รวมภาพจาก ZV-1f สไตล์ฟิล์ม

กล้องคอมแพ็คของ Sony รุ่น ZV-1f เป็นกล้องที่มีโหมดสี FL หรือ ย่อมาจากคำว่า Film look ซึ่งเป็นสไตล์สีที่ทำเลียนแบบภาพจากฟิล์ม อดีตเวลาเราถ่ายภาพด้วยฟิล์ม หากต้องการจะดูภาพเราก็ต้องอัดภาพมาเป็นกระดาษ และหากจะดูภาพในจอคอมพิวเตอร์หรือในสมาร์ทโฟน เราก็ต้องสแกนฟิล์มเป็นไฟล์ภาพ ซึ่งร้านล้างฟิล์มก็จะมีบริการสแกนฟิล์มด้วย บางคนไม่อัดภาพเป็นกระดาษแล้ว ก็จะส่งฟิล์มไปล้าง+สแกนเลย เราก็จะได้ดูภาพจากฟิล์ม

DSC00378

แต่กว่าจะเสร็จสิ้นขบวนการล้างและสแกน ก็ใช้เวลาหลายวัน หรือแม้แต่การไปส่งฟิล์มแล้วนั่งรอ ก็ต้องลุ้นว่าทางร้านจะล้างฟิล์มให้ได้ในวันเดียวไหม ความไม่สะดวกเรื่องเวลาทำให้กล้องดิจิทัลที่ให้ภาพสไตล์ฟิล์มได้เริ่มน่าสนใจ และก็พบว่าใน ZV-1f มีโหมดภาพสไตล์ฟิล์มมาให้ช่างภาพที่นิยมภาพจากฟิล์มได้มีของเล่นติดตัวชิ้นใหม่

นอกจากภาพสไตล์ฟิล์มแล้ว เรายังสามารถเลือกสไตล์สีแบบนี้ตอนถ่ายวิดีโอได้ด้วย ทำให้เราได้ภาพเคลื่อนไหวที่ดูคล้ายฟิล์มเช่นกัน และมันก็ดูเป็นสีสันที่น่ามอง เหมือนภาพจากโรงหนัง เหมือนภาพงานหนังอาร์ตที่มีสีอมเขียวอมฟ้าเล็กน้อย บางคนใช้กล้องโปรตัวใหญ่ถ่ายคลิปทำงานโปรดักชั่นสุดเนี้ยบแล้วในขั้นตอนสุดท้ายก็ย้อมสีทั้งงานให้เป็นสไตล์หนังอาร์ต ซึ่งแนวสีที่ถ่ายคลิปได้เหมือนหนังอาร์ตมีให้ใช้ตรงๆ เราได้ภาพสีอาร์ตในขั้นตอนการถ่ายเลย จบหลังกล้องจริงๆ

DSC00398

กล้อง ZV-1f มีจอภาพแบบ flip บิดกางออก ปรับหมุนเพื่อถ่ายภาพแนวดิ่ง ภาพก้มลงมองจานอาหารได้สะดวก ทำให้ถ่ายภาพของกินได้มุมมองที่แปลกตามากขึ้น จอภาพที่หมุนได้รอบตัวช่วยให้เราจัดองค์ประกอบภาพได้อิสระมาก แม้แต่การบิดจอเพื่อถ่ายตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ทำได้สะดวก เหมาะกับการทำงานคนเดียว ถือกล้องเอง ดูจอเอง เลือกมุมกล้องเอง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมให้รุงรัง

DSC00517

การถ่ายคลิปวิดีโอด้วยเฟรมภาพสูงระดับ 120ภาพต่อวินาทีหรือ 120fps แล้วนำมาเล่นกลับในความเร็ว 30 ภาพต่อนาที ก็จะได้ภาพสโลว์ที่สวยงาม เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว และยิ่งมีสไตล์สีที่ดูเป็นโทนหนังอาร์ต ก็ทำให้คลิปดูน่าสนใจมากขึ้น

DSC00631
DSC00627

ด้วยเลนส์ติดกล้องเป็นเลนส์รูรับแสงกว้างระดับ f2 ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นเรื่องง่าย เพราะความไวแสงของเลนส์และการตั้งค่า iso ที่สูงขึ้นโดยสัญญาณรบกวนน้อยตามสไตล์กล้องยุคใหม่ ภาพบรรยากาศในโรงแรมที่มีแสงไม่เยอะมากก็เก็บภาพได้ เล่าเรื่องด้วยสไตล์สีที่น่ามองได้

DSC00637

เลนส์มุมกว้างเทียบเท่ากับเลนส์ 20มม. เป็นเลนส์ที่ให้ภาพดูยิ่งใหญ่ อลังการ เหมาะกับการถ่ายในที่แคบแล้วเก็บภาพได้เหมือนตาเห็น เรายืนคุยกับใคร มองอะไร เรายกกล้องถ่ายด้วยเลนส์ 20มม. เราจะได้วัตถุที่เรามองเห็นอยู่ในภาพเลย โดยไม่ต้องถอย

DSC00570

สรุป

สไตล์ภาพ FL หรือ Film Look เป็นสไตล์สีที่เลียนแบบภาพจากฟิล์ม ให้โทนภาพอมเขียวอมฟ้าดูคล้ายภาพจากหนังหรือมิวสิควิดีโอที่แต่งสีหรือปรับสีมาแล้ว เป็นการทำสีเสร็จในกล้องเลย ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีที่ต้องการเลย ไม่ต้องไปเสียเวลาทำต่อในโปรแกรมตัดต่อ เหมาะกับช่างภาพหรือคนที่ต้องการลดขั้นตอนการทำงานให้น้อยที่สุด ทีมงานตัวคนเดียวควรจะมีอุปกรณ์แบบนี้ใช้งาน

DSC02230
DSC02168
DSC01788
DSC01696
IMG_20240331_212007
DSC01735
DSC01602
IMG_20240318_104825
1710671844668

รีวิวกล้อง SONY ZV-1F

รีวิวกล้องน่าใช้ Sony ZV-1F.

1707829233240-01

สำหรับช่างภาพที่ฝึกฝนการถ่ายภาพมาระยะหนึ่ง บางคนอาจมีอาชีพเป็นช่างภาพ บางคนอาจมีอาชีพอื่นที่ต้องถ่ายภาพจำนวนมาก ก็จะมีบางเวลาที่ไม่อยากจับกล้องตัวใหญ่ที่ใช้ทำงาน บางครั้งก็อยากได้กล้องตัวเล็กพกง่าย หยิบได้เร็ว เก็บได้เร็ว เอาไว้ถ่ายภาพในวันสบายๆ แต่วันสบายๆนั้นก็ต้องได้ภาพที่ดีซึ่งหมายถึงดีตามมาตรฐานระดับสูงของช่างภาพ ก็คืออยากได้กล้องเล็ก เบา และให้ภาพดีเหมือนกล้องโปรนั่นเอง

IMG_1176

ในยุคสมัยของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่แสนเฟื่องฟู ตั้งแต่กล้องในโทรศัพท์คุณภาพดีเท่ากับกล้องคอมแพ็คหรือกล้องดิจิทัลตัวเล็กๆ กล้องคอมแพ็คก็โดนแย่งตลาดไป คนส่วนใหญ่ซื้อโทรศัพท์ราคาระดับกลางไปถึงสูงเพื่อให้มีกล้องคุณภาพดีอยู่ในโทรศัพท์และใช้แทนกล้องถ่ายภาพไปเลย พอตลาดมวลชนหันไปใช้โทรศัพท์แทน กล้องคอมแพ็คก็ทะยอยเลิกผลิตกันไป ถ้าเป็นสักห้าปีก่อน บางทีเรานึกไม่ออกเลยว่าจะมีกล้องคอมแพ็คดิจิทัลราคาย่อมเยาให้ซื้อหรือไม่  ตามร้านกล้องในห้างก็ไม่มีวางขายกล้องคอมแพ็คหลักพันบาทแล้ว เหลือแต่หลักหมื่นจนไปเป็นหลายๆหมื่น บางรุ่นก็เป็นแสน

ในอดีตผมมีความรู้สึกชอบกล้องคอมแพ็คที่เป็นกล้องฟิล์มอยู่หลายตัว Leica Minilux ก็เป็นกล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มของไลก้าที่ราคาไม่แพงเท่าตัวอื่นของยี่ห้อนี้ ก็มีไว้ใช้อยู่พักหนึ่ง ถ่ายเล่นพอสนุกๆแล้วก็วางเก็บไว้ ถือว่าเป็นกล้องฟิล์มที่มีขนาดตัวเล็กกว่ากล้องระดับโปร ตอนใช้งานก็หยิบขึ้นมากดถ่าย วัดแสงได้แม่นยำ ให้ภาพที่ดี  แต่พอเข้าสู่ยุคฟิล์มแพงและการใช้งานต้องรอล้างฟิล์มและสแกนภาพหลายวันก็เลยไม่ค่อยได้ใช้อีก 

กล้อง Contax T3 ก็เป็นกล้องฟิล์มตัวท๊อปตัวหนึ่ง ให้คุณภาพที่ดีมาก โฟกัสเร็วมาก วัดแสงแม่นมาก ใช้ถ่ายภาพอยู่หลายม้วน หลังๆก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะขี้เกียจรอเวลาส่งฟิล์มล้าง แถมระยะหลังฟิล์มราคาแพงจนไม่น่าคบ ก็เลยวางยาวไว้ในกระเป๋ากล้อง แทบไม่ได้แตะอีกเลย

Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คค่ายญี่ปุ่นที่ออกแบบดี แข็งแรง และคุณภาพดีเช่นกัน เรื่องกล้องผมว่าญี่ปุ่นไม่เป็นรองเยอรมันเลย หามาใช้เพราะได้ข่าวว่าดี ลองใช้แล้วก็พบว่าดีจริงและราคาไม่แพงมาก ทั้งสามตัวที่กล่าวถึงก็จะมีรีวิวเขียนไว้ในเว็บนี้แล้ว ลองหาอ่านดูได้

IMG_0046
ฟิล์มขาวดำที่ผ่านการล้างแล้ว รอนำไปอัดเป็นภาพ

กล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มที่กล่าวถึงนี้ใช้งานได้ดี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าล้างฟิล์มและการสแกนภาพ ปัจจัยกำหนดคุณภาพของภาพต้องคิดตั้งแต่เลือกฟิล์ม เลือกกล้องเลือกเลนส์ เลือกร้านล้างฟิล์มและสแกน กว่าจะได้ภาพที่ถูกใจต้องเสี่ยงวัดดวงกันหลายอย่าง สุดท้ายเมื่อได้ภาพมาก็ดูภาพสแกนในโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็ในคอมพิวเตอร์ แถมเอาไปโพสท์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คก็ส่งดิจิทัลไฟล์ออกไป แทบไม่ได้อัดขยายออกมาเป็นภาพบนกระดาษเลย

