content commerce 2023

Slide2

ในอดีตที่ผ่านมาในยุคที่ยังไม่มีอินเทอเน็ต  สิ่งแรกที่คนทำธุรกิจต้องคิดก่อนจะเริ่มขายก็คือต้องหาที่ทางในการเปิดร้าน  จะขายอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็ต้องหาทำเล  เราจะไปเปิดร้านที่ไหนที่ลูกค้าถึงจะคิดถึงและแวะไปหาเราได้  ถ้าเราจะขายต้นไม้  คนซื้อจะแวะไปดูที่ไหน  ก็คงเป็นสวนจตุจักร  ถ้าเราจะขายคอมพิวเตอร์  คนซื้อก็มักจะไปดูที่ห้างไอที  สมัยก่อนก็พันทิพย์  ฟอร์จูน    ถ้าลูกค้าอยากได้ของแห้งจากต่างประเทศเขาก็น่าจะแวะไปดูแถวเยาวราช เจริญกรุง  ถ้าจะซื้อเครื่องดนตรีก็แวะไปเวิ้งนครเกษม  ถ้าซื้ออุปกรณ์สังฆภัณฑ์ก็น่าจะไปย่านเสาชิงช้า  ลูกค้าจะถามจากคนเคยซื้อว่าต้องไปดูที่ไหน  คนทำธุรกิจก็ต้องตามไปเปิดร้านที่นั่น  โลกเราถึงมีคำว่าทำเลทอง 

ลูกค้าสนใจจะซื้อของก็จะเดินทางไปยังทำเลทองของสินค้าตัวนั้น  เมื่อไปถึง ลูกค้าจะเลือกสุ่มเดินเข้าไปสักร้าน  ร้านค้าในย่านทำเลทองก็จะมีสินค้าแนวเดียวกัน แวะร้านไหนก็ได้  ลูกค้าสุ่มเข้าสักร้าน แล้วก็คุยกับคนขาย  ถ้าถามตอบคุยกันไม่ถูกใจ ก็ออกมา แวะร้านต่อไป  ถ้าคุยกันดี ตอบคำถามดี ก็ค่อยตัดสินใจซื้อ

แนวทางการขายของก่อนจะมีอินเทอเน็ต  ลูกค้าจะพบกับคนขายก่อน แล้วก็เกิดการพูดคุย  การพูดคุยที่เกิดขึ้นมันก็คือ Content ข้อมูลสินค้า  ข้อดี ข้อเสีย  เรื่องเล่า รีวิวจากคนอื่นๆที่เล่าต่อๆกันมา  เจ้าของร้านยกตัวอย่างการใช้งานของลูกค้าคนอื่นให้ฟัง  นี่คือขั้นตอนที่เกิดการแสดง Content เจ้าของร้านกำลังแสดง Content และลูกค้ากำลังเสพ Content  ซึ่งๆหน้า  จนกระทั่งเกิดความพอใจ ได้รับข้อมูลที่ถูกใจจึงตัดสินใจซื้อ

ถ้ามีลูกค้าห้าคนเข้ามาที่ร้าน เจ้าของร้านก็แสดง Content 5 ครั้ง  ถ้ามา 20 คน ก็แสดง Content 20 ครั้ง  พอปิดร้านก็บ่นให้ลูกเมียคนในบ้านฟังว่า วันนี้ทำงานหนัก ลูกค้าเข้าไม่หยุดเลย 

พอเปลี่ยนมาเป็นยุคอินเทอเน็ตในแบบปัจจุบัน ทุกคนสามารถสั่งซื้อสินค้าได้จากโทรศัพท์มือถือ  ทุกคนซื้อของจากใครก็ได้  โอนเงินให้ใครก็ได้  วิธีการซื้อจะมีลักษณะขั้นตอนดังนี้ คือ  เมื่อเกิดความสนใจสินค้า  เกิดความรู้สึกว่าอยากได้  อยากมี  ก็จะค้นหาข้อมูลก่อน  หาจาก search engine  ว่าสินค้าที่เราอยากได้มีใครขาย  เราจะดูแลหรือใช้งานสินค้านี้ยังไง  มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร  ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงต้องระวังเรื่องอะไร  มันกินอะไร  ห้ามกินอะไร คนอื่นที่เคยใช้เขาเคยชมว่าอย่างไร เคยบ่นว่าอย่างไร    ขั้นตอนที่ลูกค้ากำลังเสพข้อมูลเหล่านี้ก็คือการ เสพ Content 

เมื่อเสพ Content ได้ถึงระดับที่พอใจ ก็ตัดสินใจ  ใครตอบคำถามดี ให้ข้อมูลแวดล้อมได้ถูกใจ ก็ลองดูว่าเขาขายอยู่ใช่ไหม  ตัดสินใจซื้อจาก Content ที่เราชอบ  เพราะเจ้าของเว็บ เจ้าของร้าน น่าจะรู้เรื่องดี คงบริการเราได้  ตัดสินใจได้แล้วก็เดินทางไปซื้อ  หรือ สั่งซื้อออนไลน์เลย  กรณีนี้  ลูกค้าตัดสินใจซื้อก่อนเจอหน้าเจ้าของร้าน

Slide3

การที่ใครสักคนจะซื้อของจากเรา  จะมีเหตุผลแค่ 3 อย่างที่เขาคิดในหัว  มีแค่ข้อใดข้อหนึ่งก็ทำให้เกิดการซื้อได้แล้ว  ยิ่งมีหลายข้อยิ่งดีนั่นคือ ลูกค้าซื้อเราเพราะ

1 รู้จักกันมาก่อน  รู้จักมานาน รู้จักมาตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่สมัยทำงานด้วยกัน  เป็นความสนิทสนมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต 

2 ถูกชะตา คุยกันถูกคอ  ลูกค้าแวะมาคุยกับคนขายแล้วรู้สึกว่าร้านนี้ตอบคำถามดี มีข้อมูลละเอียด

3 แก้ปัญหาได้ ช่วยเหลือลูกค้าได้  เข้าใจสินค้าและเข้าใจความต้องการของลูกค้า รู้ข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัดของสินค้า และแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ลูกค้าได้

Slide5

ซึ่ง 3 ข้อนี้คือสิ่งที่เราต้องพยายามทำให้เกิดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าเลือกเรา  เราต้องทำให้ลูกค้าเห็นเรามานาน  เราต้องเป็นคนนิสัยดี คุยดี อัธยาศัยดี  เราต้องให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าตัวนี้ได้เป็นอย่างดี  แก้ปัญหาตอบข้อสงสัยได้ครบถ้วน  และ 3 อย่างนี้เราต้องทำโดยที่เรายังไม่พบลูกค้า  เพราะลูกค้าจะตัดสินใจก่อนเจอเรา  นั่นหมายความว่าเราต้องแสดง 3 อย่างนี้ก่อนที่ลูกค้าจะทักมาหาเรา  ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เลยในยุคอดีต  แต่ปัจจุบันเราทำได้ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Content นั่นคือการทำ Content

ลูกค้ามาซื้อเราวันนี้ เพราะลูกค้าเสพ content ของเราเมื่อวาน  หรืออาจจะอ่านเรื่องที่เราเขียนเมื่อสัปดาห์ก่อน หรืออาจจะดูรีวิวเมื่อเดือนก่อน  เหมือนกับที่เรามีผลไม้กินเพราะมีคนลงมือปลูก  และการทำ Content ให้ลูกค้าอ่านหรือดู ก็จะเป็นการทำให้คนเป็นพันเป็นหมื่นคนได้ดู  อัดคลิปครั้งเดียว  เขียนข้อมูลครั้งเดียว มีคนอ่านคนดูซ้ำเป็นหมื่นคน  เราไม่ต้องพูดซ้ำๆ วันละ 20 เที่ยวอีกแล้ว  เราเล่าเรื่องที่ต้องเล่าแค่ครั้งเดียว แล้วอินเทอเน็ตจะนำพาทุกอย่างต่อจากเรา  อินเทอเน็ตจะพาลูกค้ามาหา Content ของเรา  และพา Content ของเราไปผ่านสายตาลูกค้า 

