม่มา  พอวางสายจากการสนทนา หรือกลับถึงบ้าน  หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเราหยิบมือถือขึ้นมาดู หรือเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คก็พบว่ามีโฆษณาสินค้าที่เราเพิ่งพูดถึง หรือเพิ่งไปดูมา  และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมากกับชีวิตในทุกวันนี้

ในฐานะที่เป็นผู้ทำการสอนการยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คมาหลายปี  จะขอบอกว่าวันนี้เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคนมากจริงๆ  เฟสบุ๊ครู้จักเราหรือรู้จักเจ้าของเครื่องโทรศัพท์มือถือในหลายแง่มุม  และรู้ลึกรู้จริงจนอาจจะทำนายพฤติกรรมได้เลย  แล้วหลายคนก็อยากรู้ว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงมีความสามารถเช่นนั้น  ถ้าจะให้เล่าก็ต้องเล่าไปที่จุดเริ่มต้นว่าจริงๆแล้วเฟสบุ๊คเก่งเรื่องชาวบ้าน  เฟสบุ๊คเคยเปิดเผยข้อมูลว่า คนเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คมี 2 วัตถุประสงค์คือ

1 เข้าไปดูเรื่องชาวบ้าน คนอื่นทำอะไร ไปไหน โพสท์อะไร 

2 ไปดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา  เราโพสท์แล้วมีคนอ่านไหม มีคนมากดไลค์  หรือพิมพ์คอมเม้นท์หรือเปล่า

ข้อหนึ่งคงไม่ต้องสงสัย  เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้เวลาค่อนข้างมากกับเฟสบุ๊ค  เราจะไปดูความเป็นไปของสังคม ชีวิตเพื่อนเรา ดูชีวิตคนที่เรารู้จัก  เพื่อนเราไปไหน เที่ยวไหน  กินอะไร ซื้ออะไร  เราดูสิ่งเหล่านี้ทุกวันผ่านเฟสบุ๊ค

ส่วนข้อสองเวลาเราจะดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา ก็จะดูจากชาวบ้านมากดไลค์เรื่องของเรา  พอเราไปเที่ยวมีรูปสวยๆกลับมาก็โพสท์ลงเฟสบุ๊ค เพื่อนได้เห็น เพื่อนก็กดไลค์   บางทีเราก็ขอให้เพื่อนมากดไลค์รูปของเราด้วยซ้ำไป  เพื่อนบางคนก็เป็นขาประจำชอบดูภาพที่เราโพสท์  พ่อแม่บางคนก็โพสท์รูปเด็ก  ความเปิ่นความทะเล้นของลูก  แล้วมีคนมาคอมเม้นท์เราก็รู้สึกดี

เหตุที่เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคน เพราะเฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราในออนไลน์ในระดับที่ลึกมากถึงลึกที่สุด  โดยมีข้อมูลของเราอยู่ 4 ช่องทางที่เฟสบุ๊คจะรู้จักตัวเรา  และรู้ลึกขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป รู้มากขึ้นตามพฤติกรรมที่เราทำผ่านเฟสบุ๊คทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว เราลองมานับหรือทบทวนกันว่าเฟสเก็บข้อมูลเรา 4 ช่องทางนี้ ที่ไหน อย่างไรกันดีกว่า

http://www.freepik.com

ช่องทางที่1  เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราจากโพรไฟล์ที่เราสมัคร  การกรอกข้อมูลครั้งแรก  ชื่อ อีเมล  และข้อมูลข้างเคียงอื่นๆเราก็มักจะมีบอกหรือกรอกแทบจะครบทุกช่องเลย  อย่างเช่น ข้อมูล อายุ โรงเรียน ทำงานอะไร ชอบเที่ยวแบบไหนดูหนังอะไร อ่านหนังสืออะไร  เราใส่ข้อมูลความชอบส่วนตัวให้กับเฟสบุ๊คไปแล้วตั้งแต่ตอนสมัครเข้าใช้งานครั้งแรก  และบางคนก็กรอกประวัติการศึกษา  รวมถึงประวัติการทำงานก็มีการกรอกเข้าไปด้วย

พอเรามีประวัติที่ละเอียดขึ้น ผู้ประกอบการต่างๆก็ใช้ประโยชน์จากประวัติการศึกษาของผู้ใช้เฟสบุ๊คได้ อย่างเช่นเรื่องประวัติการศึกษา  ถ้าเราจะค้นหาคนที่สนใจจะซื้อสินค้าของเราโดยอยากได้คนที่มีกำลังซื้อ  เราก็ค้นหาจากประวัติการศึกษาได้เพราะประวัติการศึกษาจะเกี่ยวข้องกับกำลังซื้อหรือรายได้  ถ้าเราจะหาลูกค้าที่จบมหาวิทยาลัยชั้นนำ  กลุ่มนี้ก็จะมีกำลังซื้อมากกว่าคนที่จบการศึกษาระดับมัธยม  หรือแม้แต่ประวัติการศึกษาจากเมืองนอกก็จะได้กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงมาก  สิ่งนี้ภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเฟสบุ๊คได้โดยตรง

ในส่วนข้อมูลประวัติการทำงาน  ก็ช่วยหาลูกค้ากระเป๋าหนักได้  บางคนใส่ข้อมูลการทำงานระดับสูง  คนเรามักจะใส่ประวัติการทำงานที่สวยหรูละเอียดยิบ  คนส่วนมากอยากใส่โพรไฟล์หน้าที่การงานที่ดี หรูหรา  ชอบที่จะเล่าเรื่องการเรียนจบแล้วเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก  ไปต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยท๊อปเท็นของอเมริกา  บางคนยังพยายามเล่าต่อด้วยว่ารับงานเป็น MD ให้บริษัทเอกชนอยู่เป็นปีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาเอก แถมยังมีบริษัทมาซื้อตัวไปเป็น ceo  เรียกว่าใส่ข้อมูลระเอียดยิบราวกับพระเอกหนังจากวอลสตรีท  นี่คือธรรมชาติของคนเล่นเฟสบุ๊คส่วนใหญ่  จึงทำให้เจ้าของสินค้า หรือนักการตลาด online สามารถใช้ประโยชน์จากโพรไฟล์ขั้นเทพเหล่านี้เพื่อคัดกรองหาลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าของเราได้

http://www.freepik.com

ช่องทางที่2 เก็บข้อมูลจากฟีดที่เราอ่าน  การเลื่อนหน้าจออ่านข้อมูลในเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ  เฟสบุ๊คก็เก็บข้อมูลการใช้งานของเราตลอดเวลา  เฟสบุ๊คไม่ได้เก็บข้อมูลแค่สิ่งที่เราอ่าน แต่เริ่มเก็บตั้งแต่วิธีที่เราไถฟีดเลื่อนหน้าจอเลย เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลอัตราความเร็วของนิ้วโป้งที่เลื่อนหน้าจอ  ความเร็วเฉลี่ยในการเลื่อน 1 หน้าจอของคนทั่วโลกอยู่ที่ประมาณหน้าละ 1 วินาที  และเมื่อเราเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงสิ่งที่เราสนใจ เราจะเลื่อนช้าลง  เฟสบุ๊คก็จะมีตัว ai มาจับพฤติกรรมของเราได้ และเก็บข้อมูลว่า เราเห็นข้อมูลอะไรแล้วทำให้เราไถหน้าจอช้าลง หรือ ข้อมูลอะไรทำให้เราหยุดไถหรือหยุดเพื่ออ่าน เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเราหยุดที่เนื้อหาแบบไหน   และหากเราหยุดนานแล้วเอานิ้วไปแตะเนื้อหาเพื่ออ่านละเอียดขึ้น  เฟสบุ๊คก็จะตรวจจับได้ว่าเราสนใจเรื่องนั้น  ระบบจะไปดูเนื้อหาในโพสท์นั้น  caption หรือ details ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ภาพอะไร วิดีโอเกี่ยวกับอะไร  เฟสบุ๊คจะบันทึกสิ่งนั้นเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่เราสนใจ  และถ้าเราอยู่กับโพสท์นั้นอย่างจริงจังมากขึ้นถึงกับไปกดไลค์  เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเรื่องนี้เราชอบมาก   และพอเราทำมากขึ้นไปอีกขั้นเราแสดงความชอบโดยการใส่คอมเม้นท์ เฟสบุ๊คก็จะเก็บข้อมูลว่าเราชอบมากเป็นพิเศษ  