พอไม่คิดจะอัดภาพเป็นกระดาษก็เลยมองหากล้องดิจิทัลคอมแพ็คกันอีกครั้งในรอบสิบปี ผมเคยมีกล้องคอมแพ็คตัวเจ๋งอย่าง Fuji x100 ที่ราคาไม่ถูกเลย แต่ก็ใช้อยู่ปีกว่าก็ขายออกไปก่อน เพราะว่าโฟกัสช้า ไม่สามารถถ่ายภาพลูกที่กำลังหัดคลานหัดเดินได้ทัน กล้องดิจิทัลไม่ได้มีอายุการใช้งานนานเหมือนกล้องฟิล์ม เก็บไว้โดยไม่ได้ใช้ก็ดูเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก มาช่วงนี้ที่ไม่ต้องถ่ายภาพเด็กคลานและเดินแล้ว เพราะลูกโตเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน ก็แทบจะเลิกใช้กล้องคอมแพ็คหรือกล้องฟิล์มถ่ายไปเลย ต้องเปลี่ยนไปใช้กล้อง DSLR แทนเพื่อให้ถ่ายภาพตอนเคลื่อนไหวเร็วๆได้ทัน ประกอบกับมีเรื่องของการถ่ายคลิปวิดีโอเพิ่มเข้ามาด้วย กล้องAction camera อย่าง gopro ที่ลงน้ำได้ด้วย ก็ต้องหามาใช้ประกอบกัน  การหากล้องถ่ายภาพมาใช้อีกครั้งก็เลยคิดเผื่อความสามารถเรื่องการถ่ายวิดีโอเพิ่มเติม คืออยากได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่ดีในกล้องตัวเดียวกัน

IMG_1203

ด้วยความชอบสีสันของภาพถ่ายที่มีลักษณะของฟิล์ม ทั้งโทนสีและโทนขาวดำของกล้องฟิล์มมีบุคลิกที่เด่นชัดและยากจะทำเลียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ การค้นหากล้องดิจิทัลที่ให้ภาพคล้ายฟิล์มเป็นเป้าหมายในใจช่างภาพยุคหัดถ่ายฟิล์มมายาวนานหลายปี บางครั้งก็ลองไปปรับแต่งตัวเลขสีในกล้องดิจิทัลทั้งกล้อง DSLR รวมถึงกล้อง mirrorless หลายตัวก็ยังไม่ถูกใจ แต่พอมีข่าวว่า sony ทำกล้องที่สามารถเลือกปรับสีให้ดูเพี้ยนคล้ายภาพจากฟิล์มได้ ก็เลยสนใจ และก็ติดตามอ่านมาเรื่อย จนเกิดเป็นรีวิวกล้อง Sony ZV-1F ตัวนี้

ข้อมูลกล้อง

กล้องอนุกรม ZV ของ Sony เริ่มจาก ZV-1 เป็นกล้องคอมแพ็คเซ็นเซอร์ 1 นิ้ว มาสู่กล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ ZV-E10 เซ็นเซอร์ aps-c ต่อมาก็มี ZV-E1 ที่เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ขนาดเซ็นเซอร์ Full frame แล้วก็มาสู่ กล้องคอมแพ็ค ZV-1F แล้วก็มาถึงกล้องคอมแพ็ค ZV-1 ii จุดเด่นของตัวกล้องกลุ่ม ZV ก็คือมีไมโครโฟนรับเสียงคุณภาพดี และมีลูกเล่นการโฟกัสสิ่งของหรือ Product show case ที่เอาไว้ใช้กับการ live ขายของ หยิบสินค้าชิ้นเล็กๆขึ้นมาโชว์แล้วกล้องสามารถโฟกัสไปที่สิ่งของแทนหน้าคนขายได้ จุดเด่นสองอย่างนี้ทำให้ ZV ทุกตัวได้รับความนิยมมาก

ZV-1F เป็นกล้องดิจิทัลคอมแพ็ค ติดเลนส์ฟิกซ์ 20f2 ซึ่งเป็นเลนส์เดี่ยวคุณภาพสูง รูรับแสงกว้าง เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1 นิ้ว เป็นขนาดที่ไม่เล็กมาก สามารถให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่าโทรศัพท์มือถือและกล้องคอมแพ็คทั่วไป การทำงานภายในกล้องถูกออกแบบมาให้เป็นกล้องที่ทำงานได้เร็ว โฟกัสแม่น และถ่ายวิดีโอได้สเป็คบิทเรทที่สูงมาก การออกแบบเป็นเลนส์ฟิกซ์ทำให้กล้องมีขนาดเล็ก เลนส์ติดกล้องไม่มีชิ้นส่วนยื่นเข้าออกตอนเปิดปิด ทำให้ลดโอกาสความเสียหายเรื่องสายแพรเสียหายในระยะยาว และพอไม่มีการยืดตัวของเลนส์ก็ทำให้มันมีขนาดกระทัดรัดที่สุดตอนทำงาน เหตุที่กังวลเรื่องสายแพรเพราะว่ากล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ยื่นเข้ายื่นออกได้จะมีอาการสายไฟในเลนส์เสียหาย ซึ่งกล้องคอมแพ็คฟิล์มที่เคยใช้มีปัญหานี้แทบทุกตัว แม้แต่เลนส์ซูมที่ใช้กับกล้อง DSLR ก็เคยมีปัญหาสายไฟในเลนส์ขาดเช่นกัน

ยังมีจุดเด่นด้านอื่นที่ทำให้กล้อง ZV-1F ตัวนี้น่าสนใจคือ ช่องเสียบสาย usb เป็นชนิด usb-c สามารถชาร์จไฟได้ด้วยทำให้เราไม่ต้องถอดแบตออกมาชาร์จข้างนอก สามารถเสียบชาร์จด้วย powerbank ได้ ซึ่งข้อนี้เป็นข้อดีมากๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ จะมีประโยชน์โดยตรง 

ยังมีลูกเล่นการปรับโทนสีภาพให้ดูสีสวยแปลกตาหลายแบบ อยู่ในเมนู creative look ทำให้เราสามารถปรับโทนสีของคลิปวิดีโอและภาพนิ่งได้ ซึ่งผมเลือกซื้อกล้องตัวนี้เพราะลูกเล่นการการปรับโทนสีโดยเฉพาะเลย 

หลังจากเริ่มใช้งานมาหลายวันก็ทะยอยค้นพบข้อดีเพิ่มขึ้นทีละอย่าง เชื่อว่าทีมพัฒนาโซนี่น่าจะทำแบบสำรวจหรือขอข้อมูลจากผู้ใช้งานจำนวนมากจะปรับปรุงและใส่ลูกเล่นต่างๆมาในกล้องได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มจาก

DSC00104_1
ZV-1F ถ่ายด้วยรูรับแสงกว้างสุด ตอนกลางคืน แสงสว่างในห้องนอน

เลนส์ไวแสง 20 f2.0 เป็นเลนส์ที่เหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำให้มันเหมาะกับการถ่ายภาพแทบทุกสถานการณ์ ประกอบกับการทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์รับแสงขนาดใหญ่ 1 นิ้ว กล้องที่ผลิตในยุคใหม่เป็นกล้องที่มีสัญญาณรบกวนต่ำกว่ากล้องสเป็คเดียวกันในอดีต คุณภาพของภาพตอนถ่ายในที่แสงน้อยจะดูดีกว่ากล้องเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอย่างมาก 

06-ZV-1F_top_white

ปุ่มชัตเตอร์และปุ่มถ่ายวิดีโอเป็นปุ่มกดวางแยกกัน ไม่สับสนในการใช้งาน และการจัดวางปุ่มก็เลือกวางได้อย่างเข้าใจ การใช้งานระหว่างสองโหมดนี้ไม่สับสนเลย 

DSC00136

เครื่องพิมพ์ตีธง เป็นเครื่องพิมพ์แบบ letterpress ที่ดัดแปลงไปทำงานปั๊มเจาะรู และทำเส้นปรุได้

ระหว่างที่กำลังเล็งจะถ่ายภาพนิ่ง หากเราอยากเปลี่ยนเป็นถ่ายวิดีโอเราก็กดปุ่มถ่ายวิดีโอ กล้องจะเริ่มบันทึกภาพวิดีโอเลย ตรงนี้เป็นการทำงานที่ไม่ต้องย้ายโหมด ไม่ต้องเปลี่ยนโหมด ไม่ต้องเข้าเมนูใดๆ เป็นความรวดเร็วที่ควรทำได้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็เพิ่งพบกับกล้องรุ่นนี้

DSC00164
ภาพใบไม้ถ่ายด้วยเลนส์ 20f2 บนกล้อง ZV-1F
DSC00165
กล้อง ZV-1F กดซูมภาพแบบดิจิทัล 2X

กล้องมีระบบดิจิทัลซูมที่ทำให้เลนส์ฟิกซ์ก็สามารถมีภาพขยายใหญ่เหมือนมีเลนส์ซูมได้ การทำดิจิทัลซูมก็คล้ายกับการคร็อปภาพ ซึ่งหากเลนส์มีคุณภาพ การคร็อปภาพก็จะเหมือนเลนส์มีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นนั่นเอง จากเลนส์ 20มม. ก็จะกลายเป็นเลนส์ 40มม. ในทางปฏิบัติแม้จะเป็นการคร็อปภาพ แต่การคร็อปภาพจากภาพที่ใหญ่มาก ก็ยังคงให้ภาพขนาดกลางที่มีคุณภาพอยู่ sony ออกแบบให้ขยายภาพหรือซูมได้ถึง 4เท่า ซึ่งภาพที่คร็อป4เท่า ก็ยังพอใช้งานได้

ซ้อมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่สนามฟุตบอล

ระบบการซูมดิจิทัลสามารถตั้งค่าความเร็วในการซูมได้ เราสามารถค่อยๆซูมเข้าไปช้าๆที่ตัวบุคคลเพื่อสร้างมุมมองภาพเหมือนการถ่ายทำสารคดีหรือถ่ายหนัง การซูมอย่างนุ่มนวลให้ภาพวิดีโอที่สวยงามนุ่มนวลไม่กระตุก ลูกเล่นการซูมนี้ช่วยทำให้การถ่ายคลิปวิดีโอเป็นเรื่องสนุก เรามีตัวเลือกซูมช้า ปานกลาง และเร็ว รวมถึงมีปุ่มบนหน้าจอที่ 1x 2x 4x ให้เลือกด้วย กดแล้วได้ระยะซูมที่ต้องการทันทีไม่ต้องรอ ระบบการซูมดิจิทัลแบบนี้ใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหวที่น่าดูได้

DSC00110
ของไหว้เทศกาลตรุษจีน

การที่กล้องมีจอภาพแบบ flip สามารถกางออกมาดูในมุมมองอื่นได้ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพเงย หรือก้ม หรือมุมมองแปลกๆได้ ซึ่งกล้อง DSLR ในอดีตการจะถ่ายมุมมองก้มลงอย่างแม่นยำ ก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่ม แต่จอภาพแบบ flip ทำให้การถ่ายภาพทุกองศาการถือกล้องเป็นเรื่องง่าย จัดวางกล้องได้อิสระมาก

DSC00019
ภาพเครื่องพิมพ์ ถ่ายเป็นโหมดขาวดำจบหลังกล้อง

ภาพขาวดำตั้งค่าจากในกล้องเลย ปรับแต่งค่าคอนทราสต์นิดหน่อย เราก็จะได้ภาพขาวดำที่ให้โทนสีดำที่ลึก เข้มข้น เป็นแนวทางใกล้เคียงกับการทำงานขาวดำด้วยฟิล์ม ใกล้เคียงกับการอัดขยายภาพขาวดำบนกระดาษ สไตล์สีขาวดำที่สวยงามต้องเกิดกับคนที่เคยมองภาพขาวดำบนกระดาษอัดภาพจริงๆถึงจะบอกได้ว่าขาวดำแท้จริงเป็นอย่างไร ในอดีตยังไม่เคยมีกล้องดิจิทัลที่ทำภาพขาวดำได้ใกล้เคียงเลย มีตัวนี้แหละที่ดูใกล้ขึ้น และพอยอมรับได้ (ผมยังไม่เคยใช้ Leica monochrome)