การทำ Content จึงเป็นหนทางที่ธุรกิจควรทำ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในยุคปัจจุบัน  คนทำ Content คือคนที่จะถูกมองเห็นโดยลูกค้าทั่วประเทศและทั่วโลก  คนที่ไม่ทำ Content จะเป็นอย่างไร ก็ให้ดูร้านค้าที่นั่งตบยุง  อยู่ในทำเลทองที่ไม่ทองอีกต่อไป  ลูกค้าไม่เข้า แล้วก็บ่นว่า เศรษฐกิจไม่ดี  ดูสิ ไม่มีใครเดินเลย วันนี้ขายไม่ได้เลย

จริงๆแล้วสังคมมนุษย์ ประชากรเพิ่มขึ้น การบริโภคเพิ่มขึ้น อาหาร เสื้อผ้า สินค้าต่างๆ บริการต่างๆมีคนต้องการเพิ่มขึ้น เพราะคนเยอะขึ้นทุกวัน  แต่เขาไม่ได้มาซื้อร้านเรา เพราะเขาตัดสินใจซื้อกับคนที่เขาชอบ และเขาชอบใคร เขาชอบคนเขียน Content ที่เขาได้เสพ  ดังเช่นทุกวันนี้ที่เราหาที่พัก ที่เที่ยว ที่กินจากอินเทอเน็ต  ที่พักห้าดาววิวหลักล้านไม่ได้ถูกค้นพบจากการขับรถไปมั่วๆ  ทุกคนปักหมุดเลือกมาแล้วจากที่บ้าน  โดยลูกค้าอ่าน Content หรือ อ่านรีวิวมาแล้ว นั่นเอง

Slide6

พอเรารู้ว่าเราต้องมี Content เราถึงจะมีลูกค้า แต่ติดปัญหาตรงที่ส่วนมากเราจะนึกไม่ออกว่าจะทำ Content เรื่องอะไรดี ให้ลองคิดแบบนี้ครับ มี 5 ข้อที่แนะนำ

1 เปลี่ยนจากเรื่องของเราเป็นเรื่องของลูกค้า เลิกบอกว่าเราขายอะไร เลิกบอกว่าเราดีอย่างไร แต่ให้เปลี่ยนศูนย์กลางเป็นลูกค้า สนใจสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้ ทำ Content ที่ไขข้อข้องใจ หรือ แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้

2 ค้นหาว่าลูกค้ามีปัญหาอะไรบ้าง ลองรวบรวมคำถามออกมา ลูกค้าเคยถามอะไรเรา ตอนเราไปนำเสนองานเราโดนถามอะไรบ้าง

3 ลูกค้าเก่าคือที่มาของ Content เช่นกัน ลูกค้าจะมีปัญหาบางอย่าง แล้วเราแก้ปัญหาให้ได้ จนเขาอุดหนุนเรา เขาถึงเป็นลูกค้าเก่าของเรา ลองสำรวจหรือสอบถามลูกค้าไปเลยว่า เลือกเราเพราะอะไร

4 อยู่กับกลุ่มคนที่มีพลังงานล้นเหลือ มีไฟในการทำงาน อย่าอยู่กับกลุ่มที่อยู่อย่างหมดอาลัยตายอยาก หาความสดใส สดชื่นตลอดเวลา

5 ตั้งเป้าหมายว่าจะทำเพจหรือเว็บจนมีคนติดตาม

ใน 5 ข้อนี้คือสิ่งที่จะทำให้เราคิด Content ออก ลองทำทีละข้อไปเรื่อยๆ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็จะได้ Content ที่ดีมีพลัง เปลี่ยนคนอ่านเป็นลูกค้าได้ไม่ยากเลย

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องไปประชุมวงใหญ่

IMG_7333

การประชุมทางธุรกิจ เราจะเรียกว่าการทำ networking ส่วนมากจะมีวัตถุประสงค์ของการประชุม และส่วนมากยิ่งกว่านั้นคือเป็นการประชุมเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเราจะไปร่วมประชุมในกลุ่มใหญ่ จำนวนคนเข้าประชุมหลายสิบหรือหลายร้อยคน สิ่งที่เราควรจะทำก่อนไปประชุมคือ ถามตัวเองว่าธุรกิจของเราในปีนี้ ต้องการอะไร ต้องการลูกค้า หรือ ต้องการดีลเลอร์ หรือต้องการซัพพลายเออร์ เมื่อได้คำตอบในใจแล้ว เราก็พร้อมจะเข้าสู่การประชุม

เมื่อไปถึงที่ประชุมโดยเรามีเป้าหมายในใจแล้วว่าเราต้องการรู้จักใครเป็นพิเศษ ให้เราเดินหน้าทำความรู้จักทันทีกับทุกคนที่เราพบ โดยถามให้ชัดว่าเขาคือใคร อาชีพอะไร และจัดกลุ่มให้เขาเป็นกลุ่มดังนี้
กลุ่ม A คือเป้าหมายที่ตรงใจเรา

กลุ่ม B คือน่าสนใจ และอาจจะกลายเป็น A ได้

กลุ่ม C คือ ไม่ตรงเป้า ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ

ถ้าเขาเป็นกลุ่ม A  เป็นคนที่คาดว่าจะตรงเป้าหมายในใจ มีโอกาสช่วยเหลือทางธุรกิจต่อกันได้ อย่าทำแค่แลกนามบัตรแล้วบอกว่าจะโทรหา สิ่งที่เราควรทำก็คือ แสดงเจตนาว่าเราขอพบเขาในเวลาหลังจากนี้ เพื่อที่จะพูดคุยในรายละเอียด จากนั้นให้เราจดโน้ตต่อหน้าเขาเลยว่าเราขอจองเวลาของเขา มีปฏิทินก็หยิบมาเขียน มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเบล็ตก็หยิบมาคีย์ข้อมูลลงนัดหมายทันที จะอีกสามวันหรืออีกห้าวันหลังจากนี้ก็ให้กำหนดไปเลย ถ้าคู่สนทนาของเราเห็นด้วยว่าควรจะคุยรายละเอียดกันเพื่อพัฒนาธุรกิจซึ่งกันและกัน เขาจะยินยอมให้นัดหมายอย่างแน่นอน

ถ้าเขาเป็น กลุ่ม B  เป็นคนที่น่าสนใจ และน่าจะมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันได้ในอนาคต ให้แลกนามบัตรกันแล้ว แล้วขอบคุณและขอตัวแยกออกไปคุยกับคนอื่นต่อ โดยเราสามารถจะติดต่อภายหลังด้วยการส่งข้อความ ส่งอีเมล หรือไลน์ ไปทักทายในภายหลัง

ถ้าเขาเป็น กลุ่ม C  อย่าเสียเวลาคุยนาน ให้ขอบคุณและขอตัวอย่างสุภาพ อาจจะรู้สึกว่ามันห้วนและสั้นไปหน่อย แต่ไม่ต้องคิดมาก วิธีนี้สุภาพเพียงพอแล้วสำหรับการจบบทสนทนา

เราจะออกจากงานประชุมแบบมีนัดกลุ่ม A ที่ต้องพบกันในเร็ววัน เราจะมีกลุ่ม B ที่เราจะส่งข้อความไปขอบคุณ เพียงเท่านี้เราก็จะถือว่าเราได้ใช้ประโยชน์จากการประชุมวงใหญ่อย่างคุ้มค่าคุ้มเวลา