บางโพสท์หากคนใช้งานยังไม่ว่างอ่าน บางคนใช้วิธีกดแชร์ แล้วใส่ tag เอาไว้ว่า “แปะ”   หรือ “เดี๋ยวมาอ่าน”  นั่นก็จะยิ่งทำให้เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบเรื่องนั้นในระดับซีเรียสสุดๆ  พฤติกรรมแบบนี้อยู่ในสายตาของเฟสบุ๊คทั้งหมด  การกดเข้าไปดูภาพ  ดูคลิปวิดีโอ ก็ทำให้เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลได้ลึกขึ้น และทำให้เฟสบุ๊คเริ่มทำการคาดเดาว่าเราน่าจะชอบเรื่องแนวนี้   เฟสบุ๊คก็จะไปหาเนื้อหา ทั้งภาพและคลิปที่คล้ายกันมาให้เราดู  และยิ่งเราตอบสนองต่อสิ่งที่เฟสบุ๊คหยิบยื่นให้  เฟสบุ๊คก็จะยิ่งมีข้อมูลที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

http://www.freepik.com

ช่องทางที่3 เก็บจากลิงค์ภายนอกที่เราไปกด   ถ้าในโพสท์ของเฟสบุ๊คมีเนื้อหาเว็บที่เป็นลิงค์สู่ภายนอก  เมื่อเรากด เราจะออกกระโดดออกจากเฟสบุ๊ค   เฟสบุ๊คจะคอยจดจำว่า เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรที่ทำให้เราออกจากเฟสบุ๊ค สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราสนใจมากเช่นกัน  ความสนใจแบบนี้ก็จะถูกบันทึกไว้  ตลอดเวลาที่เราใช้งานเฟสบุ๊ค  ระบบ ai ของเฟสบุ๊คจะเรียนรู้ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร กดอะไร อ่านอะไร ไปอ่านเรื่องของใครบ่อยๆ  แม้แต่การออกจากเฟสแล้วไปเล่นใน app อื่น หรือไปเล่นในเว็บอื่น  เฟสบุ๊คก็จะยังรู้ได้ว่าเราไปไหน  เพราะเฟสบุ๊คมีเครื่องมือที่ชื่อว่า pixel ที่เป็นชุดคำสั่งสำหรับการฝังไว้ในเว็บ โค้ดชุดนี้จะถูกสร้างจากการโฆษณาของเรา  เจ้าของเพจจะสามารถใส่ pixel ไว้ในเว็บได้  และชุดคำสั่งนี้จะส่งข้อมูลการใช้งานของผู้คนกลับมายังเฟสบุ๊ค  มันละเอียดถึงระดับที่ว่า ลูกค้าอยู่หน้าไหน ลูกค้าอยู่ในเว็บนานแค่ไหน  กำลังดูอะไรอยู่  ทุกอย่างจะถูกรายงานทันที  เจ้าของสินค้าจะรู้ว่ามีคนกำลังใช้เวลากับเว็บ  เราสามารถใช้เงื่อนไขพฤติกรรมนี้เพื่อส่งโฆษณาไปให้เขาได้เลย  พอเขาเปิดเฟสอีกครั้ง โฆษณานี้จะขึ้นในเครื่องเขาในหน้าแรกๆทันที

แล้วกรณีที่บริษัทเราไม่มีเว็บเป็นของตัวเอง เราก็ยังสามารถไปเปิดร้านในมาเก็ตเพลสอย่าง lazada หรือ shopeeได้  เมื่อเราเอาสินค้าไปวางขาย  ตัวระบบของมาเก็ตเพลสก็จะมีเครื่องมือที่จะรายงานว่า มีคนดูโปรดักส์ของเราอยู่กี่คน  เครื่องมือของเฟสบุ๊คนี้ถ้าติดตั้งในเว็บเรียกว่า facebook pixel ถ้าติดตั้งใน application จะเรียกว่า facebook SDK

เคยสังเกตุไหมว่าเมื่อเราดูเว็บagoda เพื่อดูห้องพักโรงแรม  พอเราออกจาก agoda แล้วไปเล่นเฟสบุ๊ค เราจะเห็นโฆษณาจาก agoda เข้ามาในเฟสบุ๊คของเราอีกรอบ  แทบจะทันที  มันเป็นการทำงานของระบบ pixel เวลาเราดูข้อมูลห้องพักโรงแรม แล้วเรายังไม่จอง เมื่อเราไปเล่นในเว็บอื่น หรือ กลับไปเล่นในเฟสบุ๊ค  เราจะไปเจอโฆษณาห้องพักนั้นในเฟสบุ๊ค  โฆษณาจะตามติดไปกับเราอีกพักใหญ่ๆจนกว่าเราจะซื้อ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้ว ระบบก็จะรับรู้และเตรียมโฆษณาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับเรา  อย่างเช่น เมื่อเราดูโฆษณาเคสโทรศัพท์มือถือ พอดูแล้วเลือกแต่ยังไม่ซื้อ  เราจะเห็นโฆษณาเคสโทรศัพท์เข้ามาในเฟสบุ๊คอย่างสม่ำเสมอ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้วระบบก็จะเปลี่ยนโฆษณาโดยอัตโนมัติ  เฟสบุ๊คอาจจะเอาสายชาร์จและเพาเวอร์แบงค์มาให้เราดูแทน  นั่นคือความฉลาดของระบบ ai  ซึ่งเว็บไซต์และ app หลายๆตัวก็มีความสามารถแบบนี้เป็นส่วนใหญ่  เราเรียกกระบวนการเปลี่ยนสินค้าที่โฆษณานี้ว่า cross selling หรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งจะมีอีกคำที่มาคู่กันคือ upselling หรือ ขายสินค้าในปริมาณที่มากขึ้นหรือความพยายามที่จะทำให้นักช็อปจ่ายเงินมากขึ้น

digital-airport-29nov2005f66

ช่องทางที่4 เก็บจาก location หรือ gps บนโทรศัพท์  ปกติที่เราพกโทรศัพท์ติดตัวไปตลอดเวลา  โทรศัพท์ก็จะบันทึกสถานที่ที่เราเดินทางไป เฟสบุ๊คจะรู้ตำแหน่งของเรา  ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของลูกค้าได้  เจ้าของร้านอาหารสามารถโฆษณาให้คนที่พักอาศัยหรือทำงานใกล้ร้านค้าได้เห็นโฆษณาเมนูอาหารได้  ร้านอาหารไม่ต้องใช้วิธีดั้งเดิมในการเดินแจกใบปลิว  ถ้าเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเราก็สามารถให้เฟสบุ๊คหาคนสนใจก๋วยเตี๋ยวในพื้นที่ ระยะทางไม่เกิน 3 กม. แล้วส่งโฆษณาเข้าไปที่มือถือของเขาได้เลย  ตัวเลข 3 กม.เป็นตัวเลขสวรรค์ ตัวเลขนี้มาจากผู้ให้บริการส่งอาหารแล้วพบว่าลูกค้าส่วนมากจะซื้ออาหารไม่เกิน 3.2 กม. ด้วยเหตุผลว่าค่าส่งจะถูก หรือ ยอมรับค่าส่งได้  ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร ก็ควรโฆษณาแล้วหาลูกค้าในระยะ 3 กม. ก่อน หากตอบสนองลูกค้าทัน สามารถรับลูกค้าเพิ่มได้ก็ค่อยเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นได้