DSC00029
ภาพเครื่องพิมพ์ถ่ายในโหมด สี ปรับแต่งสีให้เป็นโทนฟิล์ม ทำเสร็จในกล้องเลย

การถ่ายภาพสีในสถานที่ที่แสงไม่แรงมาก หรือแดดไม่จัด หรือถ่ายในที่ร่ม ภาพจะมีความนุ่มนวลโดยธรรมชาติ และหากรวมกับการปรับแต่งฟิลเตอร์สีที่กล้องมีมาให้ ก็จะทำให้เราได้ภาพคล้ายกับงานที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม 

DSC00131
บรรยากาศในโรงพิมพ์

ภาพขาวดำที่สวยคือภาพที่มีโทนสีขาว เทา ดำ ครบ และส่วนสีดำที่สุดมีความดำที่ดำสนิท ในทางเทคนิคคือภาพมีคอนทราสต์สูง มีส่วนขาวสุดและส่วนดำสุด แต่โทนเทาจะต้องต่อเนื่องคือไล่อ่อนไปเข้มได้นุ่มนวล

DSC00114
แม่ลูกคู่กัน

โหมดสีแบบฟิล์มกลายเป็นโหมดที่ปรับแต่งทิ้งไว้และใช้โหมดนี้ถ่ายภาพเกือบตลอดเวลา เพราะสไตล์สีแบบฟิล์มเป็นสีที่น่ามอง ดูมีเสน่ห์เมื่อเป็นภาพถ่าย ไม่แปลกใจที่จะมีคนชอบภาพสไตล์อินสตาแกรม หรือ มีคนชอบการปรับสีของ app VSCO ซึ่งโซนี่ก็เอาใจเต็มที่ด้วยการใส่โทนสีพิเศษแนวนี้เข้ามาให้เลือกใช้

DSC00104_1
ลองคร็อปภาพเป็นพาโนราม่า

สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือระบบ app ที่ทำงานได้รวดเร็ว เชื่อมต่อง่าย สามารถใช้ app เพื่อโหลดไฟล์ได้สะดวก แถมยังมีระบบเก็บภาพบน cloud ให้ใช้ด้วยอีกขนาด 25Gb ซึ่งพอจะใช้เป็นที่แบ็คอัพภาพนิ่งได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าระบบ app ที่เชื่อมต่อกับ cloud จะมีปัญหาในภายหลังไหม เพราะระบบอื่นๆจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา ส่วนที่เป็น cloud มักจะทำงานดีเมื่อปีแรก และเมื่อเริ่มไม่ได้รับความนิยมของระบบบน cloud ก็มักจะหายไป

DSC00083
ถ่ายภาพโต๊ะทำงาน เลนส์มุมกว้าง 20mm เก็บสิ่งที่มองเห็นครอบคลุมเหมือนสายตาจริงของเรา
DSC00028
ถ่ายระยะใกล้ๆหรือมาโคร รูรับแสง f2 ให้ภาพวัตถุชัดขณะที่ฉากหลังเบลอได้
DSC00125
เก็บภาพมุมกว้างเหมือนตาเห็น เรายืนมองอะไร เราก็ยกถ่ายสิ่งนั้นได้ ไม่ต้องถอย
ระบบดิจิทัลซูม ปรับความเร็วในการซูมไว้ที่ระดับช้า ให้ความนุ่มนวลในการซูมเหมือนมืออาชีพ
บันทึกคลิปได้ไม่ต่างจาก gopro แต่จะได้สีสันตามการปรับแต่งที่กล้องเลย ไม่ต้องไปทำสีอีกครั้งในคอมพิวเตอร์

DSC00177
ภาพสนามฟุตบอล ยืนดูแล้วก็ถ่ายสิ่งที่เห็น ภาพมุมกว้างเหมือนสายตามนุษย์
DSC00162
ทุ่งนาปลูกข้าวกำลังออกรวงสวยงาม 

ข้อจำกัด หรือ อาจจะเรียกว่าเป็นข้อเสียก็ได้

กล้องตัวนี้มีข้อดีเยอะ ขณะเดียวกับก็มีข้อจำกัดที่เยอะเช่นกัน การจะเลือกใช้กล้องตัวนี้ควรจะรู้ว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ด้วยความที่เป็นเซอร์เซอร์ไม่ได้ใหญ่เท่ากับ Full flame หรือเทียบกับ aps-c ก็ยังถือว่าเล็กกว่า มันทำให้กล้องมีสัญญาณรบกวนที่สูงเมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่า ผลก็คือภาพจะไม่เนียนใสในแบบที่เคยได้จากกล้อง Fullframe ถ้าเราเทียบกับมุมใกล้เคียงกัน ZV-1F กับกล้อง aps-c เราก็จะเห็นว่าสัญญาณรบกวนของ ZV-1F มีเยอะกว่าอย่างชัดเจน 

มุมรับภาพของเลนส์ 20mm เทียบเท่า Fullflame ทำให้มันเป็นเลนส์ไวด์หรือเลนส์มุมกว้าง เหมาะกับการถ่ายภาพวิว และถ่ายคลิปวิดีโอเสียมากกว่า การเอาไปถ่ายภาพบุคคล ภาพครึ่งตัวแนวพอร์ตเทรดติดฝาบ้าน หรือภาพเฮดช็อตเน้นใบหน้าและไหล่จะไม่เหมาะเพราะเป็นมุมที่ไม่สวย ถ้าต้องการภาพบุคคลอย่างจริงจังควรไปใช้เลนส์ Tele หรือ 85มม. บนกล้อง Fullflame ไปเลยจะเหมาะกับงานมากกว่า

ZV-1F ถ่ายภาพนิ่งได้เป็น jpg เท่านั้น ไม่มีโหมดไฟล์ raw มาให้ใช้ ทำให้เราหมดโอกาสการปรับแต่งในภายหลังอย่างยืดหยุ่น หากเราชินกับการถ่ายภาพที่ผิดพลาดได้บ้าง หรือ ยังลังเลใจในการแต่งภาพ อยากเลือกโทนสีในภายหลัง เราจะอยากถ่ายเป็น raw ซึ่ง ZV-1F ไม่มี บางคนจะไม่ชอบต้องปรับตัวพอสมควร การมาใช้กล้องที่ถ่ายได้แต่ไฟล์ jpg อย่างเดียวจะบังคับให้เราเลือกสไตล์สีตั้งแต่ตอนถ่าย ซึ่งก็ไม่ได้แย่หากเทียบกับการใช้ฟิล์ม เพราะการเลือกสไตล์สีก็เหมือนการเลือกยี่ห้อฟิล์ม เราเพียงแค่ต้องถ่ายโดยวัดแสงอย่างแม่นยำด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องปรับแต่งหลังถ่ายอีก เนื่องจากแก้ไขความสว่างของภาพและสีกับไฟล์ jpg ทำได้ไม่มาก และยิ่งแก้ไขก็ยิ่งสูญเสียรายละเอียดของไฟล์

การถ่ายสิ่งของหรือสินค้าแบบจัดฉากหรือจัดไฟถ่ายจะค่อนข้างลำบาก เพราะเลนส์เป็นเลนส์ไวด์ แม้จะเข้าใกล้วัตถุได้ แต่ก็จะมีสัดส่วนความเพี้ยนสูง ช่างภาพแนวสินค้าหรือโฆษณามักจะไม่ใช้เลนส์มุมกว้าง เลนส์มาโครระดับโปรจะเป็นเลนส์ทางยาวโฟกัสเยอะหรืออยู่ในระยะ Tele กันทั้งสิ้น ส่วนมากเลนส์มาโครจะมีระยะประมาณ 100มม.

อีกข้อหนึ่งที่เป็นข้อเสียที่ใหญ่หลวงเลยก็คือ กล้องมีความเร็วชัตเตอร์ช้าสุดแค่ 1/4 วินาที คือเปิดหน้ากล้องนานกว่านี้ไม่ได้ แค่ 1 วินาทีก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้ช็อคพอสมควรเลย การเปิดชัตเตอร์นานไม่ได้มันจะทำให้เราไม่สามารถถ่ายภาพ ด้วยเทคนิค long exposure  การจะเอาไปถ่ายพลุเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายไฟรถยนต์ที่วิ่งเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายน้ำตกให้สายน้ำนุ่มๆ เปิดหน้ากล้องนานๆก็ทำไม่ได้ มีเทคนิคการถ่ายภาพอีกหลายอย่างที่ต้องเปิดหน้ากล้องนานๆหลายวินาที น่าเสียดายมากที่ ZV-1F จะทำไม่ได้ ขนาดกล้องคอมแพ็คฟิล์มตัวอื่นในอดีตที่เคยผ่านมาบางตัวยังถ่ายได้ที่ 4 วินาที หรือ 8 วินาที 

การกดล๊อคค่าแสงหรือ Ae lock หาไม่เจอในเมนูปกติ มันถูกซ่อนอยู่ด้านไหนเมนู ต้องตั้งค่าให้ปุ่มคัสต้อมเพื่อใช้คำสั่ง Ae lock ซึ่งกว่าจะค้นหาจนเจอ ผมต้องพยายามหาอยู่หลายครั้งและเรียนรู้การตั้งค่าปุ่มคัสต้อม ใช้กล้องมาเป็นเดือน บอกตรงๆว่ายังตั้งค่าปุ่ม ตั้งค่าเมนูส่วนตัวในกล้องยังไม่เป็นเลย

สรุป

กล้อง Sony ZV-1F เป็นกล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ 20มม. ไวแสง เลนส์คุณภาพสูงมาก ให้ภาพใสกริ๊ง สามารถถ่ายภาพได้เหมือนตาเห็น สามารถใส่สีให้ดูคล้ายโทนภาพจากฟิล์ม ใช้ถ่ายวิดีโอได้คล่องตัว ใส่สีสันในวิดีโอให้ดูเป็นหนังอาร์ตได้ไม่ยาก จบหลังกล้องได้ไม่ต้องไปย้อมสีในโปรแกรมตัดต่อ แต่ก็มีลูกเล่นที่บันทึกไฟล์สำหรับตัดต่อได้แบบโปรด้วย ใช้เป็นกล้องไลฟ์ขายของแสดงสินค้าตัวเล็กๆแล้วกล้องโฟกัสสินค้าเล็กๆได้ นับว่าเป็นกล้องสารพัดประโยชน์ที่ราคาไม่แพงเลย 

ไปดูตัวอย่างภาพจากกล้อง ZV-1F เพิ่มเติมได้ที่นี่

สนใจสั่งซื้อได้ที่นี่ https://shope.ee/5V7Q4wN5Mx

ลองปรับภาพให้ได้โทนเท่ห์ๆแบบฝรั่ง

ภาพนี้เป็นภาพสมัยที่ลูกผมอายุ 3 ขวบ และบ้านเราก็หอบหิ้วกันไปเที่ยวญี่ปุ่น ลูกตัวเล็กน่ารัก กำลังนั่งมองการ์ตูนในแท็บเบล็ตที่เราพกไว้สำหรับใช้ถ่วงเวลา เวลาที่งอแงหรือกินอะไรยากเย็น แสงสว่างตอนเช้าส่องเข้าที่หน้าต่าง แดดยังไม่แรง ความสว่างในระยะเริ่มต้นวันใหม่กำลังสวย เลนส์ efm 22f2 เป็นเลนส์ที่ใช้อยู่บนกล้อง canon eos m1 ซึ่งเป็นกล้อง mirrorless รุ่นแรกของ canon