หนังสือการตลาดแบบบอกต่อ

IMG_3651

หลังจากที่ได้รู้จักการขยายธุรกิจด้วยเครื่องมือการตลาดชนิดหนึ่งที่ใช้คำว่า การตลาดแบบบอกต่อ หรือ Referral Marketing  ผมก็เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองไปทีละน้อย  จากเดิมที่เคยออกจากบ้านไปหางาน ไปสู่การแย่งชิง หาลูกค้า ขายของ พยายามทุกอย่างเพื่อที่จะได้งาน  และพบว่า เราได้งานบ้าง ไม่ได้งานบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่กับความรู้สึกตลอดเวลาคือ เราโดดเดี่ยว เหมือนต่อสู้อยู่กับทุกคน

เราเคยออกจากบ้านไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าด้วยการพกนามบัตรไปเต็มกล่อง คิดว่าจะไปหาลูกค้าจากกลุ่มเพื่อนเก่า  แต่พอไปถึงงานเรากลับรู้สึกอยากพูดคุย ถามไถ่ เราอยากรู้เรื่องราวชีวิตของเพื่อน เราอยากเล่าเรื่องของเราให้เพื่อนฟังบ้าง เราไม่ได้อยากมาขายของ  และตัดสินใจเก็บนามบัตรไว้ ไม่หยิบแจกถ้าไม่มีใครขอ อยู่ในงานเลี้ยงรุ่นด้วยความรู้สึกอยากอยู่กับเพื่อนเก่า อยากนั่งคุยให้นานๆ  ผ่านไปสักสองชั่วโมงก็ค้นพบว่า เราไม่ได้ต้องการเป็นเซลส์ตลอดเวลา เราอยากมีเวลาสนุกสนานกับคนอื่นๆ  เวลาที่ไม่ใช่การของาน  ไม่ใช่การแย่งงาน ไม่ใช่การขอร้องให้เขาซื้อเรา

ความรู้ทางการตลาดแบบบอกต่อ เปลี่ยนให้เรารู้จักกับคำว่าให้  เปลี่ยนประโยคคำถามจากซื้อของเราไหม เป็น ธุรกิจคุณเป็นอย่างไร  เรารู้จักคนอาชีพนี้ เขาจะมีประโยชน์กับคุณไหม  คุณอยากให้เราช่วยอะไรบ้าง  ทุกคำถามไม่ได้ออกมาแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่มันค่อยๆหลุดออกจากปากเราในการพูดคุยอย่างมีมารยาทและเชื่อว่าถูกกาลเทศะ  มันดูเหมือนเราเป็นคนผู้กว้างขวาง แต่จริงๆเราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่บังเอิญรู้จักคนอีกหลายอาชีพ  และบางอาชีพในแวดวงของเราก็มีประโยชน์กับเพื่อนเก่า  บางคนที่กำลังมีปัญหาบางอย่าง เราก็อาจจะได้แนะนำให้คนที่เรารู้จักอีกกลุ่มหนึ่งมาช่วยเพื่อนเราได้

ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ไปกับการทำงานโดยใช้การตลาดแบบบอกต่อ  ได้เรียนรู้การตั้งเป้าหมาย การแบ่งงาน  การทำงานร่วมกันเป็นทีม และที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ไม่เคยได้จากการทำงานตัวคนเดียวก็คือการได้หัดไว้วางใจในตัวเพื่อนร่วมทีม  เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่พอได้สัมผัส ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เราจะต้องไว้ใจกัน มันเกิดผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม และทำให้เราเรียนรู้ที่จะไว้ใจลูกน้อง  และสุดท้ายมันส่งผลดีต่อบริษัท ส่งผลดีต่อธุรกิจของเราเอง

หนังสือเล่มนี้ค่อยๆเขียนจากประสบการณ์การเป็นคนทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องน่ารู้ประจำสัปดาห์ให้กับเพื่อนร่วมงาน ทุกเรื่องที่ผมเคยเล่าก็จะถูกเรียบเรียงเป็นตัวหนังสือไว้ก่อน  ทำความเข้าใจแล้วค่อยๆเล่าให้เพื่อนฟัง  ตัวหนังสือเหล่านี้เลยถูกรวบรวมอีกครั้งให้เป็นเล่ม  เพื่อใช้ส่งต่อประสบการณ์ของการใช้การตลาดแบบบอกต่อในการทำธุรกิจ 

นอกจากความรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนในการแก้ปัญหาแล้ว  เรายังได้เรียนรู้ขั้นตอนพิเศษที่หาเรียนได้ยาก นั่นคือการคิดแบบ Growth mindset หรือการมุ่งแสวงหาการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ  หาปัจจัยที่พาธุรกิจของเราให้ก้าวผ่านวิกฤต  การวิเคราะห์หาแนวทางเพื่อเติบโตเป็นสิ่งที่ถูกฝึกฝนให้คิดและทำตลอดเวลา  ผลลัพธ์คือการพัฒนาตัวเอง  ผลลัพธ์ต่อเนื่องคือสร้างการเจริญเติบโตให้กับธุรกิจของเราเองและช่วยให้ธุรกิจของเพื่อนเติบโตไปด้วย 

อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับจากแหล่งความรู้ในเล่มนี้ก็คือ รู้แล้วอยากออกไปทำงาน  รู้แล้วอยากออกไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำไว้ไม่ดีนัก  เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากความรู้ประเภทชี้ช่องรวย อ่านวันนี้พรุ่งนี้สำเร็จ  หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แนวนั้น  เมื่ออ่านจบแล้วเราทุกคนยังคงต้องทำงานหนัก เพื่อพัฒนาคุณภาพงาน พัฒนาธุรกิจของเราเองต่อไป

สำหรับนักอ่าน  ท่านสามารถเลือกอ่านเนื้อหาในเล่มได้ตามสะดวก ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ จะข้ามไปยังบทที่สนใจเลยก็ได้  เพราะทุกบทเป็นบทที่จบในตัว เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เข้าใจการตลาดแบบบอกต่อและใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจของท่านได้

หากสนใจต้องการอ่านเป็นเล่ม ฝากชื่อ อีเมล ที่อยู่จัดส่งและเบอร์โทร ไว้ในแบบฟอร์มนี้ครับ

การตลาดแบบบอกต่อต้องมี Visibility

การที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจเลือกใช้บริการสักอย่างจะเกิดจากการที่เขาไม่ลืมเรา เช่น เดี๋ยวจะไปกินอาหารมื้อเย็น  ถ้าให้ลองบอกชื่อร้านอาหารที่อยากไปกันมาคนละ2 ร้าน เราก็คงนึกชื่อที่เราคุ้นเคย บางคนบอกชื่อของร้านอาหารญี่ปุ่น  บางคนบอกชื่อของร้านสุกี้  ทั้งๆที่ตลอดชีวิตของเรา  เราแวะกินร้านอาหารมากันคนละหลายสิบร้าน บางคนกินมาแล้วเกือบทุกร้านในห้าง  แต่ตอนที่เรานึกเร็วๆ ก็จะนึกออกได้แค่ไม่กี่ร้าน นั่นเป็นเพราะว่าเราลืมร้านอื่น  ไม่ใช่ร้านอื่นไม่อร่อย  แต่เราแค่ลืม

pexels-andrea-piacquadio-3764496

ในทำนองเดียวกัน  การบอกต่อหรือการแนะนำงานที่นักธุรกิจบางคนจะเรียกว่าการให้ Referral ก็เป็นการกระทำที่อยู่บนความไม่ลืม หรือ ความจำได้  การรับรู้ว่ามีใครสักคนทำงานนี้ได้  ทำให้เกิดการตัดสินใจบอกต่อ  การทำให้ผู้คนไม่ลืมบริษัทของเรา  ก็คือการทำให้เกิด visibility  มันคือการทำให้ผู้คนรับรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้  ให้บริการอยู่ตรงนี้  การมีตัวตนในใจลูกค้า หรือในใจผู้บอกต่อจะทำให้การบอกต่อเกิดขึ้น  และนำไปสู่การได้ธุรกิจหรือได้ยอดขาย