ถ้าคุณเป็น โรงแรม หรือทำธุรกิจท่องเที่ยว  คุณก็สามารถใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าให้ได้เลย  อย่างเช่น ตอนที่เราเดินลงจากเครื่องบินในสนามบินเชียงใหม่  โฆษณารถเช่ารถรับจ้างก็จะเด้งเข้ามาในโทรศัพท์ทันที  เรื่องนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่สนามบิน  ผู้ให้บริการที่ใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าเช่ารถย่อมไม่พลาดวิธีนี้

เราพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเฟสเก็บข้อมูลจาก 4 แหล่งอย่างประสิทธิภาพ  มีความถูกต้องสูงมาก  และเมื่อนำข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดมาประมวลผลทำให้เฟสบุ๊คมีความสามารถในการพยากรณ์ว่าใครน่าจะเป็นลูกค้าเราโดยมีความแม่นยำมากถึง 85%   ความแม่นยำนี้ทำให้มีหลายคนถึงกับพูดว่า เฟสบุ๊ครู้จักตัวเรายิ่งกว่าตัวเราเองเสียอีก  ซึ่งทำให้ข้อสังเกตเรื่องการดักฟังกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเลย  เพราะเฟสบุ๊ครู้จักเราลึกมากจากแหล่งที่มาข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา

สำหรับธุรกิจ เฟสบุ๊คสามารถหาคนที่น่าจะสนใจสินค้าของเรามาให้ได้อย่างต่อเนื่อง  เรียกได้ว่าเฟสบุ๊คหา opportunity ให้กับเรา ในขณะเดียวกันสินค้าของเราก็ต้องมีความพร้อมที่จะปิดการขายด้วย  ฝ่ายขายของธุรกิจต้องมีความสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อด้วยถึงจะเกิดผลลัพธ์   แปลว่านอกจากความรู้เรื่องการยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว งานหลังบ้านอย่างทีมเซลส์ที่จะปิดการขาย ทีมเก็บเงิน ทีมส่งสินค้าก็ต้องพร้อมเช่นกัน  

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265
https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

IMG_0845

ประกันชีวิต อาชีพที่ดูแลคนข้างหลัง

คนส่วนมากเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิตเพราะรายได้  แต่เพ็ญโสภาเข้ามาเพราะประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจของญาติที่สนิทกัน เลยทำให้เห็นคุณค่าของการมีประกันชีวิต

ญาติสนิทที่เหมือนน้องชายมีอาการป่วย เส้นเลือดในสมองแตก ต้องเข้า icu และหมอแจ้งว่าการรักษาต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายสูง และอาจไม่ตื่น  สุดท้ายอาจต้องนอนติดเตียงเป็นเจ้าชายนิทรา  ญาติตัดสินใจว่าไม่ผ่าตัด  นาทีนั้นก็คิดว่า ถ้าเป็นคนในครอบครัวเรา เราจะยอมไหม เราจะเลือกไม่ผ่าตัดไหม  ครอบครัวนั้นตัดสินใจไม่รับการรักษา และหลังจากนั้นอีก 7 วัน คนป่วยก็จากไป  เสียชีวิตในวัย 36ปี ทิ้งลูกชาย 6 ขวบ ลูกสาว 1 ขวบ กับภรรยาไว้ข้างหลัง  แม่กับลูกสองคนต้องอยู่ต่อไปแบบไม่มีหัวหน้าครอบครัวและไม่มีรายได้  “เงินประกันไม่เคยพอสำหรับหญิงม่ายและลูกกำพร้า”  คำพูดนี้ก้องอยู่ในหัว  ลูกพี่ลูกน้องท่านนี้มีทุนประกัน 1แสน  ซึ่งดีกว่าไม่มี แต่ก็ไม่พอใช้  แม้แต่ค่าจัดงานศพทั้งหมดยังไม่พอเลย

IMG_1560

เพ็ญโสภา  หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บางกอกโพสต์  โดยทำงานขายโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์  ทำอยู่ประมาณปีครึ่งก็ได้เป็นเป็นท๊อปเซลส์  ขายได้ทะลุเป้า  ทำให้มีคนรู้จักหลายคนชวนไปทำงานด้วย  พอมีโอกาสก็ย้ายไปทำงานที่ชินวัตรในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหาร  ซึ่งตอนนั้นชินวัตรยังอยู่กับธุรกิจขายคอมพิวเตอร์และเริ่มต้นขายโทรศํพท์มือถือไม่นาน  ทำงานชินวัตรอยู่ 10 ปีก็ตัดสินใจลาออกเพราะมีลูก   มีความรู้สึกว่าอยากใช้เวลากับลูกให้นานๆ  รวมถึงที่บ้านสามีมีธุรกิจ  เลยออกมาช่วยธุรกิจของครอบครัว  พอมีลูกคนที่สองก็มาเปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือ บริหารอยู่ 2 สาขา  ทำไปสักพักมีคู่แข่งเยอะและมีการตัดราคาจนเริ่มไม่คุ้มค่าที่จะทำต่อ  พอดีเพื่อนชวนไปฟังเรื่องขายประกัน ก็เลยตามเพื่อนไปฟัง  และหลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มจับงานประกันชีวิต

ธุรกิจครอบครัวเริ่มไม่ค่อยดี สามีต้องออกจากงานมาดูแล  ทำให้การเงินเริ่มมีปัญหา  และค่าใช้จ่ายในบ้านเริ่มต้องใช้เงินจากการขายประกันชีวิตมาช่วยกันออก  เป็นช่วงเวลาในชีวิตที่ต้องประหยัด  และรู้สึกว่ารายได้จากการเป็นตัวแทนประกันก็ช่วยเหลือครอบครัวได้   ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นความจำเป็นว่าจะต้องมีเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายกับการเรียนหนังสือของลูก  ต้องมีค่าเรียนพิเศษเพื่อติวลูกให้เข้าโรงเรียนที่ต้องการ  ลูกคนเล็กไม่ค่อยกินนมแม่ต้องซื้อนมผงราคาแพงให้ลูกกิน  ค่าใช้จ่ายพวกนี้สูงมาก และรู้สึกว่าต้องมีรายได้ทางอื่นมาช่วยรองรับอย่างจริงจัง  

เมื่อเข้าสู่อาชีพขายประกัน พอทำไปจนหมดปีนั้นก็รู้สึกว่าอยากเติบโต อยากมีตำแหน่งระดับบริหาร ไม่ได้อยากขายไปวันๆ  และตอนนั้นก็มี 2 ทางเลือก คือต้องพยายามให้โตไปเลย กับ ขายไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร   ถ้าหากต้องการขึ้นตำแหน่งก็ต้องพยายามให้มาก  เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นตำแหน่ง แล้วก็ประกาศขายกิจการร้านโทรศัพท์สองสาขา  เพื่อที่จะได้โฟกัสกับงานประกันได้เต็มที่   หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้าหน่วย

1658309279397-01

ลูกค้าส่วนมากเป็นคนรู้จักที่ประทับใจกัน  ลูกค้าบางคนก็ไม่เคยออมเงิน  การได้ไปคุยกับเพื่อนแล้วอธิบายเรื่องการออม ทำให้เพื่อนได้คิด และได้วางแผนชีวิต  และเพื่อนก็ตัดสินใจทำประกันเพื่อเริ่มต้นออมเงิน  เพื่อนโอนเงินซื้อประกันทันทีเลย 250000 บาท โดยที่ยังขับรถกลับไม่ถึงบ้าน  นั่นทำให้รู้สึกว่าธุรกิจประกันชีวิตมันเป็นธุรกิจที่ดีมาก  เพราะมันดีกับเจ้าของเงิน และดีกับอาชีพตัวแทน