ผมถ่ายภาพนี้ด้วย setting แบบ jpg+raw และตั้งค่าการถ่ายเป็น Av f2 ตั้งค่าให้กล้องไม่ต้องชดเชยขอบมืด เพราะเจตนาอยากได้ภาพที่ขอบมืดเล็กน้อย กลางภาพสว่างจะดูเด่นขึ้น ส่วนค่า White balance ก็ตั้งไว้ที่ Auto ซึ่งกล้องก็ทำงานได้ภาพที่ดี รูรับแสง F2 ทำให้นายแบบดูคมชัดและด้านหลังที่เป็นกำแพงก็ดูเบลอไปเล็กน้อย ชัดตื้นระดับแค่คนชัดข้างหลังเบลอเป็นลักษณะภาพที่สวยและต้องการอุปกรณ์ที่ดีระดับหนึ่ง เพราะหากเป็นเลนส์ที่รูรับแสงไม่กว้างมากก็ยากที่จะได้ภาพที่มีความเบลอด้านหลังแบบนี้

IMG_8995
dpp-japan2015t-IMG_8995

ในตอนเดินทางเราพบเหตุการณ์อะไร มีอะไรน่าสนใจ เราก็ถ่ายภาพเก็บไว้เรื่อยๆตลอดทริป และทริปนี้ก็เป็นทริปที่ผมพกกล้องและเลนส์ไปตัวเดียว ชุดเดียวถ้วน ไม่มีสำรอง ไม่มีเลนส์เปลี่ยน เนื่องจากการเดินทางข้ามประเทศพร้อมลูกเล็กและรถเข็นเด็กก็ทำให้มีข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้ไม่อยากพกอุปกรณ์กล้องไปเยอะ ผมไม่มีแม้แต่กล้องสำรอง คิดเพียงว่าถ้ากล้องพัง กล้องเสีย หรือ กล้องหาย ก็ซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นไปเลย

เมื่อกลับมาเมืองไทย และเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เปิดดูภาพชุดนี้อยู่เรื่อยๆ และหลายปีต่อมา ก็ทดลองเอามาปรับสีเล่นเพื่อให้ดูคล้ายๆกับแนวทางของช่างภาพเมืองฝรั่งดูบ้าง เพราะภาพแนวสตรีทหรือแนวชีวิตผู้คนก็มักจะมีโทนสีหม่นๆ หรือ อมเขียว อมฟ้าอย่างบอกไม่ถูก กำแพงห้องที่เป็นสีโทนขาว ในหนังอาร์ต หรือหนังฮอลีวู้ดบางเรื่องก็ถ่ายออกมาอมเขียวรุนแรงมาก ผมก็เลยคิดว่า ถ้าเราปรับโทนของภาพ ให้โทนขาวเทาดำมีความเจือปนสีเขียวเล็กน้อยจะเป็นอย่างไร ก็เลยออกมาเป็นภาพเหล่านี้

ภาพโทนอมฟ้าอมเขียวเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามกระแสกล้องฟิล์มที่ฮิตมากอย่างน่าประหลาดใจในช่วงหลายปีก่อน ฟิล์มที่ไม่มีคนสนใจเริ่มถูกซื้อไปถ่ายเล่น กล้องเก่าเริ่มขายดี ฟิล์มถ่ายภาพจากม้วนละไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท กลายเป็นสองร้อย สามร้อย และในปีนี้ คศ 2023 ฟิล์มสีม้วนละ 550 บาทไปแล้ว การลองย้อนไปถ่ายฟิล์มเพื่อให้ได้โทนสีแบบฟิล์มก็ดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ดิจิทัลที่นอนนิ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ลองเอามารับเล่นดูดีกว่า เลยเกิดเป็นภาพอมเขียว อมฟ้า เล็กน้อยแบบนี้

โพสท์แบบ compare

รีวิว gopro 9 กล้องเล็กคุณภาพสูง

g9-01-image

หากจะถ่ายวิดีโอในยุคสมัยปัจจุบัน เรามีทางเลือกมากมายในการเลือกใช้อุปกรณ์ ตั้งแต่การใช้กล้องวิดีโอรูปแบบคลาสิคตัวใหญ่ๆ ไปจนถึงการใช้กล้องถ่ายภาพดิจิทัลที่ส่วนมากก็มีระบบถ่ายวิดีโอให้มาด้วย และยังมีทางเลือกที่ใช้โทรศัพท์มือถือมาถ่ายวิดีโอก็สามารถทำได้ ทุกทางเลือกที่กล่าวมามีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างปะปนมาด้วย

กล้องวิดีโอทรงคลาสิคบางตัวต้องแบกขึ้นไหล่ บางตัวต้องใช้มือทั้งมือในการจับถือ บางตัวต้องถือสองมือ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ข้อเสียที่เด่นชัดคือความใหญ่โตที่ดูไม่คล่องตัวเสียเลย นักท่องเที่ยวไม่สามารถพกกล้องวิดีโอติดตัวได้ตลอดเวลา เป็นภาระการเดินทางและเป็นภาระในการประกอบกล้องออกมาใช้งาน

ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องดิจิทัลตัวหลักก็ให้คุณภาพของภาพได้สูงมาก แต่ก็จะไปติดกับข้อเสียบางอย่างคือ ขนาดมันยังใหญ่เกินไป และการใช้กล้องดิจิทัลตัวหลักมาถ่ายวิดีโอก็จะทำให้แบตหมดเร็วมากจะทำให้เสียโอกาสการถ่ายภาพนิ่ง ต่อให้เรามีกล้องดิจิทัลตัวหลักและตัวสำรองแยกกัน เราก็ยังไม่สามารถพกกล้องใหญ่ๆสองตัวเพื่อท่องเที่ยวผสมถ่ายภาพได้

ส่วนการถ่ายคลิปด้วยโทรศัพท์มือถือก็ได้รับความนิยมมาก สะดวก คล่องตัว ขนาดเล็กพอใส่กระเป๋าได้ แต่ก็จะมีผลเสียในด้านแบตเตอรี่ และมีโอกาสที่จะมีการถูกขัดจังหวะจากการแจ้งเตือนต่างๆที่โซเชียลมีเดียในเครื่องนั้นทำงาน บางครั้งระหว่างถ่ายวิดีโอก็ดันมีสายโทรศัพท์เข้า หรือ sms เข้า ก็ทำให้การถ่ายถูกขัดจังหวะ น่ารำคาญและทำให้เราพลาดเหตุการณ์ที่เรากำลังถ่ายไปเลย ใช้ช่วงสั้นๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่หากจะถ่ายคลิปยาวก็อาจมีปัญหาเรื่องการขัดจังหวะ

ประมาณสองปีก่อนผมตัดสินใจจะหากล้องถ่ายวิดีโอเพิ่มสักตัว โดยที่ตัดสินใจระหว่างกล้องวิดีโอเต็มระบบ กับ กล้อง action camera ซึ่งในงบหมื่นกว่าบาท เราจะได้กล้อง action camera ที่ทันสมัยที่สุด แต่จะได้กล้องวิดีโอที่กระจอกที่สุด ซึ่งข้อนี้ผมคงต้องเลือก action camera และผมก็เลือก gopro 9 เข้ามาใช้งาน และทำให้ค้นพบเรื่องน่าสนใจหลายอย่าง และเชื่อว่าคิดถูกจริงๆที่เลือก ดังนี้

ข้อดีของ gopro 9

1 ขนาดเล็ก สามารถใส่กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อ ได้ บางทียังอยู่ในกระเป๋าถือของผู้หญิงได้

2 เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย แบตหมดก็ทำให้เปลี่ยนแบตก้อนใหม่ได้เลย

3 ลงน้ำได้โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่กล้องตัวอื่นทำไม่ได้

4 ความละเอียดในการบันทึกวิดีโอทำได้สูงมาก สามารถถ่ายวิดีโอ 4k 60fps ได้ ซึ่งกล้องวิดีโอหรือมือถือที่จะถ่ายภาพได้สเป็คนี้ต้องจ่ายกัน 2-3หมื่นบาท แถม gopro 9 ยังถ่ายความละเอียดระดับ 5k ได้ด้วย ซึ่งกล้องวิดีโอปกติและมือถือเกือบทุกตัวทำไม่ได้ แต่ระยะหลังมือถือบางตัวก็พัฒนาเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง

5 ระบบกันสั่นดีที่สุดในสามโลก แม้จะถือกล้องวิ่งไปถ่ายไป ภาพก็ยังไม่สั่น กล้องวิดีโอปกติ กล้องดิจิทัล หรือมือถือ หากอยากได้ความนิ่งระดับเทพเทียบเท่า gopro จะต้องซื้อไม้กั้นสั่นมาทำงานด้วย ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 3พันถึง3หมื่น ยิ่งกล้องหนักก็ยิ่งต้องใช้ไม้กันสั่นตัวใหญ่ ก็ยิ่งแพง

6 gopro 9 มีระบบรักษาเส้นขอบฟ้า ทำให้ภาพไม่เอียง เราสามารถถือกล้องได้ตามใจโดยที่ยังได้ภาพไม่สั่น ภาพไม่เอียง ตัวตึก หรือ เส้นเสาไฟฟ้าแนวตั้งยังคงตั้งตรง เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในกล้องตัวไหน มันทำได้ด้วยตัวมันเองไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเลย

7 gopro 9 มีจอภาพ 2 ด้าน ถ่ายคนอื่นเราดูจอหลัง ถ่ายตัวเองเราดูจอหน้า มีภาพให้ดูตลอดเวลา

8 สามารถอัดเกรดอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆได้ด้วย เช่นการเพิ่มไมค์ เพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อสายเพื่อทำหน้าที่พิเศษอื่นๆ และราคาอุปกรณ์เสริมก็ไม่ถือว่าแพงมาก อย่างการอัพเกรดไมค์โครโฟนให้เป็นไมค์ shotgun ก็ทำได้ง่ายแค่ซื้อตัว media mod ราคาประมาณ3000บาท ได้การอัพเกรดแบบมือโปรเลย

และเมื่อเวลาผ่านไป gopro ก็พัฒนา gopro 10 gopro11 ออกมาขาย ทำให้รุ่น 9 ตกรุ่นไป 2 ครั้งแล้ว และนั่นก็ทำให้ราคาขายของ gopro 9 ถูกลงไปอย่างมาก จากราคา 16000 บาท ลงมาเหลือประมาณ 8-9 พันบาท เป็นราคาที่น่าใช้อย่างที่สุด โลกเราไม่เคยมีกล้องวิดีโอคุณภาพเทพในราคาต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาทเลย มันเป็นสิ่งที่น่าซื้อที่สุดสำหรับคนอยากได้กล้องวิดีโอ

pdp-h9-image01-1920-2x

ทำไมถึงควรซื้อ gopro9 ในปี 2023 นี้

1 gopro 9 10 11 ใช้อุปกรณ์ร่วมกันได้ทุกตัว ใช้แบตขนาดเดียวกัน ใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ทั้งหมด เราลงทุนกับแบตเตอรี่สำหรับ gopro 9 กี่ก้อน มันยังนำไปใช้กับรุ่น 10 และ 11 ได้ในอนาคต