ตัวตนของเราในกลุ่ม networking หรือในกลุ่มเพื่อน  เพื่อนไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ลืมเหมือนกันถ้าไม่ได้เจอกับเราเป็นเวลานาน  ตั้งแต่เรียนจบจนมีครอบครัวถ้าไม่เคยเจอกันเลยรับรองว่าลืม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำอาชีพอะไร   สมมุตถ้าเราจะซื้อประกันชีวิต  เรานึกออกไหมว่ามีใครในกลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนที่เดียวกันจะมีอาชีพขายประกันบ้าง  แน่นอนว่าคงมีหลายคนจากหลายร้อยคนที่เรารู้จัก  แต่เราก็จะนึกถึงเพียงบางคน  นั่นก็เป็นเพราะบังเอิญเรานึกออกแค่เขา  หรือแม้แต่จะซ่อมแซมต่อเติมบ้าน  เราก็ไม่รู้จะเรียกใคร ทั้งที่เพื่อนในชีวิตที่เคยเรียนที่เดียวกับเราอาจจะมีบางคนทำงานสร้างและต่อเติมบ้านอยู่แล้ว  แต่เราก็ลืมเขา บางทีก็เป็นเพราะเราไม่รู้ข่าวของเพื่อนครบทุกคน  เลยไม่รู้ว่าใครทำอาชีพอะไร

การเพิ่ม visibility คือการทำบางสิ่งเพื่อทำให้เพื่อนไม่ลืมเรา  ทำเพื่อให้คู่ค้าหรือพันธมิตรธุรกิจไม่ลืมเรา  ทำเพื่อให้ลูกค้าไม่ลืมเรา  เพื่อนในกลุ่ม networking ไม่ลืมเรา นี่จึงเป็นเหตุผลที่กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มถึงนัดพบกันทุกสัปดาห์และในการประชุมก็จะมาพูดว่าเราคือใคร ทำอาชีพอะไร ชอบลูกค้าแบบไหน และมองหาอะไร อย่างสม่ำเสมอ ทำซ้ำๆตลอดปี  มันเป็นการเพิ่มการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะพูดซ้ำตลอดปี  

หากเราเห็นว่าการมีตัวตน หรือการถูกจำได้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจ สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่จะช่วยเพิ่ม visibility ให้กับเรา ต่อเพื่อนทุกกลุ่ม  ทุกสังคม  ที่เราอยู่ด้วย  เราลองอ่านไปทีละข้อแล้วเลือกทำบางข้อที่เราสะดวกจะทำ  ยิ่งทำมากยิ่งดี  ทำบางข้อก็ดีกว่าไม่ทำ ลองไปดูกัน

pexels-christina-morillo-1181406

1 เข้าร่วมกิจกรรมการประชุมหรือ ร่วมงาน networking ต่างๆที่เราสามารถเข้าได้  ทั้งการประชุมในอาชีพแบบเดียวกัน  หรือ งานแสดงสินค้า  งานโชว์ หรือการประชุมศิษย์เก่า และไม่ลืมที่จะติดนามบัตรของเราไปด้วย  เพราะเราไปร่วมงานในโหมดการแสดงตัวตน  ไปปรากฏตัวให้ผู้คนรับรู้ถึงตัวเรา

2 เข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรม สมาคมวิชาชีพเดียวกับคุณ  ไปร่วมประชุม สัมมนา หรือลงเวิร์คช็อป เพื่อไปหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จักกับคนในแวดวงเดียวกัน เพื่อขยายคอนเน็คชั่น  คนกลุ่มนี้จะเข้าใจอาชีพของเราได้ง่าย  บางทีเราอาจจะได้ซัพพลายเออร์  หรือ ได้เพื่อนร่วมอาชีพที่ช่วยเป็นแบ็คอัพให้ธุรกิจเราได้  อย่าเพิ่งคิดว่าเขาอาชีพเดียวกับเราแล้วจะแย่งลูกค้ากัน  ส่วนมากที่พบจะเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหาให้เราเสียมากกว่า คือ มีข้อดีมากกว่าข้อเสียในการรู้จักคนอาชีพเดียวกันหรืออาชีพใกล้เคียงกัน

pexels-eva-bronzini-6956316

3 สร้างตัวตนในฝั่งออนไลน์หรือบนอินเทอเน็ต  เริ่มด้วยการมีเว็บไซต์จะเป็นแบบส่วนตัวหรือของบริษัทก็ได้  มีโซเชียลเน็ตเวิร์คประจำตัว  การมีโพรไฟล์ในอินเทอเน็ตจะทำให้มีคนเห็นเราเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า  และเราควรต้องอัพเดทข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โพสท์เนื้อหาที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ หรือเล่าเรื่องของตัวเราอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญของเรา  พยายามเขียน story หรือเรื่องเล่า ยาวบ้าง สั้นบ้าง แล้วส่งเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกตัวที่เราใช้งาน

4 สร้างแบรนด์ประจำตัวเราให้ชัดเจน  สื่อสารเรื่องราวที่มีคุณค่า นำเสนอความสามารถในทางบวกของเราออกสู่โลก  แสดงให้เห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องอะไร  เล่าเรื่องวิธีการแก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยอาศัยความชำนาญของเรา  วางตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญและทำตัวให้น่าเชื่อถือ ทุกอาชีพมีเรื่องเล่ามีความน่ารู้ที่คนอาชีพอื่นไม่รู้แน่นอน  หรือแม้แต่การโพสท์โชว์ว่าเราไปทำงานอะไรในแต่ละวันก็เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างการรับรู้ได้ดีมาก  บางคนแค่โพสท์ว่าไปส่งของให้โครงการก่อสร้าง ส่งของทุกวันก็โพสท์ทุกวัน คนที่เห็นก็จะจำได้ว่า คนโพสท์อาชีพอะไร ถึงวันที่จะใช้ของเดี๋ยวเขาก็จะถามกลับมาเอง

5 มองหาโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่น  แบ่งปันข้อมูลหรือทรัพยากรของเราที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ให้คำแนะนำหรือข้อมูลในเชิงลึก  อธิบายความรู้ทางเทคนิคถ้ามีโอกาส  การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในรูปแบบต่างๆจะเพิ่มการรับรู้ให้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ  และไม่ลืมที่จะบันทึกเป็นเรื่องเล่าว่าเราช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร   ทั้งหมดจะช่วยทำให้การมีตัวตนภายในเแวดวงหรือกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มนักธุรกิจของคุณเด่นชัดมากยิ่งขึ้น