มีเคสหนึ่งที่น่าสนใจ  หลังจากที่มีทีมงาน คนในทีมก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขาเป็นแม่บ้าน สามีของเพื่อนฐานะดีบริษัทใหญ่โต  เพื่อนใช้ชีวิตสบาย  เลยลองให้ลูกน้องไปขายประกันดู  ต่อมาลูกค้าให้ข้อมูลกลับมาว่าสามีเขามีประกันแล้ว  ทุนประกัน 10 ล้านบาท  ทีมงานเลยไม่ได้ตามต่อ   หลังจากนั้นอีก 3 ปี สามีเพื่อนเสียชีวิต  เลยถามทีมงานเล่นๆไม่ได้คิดอะไรว่า แบบนี้เพื่อนก็ได้ทุนประกัน 10 ล้านเลยสิ  ทีมงานบอกว่า ไม่ได้  เพราะเพิ่งรู้ว่าทุนประกันเป็นประกันอุบัติเหตุ  แต่การเสียชีวิตไม่ใช่เสียเพราะอุบัติเหตุ ทำให้ไม่ได้ประกันตัวที่ทำไว้  สรุปว่าเพื่อนไม่ได้รับเงินชดเชย  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก  

ถ้ากลับไปบอกได้จะบอกให้ตัวแทนขอนัดเพื่อไปคุยกับเจ้าตัวว่าประกันทีมีอยู่เป็นทำงานอย่างไร  จะไปรีวิวรายละเอียดให้ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน  เพราะประกันอุบัติเหตุ 10 ล้าน จะไม่เหมือนประกันชีวิต10ล้าน  การเสียชีวิตจากโรคร้าย จะไม่ได้เงินประกันจากประกันอุบัติเหตุเลย  เนื่องจากประกันชีวิต จะจ่ายเมื่อคุณไม่อยู่   ส่วนประกันอุบัติเหตุ จะจ่ายจากสาเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น  ดังนั้น การป่วยแล้วเสียชีวิตจะเคลมประกันอุบัติเหตุไม่ได้   

IMG_1425

มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง  เขาตั้งใจซื้อประกันเพื่อเป็นการออมเงินให้ลูกที่ยังเล็ก  เป็นเงินเก็บระยะยาว ตั้งใจว่าพอลูกจบปริญญาตรีก็จะมีเงินก้อนให้ลูกเอาไว้ทำทุน  เป็นการจ่ายเบี้ย 21 ปี แล้วดูแล 42 ปี  เมื่อลูกอายุ 42 จะได้รับเงินก้อน  หลังจากเริ่มจ่ายไปเรื่อยๆ  ผ่านไป 13 ปี  พบว่าแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้วเสียชีวิตใน 2 ปีต่อมา  ถ้าเป็นการออมเงินในรูปแบบอื่น  โครงการนี้จะหยุดแล้วไม่เหลือเงินก้อนตามที่ต้องการให้กับลูก  หลังจากแม่เสียชีวิตไปแล้ว โครงการประกันก็ยังคงดำเนินไป แต่ บริษัทประกันภัยจะจ่ายเบี้ยให้แทนเหมือนแม่จ่าย  สุดท้ายบริษัทก็เหมือนเป็นแม่บุญธรรม จ่ายเบี้ยแทนจนครบเวลา  ทำให้ลูกยังคงได้รับผลประโยชน์เต็มที่เหมือนแม่ยังคงส่งเบี้ยประกันอยู่  โครงการเก็บเงินให้ลูกก็จะไปถึงเป้าและทำให้ลูกมีเงินก้อนตามที่แม่ต้องการเมื่อครบสัญญา แม้ว่าแม่จะไม่อยู่แล้ว  นี่คือตัวอย่างการใช้ประกันชีวิตช่วยเก็บเงินให้ลูกได้ตั้งตัว

การตัดสินใจเข้าสู่อาชีพประกันก็เพื่อช่วยแนะนำทุกคนให้มีหลักประกันที่เพียงพอสำหรับคนในครอบครัว  คนที่เหลืออยู่จะได้ไม่เดือดร้อนมาก   การประกันชีวิตจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เหลือ ไม่ใช่ลมหายใจของคุณเอง  

การทำประกันชีวิตเหมือนเป็นการเอาเงินก้อนเล็กไปสร้างความคุ้มครองให้ครอบครัว  เอาเงินก้อนเล็กไปแลกเงินก้อนใหญ่  

ถ้าหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไป แล้วใครจะมาส่งเสียดูแลครอบครัว  ก็มีแต่ประกันชีวิตเท่านั้นที่จะทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป  การวางแผนส่งเสียเลี้ยงดูลูกและคนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น  และประกันชีวิตเป็นเครื่องมือที่จะช่วยดูแลคนข้างหลังแทนเรา

2022-07-20_04-22-57

การวางแผนเรื่องการเงินเป็นเรื่องจำเป็นของทุกคน  สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงาน เด็กเรียนจบใหม่ๆ เมื่อทำงานแล้วขอให้พยายามเก็บเงินก้อนแรกให้สามารถอยู่ได้ 6 เดือน  เพราะจะได้ใช้เมื่อตกงาน หรือมีวิกฤต แล้วเรายังมีเงินใช้จ่าย ค่าอยู่ ค่ากินรวมถึงค่าใช้จ่ายจำเป็นไปอีก 6 เดือน เป้าหมายแรกนี้ขอให้ทำให้สำเร็จก่อน จากนั้นค่อยมาวางแผนเก็บเงินในขั้นถัดไป

รายได้ที่เข้ามาจากการทำงานควรจะนำมาออมเสียก่อน อย่าเพิ่งรีบเอาไปลงทุน  เราควรจัดสรรสัดส่วนการออมให้เป็นลำดับแรก จะออมมากหรือออมน้อยก็แล้วแต่รายได้  แต่ควรจะออมก่อนลงทุน  เพราะการลงทุนต้องใช้ความรู้  ถ้าเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทางการเงิน  ให้ออมเป็นหลัก  และเงินออมนี้จะเป็นเงินที่เราไม่คิดจะเอาออกมาก่อนกำหนด  เราถึงเรียกว่าเงินออม

จากประสบการณ์กว่า 20 ปี พบว่าส่วนมากคนทำงานจะมีเป้าหมายการออมหรือการเก็บเงินไม่กี่อย่าง  คือ

1 เงินก้อนสำหรับพ่อแม่  

2 เงินที่จะเป็นทุนการศึกษาของลูก  

3 เงินก้อนตอนเกษียณ  

เป้าหมายที่ 1 การเก็บเงินก้อนสำหรับพ่อแม่เกิดจากเราอยากจะให้เงินพ่อแม่สักก้อนในอีกหลายปีข้างหน้า การออมก็จะทำเพื่อให้มีเงินก้อนนั้น ถ้าเราเกิดเสียชีวิตไปก่อน เงินก้อนก็จะไม่มี  ปลายทางไม่เป็นไปอย่างที่คิด  การออมด้วยการซื้อประกันสะสมก็จะเป็นการออมทีละนิดแต่ได้เป้าหมายแน่นอน  เพราะพ่อแม่จะได้รับเงินก้อนนั้นในเวลาที่กำหนดเสมอแม้เราจะไม่อยู่  เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือเราจะต้องจากไปสักวัน  ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน เป้าหมายการเก็บเงินเพื่อใครสักคนหนึ่งจะเป็นจริงแน่นอนถ้าใช้วิธีซื้อประกัน