2 ราคา gopro 9 ในปีนี้ลดลงไปแล้ว 50% จากวันเปิดตัว

3 ความสามารถของ gopro 9 ยังอยู่ในระดับเทพ ยังไม่มีมือถือตัวไหนกันสั่นดีกว่า gopro 9 ยังไม่มีกล้องดิจิทัลตัวไหนมีกันสั่นดีกว่า gopro 9 ยังไม่มีกล้องวิดีโอตัวใหญ่ตัวไหนกันสั่นดีกว่า gopro 9

4 ลงน้ำได้โดยตรง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม

5 ถ่ายคลิปยาวได้ไม่ตัด จนกว่าแบตจะหมด

gopro 10 11 ที่ออกมาทีหลังเป็นการพัฒนาในด้านความละเอียดเป็นหลัก หากดูในแง่การบันทึกเหตุการณ์ บันทึกกิจกรรมในครอบครัว ถ่ายเล่นใต้น้ำ เรายังคงใช้ 9 10 11 ก็ทำงานได้เหมือนกันทุกประการ

เข้าสู่รีวิว gopro 9

สเป็ค

ความละเอียดภาพถ่าย 20MP

ความละเอียด Video 5K30 + 4K60, Wide FOV

สามารถเชื่อมต่อ wifi และ bluetooth ผ่าน app

มีอุปกรณ์เสริมจำนวนมาก

1683595353300
gopro 9 มีการตั้งค่ามุมรับภาพได้ 4 ระดับที่แตกต่างกัน
1 ตั้งแต่มุมกว้างมาก
2 มุมกว้างแบบไม่เบี้ยว
3 มุมแคบ
4 มุมแคบแบบx2
2020-11-02_09-49-30

การที่กล้อง gopro ลงน้ำได้โดยตรงมันทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้สนุกมาก แถมยังมีลูกเล่นการถ่ายคลิปวิดีโอความละเอียดสูง แล้วเราค่อยเลือกเอาบางเสี้ยววินาทีในคลิปวิดีโอเลือกเซพออกมาเป็นภาพนิ่งได้ด้วย ภาพถ่ายใต้น้ำจากการกระโดดสระ เราเลือกเฟรมภาพที่สมบูรณ์ ไม่หลับตา จัดท่าทางสมดุลย์ แล้วก็เลือกจังหวะที่ดีที่สุดออกมาเป็นภาพนิ่ง แถมสีสันก็สวยมาก

IMG_6206
IMG_6204

ความเล็กของ gopro ทำให้เราสามารถติดกล้องบน hotshoe ของกล้องถ่ายภาพนิ่งได้ ผมใช้กล้อง DSLR ตัวใหญ่ในการถ่ายภาพกิจกรรมแล้วติด Gopro 9 ไว้ ระหว่างที่ถ่ายภาพนิ่ง ผมก็บันทึกคลิปวิดีโอไปด้วย ทำแบบนี้ผมจะได้ภาพการแข่งขันฟุตบอลของลูกเต็มแม็ท และได้ภาพนิ่งในจังหวะที่ผมเลือกถ่ายได้ จัดชุดองค์ประกอบแบบนี้เป็นคู่ผสมที่ลงตัวมากสำหรับคนที่อยากได้ภาพนิ่งสวยๆจากกล้องใหญ่ และอยากได้คลิปวิดีโอจาก gopro และที่สำคัญ ภาพจาก gopro ไม่เอียง ไม่สั่นเลย เพราะว่า gopro มีระบบป้องกันภาพเอียง

GOPR0270
GOPR2128

การเอา gopro มาถ่ายภาพนิ่งเป็นเรื่องง่ายดายมาก ภาพนิ่งจาก gopro 9 จะมีความละเอียด 20 ล้าน และให้การวัดแสงที่แม่นยำมาก สีสันก็สวยสด มันสวยสดจนสวยข้ามหน้าข้ามตากล้องตัวใหญ่อย่าง DSLR ไปเลย

GOPR2912

ภาพนี้ผมนั่งอยู่บนรถเมล์ในไต้หวัน หยิบกล้องออกจากกางเกง แล้วยกไปถ่ายแม่ลูกที่นั่งแถวหลัง กล้องตัวเล็ก จัดเฟรมง่ายด้วยจอภาพด้านหน้ากล้อง แล้วก็ถ่ายภาพเลย เป็นความคล่องตัวที่ไม่มีคู่เทียบ ไม่มีกล้อง DSLR และ กล้องอื่นๆใดๆที่จะคล่องตัวและทำงานได้รวมเร็วเท่านี้อีกแล้ว แถมสภาพแสงที่อยู่ในรถกับด้านนอกก็เก็บมาได้ในระดับที่พอดี มันเป็นกล้องที่ให้ภาพเหมือนตาเห็นจริงๆ ทั้งกระบวนการผมทำด้วยมือเดียว เพราะอีกมือถือของอยู่

1674050027120

ภาพนี้คือภาพนิ่งที่เลือกจากภาพวิดีโอ ในวัดจีนมีคนเยอะมาก การจุดธูปในตะเกียงแล้วจะถือออกไปไหว้ก็เป็นจังหวะที่เกิดขึ้นไม่นาน แทบจะไม่มีเวลาหยิบกล้องตัวใหญ่มาถ่ายได้เลย ผมเลยใช้กล้อง gopro 9 ถ่ายเป็นคลิปความละเอียด 4k แล้วเลือกภาพนิ่งจากไฟล์วิดีโอแทน จะเห็นได้ว่า ถือกล้องตรงมาก เส้นสายในภาพแนวตั้งก็ตั้งตรงกับภาพตลอดเวลา นี่คือความสามารถของ gopro

gopro เป็นกล้องวิดีโอที่ลงน้ำได้โดยตรงทำให้เราสามารถถ่ายกิจกรรมตั้งแต่บนผิวน้ำแล้วต่อเนื่องลงไปใต้น้ำ เรื่องแบบนี้หากเป็นอุปกรณ์ชนิดอื่นเราจะไม่สามารถได้ภาพเลย

GOPR0025

ภาพมุมกว้างพิเศษของ gopro 9 ให้มุมรับภาพกว้างมาก น่าจะกว้างกว่า 17mm บนกล้อง DSLR เสียอีก เวลาถ่ายภาพงานพิธีต่างๆด้วยกล้องตัวใหญ่ๆที่เน้นภาพคน ภาพเหตุการณ์ พอถึงบทจะถ่ายภาพหมู่ กล้องใหญ่ใช้เลนส์ที่ถ่ายคนสวยจะไม่สามารถเก็บภาพกว้างได้ gopro ที่เตรียมไปก็ได้ทำหน้าที่นี้

การมีจอภาพ 2 จอ มีจอหลังปกติสำหรับคนใช้งานกล้อง และมีจอหน้าสำหรับมอนิเตอร์ได้ สามารถดูภาพตัวเองได้จากด้านหน้ากล้องทำให้การถ่ายทำคลิปแนว Vlog เป็นเรื่องง่าย คนถือกล้อง คนพูดหน้ากล้อง ก็สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว และให้เฟรมภาพที่แม่นยำ ก็เพราะจอภาพ 2 ด้าน

ลูกเล่นการถ่ายแบบ timewarp เป็นระบบที่ gopro ให้มาด้วย เร่งภาพบางจังหวะเร็วๆ และผสมกับจังหวะความเร็วปกติ ทำให้ภาพดูน่าสนใจ สิ่งนี้ทำได้ตั้งแต่ตอนถ่ายเลย ลดเวลาการตัดต่อลงได้เยอะมาก แถมโปรแกรมตัดต่อที่แถมมากับ gopro ก็มีลูกเล่นการตัดต่อแบบกึ่งอัตโนมัติ แค่เลือกคลิปเลือก themeที่ชอบ แล้วก็รอซอร์ฟแวร์เรียงภาพตัดต่อให้อัตโนม้ติ ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ก็ประหยัดเวลากว่าการนั่งทำเองทั้งหมด

การถ่ายภาพแนว Time lapse ก็ทำให้เราได้ภาพที่ดูน่าตื่นเต้น ระบบการตั้งค่าสามารถเลือกได้ว่าจะให้กล้องเก็บภาพทุกกี่วินาที และเป็นเวลาต่อเนื่องนานเท่าที่เรากดถ่ายและกดหยุดด้วยตัวเอง ภาพเมฆและคลื่นน้ำในทะเลก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการถ่ายคลิปแนว Time lapse นี้

การถ่ายคลิปปกติด้วยเฟรมเรตประมาณ 200fps แล้วนำมาเล่นกลับแบบสโลโมชั่น 8 เท่า ก็สามารถทำได้ด้วย application ที่ชื่อว่า Quik

1678378296009

gopro9 ถ่ายภาพนิ่งได้สภาพแสงที่สมจริงเหมือนตาเห็น เทคโนโลยีเซ็นเซอร์รับภาพในยุคใหม่สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีมาก เก็บภาพชัดๆมาก่อนแล้วมาปรับโทนสีทีหลังได้ ภาพในโรงงานก็เป็นตัวอย่างที่ดี

สิ่งที่ผมอยากให้ gopro ปรับปรุงเพิ่มก็คือ

1 เพิ่มปุ่มชัตเตอร์ภาพนิ่ง ผมอยากได้กล้องที่ตอบสนองได้ไวเหมือนกล้องถ่ายภาพนิ่ง เพราะ gopro ช้าเกินไปสำหรับการถ่ายภาพนิ่ง หลายครั้งไม่แน่ใจว่าภาพนิ่งที่ถ่ายจะได้จังหวะตรงกับเหตุการณ์ที่ต้องการไหม อาจจะเพิ่มไว้ใน media mod ก็ได้ น่าจะไม่ยาก

2 อยากให้เพิ่มความสามารถในการชาร์จไร้สาย

หากใครสนใจเลือกซื้อ gopro ก็แนะนำรุ่น 9 นี่แหละ เพราะราคาถูกลงมามากแล้ว

สั่งซื้อ Gopro9 ได้ที่ https://s.lazada.co.th/s.QQ0Cz

powerbank สำหรับ Gopro Ulanzi BG-4

อัพเดท sep2023 ในเดือนกันยายน 2566 Gopro ออกรุ่น 12 ออกมาแล้ว มันมีลูกเล่นที่เพิ่มเติมหลายอย่างจนน่าใช้มาก หากสามารถเลือกซื้อรุ่นใหม่ได้ให้เลือก Gopro12 ไปเลย ส่วนใครที่ไม่อยากจ่ายแพง หาซื้อ Gopro9 ในราคาเคลียร์แลนซ์อย่างสุดๆอาจจะหาได้ต่ำยิ่งกว่าเดิม ซึ่งตั้งแต่รุ่น 9 10 11 12 ใช้แบตเตอรี่รุ่นเดียวกัน ใช้ mediamod ร่วมกันได้