6 หาโอกาสขึ้นพูดในบนเวที พูดในงานสัมมนา หรือแม้แต่การพูดในห้องประชุม  การพูดจะทำให้คนรู้จักคุณดีขึ้น  การแบ่งปันความรู้บนเวทีจะทำให้ผู้คนรับรู้ในความเชี่ยวชาญ  สร้างความน่าเชื่อถือได้สูงมาก ยิ่งอธิบายความรู้เชิงลึกในอาชีพของคุณได้ยิ่งทำให้ผู้คนให้ความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น อย่ากลัวที่จะแสดงออก  แม้ว่าครั้งแรกๆจะทำได้ไม่ดี ไม่มั่นใจ  แต่ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า การได้รับเกียรติให้พูดบนเวทีในเรื่องราวอาชีพของเรา  นั่นเป็นเพราะเรามีความสามารถมากพอ เชี่ยวชาญในอาชีพของเรามากพอ  จนสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้  และยิ่งทำซ้ำ พูดซ้ำ จะยิ่งพูดได้ดีขึ้น จนในที่สุดจะไม่มีคำว่า ตื่นเวทีอีกเลย

pexels-andrea-piacquadio-3831888

7 ลองทำงานร่วมกับผู้อื่น  สร้างทีมทำโปรเจ็คใหม่ร่วมกัน  รวมศักยภาพของเรากับของเพื่อนเพื่อสร้างงานใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ถ่ายเทลูกค้าซึ่งกันและกัน  วิธีนี้จะได้รับการมองเห็นเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพราะเราจะได้ไปปรากฏตัวในแวดวงของเพื่อน  ขณะที่เพื่อนก็จะได้มาแสดงตัวในแวดวงของเรา ในภาษาทางธุรกิจบางองค์กรจะเรียกว่าการสร้างเพาเวอร์ทีมหรือ Powerteam

8 ติดตามเพื่อนใหม่เพื่อความต่อเนื่อง  หลังจากกิจกรรมเครือข่ายหรือการประชุม เราจะได้พบคนใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ ให้ติดตามผลกับทุกคนที่คุณเคยพบ  อาจจะทำโดยการส่งข้อความหรืออีเมลไปทักทาย  ถ้าคุณเป็นเจ้าภาพและเพื่อนใหม่มาเป็นแขกก็ให้ส่งคำขอบคุณในวันถัดมาหลังจากได้พบ  จะดีมากถ้าเราเพิ่มคนใหม่เป็นเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วย  จะทำให้เขารับรู้ถึงตัวตนของเรามากยิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ให้วางแผนนัดพบกันในครั้งถัดไปทันทีภายในเวลาไม่เกิน 2เดือน ถ้าเพื่อนใหม่เป็นคนที่น่าจะมีโอกาสส่งต่อธุรกิจซึ่งกันและกัน

9 เข้าร่วมการพบปะหรือร่วมประชุมด้วยความรู้สึกที่คึกคัก กระตือรือร้น  มีสมาธิในการ ฟัง ถาม ตอบ  มีส่วนร่วมในการประชุมอย่างเต็มที่  อยู่กับปัจจุบัน ใช้เวลาในห้องประชุมอย่างคุ้มค่า  ไม่ฟังอย่างขอไปที  เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมาจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือของคุณ

10 ใช้ประโยชน์จากการรีวิวของลูกค้า เราอาจจะขอให้ลูกค้าเขียนบทความสั้นๆเพื่อชื่นชมการบริการของเราหากลูกค้ารู้สึกพอใจ  และนำรีวิวเหล่านี้ไปแสดงบนเว็บไซต์หรือโพสท์ในโซเชียลเน็ทเวิร์คของเรา  การชื่นชมคุณภาพการทำงาน  เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในการสื่อสารแบบปากต่อปาก  และจะทำให้การรับรู้ของเราต่อคนอื่นเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นและเป็นบวก  และสุดท้ายจะพาโอกาสที่ดีเข้ามาหาเราได้แน่นอน

โปรดจำไว้ว่าการสร้างการรับรู้ในภาคธุรกิจต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างเข้มข้น  และต้องมีความสม่ำเสมอเป็นพื้นฐานสำคัญ   ให้พยายามมีสมาธิกับการพัฒนาการรับรู้หรือ Visibility อย่างจริงจังเพื่อขยายธุรกิจของเรา

รวมเล่มหนังสือจากบทความที่เขียนสะสม

810837

ผมเขียน content ในบล๊อกแห่งนี้มานานเกิน 10 ปีแล้ว และมีเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจบางส่วนที่เขียนสรุปย่อเอาไว้ให้อ่านพอเข้าใจ เนื้อหาเกี่ยวกับการตลาดแบบบอกต่อ ซึ่งผมก็ใช้เนื้อหานี้ในการบอกเล่าให้กับเพื่อนนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งเป็นประจำ ซึ่งพอผ่านมาหลายปี เนื้อหาก็มีหลายสิบตอน ลองเอามารวมแล้วจัดหน้าบนหน้ากระดาษ A5 ได้เกือบ 200หน้า ก็เลยรวมเป็นเล่มไปเลยดีกว่า

ปก การตลาดแบบบอกต่อ_ปกหน้า การตลาดแบบบอกต่อ

ปก การตลาดแบบบอกต่อ_ปกหลัง การตลาดแบบบอกต่อ

เมื่อคิดจะรวมเล่มก็ต้องออกแบบปก เขียนคำนำ สารบัญ ก็ใช้เวลาประมาณ 5 วันในการรวมเนื้อหา เขียนคำนำเพิ่มเติมใช้ความสามารถในการทำ Table of content ของโปรแกรม Microsoft word ช่วยสร้างสารบัญให้ ส่วนออกแบบปกหน้าและปกหลังก็ใช้โปรแกรมจัดหน้า illustrator หยุดยาว 5 วันผ่านไปก็ได้หนังสือมา 1 เล่มที่พร้อมจะแจกจ่ายเป็น e-book ซึ่งตอนนี้กำลังคิดเรื่องหาทางจัดจำหน่ายในระบบของเว็บขายหนังสือด้วย ตั้งใจว่าจะทำเป็นทั้งเวอร์ชั่น E-book และเวอร์ชั่นกระดาษ

810852

Nec204 – พลังของ testimonial

เมื่อตอนที่ BNI เริ่มต้น  ในช่วงเวลาแรกที่มีเพียง 1 แช็ปเตอร์  ดร.ไอแวน ดำเนินการประชุมด้วยตัวเอง  องค์ประกอบของการประชุมก็จะมีขั้นตอนไม่ต่างจากการประชุมในปัจจุบัน  มีการแนะนำแขก  มีการแนะนำธุรกิจตัวเอง  มีการพรีเซ้น 5 นาทีของสมาชิก  และสุดท้ายคือมีการมอบ Referral ให้แก่กัน

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4127

ในขั้นตอนการมอบ Referral จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวาระการประชุมที่ทุกคนจะมีส่วนพูด  สมาชิกจะบอกว่าเรามี Referral ให้ใคร  เมื่อถึงคิวพูด คนพูดจะยืนขึ้น  แล้วบอกว่า ผมมี หรือ ฉันมี Referral ให้ คุณเอ  มี Referral คุณ บี   และถ้าบังเอิญว่าไม่มี Referral ให้เพื่อน  สมาชิกคนนั้นก็จะพูดว่า ผมไม่มี Referral หรือ พูดว่า “ผ่านครับ”  ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทุกคนเข้าใจและทำกันแบบนี้เมื่อยังไม่มี Referral ให้เพื่อน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง  สมาชิกเป็นคุณหมอด้านการจัดกระดูก  เขาได้บอกกับ ดร. ก่อนเริ่มประชุมว่า เขามาเป็นสมาชิกสักพักแล้ว  และเขาไม่มี Referral เลย  เขาควรทำอย่างไรดี  เพราะการประชุมก็กินเวลาของเขา  และไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย  ไม่มีใครชวนเขาคุยหรือถามเรื่องเกี่ยวกับอาชีพเขาเลย แล้วเพื่อนสมาชิกจะให้ Referral กับเขาได้ยังไงถ้าไม่ได้คุยเรื่องอาชีพจัดกระดูก