เป้าหมายที่ 2 เงินก้อนสำหรับทุนการศึกษาของลูก  เนื่องจากเราจะไปบอกให้ลูกอย่าเพิ่งเรียน รอพ่อแม่เก็บเงินก่อนมันไม่ได้  ดังนั้นควรจะวางแผนเก็บเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกตั้งแต่รู้ว่าจะมีลูก  ออมระยะสั้นเพื่อใช้เป็นค่าเทอม  ออมระยะยาวเพื่อให้เป็นทุนตั้งตัว   เราเลือกใช้ประกันเป็นเครื่องมือตามวัตถุประสงค์ได้  และคนส่วนมากก็วางแผนที่จะเก็บเงินในระบบประกันชีวิตให้ถึงวันที่ลูกเรียนจบ เพื่อการันตีว่าลูกจะได้เรียนจนจบ 

เป้าหมายที่ 3 เงินออมใช้ตอนเกษียณ  การเก็บเงินระยะยาวยิ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ทั้งออมแบบประกัน และการลงทุนทางการเงิน  และถ้าเราบังเอิญไม่ได้อยู่ถึงเกษียณ เงินก้อนจากประกันจะส่งต่อเต็มยอดที่ต้องการให้คนในครอบครัวเรา  คนที่เหลือจะไม่เดือดร้อน   การออมเงินในประกันไม่ใช่การลงทุนเป็นธุรกิจ  เงินในประกันจะเป็นเงินก้อนที่เรารู้ว่าเราจะมีแน่ๆ และใช้ส่งต่อให้คนอื่น ส่งต่อให้คนข้างหลังได้

IMG_1476

ถ้าเรามีเครื่องจักรพิมพ์เงินออกมาได้ เราจะซ่อมบำรุงเครื่องจักรตัวนี้ให้ทำงานตลอดเวลา    เราจะไม่อยากให้เครื่องเสีย  การซื้อประกันก็จะการันตีว่าจะมีเครื่องพิมพ์เงินให้ลูกเราเสมอ  ประกันจะดูแลคนที่เรารัก  ไม่ได้ดูแลเรา  ก่อนเราจะเสียชีวิตเราคือเครื่องพิมพ์เงินให้ลูก ทุกเดือนเราก็จะมีเงินมาให้ลูกใช้จ่าย  และถ้าเราไม่อยู่  ก็เหมือนเครื่องพิมพ์เงินหายไป ลูกและคนในครอบครัวก็จะเดือดร้อน  ประกันเหมือนเครื่องพิมพ์เงินสำรองที่จะสตาร์ทเครื่องแล้วพิมพ์เงินแทนเราทันที ประกันจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เรารัก  นี่คือการวางแผนที่รอบคอบ ลองถามคำถามง่ายๆกับตัวเองว่าหากคุณจากไปแล้วใครจะส่งลูกคุณเรียนต่อ ใครจะส่งเงินเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่มีคำตอบ คุณควรคุยกับคนขายประกันสักคน

เพ็ญโสภา  เพียรเจริญ    โทร 083 492 2651

pensopa@gmail.com

สำนักงานบัญชีที่สร้างความเจริญเติบโตให้บริษัท

IMG_4105

สำนักงานบัญชีที่สร้างความเจริญเติบโตให้บริษัท

ผมมีเพื่อนที่รู้จักกันมายาวนานตั้งแต่สมัยเรียน และปัจจุบันเพื่อนก็ทำธุรกิจเจริญรุ่งเรือง  โดยในระหว่างทางที่ยาวนานผมก็รับรู้ถึงความล้มลุกคลุกคลานของเพื่อนมาตลอด มีช่วงชีวิตที่ทำงานเข้าเนื้อ มีหนิ้สิน  แต่ปัจจุบันลืมตาอ้าปากได้  เพื่อนเล่าให้ฟังว่า สำนักงานบัญชีสั่งให้หัดเก็บเงิน  สั่งให้เพิ่มคนหางานเข้าบริษัท   ถึงวันนี้ เพื่อนหมดหนี้แล้ว เหตุผลหลักคือ คนทำบัญชี สั่งให้ทำ โน่นนี่นั่น แล้วเพื่อนตัดสินใจทำตาม ในที่สุดก็แก้ปัญหาหนี้สินได้ หนี้น้อยลงจนหมด ทุกวันนี้เริ่มมีเงินเก็บ ได้เริ่มใช้เงินทำงาน กำลังเรียนรู้เรื่องการลงทุน

มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่นานๆได้เจอกันสักครั้ง  ล่าสุดเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ชึวิตมีความสุขมาก ต้องขอบคุณสำนักงานบัญชีที่แนะนำการทำงานและการใช้ชีวิต  จากธุรกิจรับเหมาที่แม้จะได้งานใหญ่แต่ก็ไม่เหลือเงิน  มีหนี้สินจำนวนมาก บางทีเก็บเงินลูกค้าไม่ได้  เมื่อใช้บริการทำบัญชีพร้อมได้ปรึกษาเรื่องการวางแผนการเงิน  มีคำแนะนำให้เพิ่มงานที่ทำเงิน หยุดทำงานที่ไม่ได้เงิน  ทำให้ตัวเลขผลประกอบการเป็นบวก  ชะลอความคิดที่จะซื้อรถคันใหม่ อดทนนั่งแท็กซี่อยู่เป็นปี และตอนนี้มีเงินเก็บล้านแรกแล้วจากการทำตามคำแนะนำจากสำนักงานบัญชี  ตอนนี้ตอนนี้เริ่มลงทุน เริ่มใช้เงินทำงานแล้ว  

สำนักงานบัญชีแห่งนี้ช่วยชีวิตเพื่อนผมไว้สองคน  ผมเลยอยากจะเขียนและแนะนำให้เพื่อนๆและคนที่สนใจการทำธุรกิจให้อยู่รอด มีเงินเก็บ  ได้รู้จักวิธีคิดของสำนักงานบัญชีแห่งนี้  คนทำบัญชีที่พาธุรกิจของเราไปสู่จุดที่มีกำไรและมีเงินเก็บ  เพราะการมีเงินเก็บมันควรเป็นเป้าหมายหลักของคนทำงาน และหากเราเริ่มเก็บเงินได้ เราจะมีความมั่นใจในการทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น  

20220607121534_IMG_0865

พี่วิทยาเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชีที่กล่าวถึง  ชีวิตพี่วิทยาเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ โดยเฉพาะประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้มีเงินเหลือ  มีความรู้หลากหลายจากลูกค้าธุรกิจจำนวนมากที่ตกตะกอนเป็นองค์ความรู้ติดตัว  และส่งผ่านความรู้เหล่านั้นมาเป็นคำแนะนำสู่ลูกค้าบัญชีที่พี่วิทยาดูแล

วัยเด็ก พี่วิทยาเกิดและเรียนหนังสือถึงชั้นมัธยมที่จังหวัดภูเก็ต  ทางบ้านส่งให้เรียนหนังสือจริงจัง  เป็นเด็กเรียน เป็นเด็กที่ครูเอ็นดู  หัวอ่อน ว่าง่าย  พอถึงวัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง  การได้เรียนมหาวิทยาลัยทำให้มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนจำนวนมาก  ในปี พศ.2520 นักศึกษาในรามคำแหงก็มีการรวมตัวกันเป็นสโมสรนักศึกษาเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ  พี่วิทยาได้เข้าร่วมทำกิจกรรมนักศึกษามาอย่างต่อเนื่อง  สมัยนั้นรามคำแหงมี 7 คณะ  เพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมหลายคนต่างก็แยกย้ายไปเติบโต แต่ยังได้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอถึงปัจจุบัน  บางคนก็เติบโตในสายราชการเป็นถึงอธิบดี  บางคนก็ทำธุรกิจที่มียอดขายหลักร้อยล้าน