ซื้อ Gopro12 ได้ที่นี่ https://s.lazada.co.th/s.PUc9i?cc

การถ่ายภาพให้สวยทำอย่างไร

ในปัจจุบันที่ใครก็สามารถมีกล้องถ่ายภาพได้ โทรศัพท์ใหม่ๆทุกเครื่องก็มีกล้องถ่ายภาพติดมาด้วย สมาร์ทโฟนที่ใช้สื่อสารกับอินเทอเน็ตก็มีกล้องคุณภาพดีมาให้แล้ว กล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะสำหรับมือสมัครเล่น และมืออาชีพก็มีราคาเริ่มต้นไม่แพง ยิ่งหากหาของมือสองมาใช้ก็ยิ่งราคาต่ำ ยุคนี้เครื่องมือคือสิ่งที่นักถ่ายภาพแทบจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องสเป็คและคุณภาพอุปกรณ์อีกแล้ว

การถ่ายภาพให้สวยก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่มันก็มีหลักการนิดเดียวที่สามารถนำไปหัดใช้ได้ ผมขอให้แนวคิดเอาไว้ ถ้าเห็นด้วยก็ทดลองฝึกฝนดู “การถ่ายภาพให้สวยเกิดจากการที่เราผ่านการถ่ายแบบไม่สวยไปแล้ว” ให้ลองดูตัวอย่างภาพต่อไปนี้

IMG_6418
ภาพนี้คือต้นตำลึกที่ขึ้นมาเกาะต้นไม้ใหญ่ ใบอ่อนสีเขียวโดนแสงแดดส่อง ช่างภาพมองเห็นก็พอรู้ด้วยประสบการณ์ว่ามุมที่สวยน่าจะถ่ายย้อนแสง แสงแดดที่กระทบใบตำลึงจะทำให้ใบเรืองแสง ฉากหลังที่ไม่โดนแสงจะสีเข้ม ทำให้ใบไม้ยิ่งเด่นขึ้นไปอีก ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพสวยสำหรับผมแล้ว ดังนั้น ก่อนจะมาเป็นภาพนี้ จะให้ดูว่าผ่านภาพแบบไหนมาบ้าง

เริ่มจากเดินออกมาที่หน้าบ้านแล้วก็พบว่า ต้นไม้ใหญ่มีใบไม้เกาะอยู่ และมีแดดส่องพอดี และคิดจบในหัวแล้วว่าเราจะต้องถ่ายภาพใบตำลึงในมุมมองที่สวยแปกตา เลยหยิบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากเราเห็นภาพนี้

IMG_6419

หลังจากนั้นเราก็เดินดูรอบๆสิ่งที่น่าสนใจ ผมรู้แล้วว่าผมอยากได้ภาพใบตำลึง ก็เลยเดินดูรอบๆ ไปดูหน้าหน้าก็เห็นภาพนี้

IMG_6408

กล้องในมือก็คือ eos m ติดเลนส์ kit ที่แถมมาพร้อมกับกล้อง เป็นเลนส์ซูม 18-55มม. เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ราคาต่ำที่สุด และเลนส์ก็เป็นเลนส์ที่มีแต่คนถอดขายทิ้ง อัพเกรดไปเป็นตัวอื่น แต่ผมชอบเลนส์ตัวนี้เพราะมันคุณภาพพอใช้ได้ และราคาถูก ใช้แบบไม่ต้องระวัง ฟิลเตอร์คุณภาพสูงบางชิ้นยังแพงกว่าเลนส์ตัวนี้ นั่นหมายความว่าผมใช้เลนส์ตัวนี้ไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ก็ได้ เราจะได้คุณภาพที่สูงที่สุดจากเลนส์เพียวๆไม่ใส่ฟิลเตอร์ เพราะมีความเชื่อว่า best filter is no filter มองภาพด้วยตาเปล่าสวยกว่ามองผ่านแว่นตา ถ้าคุณไม่สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ

ลองถ่ายภาพใกล้เข้าไปอีกหน่อย ตัดสิ่งที่ไม่น่าสนใจในภาพด้วยการเลือกถ่ายเฉพาะต้นไม้และใบไม้ ขวดน้ำไม่ได้หยิบออกเพราะว่าสุดท้ายจะเข้าใกล้กว่านี้ เลยไม่จำเป็นต้องหยิบตอนนี้

IMG_6409

แล้วก็ขยับกล้อง พร้อมกับซูมภาพเข้าไปอีกให้เหลือแต่ต้นไม้กับใบไม้ ซึ่งก็ให้ลักษณะภาพที่ดูดีขึ้น ซึ่งภาพใบไม้เกาะต้นไม้ใหญ่แค่ภาพนี้ก็พอจะใช้นำไปเขียนบทความเกี่ยวกับใบตำลึงได้แล้ว

IMG_6410

ลองซูมเลนส์ให้ได้ภาพใหญ่ขึ้น เข้าใกล้มากขึ้นก็จะได้ภาพที่ใบตำลึงเด่นขึ้น แต่การเข้าใกล้มาก ก็จะมีผลตามมาด้วยคือระยะชัดของใบไม้ครอบคลุมไม่ครบทั้งใบ บางส่วนของใบไม่ชัด และรวมถึงมือก็อาจจะสั่นด้วยทำให้ภาพไม่คมชัด

IMG_6411

ผ่านสามภาพนี้ไปเราก็ได้ภาพที่ดูน่าสนใจขึ้นแล้ว แต่จากการที่ดูภาพมานาน และเคยถ่ายภาพต้นไม้ใบไม้มาแล้วเลยลองไปถ่ายจากด้านหลังบ้าง เพราะการถ่ายภาพย้อนแสงก็สามารถให้ภาพที่ดีได้

IMG_6413

ลองถอยออกมาอีกนิด ปรับภาพให้มีใบเรียงตัวกันแนวตั้ง ลองถ่ายมุมที่ห่างออกมาหน่อยก็พบว่าให้ภาพที่สวยขึ้น

IMG_6412

จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไปถ่ายภาพแนวนอนบ้าง เพราะอยากจะเก็บเฉพาะใบเดียวเด่นๆไปเลย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองเปลี่ยนลักษณะภาพไปเรื่อยๆ และก็พบว่าภาพมุมนี้ถูกใจตัวเราที่สุด

IMG_6415

จริงๆจะหยุดแค่นี้ก็ได้ ภาพที่พอใจเราถ่ายด้วยรูรับแสง f5.6 ซึ่งเป็นระยะรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์ที่ช่วงซูมสูงสุดของเลนส์คือ 55มม. การใช้รูรับแสงกว้างจะทำให้ระยะชัดน้อย อาจจะดีกับบางภาพ แต่ถ้าลองใช้รูรับแสงแคบลงไปหน่อยเพื่อให้ระยะชัดมากขึ้น จะได้ผลที่แตกต่างไปอีกเล็กน้อย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองได้เลย

IMG_6418

ภาพสุดท้ายนี้คือมุมภาพเหมือนเดิมแต่ปรับรูรับแสงให้มากขึ้นเป็น f11 ซึ่งจะทำให้มีระยะชัดมากขึ้น ฉากหลังจะไม่เบลอเท่ารูรับแสงกว้าง เราได้รายละเอียดในส่วนของใบและต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ส่วนของลำต้นที่มีรายละเอียดปรากฏให้เห็นทำให้ภาพดูสวยกว่าเดิม ความเบลอที่ทำให้ภาพสวย กับการลดความเบลอแล้วภาพสวย เป็นสิ่งที่ต้องทดลองทำ เห็นภาพถึงจะรู้คำตอบ ดังนั้น กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ทดลองไป

การถ่ายภาพให้สวยเป็นเรื่องของการค้นหา ทดลอง ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ภาพสวย และภาพที่สวยจะตามมาหลังจากที่เราถ่ายภาพไม่สวยไปครบแล้ว ดังนั้น การหัดถ่ายภาพต้องถ่ายให้เยอะ ผ่านภาพไม่สวยมาให้ครบทุกแบบเราถึงจะถ่ายภาพได้สวยตามที่คาดหวัง เมื่อเจอสิ่งที่อยากถ่าย ให้ลองมองรอบๆ เดินดู มองหา ทดลองถ่าย เปลี่ยนระยะภาพ เปลี่ยนตำแหน่งที่ยืน กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ทดลองไปเรื่อยๆ จะผ่านไปร้อยรูปก็ไม่ผิด ถ้ารูปสวยจะมาเป็นรูปที่ร้อยหนึ่ง ก็แค่ถ่ายให้ผ่านร้อยภาพที่แตกต่างกัน เรียนรู้ทุกภาพที่ถ่าย เดี๋ยวก็ถึงภาพที่สวยเอง


ส่งซ่อมเลนส์ canon 24-105f4L

IMG_3054

เลนส์ canon 24-105f4L ที่ใช้งานมานานหลายปีในมือผม และอาจจะนานอีกหลายปีในมือคนอื่นก่อนหน้านี้ก็คงถึงเวลาที่มันจะโทรม และเสีย อาการเสียของเลนส์ที่พบก็คือ เมื่อถ่ายด้วยค่า f ที่มากกว่า f4 กล้องจะขึ้น error แล้วก็หยุดการทำงาน ต้องปิดแล้วเปิดใหม่ แต่ถ้าตั้งค่า f เอาไว้แค่ f4 หรือ ค่ารูรับแสงกว้างสุดของเลนส์กล้องจะทำงานปกติ ถ่ายได้ปกติ สันนิษฐานว่า การใช้รูรับแสงที่กล้องต้องสั่งให้เลนส์หรี่รูรับแสงให้แคบลงจะทำให้ระบบมีปัญหา ระบบการควบคุมรูรับแสงคงเสียหายอยู่ ก็เลยจัดการส่งไปที่ศูนย์เพื่อซ่อมแซม

20220806191710_IMG_0007

ศูนย์ canon อยู่ที่อาคารสาธรทาวเวอร์ อยู่หัวมุมสี่แยกถนนนราธิวาสตัดสาธร ที่ศูนย์แห่งนี้ในปัจจุบันมีลูกค้าแวะเวียนไปไม่มาก ไม่รู้ว่าเพราะกล้องเสื่อมความนิยม หรือ โควิดทำให้คนน้อย หรือแม้แต่โควิดทำให้กล้องไม่ค่อยถูกใช้งาน ปริมาณกล้องเสียเลนส์เสียเลยไม่เยอะ ก็ได้แต่เดาไปเรื่อย เมื่อส่งไปซ่อม ช่างก็ตรวจสอบอาการอยู่หลายวัน แล้วก็โทรกลับมาแจ้งค่าใช้จ่ายพร้อมอธิบายอาการเสีย และอธิบายราคาค่าซ่อมต่างๆ และราคานี่แหละที่ทำให้ตกใจมาก

เจ้าหน้าที่ศูนย์ canon อธิบายว่า เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์หิ้ว ไม่ได้ขายผ่านระบบของประเทศไทย ทำให้ราคาค่าบริการต่างๆต้องคิดราคาเต็ม ไม่มีส่วนลด เพราะปกติ ค่าบริการอุปกรณ์ที่ขายผ่านตัวแทนประเทศไทยจะคิดค่าบริการลดราคา 50% คิดค่าอะไหล่ลดลง 30% (ผมอาจจำผิดเพราะเขียนโพสท์นี้หลังจากรับเลนส์กลับมาใช้งานนานเป็นเดือนแล้ว) นั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเลนส์ครั้งนี้อยู่ที่ 8368.47 บาท ตอนที่รู้ราคาก็ตกใจพอสมควร และในวินาทีที่คุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ ผมก็ย้อนนึกไปถึงตอนที่ซื้อเลนส์ตัวนี้มา ผมซื้อมือสองจากร้านกล้องถ่ายภาพ โดยผมซื้อบอดี้มือหนึ่งเป็นของตัวแทนไทยมีประกันถูกต้องทุกอย่าง แต่ผมเลือกใช้เลนส์มือสองเพราะเห็นว่าราคาถูกลงไปจากราคามือหนึ่งประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะด้วยความเชื่อมั่นว่าเลนส์เกรดโปรของ canon จะทน และสามารถซ่อมได้เกือบทุกอาการ ดังนั้นผมก็เสี่ยงกับของมือสองได้ แต่ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่าเลนส์จะเป็นของหิ้ว คิดว่ามันคงเป็นมือสองประกันศูนย์ ซึ่งตอนซื้อก็ไม่ได้ถามว่ามันเป็นของหิ้วหรือของประกันศูนย์