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4142

ดร. ตอบว่า  ถูกต้อง ใช่เลย คุณควรจะทำให้เพื่อนได้ทดลองใช้บริการคุณ  แล้วเขาจะได้รู้ว่าอาชีพของคุณทำอะไร  มีประโยชน์อย่างไร  ซึ่งจะทำให้เพื่อนเข้าใจและสามารถให้ Referral ได้  ทำไมคุณไม่ลองแจกโปรแกรมตรวจ หรือ โปรแกรมฟรีบางอย่างให้สมาชิกล่ะ  การได้ทดลองจะทำให้เขาเข้าใจ และได้ไปเยี่ยมชมที่ทำงานคุณด้วย  
ในสัปดาห์ต่อมา คุณหมอจัดกระดูกก็ได้ทดลองทำตามคำแนะนำ  เขาแจกโปรแกรมทดลองให้กับสมาชิกบางคน  และเขาก็ได้เล่าให้ ดร.ไอแวนฟังแล้วว่า เขาได้ทำแล้ว  และจะรอดูว่าจะเป็นอย่างไร

หลังจากนั้นในอีกสัปดาห์ถัดมา  การประชุมก็ดำเนินมาถึงตอนที่จะให้ Referral เหมือนเคย  และคิวพูดก็วนมาถึงสมาชิกท่านหนึ่งซึ่งสัปดาห์นี้เขาไม่มี Referral ให้เพื่อน  ปกติ เขาก็จะยืนขึ้นแล้วบอกว่าผ่าน  แต่คราวนี้เขายืนและพูดว่า  ดร. ผมไม่มี Referral แต่ผมไม่อยากผ่าน  ….  ดร. ก็งง แล้วถามว่า ถ้างั้นคุณอยากจะทำอะไร  เขาบอกว่า ผมขอพูดอะไรสักหน่อยได้ไหม  ดร.ตอบว่าได้  เชิญเลยสมาชิกท่านนี้ก็เล่าให้ฟังว่า  เขาได้แวะไปใช้บริการของคุณหมอนักจัดกระดูกแล้ว  ได้ตรวจเอ๊กซเรย์กระดูก ได้รับการจัดกระดูกโดยคุณหมอมาแล้ว  ปกติเขาจะมีอาการปวดหลังมานานประมาณ 7 ปี  เวลายืนนานๆก็จะปวดมาก  แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ปวด  และพอจะยืนนานๆได้แล้ว  เขารู้สึกโชคดีมากที่ได้ทดลองจัดกระดูกกับคุณหมอ  และขอบคุณคุณหมอมากๆที่ได้แจกโปรแกรมทดลองใช้บริการให้กับเขา

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4166

หลังจากพูดจบ  ดร. ก็เห็นว่า เพื่อนสมาชิกในห้องหลายคนก็เขียน Referral ให้คุณหมอ  ดร.ค้นพบว่า การประชุมครั้งนี้มีสิ่งที่แตกต่างไปจากปกติ  นั่นคือการพูดถึงบริการของเพื่อนๆเมื่อได้ทดลองใช้ไปแล้ว  การพูดว่า ผ่าน หรือ สัปดาห์นี้ไม่มี Referral เป็นสิ่งที่เสียโอกาส  ถ้าไม่มี Referral จริงๆก็ควรจะได้พูดแง่มุมอื่นของธุรกิจเพื่อนที่เราได้สัมผัสมา  นั่นจะทำให้คนฟังที่เหลือรู้สึกมั่นใจ หรือกล้าที่จะให้ Referral มากขึ้น  และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก การพูดถึงธุรกิจเพื่อนที่เราได้ใช้บริการ  หรือ การพูด Testimonial ก็เป็นสิ่งที่ถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุม  เพราะประสบการณ์การใช้งานของเพื่อนคนหนึ่งจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนคนอื่นๆในที่ประชุม และคนในห้องประชุมจะจำได้  ทำให้มีโอกาสให้ Referral ได้มากขึ้นด้วย

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4227


สรุปโดยย่ออีกครั้งถ้าคุณไม่มี Referral

นั่นก็เพราะเพื่อนไม่คุยกับคุณเกี่ยวกับอาชีพของคุณ

นั่นเป็นเพราะเพื่อนไม่เคยใช้บริการคุณ

เพื่อนไม่รู้ว่าคุณทำอะไรได้และน่าใช้หรือเปล่า

นั่นเป็นเพราะคุณไม่เคยให้เขาทดลองใช้คุณ ทั้งแบบฟรี หรือแบบราคาถูกพิเศษเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการมี testimonial

ลองหาวิธีทำให้เพื่อนรู้จักคุณนะครับ

nec202 – การ looking for ของใหญ่ๆ

IMG_0138

ถ้าพูดถึงระบบนำทาง gps เราต่างก็คงเคยใช้ gps นำทาง  บ้างก็ให้เพื่อนแชร์โลเคชั่นให้แล้วก็ขับไปตามที่ระบบบอก   ยิ่งในยุคที่มีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือของทุกคน  ทุกคนก็มี gps รอให้ใช้ตลอดเวลา

คราวนี้ ……  ถ้าเราจะไปปั๊มน้ำมันใกล้บ้าน  หรือไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน  เราจะใช้ gps ไหมครับ?   คำตอบคือคงจะไม่ใช้  เพราะว่า เราเคยไปมาแล้ว  เรารู้ทางแล้ว  แล้วคนเราจะใช้ gps ตอนไหนบ้าง  คำตอบคือเรามักจะใช้ให้มันพาเราไปในที่ที่เราไม่เคยไป   เราใช้ระบบนำทางเพราะเราไม่รู้เส้นทางนั่นเอง

ในการร้องขอ referral หรือการแนะนำทางธุรกิจ เราก็สามารถใช้แนวคิดเดียวกันนะครับ  หากเทียบการนำทางเป็นการให้ referral  เราจะขอธุรกิจหรือขอลูกค้าเล็กๆน้อยๆ ก็ดูจะไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก  เพราะลูกค้าเล็กๆน้อยๆ  เราทำงานได้อยู่แล้ว  ยอดธุรกิจเล็กๆเราเคยทำแล้ว เรารู้ว่าหากเราจะหาลูกค้าเล็กๆ เราหาได้ เพราะเราก็เปิดบริษัทมานานแล้ว  ถ้าจะใช้เพื่อนหางานให้เราทั้งที เราน่าจะร้องขอสิ่งที่มันใหญ่ ขอสิ่งที่เราไม่เคยได้จะดีกว่าไหม  ขอสิ่งที่เราอาจจะเข้าไม่ถึงถ้าเราไม่มี connection   เหมือนใช้ gps นำทางไปในที่ที่เราไม่รู้ทาง   

เราควร looking for สิ่งที่เราไม่เคยได้  สิ่งที่เราจะรู้สึกภาคภูมิใจหากเราได้ลูกค้าคนนี้มา ลูกค้าที่จะช่วยยกระดับการทำงานของเราให้ใหญ่ขึ้น ยกระดับบริษัทของเราให้มีพอร์ตโฟลิโอที่ยากขึ้น เก่งขึ้น  ขออะไรใหญ่ๆไปเลย จะได้ใช้ทรัพยากร ใช้กลุ่มเน็ตเวิร์คของเราให้คุ้ม