พี่วิทยาเรียนคณะบัญชีด้วยแนวคิดว่าบัญชีน่าจะเป็นเป็นอาชีพที่หางานทำได้ง่าย  ทุกบริษัทจำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งนี้  ตอนเรียนปี 3 ก็มีคนชวนให้ไปทำงานโดยเป็นบริษัทรับจ้างทำบัญชีแห่งหนึ่ง  ทำให้พี่วิทยามีงานทำตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ทำไปสักพักก็กลายเป็นพนักงานประจำของบริษัท สนุกกับงานมาก ทำให้กว่าจะเรียนจบจึงใช้เวลาถึง 7 ปี  

20220607122212_IMG_0901

การทำงานในสำนักงานบัญชีหลายปีทำให้ได้รู้ได้เห็นว่าธุรกิจต่างๆนั้นมีรายรับและรายจ่ายเป็นอย่างไร และงานที่ทำในสำนักงานก็ทำด้วยตัวเองครบทุกอย่าง เห็นรายรับรายจ่ายของบริษัทตัวเองด้วย  นอกจากดูตัวเลขรายรับรายจ่ายของลูกค้าแล้ว ยังมีงานส่วนที่ต้องติดต่อกับสรรพากร  ได้รู้ว่าการคุยกับสรรพากรต้องรู้กฏหมาย  เลยได้เรียนรู้เรื่องกฏหมายมาตลอด  เจ้านายเคยพูดว่า ถ้าอ่านหนังสือกฏหมายครบ 10 รอบ ก็เปิดบริษัทเองได้แล้ว  การทำงานมาหลายปีทำให้ได้อ่านครบ 10 รอบจริงๆ  เลยทำให้อยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง  และเจ้านายก็สนับสนุนด้วย จึงตัดสินใจออกมาเปิดบริษัทเอง

ในช่วงเวลาที่ตัดสินใจจะเปิดบริษัทตัวเอง  มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้ตัดสินใจเร็วขึ้นนั่นคือ ประเทศไทยในเวลานั้นมีการเปลี่ยนวิธีการเก็บภาษีการค้ามาเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม  เรื่องนี้คนทำบัญชีจะรู้ดีว่าจะมีงานบัญชีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก  ทำให้การออกมาเปิดสำนักงานบัญชีจะคาดหวังการเติบโตได้ บริษัทบัญชีน่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น  การทำบัญชี รับจ้าง จะคึกคักมาก

มีกติกาข้อหนึ่งของวงการบัญชีคือ ผู้สอบบัญชีจะต้องไม่เป็นผู้ทำบัญชี  การจะเป็นผู้สอบบัญชีได้จะต้องผ่านการสอบเท่านั้น  ซึ่งผู้ที่จะสอบผ่านมักจะต้องผ่านการทำงานในบริษัทบัญชีระดับใหญ่มาก่อน  พี่วิทยาประเมินแล้วว่าไม่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่  ทำให้ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้สอบบัญชี  เลยมุ่งมั่นหางานทำบัญชีอย่างจริงจัง  และผ่านมากว่า 40 ปีในอาชีพ งานบัญชีของพี่วิทยาไม่เคยมีปัญหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สมัยเป็นลูกน้อง  สำนักงานบัญชีของเจ้านายมีลูกค้าประมาณ 200 ราย  ส่วนตอนที่ลาออกมา  เจ้านายใจดีให้ลูกค้าติดมือออกมาด้วย 8 ราย  ทำให้การเริ่มต้นบริษัทของตัวเองมีช่องทางทำงาน  มีรายได้  มีลูกค้า และลูกค้าจาก 8 รายแรกก็มีการบอกต่อ สามารถหาลูกค้าเพิ่มได้อีก เป็น 12 รายในเดือนแรกของบริษัทตัวเอง  แต่ด้วยความเป็นคนทำบัญชีที่อยู่กับตัวเลขอย่างตรงไปตรงมาก็รู้ว่าลูกค้า 12 รายไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงบริษัทอยู่แล้ว  จะต้องพยายามหาลูกค้าเพิ่มขึ้น  เลยได้เอ่ยปากขอจากลูกค้าที่ทำงานให้ว่า  ถ้าลูกค้ามั่นใจในการทำงานของสำนักงานบัญชี ขอให้ลูกค้าช่วยแนะนำเพื่อน แนะนำธุรกิจอื่นๆที่รู้จักให้ด้วย  และลูกค้าก็มั่นใจแนะนำให้จริงๆ  ช่วงปีแรกของการทำงานบริษัทของตัวเองจึงมีลูกค้าถึง 20 ราย  ซึ่งพอจะทำให้บริษัทอยู่รอดได้

สำนักงานบัญชีของพี่วิทยาในช่วง 7 เดือนแรกเป็นการทำงานตัวคนเดียว  จนเมื่อลูกค้าเพิ่มขึ้นจึงเริ่มขยับขยายหาที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่  จ้างลูกน้องเพิ่มขึ้น เป็นการขยายกิจการของตัวเองครั้งแรก  รวมถึงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว  ทำให้งานบัญชีค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ประสบการณ์การทำบัญชีก็สะสมมากขึ้น  ความชำนาญในการพูดคุยกับสรรพากรก็เริ่มกลายเป็นจุดเด่น  เพราะตลอดเวลาที่ติดต่อกับสรรพากร พบว่ามีเรื่องราวไม่กี่อย่างที่จะต้องไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่  เมื่อสรรพากรเรียกเจ้าของธุรกิจเข้าไปพบ สำนักงานบัญชีก็จะเข้าไปแทน ไปรับข้อมูลจากสรรพากรว่าจะตรวจอะไร ต้องเตรียมข้อมูลอะไร เมื่อได้คุย ได้แก้ต่าง ได้อธิบายกับสรรพากรแทนลูกค้าบ่อยครั้งเข้าก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ชำนาญ  ทำให้กลายเป็นจุดเด่นว่าเป็นสำนักงานบัญชีที่เจรจาภาษีกับสรรพากรได้ดี  หลายครั้งการเจรจาก็ช่วยลดยอดการเสียภาษีของกิจการได้

20220607121643_IMG_0875

การที่สรรพากรจะเรียกเจ้าของธุรกิจเข้าไปพบมีได้สองสาเหตุ  สาเหตุแรกคือเป็นการเรียกแบบสุ่มตรวจ  มักจะเกิดกับบริษัทที่เปิดทำกิจการมาแล้วประมาณ 2-3 ปี  สาเหตุที่สองคือ เอกสารที่ยื่นมีปัญหาบางอย่าง  ส่วนมากปัญหาจะเกิดจากการใช้เอกสารใบกำกับภาษีปลอม  ปัญหานี้เกิดจากเจ้าของบริษัทอยากจะหารายจ่ายมาเพิ่มเติมในงบที่ยื่น  เพื่อให้ผลต่างยอดขายลบยอดซื้อแล้วเหลือกำไรน้อย  เพื่อจะได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มน้อย  เลยไปซื้อใบกำกับภาษีมานั่นเอง  ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะคิดว่าเป็นแค่บิลรายจ่ายใบเดียว  แต่ถ้าโชคร้ายคนที่ออกบิลให้ดันไม่ได้จดทะเบียนบริษัท  เอกสารนั้นเลยเป็นของปลอม  และส่วนมากบริษัทที่ขายใบกำกับภาษีก็มักจะปลอม   การทำแบบนี้เป็นการสร้างปัญหาให้กับธุรกิจตัวเอง ผลก็คือสรรพากรจะต้องเรียกคุยแน่นอน  ซึ่งพี่วิทยาจะพบเคสแบบนี้อยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่ไปช่วยแก้ไข เจ้าของบริษัทก็จะไว้ใจให้ทำงานบัญชีต่อเลย  ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการแก้ปัญหาให้หมดลงได้