IMG_20220806_210154

กลับมาที่การสนทนากับศูนย์ canon ผมรู้ว่าราคาเลนส์ตัวนี้ที่เป็นมือสองในปัจจุบันซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 9000-12000 บาท แล้วแต่สภาพ ณ นาทีนั้้นผมลังเลอยู่ว่าจะยกเลิกการซ่อมแล้วไปซื้อมือสองใช้ดีไหม แต่คิดแล้วก็ไม่อยากเสี่ยงว่าถ้าซื้อมือสองมาแล้วจะมาเจออาการเสียแบบรูรับแสงหมดอายุแบบนี้หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจซ่อมในราคาตามที่แจ้ง จ่ายแปดพันกว่าบาทแล้วได้ของที่ซ่อมบำรุงเรียบร้อยกลับมาใช้น่าจะดีกว่าไปเสี่ยงกับมือสองตัวอื่นๆ

พอพ้นเรื่องราคาไปแล้ว ผมก็คุยกับเจ้าหน้าที่ต่ออีกสักพัก ถามเรื่องระยะเวลาที่ศูนย์จะสต๊อคอะไหล่ของเลนส์รุ่นต่างๆว่าจะมีให้ซ่อมไปอีกนานแค่ไหน เพราะได้ข่าวว่า canon จะเลิกผลิตกล้อง DSLR และจะทำให้เลิกผลิตเลนส์เม้าท์ EF ด้วยแน่ๆ เนื่องจากตอนนี้ canon ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาระบบกล้องและเลนส์รุ่นใหม่อย่าง Eos R พร้อมเลนส์ชนิด RF ที่เป็นเม้าท์เลนส์ชนิดใหม่แต่เพียงอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลว่า เลนส์หลายๆตัวของ canon จะสต๊อคอะไหล่ไว้ประมาณอย่างน้อย 20 ปี นั่นหมายความว่าถ้าภายใน 20 ปี ก็น่าจะพอมีอะไหล่ให้ซ่อมได้ และยังมีเลนส์บางรุ่นอย่าง Ef 70-200L f2.8 ที่จะมีอะไหล่สต๊อคไว้ถึง 29 ปี นั่นถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมากสำหรับผลิตภัณฑ์สักตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจที่บริษัทพยายามดูแลช่างภาพที่ใช้อุปกรณ์เกรดโปรอย่างยาวนาน แต่ก็นับเป็นเรื่องเศร้าอีกประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมอยู่มานาน และกำลังจะถึงระยะเวลาที่เลนส์จะหมดเวลา 29 ปีแล้ว เพราะเลนส์ 70-200 f2.8 ถูกผลิตครั้งแรกปี คศ 1995 พอนับไป 29ปี มันก็จะไปถึงปี 2024 นั่นเอง ซึ่งมันคือเวลาอีกไม่นานแล้วหลังจากนี้

การซ่อมเลนส์ครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าการซื้อของมือสองทำไมเราถึงต้องสอบถามว่าเป็นของประกันศูนย์หรือประกันร้าน(ของหิ้ว) เพราะมันมีผลกับการคิดราคาค่าซ่อมและค่าอะไหล่ในอนาคตนั่นเอง ต่อไปก็จะได้ระวังไม่ซื้อของประกันร้านอีก จะได้ไม่ต้องตกใจตอนส่งซ่อมเหมือนครั้งนี้

รีวิวเลนส์ canon 24-105f4 L

IMG_20220713_162126

เลนส์ canon 24-105f4 L ตัวนี้เป็นเลนส์ซูมคุณภาพสูงจากค่าย canon ที่ทำออกมาขายหลายปีแล้ว โดยปกติเลนส์เกรดสูงของ canon จะใช้คำว่า L ติดไว้ในชื่อของเลนส์ เลนส์เกรด L จะมีคุณภาพของภาพที่คมชัด ใส และปกติจะไวแสง ส่วนมากก็จะมีรูรับแสงระดับ 2.8 หรือ น้อยกว่านี้ แต่ก็มีเลนส์ L บางตัวที่รูรับแสงแคบหรือเป็นตัวเลขที่มากกว่า 2.8 อย่างเช่นเลนส์ตัวนี้ที่มีรูรับแสง f4

IMG_3052

ความใสคือจุดเด่นของเลนส์ L และช่วงซูมที่กว้างระดับ 24-105mm ก็เป็นช่วงเลนส์ที่ได้ใช้งานบ่อยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การถ่ายภาพวิวโดยการใช้ช่วงที่เป็นมุมกว้าง การถ่ายภาพทั่วไปที่ใช้ช่วงซูม กลางๆ จนถึงถ่ายภาพบุคคลที่ใช้ช่วงเลนส์ 85 -105มม. เลนส์ตัวนี้เหมาะกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ที่มักจะได้พบตอนท่องเที่ยว การมีระบบกันสั่นทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยไม่เป็นปัญหา แค่สภาพแสงในบ้านที่พอมองเห็น หรือแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เลนส์ตัวนี้ก็บันทึกภาพเก็บแสงได้ ต่อให้ปริมาณแสงในภาพแม้จะน้อยไปกว่าที่กล่าวมาแต่ถ้าตามองเห็นมันก็มากพอสำหรับกล้องยุคใหม่ที่ตั้งค่าความไวแสงได้สูงลิบ

การใช้เลนส์ L เพื่อทำงานระยะยาวเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะนอกจากคุณภาพที่ดีมากแล้ว การบริการหลังการขายของ canon ก็ทำได้ดีน่าชื่นชม เลนส์เกรด L จะได้รับการดูแลในระบบศูนย์บริการที่ยาวนานมาก มีอะไหล่เอาไว้ซ่อมบำรุงไปอย่างน้อย 20 ปี บางรุ่นมีอะไหล่สต๊อคไว้ได้ถึง 29 ปี ตามข้อมูลที่พนักงานในศูนย์บริการได้เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และต่อให้ศูนย์จะเลิกสต๊อคอะไหล่ หรือ อะไหล่หมดจากบริษัทแล้ว โลกเราก็มีอุปกรณ์ยี่ห้อ canon ให้เราซื้อมือสอง ให้เราหาอะไหล่จากเลนส์เก่าไปได้อีกยาวนาน ใช้กันได้ตั้งแต่ลูกเกิดจนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เป็นไปได้

IMG_0262

2014-11-29 30 ขอบฟ้า เขาใหญ่-IMG_0067

IMG_0433
16:9

เลือกรูรับแสงตอนถ่ายภาพ

ปกติการถ่ายภาพจะมีเรื่องของรูรับแสงมาเป็นส่วนที่กำหนดลักษณะภาพ บางภาพอยากได้ฉากหลังเบลอ ให้วัตถุชัดแล้วที่เหลือเบลอเพื่อให้มีความเด่นอยู่บนวัตถุเท่านั้น เราจะเรียกว่าชัตตื้นคือมีช่วงชัดน้อยๆ ส่วนภาพที่จะถ่ายให้ชัดทั้งหมดก็มักจะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ เราจะเรียกภาพที่ชัดทั้งภาพหรือเกือบทั้งภาพว่าชัดลึก

IMG_20200711_165315


สิ่งที่กำหนดความเป็นชัดตื้น หรือ ชัดลึก คือค่ารูรับแสงของเลนส์ที่เราใช้ หากเราใช้รูรับแสงกว้าง หรือเปิดรับแสงมากๆ หรือ ค่ารูรับแสงเป็นเลขจำนวนน้อย จะหมายถึงเปิดรูรับแสงกว้าง ลักษณะภาพจะมีความชัดแค่ช่วงน้อยๆ หรือชัดตื้น ส่วนภาพที่มีรูรับแสงเล็ก หรือ แคบ หรือเป็นตัวเลขที่มากขึ้น จะให้ลักษณะภาพชัดเกือบทั้งภาพ จุดเด่นก็ชัด ฉากหลังก็ชัด การเลือกรูรับแสงจึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และเลือกใช้ตามความเหมาะสมของภาพนั้น

ภาพตัวอย่างด้านล่างที่นำมาลงนี้มาจากการถ่ายภาพ 3 ภาพ แล้วนำมาวางเรียงกัน ภาพส่วนบนเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 24-105มม. ใช้รูรับแสงที่ f4 จะเห็นว่าต้นไม้ชัด ฉากหลังเบลอ ส่วนภาพตรงกลางของตัวอย่างจะเป็นการปรับรูรับแสงให้เล็กลง หรือ มีตัวเลขรูรับแสงที่มากขึ้น ต้นไม้จะชัดอยู่เหมือนเดิม แต่ฉากหลังจะมีความชัดมากขึ้น พอจะดูรู้ว่าฉากหลังเป็นอะไร และภาพส่วนสุดท้ายคือภาพที่ใช้รูรับแสงแบบเล็กมาก ประมาณ f22 ฉากหลังจะยิ่งชัดมากขึ้นไปอีก

20220702153238_IMG_1027
f4
20220702153242_IMG_1028
f11
20220702153246_IMG_1029
f22

ภาพที่ขายได้

Screen Shot 2565-02-11 at 08.57.18

ภาพนี้เป็นภาพลูกของผมตอนที่ไปเที่ยวเมือง nikko ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นผมพกกล้องไปตัวเดียวคือ eos m รุ่น1 ติดเลนส์ตัวเดียวตลอดทริปคือเลนส์ 22f2 การเดินทางที่ญี่ปุ่นกับลูกเล็กวัย 3 ขวบ เป็นการเดินทางที่ต้องเตรียมรถเข็น เตรียมอุปกรณ์ของเด็กพอสมควร พ่อกับแม่ต้องช่วยกันยก ช่วยกันอุ้มในหลายสถานการณ์เพราะการเดินทางหลักๆของทริปคือรถไฟ

เลนส์ 22f2 ผมใช้ค่ารูรับแสงที่ f2 ตลอดทริปเลย เพราะต้องการความชัดตื้นที่ละลายหลังให้เบลอดูสวยงาม และต้องการให้มันรองรับสถานการณ์แสงได้ดีหลากหลายสถานที่ และส่วนมากเราก็จะถ่ายภาพในอาคาร ในที่ร่ม การใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก

กล้อง eos m เป็นกล้องที่มีหน้าจอด้านหลังระบบสัมผัส สามารถใช้มือแตะเพื่อให้กล้องทำการโฟกัสและลั่นชัตเตอร์ได้ด้วย มันทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานบางโอกาส เช่นโอกาสเด็กกำลังสนใจกับภาพในจอ มีแสงตอนเช้าเข้ามาทางหน้าต่าง แสงหน้าต่างมักจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีกับภาพถ่ายเสมอ ผมเห็นองค์ประกอบนี้ก็รีบหยิบกล้องมากดเปิดกล้องแล้วแตะโฟกัสเพื่อถ่ายเลย แล้วเราก็เก็บวินาทีสวยๆได้ตามที่ตาเห็น ทั้งทริปผมแทบจะไม่ได้ปิดฝาหน้าเลนส์เลย เพราะอยากให้กล้องพร้อมใช้ตลอดเวลา แม้ว่าเลนส์อาจจะเสี่ยงต่อการเสียหายหรือเป็นรอยขีดข่วนบ้าง แต่ผมก็ใช้วิธีติด Hood เหล็กไว้ที่เลนส์ ทำหน้าที่เป็นที่บังแสง และเป็นกันชนให้กับเลนสได้ระดับนึง ภาพลูกผมฝากขายในเว็บ Eyeem.com ครับ

IMG_0338

จับภาพกล้องโทรทรรศน์ James webb ได้

ในวันที่ 25 ธันวาคม 2564 ที่บริเวณใกล้ๆกับศาลายา ผมได้ไปร่วมงานปาร์ตี้ปีใหม่กับกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และในช่วงเวลาหัวค่ำหลังจากที่กินมือเย็นไปหายหิวแล้ว ก็ลองเอากล้องดูดาวมาส่องดาวเล่น ขณะเดียวกันก็เอากล้อง Gopro9 มาตั้งถ่ายภาพดาวกลางคืนในโหมด Night Timelapse ก็จะได้วิดีโอตัวนี้มา และพบว่า มีเหตุการณ์น่าสนใจบนท้องฟ้า ก็คือ มีวัตถุเคลื่อนที่คล้ายดาวหางโผล่มาให้เห็นด้วยตาเปล่า

สิ่งที่คล้ายดาวหางนี้เมื่อดูข้อมูล ดูข่าวดาราศาสตร์แล้วก็พบว่ามันคือภาพของ กล้องโทรทรรศน์ชื่อ James Webb กำลังเดินทางออกจากโลกเพื่อไปสู่วงโคจรในอวกาศ โดยจะไปอยู่ห่างโลก 1.5 ล้านกิโลเมตร และมันจะโคจรเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ แทนที่จะเป็นโลก James Webb จะอยู่ระหว่างโลกและดาวอังคาร หน้าที่หลักของมันก็คือถ่ายภาพจากที่ที่ไกลมาก โครงการนี้ตั้งใจจะส่งกล้องขึ้นไปรับสัญญาณอินฟาเรดที่เกิดจากการฟอร์มตัวเป็นดาวฤกษ์ในยุคแรกๆของอวกาศ หรือประมาณ 13000 ล้านปีก่อน หากกล้องทำงานได้ปกติ เราก็จะได้ข้อมูลต้นกำเนิดของอวกาศมากขึ้น ซึ่งเราต้องลุ้นให้กล้องทำงานได้ไม่ผิดพลาด

เทคโนโลยีหลายอย่างถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้างกล้องตัวนี้ มีเรื่องน่าสนใจหลายหัวข้อ ถ้าให้เขียนจากความทรงจำที่เคยดูผ่านๆตา ก็จะมีส่วนของฉนวนแสงอาทิตย์ ที่ทำหน้าที่กันความร้อนจากด้านที่รับแสงไม่ให้ส่วนของการรับภาพและวงจรต่างๆโดนความร้อนเลย ซึ่งจะเป็นผ้าใบ 5 ชั้น

การรับภาพของเจมส์เว็บบ์จะอาศัยเทคนิคการรับภาพแบบกล้องนิวโทเนียน คือรับแสงสะท้อน แต่จะเป็นแสงอินฟาเรด การรับแสงสะท้อนต้องอาศัยกระจกสะท้อนที่มีความเรียบมากๆเพื่อความแม่นยำ เพราะแสงที่เดินทางมาไกลระดับ 13000 ล้านปีแสง จะถือเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดเท่าที่มีในเอกภพ ดังนั้นการเบียงเบนเล็กน้อยก็ทำให้รับแสงผิดพลาด ความเรียบของผิวสะท้อนนั้นฉาบด้วยทองคำ และมีความเรียบระดับที่ ถ้าขยายกระจกให้ใหญ่เท่ากับประเทศไทยถึงญี่ปุ่น ส่วนไม่เรียบของกระจกจะสูงกว่าพื้นเรียบไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

ที่ตัวสะท้อนแสงกลับไปกลับมาเพื่อเข้าสู่เซ็นเซอร์รับภาพ จะมีกระจกรวมแสง(หรือเลนส์รวมแสง) อีกตัวหนึ่งก่อนถึงเซ็นเซอร์ที่จะทำหน้าที่เป็นตัว image stabilizer หรือตัวกันสั่น ที่ช่วยให้การรับภาพมีความคมชัดยิ่งขึ้น อาจเป็นกล้องดูดาวตัวแรกของโลกที่มีระบบกันสั่นในแบบเดียวกับกล้องถ่ายภาพ

การประกอบตัวกล้องจะต้องมีการทดสอบชิ้นส่วนน็อตทุกตัวชิ้นส่วนต่างๆทุกชิ้นส่วนต้องผ่านการทดสอบในห้องลดอุณหภูมิไปอยู่ที่ระดับติดลบมากๆเสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ผิดพลาด เพราะเราออกไปซ่อมกล้องตอนที่เราปล่อยไปแล้วไม่ได้

การปรับมุมเอียงไปเอียงมา การหมุนตัวของกล้อง จะใช้ไจโรสโคป3ตัว หมุนเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงให้มีการหมุนตามที่ต้องการ เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ของโมเม้นที่เกิดจากการหมุน

ยังมีแง่มุมอื่นๆอีกมากที่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เราต้องใช้กับกล้องอวกาศตัวนี้ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมจะทะยอยเอามาลงเพิ่มครับ และตอนนี้เจ้ากล้องตัวนี้เดินทางไปถึงไหนแล้ว ก็ลองแวะดูที่ลิงค์นี้ได้ครับ

Source: Where Is Webb? NASA/Webb

หลังจากผ่านไปครึ่งปี วันที่ 12jul2022 เราก็ได้เห็นภาพที่ตั้งใจถ่ายจากกล้อง James webb กันแล้วคือภาพนี้

NASA’s Webb Delivers Deepest Infrared Image of Universe Yet

ขุดฟิล์มเก่า 6x6cm มาดูภาพ

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มในยุคที่ดิจิทัลเบ่งบานนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะร้านขายฟิล์มก็น้อยลง ร้านล้างอัดก็น้อยลง และยิ่งหากเป็นการถ่ายภาพขาวดำด้วยแล้ว ยิ่งหาร้านล้างฟิล์มได้ยากมาก คนถ่ายภาพขาวดำแทบจะต้องหัดล้างฟิล์มเองด้วย เพราะการล้างฟิล์มขาวดำมักจะต้องทำด้วยมือ และร้านล้างฟิล์มส่วนมากก็ไม่อยากทำแล้ว

IMG_20210610_080758

ฟิล์มขาวดำชนิดสัดส่วน 6x6cm นั้นเป็นระบบการถ่ายภาพที่เป็นที่นิยมในวงการมืออาชีพ เพราะการได้ฟิล์มใหญ่คือข้อได้เปรียบของอัดภาพ สแกนภาพ และกล้องที่จะใช้กับฟิล์ม 6x6cm หรือ บางคนเรียกว่าฟิล์ม 120 ก็จะเป็นกล้องขนาดเทอะทะมาก ส่วนการล้างฟิล์มด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องลำบากมากกว่าฟิล์ม 135 เพราะว่า ฟิล์มใหญ่ ต้องใช้รีลใหญ่ แท็งค์ใหญ่ ใช้น้ำยาเยอะ 2 เท่าเมื่อเทียบกับฟิล์ม 135 นั่นแปลว่า เราต้องซื้อแท็งค์ใหญ่ รีลใหญ่ที่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้นั่นเอง

1623306934107-01

ฟิล์มขาวดำ Kodak Tmax ความไว 100 ล้างด้วยน้ำยา Forte ผมจำไม่ได้แล้วว่าล้างที่อุณหภูมิเท่าไหร่ และนานกี่นาที กว่าจะพันฟิล์มเข้ากับรีลสแตนเลสโดยทุกอย่างทำในถุงมืดนั้นก็เป็นเรื่องที่ทำยากมาก ต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อจะล้างฟิล์มแค่ 1 ม้วน วิธีฝึกก็ไม่ซับซ้อน เอาฟิล์ม 120 ม้วนอื่นที่ราคาถูก มาทดลองม้วนเข้ารีลสแตนเลสให้เห็นด้วยตาเลย ฟิล์มม้วนนั้นก็จะเสียไปเพราะโดนแสงไปแล้ว แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้เราก็ไม่มีฟิล์มที่จะฝึก จะเอาฟิล์มที่ถ่ายมีภาพแล้วไปฝึกก็ไม่ได้เพราะเราเสียดายภาพ เสียดายโอกาสที่จะได้ถ่ายภาพนั้น

การถ่ายภาพคือการหยุดเวลา หยุดเหตุการณ์เอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจะเกิดขึ้นครั้งเดียวและไม่เกิดซ้ำ ภาพลูกก็จะเป็นลูกที่ถ่ายแล้ว ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปถ่ายได้อีก เพราะเด็กโตแล้วโตเลย หรือแม้แต่ภาพคน คนนั้นตัวจริงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่คนในภาพยังเป็นคนที่ไม่เปลี่นแปลง

slide-img088

ภาพจากฟิล์ม 120 ถ่ายด้วยกล้อง Yashica 635 เป็นกล้องที่เรียกว่า twin lens มีเลนส์ตัวบนเอาไว้ส่งภาพเช้าช่องมอง มีเลนส์ตัวล่างที่จะส่งภาพเข้าฟิล์ม กล้องตัวนี้เป็นของมือสอง สภาพยับเยิน ตอนได้มาหมาดๆต้องทำความสะอาดและส่งซ่อมเพื่อให้ทำงานได้ปกติ จุดเด่นของกล้องตัวนี้น่าสนใจมาก เพราะมันสามารถใส่ฟิล์มเล็กอย่าง 135 เข้าไปได้ด้วยโดยผ่านอแด๊ปเตอร์ตัวหนึ่ง ซึ่งมีกล้องแค่รุ่นนี้รุ่นเดียวเท่าที่รู้ว่ามีอแด๊ปเตอร์แถมมาด้วย แต่ส่วนมากเจ้าของกล้องมักจะทำอแด๊ปเตอร์หาย และผมก็ไม่เคยได้ลองใช้เลย สุดท้ายก็ขายกล้องออกไปแล้ว ด้วยเหตุผลว่า ผมไม่อยากดูแลกล้องที่ไม่ค่อยได้ใช้ และอีกอย่าง การถ่ายภาพมีความสนุกที่การกดชัตเตอร์และการเลือกเหตุการณ์ที่จะถ่าย กล้องเป็นเพียงอุปกรณ์ที่เราใช้ตอบสนองความคิดเท่านั้น ดังนั้นผมใช้กล้องอะไรก็ได้ความสนุกและความสุขไม่ต่างกัน เลยเลือกจะเก็บไว้แต่กล้องที่ได้ใช้บ่อยๆและดูแลง่ายๆมากกว่า.