ลองพิจารณาดูนะครับว่า บริษัทเรา มีศักยภาพแค่ไหน  ลองขอลูกค้าที่เราต้องทุ่มเทการทำงานหนักมากขึ้น  ทำงานหนักยิ่งกว่าที่เคยมีมา  บริษัทเราจะได้เติบโตไปอีกขั้น   เพราะเรามาอยู่ในกลุ่มเน็ตเวิร์คแห่งนี้เพื่อขยายธุรกิจ เราจึงควรจะมียอดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ฝากไว้ 1 ประโยคนะครับ  เราจะไม่มีวันถึงเป้าหมาย  ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมาย  ลองตั้งเป้าหมายที่ใหญ่เพียงพอ เป้าที่จะทำให้บริษัทเราเติบโตแบบก้าวกระโดด

หนังสือดี สำหรับคนอยากสร้าง connection

วันนี้ผมได้ค้นพบหนังสือดีเล่มหนึ่งที่น่าใช้เวลาอ่านอย่างมาก เป็นหนังสือที่ได้แถมมาจากการอบรมครั้งหนึ่งของ bni ประเทศไทย โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แปลมาจากต้นฉบับของ Dr Ivan misner ผู้ก่อตั้้ง BNI หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า The Connector Effect

Ivan Misner เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิสัยทัศน์ขององค์กรเครือข่ายธุรกิจ BNI

บริษัท BNI เป็นบริษัทที่สอนการขยายธุรกิจด้วยเทคนิคการตลาดแบบบอกต่อ ซึ่งผมเป็นสมาชิกของ BNI มาหลายปีแล้ว และก็ได้รับการบอกต่อ แนะนำลูกค้าให้กับธุรกิจของผมเองอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ผมก็แนะนำลูกค้าของผม เพื่อนของผมไปอุดหนุนสมาชิกคนอื่นในกลุ่มด้วย การบอกต่ออย่างมีระบบทำให้การขยายธุรกิจเป็นเรื่องสนุก และเบื้องหลังการบอกต่ออย่างได้ผลก็มาจากองค์ความรู้ที่ BNI รวบรวมเอาไว้และถ่ายทอด สอนให้กับสมาชิกได้ทำตาม

IMG_20211206_192935

เคล็ดลับที่ไม่ลับก็คือ คนจะบอกต่อเพื่อนให้มาอุดหนุนเรา มันต้องเกิดจากความไว้วางใจว่าคนแนะนำเขาเชื่อถือเรา ไว้ใจเรา เขาจึงกล้าแนะนำคนอื่นมาอุดหนุนเรานั่นเอง ความไว้ใจสร้างได้ ความน่าเชื่อถือสร้างได้ และมีตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นทุกๆวัน ทุกๆสัปดาห์ที่เราไปร่วมประชุมกับกลุ่ม

กรณีตัวอย่างที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ บางส่วนก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผม เมื่ออ่านมาพบก็รู้สึกว่า การทำให้ผู้คนประทับใจก็เป็นวิธีการสร้างความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน กรณีตัวอย่างในนั้นก็คือเรื่องต่อไปนี้

IMG_20211207_074436

สิ่งที่ได้จากการอ่านย่อหน้านี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้แปลกประหลาด แต่มันเป็นเรื่องเล่าที่จูงใจให้ทำตามถ้ามีโอกาส ความประทับใจในการประกอบอาชีพมันจะดีที่สุดถ้ามีคนชื่นชมเรา และเขาไปบอกต่อคนอื่นในเรื่องราวแนวนี้ ใครทำงานอยู่และกำลังจะขยายธุรกิจ ขอให้ได้ลองมาเข้ากลุ่มกับนักธุรกิจแนวบอกต่อแบบนี้ รับรองว่าจะมีความอยากทำงานมากขึ้นแน่นอน เพราะว่าแนวคิดและองค์ความรู้ของ BNI ทำให้เราอยากมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจของเรา ซึ่งมันเป็นแง่มุมที่ดี มันดีกับตัวเราเอง

nec – referral source คืออะไร หาได้จากไหน

IMG_0229

คุณอาจจะคิดว่า ผู้ที่น่าจะให้ referral แก่เราบ่อยๆได้ก็คือลูกค้าเก่าของเรา เราคิดอย่างนั้น และมันเป็นเช่นนั้นหรือไม่  เชื่อว่าหลายคนก็คิดแบบนี้  และเราก็มักจะพูดติดปากว่า ลูกค้าเราใช้บริการเราแล้วพอใจ แล้วก็บอกต่อ แล้วก็แนะนำลูกค้าคนต่อไปมาให้  มันอาจจะเคยเกิดขึ้นบ้าง แต่ลองคิดดูให้ดีว่า มันสามารถเกิดขึ้นบ่อยๆหรือเปล่า  แล้วถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราก็อาจจะถลำตัวไปกับการใช้เวลากับลูกค้าของเรา จนวันนึงเราพบว่า เราคิดผิด

IMG_0536

ลูกค้าเก่าช่วยบอกต่อทำให้เกิดงานก็จริง แต่ในระยะยาวย่อมไม่ใช่ และจะทำให้เราเกิดผลเสียในภายหลังถ้าเรามัวแต่ใช้เวลากับลูกค้าเก่าของเราอย่างผิดวัตถุประสงค์  ผู้ที่จะให้ธุรกิจกับเราในระบบ referral marketing คือคนที่เราแนะนำงานให้เขานั่นเอง  คนที่เราส่งงานให้  คนที่เขาได้รับการเทรนนิ่งมาแนวเดียวกับเราและมีกลุ่มลูกค้าคล้ายๆเรา เรามาลงรายละเอียดกัน

คนที่ได้รับการฝึกฝนให้มองหางานให้เพื่อน หรือ เพื่อนใน powerteam ของเราที่มีความเข้าใจและสามารถใช้เวลาในการสร้าง network ที่มีคุณภาพต่างหากที่จะเป็นแหล่ง referral ให้กับเรามากกว่าลูกค้าเก่าทั้งหลายที่ผ่านเราไป  เพราะว่า เพื่อน powerteam ของเราผ่านการเรียนรู้ ผ่านการฝึกฝนมาเหมือนกับเรา อ่านตำราเดียวกับเรา และเห็นคุณค่าของการใช้เวลากับ powerteam เหมือนๆกับเรา  เพื่อนเราจะพูดหางานให้เราแทนตัวเราได้ เพราะเพื่อนเราฟังเราพูดทุกสัปดาห์  และผ่านการศึกษาซึ่งกันและกัน หรือ ทำ 1-2-1ด้วยกันแล้ว  และเราทำแบบนี้กับลูกค้าของเราไม่ได้นั่นเอง

IMG_0151

หากเราไปหาลูกค้าของเราเองและไปบอกไปสอนลูกค้าเราว่าเราอยากได้อะไร ขอให้ลูกค้าช่วยหา referral ให้หน่อย ลองคิดดูว่ามันจะออกมาน่าเกลียดแค่ไหน  ลูกค้าของคุณหวงแหนเวลาอันมีค่า เขาอาจจะคิดว่า ทำไมคุณไม่เอาเวลาพูดคุยเหล่านี้ไปทำงานของลูกค้าให้เรียบร้อย เอาเวลาไปทำในสิ่งที่ลูกค้าจ้างคุณทำ ทำไมต้องมาคุยนานๆ  ทำไมไม่กลับไปทำงานที่มีอยู่ให้เรียบร้อยดูดี  ถ้าลูกค้าเราใจดีช่างคุยก็อาจจะได้คุยกันนาน แต่ถ้าลูกค้าแสนดีของเราเกิดยุ่งและไม่ชอบสิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ชอบการไปสั่งสอนว่าให้หางานให้คุณ  ลูกค้าก็อาจจะค่อยๆหายไปจากคุณก็ได้  คุ้มไหมกับการเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นแหล่งสร้าง referral

IMG_9742

สิ่งที่เราควรจะโฟกัสให้ชัดก็คือ หา referral source จากกลุ่มเน็ตเวิร์คกิ้งให้เจอ  เขาเป็นคนที่มีลูกค้าคนเดียวกับเรา เขาเข้าใจการทำงานเป็นทีม เขาเข้าใจการทำตลาดแบบบอกต่ออย่างแท้จริง เขาให้ความสำคัญกับกลุ่มเน็ตเวิร์คกิ้งอย่างเพียงพอ เขามีเวลามาพูดคุยกับเราว่าเขาต้องการลูกค้าแบบไหน เราต้องการลูกค้าแบบไหน เขาพร้อมจะทำธุรกิจไปพร้อมๆกับเรา และเขามีเวลาให้เรา

ต่อให้เรามีลูกค้าคนเดียวกัน แต่ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง ไม่มีเวลาให้เรา ก็ให้ท่องไว้ว่า  หาคนใหม่เข้าทีมเรา.