ในสมัยปี พ.ศ. 2540 เป็นปีที่มีวิกฤตเศรษฐกิจในไทย  มีการลดค่าเงินบาท  ซึ่งส่งผลทันทีกับบริษัทที่ต้องค้าขายกับต่างประเทศเป็นหลัก   บริษัทในประเทศไทยบางส่วนมีธุรกิจที่ดีในช่วงก่อนปี 2540  พอถึงปีที่ลดค่าเงิน เศรษฐกิจเริ่มแย่ในวงกว้าง  รายได้ของปี 2541 และ 2542 ก็เริ่มลดลง และหนี้สิ้นก็เพิ่มขึ้น  บริษัทที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานบัญชีก็ประสบปัญหาไม่ต่างกับทุกคนในประเทศ  แต่พี่วิทยาก็เริ่มแนะนำให้แก้ปัญหาไปทีละอย่าง  ตอนปี 2540 เมื่อลดค่าเงิน  พี่วิทยาแนะนำให้รีบชำระหนี้ต่างประเทศเสียก่อน เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน  และในการบริหารหลังปี 2541 2542 เป็นต้นมาก็แนะนำให้พยายามหารายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งสามารถทำได้โดยการเพิ่มสินค้าตัวใหม่มาขาย

ตอนที่เศรษฐกิจเริ่มแย่  สมมุติว่าประเทศเคยมีรายได้ 1 แสนล้าน  พอมีวิกฤต  ยอดธุรกิจน้อยลง รายได้อาจจะเหลือครึ่งเดียวคือ ห้าหมื่นล้าน  แม้ว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบนี้  แต่บริษัทก็ยังอยู่ในตลาดที่มีรายได้ห้าหมื่นล้านอยู่ดี  ดังนั้น บริษัทเล็กๆของลูกค้าที่มีเป้าแค่ สามสิบล้านบาท  มันก็ยังถือว่าเป็นไปได้ที่จะทำยอดขายสามสิบล้านจากตลาดห้าหมื่นล้าน  ดังนั้นแผนการตลาดที่จะเพิ่มยอดขายเป็นสิ่งจำเป็น พี่วิทยาก็จะแนะนำให้พยายามโฟกัสที่งานขาย  อย่าโฟกัสที่ปัญหา  บริษัทที่เชื่อคำแนะนำแล้วพยายามปรับตัว พยายามชำระหนี้ต่างประเทศ พยายามเพิ่มงานส่วนเซลส์ เพิ่มการทำงานส่วนการขาย ก็จะพออยู่รอดได้  และก็อยู่รอดจริงๆ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ปรับตัว ผลก็คือ ช่วงปีวิกฤตต้มยำกุ้งครั้งนั้นลูกค้าบัญชีของพี่วิทยาก็ปิดกิจการไปประมาณ 20%

มีลูกค้าบัญชีท่านหนึ่งทำธุรกิจขายรถมอเตอร์ไซด์  ปกติรายได้ของร้านขายมอเตอร์ไซด์จะมาจากสองทาง หนึ่งคือรายได้จากการขายรถให้ลูกค้าโดยตรง  และสองมาจากการปล่อยไฟแนนซ์เพื่อรับดอกเบี้ย   ลูกค้าปรึกษาเรื่องการทำบัญชีและวางแผนการเพิ่มยอดขาย สำนักงานบัญชีของพี่วิทยาเป็นคนที่รู้ตัวเลขละเอียด รู้รายรับ รู้รายจ่ายของลูกค้า  พอวิเคราะห์ตัวเลขแล้วก็ได้คำตอบว่า ต้องขายรถมอเตอร์ไซด์ให้ได้เดือนละ 70 คันเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการบริหารทั้งหมด  มีรายได้ให้ลูกน้อง มีรายได้ของตัวเองที่พอใช้  ถ้าน้อยกว่า 70 คันแปลว่าขาดทุน  ก็เลยให้ลูกค้าตั้งเป้าหมายการขายเป็นตัวเลขที่สูงเอาไว้  เลยไปตั้งเป้ากันที่ 140 คัน  แล้วก็หาวิธีสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้า 140  ซึ่งส่วนมาก การตั้งเป้าหมายก็มักจะได้ผลประกอบการที่ไม่ค่อยถึงเป้า  แต่การไม่ถึงเป้าก็จะเป็นไปในลักษณะ เกือบได้ เกือบถึง นั่นทำให้ยอดขายวิ่งไปได้ที่ร้อยกว่าคัน  ซึ่งมันเกินไปจากตัวเลขขั้นต่ำมากแล้ว  ธุรกิจเลยมีการเติบโต

อีกปัญหาหนึ่งของการเพิ่มยอดขายให้ได้จำนวนมากกับร้านมอเตอร์ไซด์คือเงินทุนหมุนเวียน  เพราะการขายมากก็หมายถึงต้องเอาเงินไปซื้อจากโรงงานจำนวนมาก  จากเครดิตที่เคยได้ระดับ 70 คัน พอจะต้องขายมากยิ่งขึ้นก็ต้องกลายเป็นขอเครดิตให้มากขึ้น  ซึ่งอาจจะต้องเป็นหนี้การค้าไปถึงระดับ 140 คัน  การหาเงินมาซื้อรถจากโรงงานระดับนี้ต้องใช้เงินสดเยอะมาก  แต่ก็มีวิธีอื่นคือต้องขอให้โรงงานปล่อยเครดิตมากขึ้นแทนการใช้เงินสดไปซื้อ  การจะให้โรงงานปล่อยเครดิตระดับนี้ก็ต้องอาศัยความไว้ใจ  อาศัยการจ่ายเงินตรงเวลามาตลอดหลายปี   สำนักงานบัญชีแนะนำให้ไปเจรจาขอเพิ่มวงเงินเครดิต  โดยยอดขายที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นพร้อมกับนิสัยการจ่ายหนี้ตรงเวลาทำให้ได้วงเงินสูงขึ้นตามที่วางเป้าไว้  และสุดท้ายในอีกหลายเดือนถัดมาหลังจากที่ได้เครดิตเพิ่มขึ้นแล้ว  ร้านขายมอเตอร์ไซด์ก็สามารถทำยอดได้ระดับ เดือนละ 200 คัน  และปีถัดมาก็ปิดยอดทั้งปีไปที่ 3000 คัน

มีลูกค้าบัญชีอีกรายหนึ่งเป็นบริษัทที่นำเข้าสินค้ามาขาย  และเจ้าของอยากจะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น  เมื่อปรึกษากับพี่วิทยาแล้วก็เห็นตรงกันว่าจะต้องเพิ่มยอดขาย  อยากได้รายได้ระดับ 50 ล้าน ต้องตั้งเป้า 70 ล้าน ซึ่งเป็นแนวทางที่เข้าใจได้  แต่การจะขายของเพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ดังนั้นจึงต้องอาศัยการมองหาสินค้าอื่นๆมาขายเพิ่มเติม  เพราะว่า  ลูกค้าเป็นบริษัทที่มีจุดเด่นเรื่องการขาย  ทีมขายของทำงานเป็นอยู่แล้ว  ดังนั้น  ลูกค้าสามารถใช้ทีมงานเดิมมาขายสินค้าตัวอื่นเพิ่มเติม  ทีมงานแค่เพิ่มสินค้า  แล้วขายด้วยความสามารถแบบเดิมที่มี  ทั้งหมดก็จะเป็นการเพิ่มยอดขายอย่างที่ต้องการ  และเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นแล้ว สิ่งที่จะต้องทำเพิ่มเติมคือ บริหารเงินเก็บให้งอกเงย  การลงทุนกับสินทรัพย์อื่นเป็นเรื่องจำเป็น  เพราะจะเป็นการใช้เงินทำงาน  เป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ อย่างที่ดิน บ้านเช่า หรือคอนโด  เพื่อให้เงินทำงานต่อนั่นเอง  และแม้แต่การขายกิจการให้ผู้อื่นมารับช่วงไปก็เป็นเรื่องที่แนะนำให้ทำหากเป้าหมายชีวิต เป้าหมายการทำงาน และเป้าหมายการเก็บเงินทำได้ครบแล้ว การขายบริษัทก็เป็นหนทางที่จะทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น  เพราะจะได้ไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้เรื่องราวอย่างอื่นต่อไป

20220607121308_IMG_0855

การแนะนำต่างๆที่มีให้ลูกค้าบัญชีเป็นเรื่องที่เกิดจากการรู้ตัวเลขที่แท้จริง รู้ที่มาที่ไป รู้ความสัมพันธ์ เข้าใจงบการเงิน  เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขก็จะรู้ว่า ต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้บริษัทอยู่รอด  ต้องทำงานแค่ไหนถึงจะอยู่ในสถานะกำลังเติบโต  เพราะแต่ละธุรกิจมีรายละเอียดต่างกัน  ดังนั้น การพูดคุยซึ่งกันและกันระหว่างลูกค้าและสำนักงานบัญชีก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การขยายธุรกิจเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

การทำงานที่ยาวนาน  อยู่มาจนเห็นวัฏจักรของธุรกิจครบรอบ  ตั้งแต่เปิดบริษัทจนถึงวันที่รุ่งเรือง มาสู่การถดถอยและปิดตัวเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป  เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกเล่าสถิติเอาไว้ว่า บริษัทจำนวน 100 บริษัทจะปิดตัวลงประมาณ 97 % เมื่อผ่านไป 10 ปี   ซึ่งในแวดวงบริษัทที่พี่วิทยารู้จักก็มีการปิดตัวลงเช่นกัน แม้สิบปีแรกจะไม่ได้ปิดไปถึง 97% แต่เมื่อผ่านไปถึง 20 ปี บริษัทที่เหลืออยู่กลับเหลืออยู่แค่ 3%  ซึ่งเป็นไปตามสถิติ  การปิดกิจการจำนวนมากนี้พบว่ามักมีสาเหตุที่คล้ายกัน 

จุดอ่อนของเจ้าของธุรกิจที่ทางสำนักงานบัญชีได้พบมาตลอดคือ ทุกคนจะตั้งใจทำงานมาก ในช่วง 1-5 ปีแรก  และทุกรายก็มีได้รายได้ที่ดี  พอกิจการเริ่มดีก็เริ่มใช้เงินซื้อความสุขมากขึ้น  ซื้อรถ ซื้อบ้าน  สร้างหนี้สินที่ใหญ่ขึ้น ทั้งหนี้ส่วนตัวและหนี้การค้า  พอประสบความสำเร็จในกิจการ ก็เกิดความรู้สึกว่าสบาย  ทำให้ความจริงจังในการทำงานลดลง  ลูกน้องที่โตมากับบริษัทก็จะเก่งขึ้นและสุดท้ายจะลาออกไปทำธุรกิจเอง  ซึ่งธุรกิจที่ลูกน้องชำนาญก็คือธุรกิจแบบของเรา   ลูกน้องเก่าจะเป็นคู่แข่งกับบริษัทโดยอัตโนมัติ  และด้วยความสบาย ทำงานไม่เข้มข้นเหมือนช่วงแรก หลังปีที่ 10 จะเริ่มรายได้น้อยลง  รวมกับมีคู่แข่ง รวมกับมีหนี้บ้าน หนี้สินทรัพย์ต้องผ่อนต้องจ่ายมากขึ้น  ทำให้รายได้ธุรกิจไม่พอใช้  ในที่สุดจะแย่ลงและไปสู่การปิดกิจการในปีที่20  วงจรนี้เกิดขึ้นบ่อย  คนที่มีรายได้ที่ดีจากธุรกิจควรเรียนรู้การลงทุน และควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่หนี้สิน  สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้  ไม่ควรเก่งแค่การทำธุรกิจตัวเองเพียงอย่างเดียว  ควรหาความรู้การออมการลงทุนอย่างจริงจัง  ต้องมองหาการลงทุนในธุรกิจอื่นตลอดเวลา  เพราะไม่มีอะไรยั่งยืน  

แม้แต่ธุรกิจที่ปั้นมากับมือก็ไม่ยั่งยืน  เจ้าของธุรกิจมือใหม่ทั้งหลายไม่ได้มีประสบการณ์ 20 ปีที่จะเห็นมาครบวัฎจักร เปิด-เจริญ-ถดถอย-ปิดบริษัท  ดังนั้น นักธุรกิจรุ่นใหม่ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นและเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลง  พัฒนาตัวเองในเรื่องความรู้รอบตัว  หาความรู้เรื่องการลงทุนควบคู่ไปกับการทำงานพัฒนาบริษัทตัวเอง  อย่าหยุดเรียนรู้เป็นอันขาด

20220607121921_IMG_0884

บริษัทรุ่นใหม่หลายบริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็ก  มักจะเป็นธุรกิจที่สดใส  พอตั้งใจทำมันก็พัฒนาได้  มันมีศักยภาพที่จะขยาย  ถ้ารู้จักการวิเคราะห์และตั้งเป้าหมาย  ควรรู้ตัวเลขที่แท้จริงของธุรกิจตัวเองทุกแง่มุม  แต่ปัญหาของธุรกิจมือใหม่ที่มักจะประสพก็คืองานขาย  การรับลูกน้องมาเป็นฝ่ายขายเป็นคำตอบที่ถูก แต่หลายแห่งให้เวลาลูกน้องน้อยเกินไป  ส่วนมากรอเวลาลูกน้องพิสูจน์ยอดขายสามเดือน  พอไม่เข้าเป้าก็ให้ออกไป  แล้วก็รับคนใหม่  เริ่มต้นใหม่  บริษัทก็เลยไม่โตสักที  กว่าจะพัฒนาฝ่ายขายให้ดีต้องใช้เวลานาน  เหมือนการปลูกต้นไม้ต้องมีเวลาค่อยๆโตของมัน  งานขายของธุรกิจควรจะพัฒนาทีมขายสัก 2 ปี  อย่าไล่คนออกแล้วเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา  การไม่สร้างทีมขายจะทำให้เราไม่โต  การหาเงินคนเดียวแบบเจ้านายเก่งคนเดียวบริษัทก็ไม่โต  มีแต่ทีมขายเท่านั้นที่จะทำให้บริษัทโตได้เพราะมีหลายคนช่วยกันขายจะดีที่สุด  ขั้นตอนการขายจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการเติบโต  ส่วนขั้นตอนการผลิต และการเก็บเงินหากมีงานส่วนนี้มากจริงๆการหาคนมาช่วยทำงานเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าหาคนมาช่วยขาย  เวลาได้คุยแลกเปลี่ยนทัศนะกับลูกค้าบัญชีพี่วิทยาจะพยายามเน้นให้โฟกัสไปที่การสร้างทีมขาย  พัฒนาฝ่ายหารายได้เข้าบริษัทเป็นอันดับแรก

ใครที่ควรมีคนทำบัญชีแบบนี้อยู่กับบริษัท

บริษัทที่ทำงานมาหลายปีแล้วยังไม่มีเงินเก็บ

บริษัทที่รู้สึกว่าเสียภาษีเยอะ อยากมีที่ปรึกษาที่ช่วยลดภาษีแบบไม่ผิดกฏหมาย

ขอขอบคุณ วิทยา ต่อเจริญ

สำนักงานบัญชีเนชั่น

ติดต่อ 09-2525-9265