In this blog, business networking expert Dr. Ivan Misner® explains why, contrary to popular belief, customers may not be your best source for referrals.

nec108 – เพิ่มยอดด้วย powerteam

IMG_0256

Boost Referral by powerteam

powerteam คือกลุ่มคนที่มีลูกค้าคนเดียวกัน  คนในทีมไม่ได้แย่งลูกค้ากัน  การที่คนหนึ่งๆในทีมได้ลูกค้าไป ไม่ได้ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อสิ่งอื่นๆในทีม  ยกตัวอย่าง  ถ้าเป็นทีมอสังหาริมทรัพย์  ก็มักจะประกอบไปด้วย  นายหน้า  สินเชื่อ  คอนซัลก่อสร้าง  สามส่วนนี้มีลูกค้าคนเดียวกันคือ คนที่อยากลงทุนในอสังหาฯ  และการที่ใครสักคนในทีมได้ลูกค้า  ก็มีแนวโน้มว่าอีกสองคนในทีมจะได้ลูกค้าด้วย

ยกอีกตัวอย่าง  wedding planner ก็จะเป็นทีมเดียวกับ คนจัดดอกไม้ และ catering สามคนนี้จะมีลูกค้าเป็น เจ้าบ่าวเจ้าสาว  การที่ใครบางคนในทีมได้งานหนึ่งงาน  อีกสองคนในทีมมีแนวโน้มจะได้งานด้วย  เพราะการที่ลูกค้าอุดหนุนคนในทีม  ไม่ได้หมายความว่า ส่วนที่เหลือทั้งทีมจะไม่ได้งานใดๆอีกเลยจากลูกค้าคนนี้

เมื่อพูดถึงpowerteam  ก็ต้องมาเรียนรู้กับคำว่า contact sphere   ซึ่งคำนี้ จะหมายถึง กลุ่มคนที่มีอาชีพที่เกื้อหนุนกัน  ไม่แย่งลูกค้ากัน ลูกค้าของคนกลุ่มนี้จะมีแนวโน้มที่จะอุดหนุนหลายๆคนในทีม   และเมื่อเราพัฒนา contact sphere ให้สนิทสนมกัน contact sphere เหล่านี้จะกลายเป็น powerteam

คำถามต่อไปนี้จะเป็นคำถามช่วยเพิ่มความสนิทสนมใน powerteam ได้

1 คุณเริ่มต้นธุรกิจอย่างไร

2 คุณชอบขั้นตอนไหนที่สุดในสิ่งที่คุณทำ

3 อะไรคือความแตกต่างของคุณกับคู่แข่ง

4 มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจกับคุณ

5 เทรนความนิยมที่กำลังจะมาในธุรกิจของคุณคืออะไร

6 กลยุทธที่คุณใช้ขยายธุรกิจของคุณคืออะไร

7 อะไรคือสิ่งที่ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในวงการของคุณ

8 มีอีเว้นท์หรือการจัดงานอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณที่กำลังจะมีเร็วๆนี้

9 ความท้าทายอะไรในงานนี้ที่ดูยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

10 ลักษณะของลูกค้าคุณเป็นอย่างไร  มีอะไรที่จะบอกได้บ้าง ว่า คนที่เราพบควรจะเป็นลูกค้าคุณ

nec105 – ได้ referral อย่าใจเย็น

referral slip 2019

ได้ referral อย่าใจเย็น

มีสมาชิกท่านหนึ่งแจ้งกับ director ว่า เขาจะไม่ต่ออายุสมาชิก  ด้วยเหตุว่า referral ที่ได้รับนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นธุรกิจได้เลย ซึ่งทำให้ director แปลกใจมากกับเหตุการณ์นี้ คือ มี referral แต่ปิดการขายไม่ได้  และมันเกิดขึ้นบ่อยจนสมาชิกเบื่อหน่าย เลยไม่ต่ออายุ

ในวันเดียวกัน director ได้คุยกับประธานแช็ปเตอร์  และประธานเล่าให้ฟังว่า ทางแช็ปเตอร์ของเขามีมติไม่ต่ออายุสมาชิกท่านหนึ่งด้วยข้อหา ไม่ตามงาน ไม่ follow referral ที่สมาชิกให้ไปมันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่ไม่เกิดธุรกิจเพียงเพราะไม่ตามงาน  

พวกเราสมัครสมาชิกเสียเงินเยอะ  พวกเราใช้เวลาเยอะกับการมาประชุม  เรามานั่งกันที่นี่ ใช้เวลาตั้งนานกับการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในการขยายธุรกิจ และเรามี looking for เรารอรับ referralที่เราขอ   เมื่อเราได้มันมา เราควรจะดำเนินการทุกอย่างกับ referral  อย่างเร่งด่วนที่สุด 


คำแนะนำที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้คือ ต้องตามงานหรือ follow ด้วยแนวคิดดังนี้

1  follow ทันทีภายในวันเดียว เพราะถ้าเราช้า วันถัดไปลูกค้าจะพยายามหาที่อื่นแทน

2 ถามคนให้ referral ว่างานที่ให้มานั้นมีรายละเอียดคร่าวๆอย่างไร และคนให้สนิทกับลูกค้าอย่างไร

3 ตอนที่คุยกับลูกค้า ให้เริ่มการสนทนาด้วยการ พูดถึงคนที่แนะนำงานให้คุณก่อน พูดถึงเขาในแง่มุมที่ดี อธิบายว่ารู้จักกับคนแนะนำอย่างไร สนิทกันอย่างไร  ใช้เวลาส่วนนี้ประมาณ 1-2 นาที ลูกค้าก็จะไว้ใจเรามากขึ้น


หาก referral ที่ได้มานั้น ไม่ตรงกับความต้องการของเราจริงๆ  ให้เราอธิบายกับผู้ให้ว่า ไม่ตรงกับความต้องการอย่างไร  เพื่อให้คนแนะนำเข้าใจและมองหาสิ่งที่ตรงกับความต้องการของเราจริงๆ  มีคำพูดแนะนำสำหรับสมาชิกทุกท่านว่า “หากท่านได้รับ referral ที่ไม่ตรงในครั้งแรก นั่นคือสิ่งปกติ  แต่หากครั้งที่ 2 ยังไม่ตรงอีก ความผิดเกิดจากตัวท่านเองที่ไม่อธิบายคนให้referral ให้เขารู้ว่าท่านต้องการ referral แบบใด”

nec99 – ปัจจัยที่มีผลต่อการให้ referral

Photo by fauxels on Pexels.com

ปัจจัยที่มีผลต่อการให้ Referral

เราเคยคุยกันเรื่อง visibility ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนในกลุ่มสามารถรับรู้ได้ว่าเรามีตัวตน  มีอาชีพนี้อยู่ในทีม  ซึ่งเป็นปัจจัยแรกของการสร้างธุรกิจแบบ word of mouth หรือ referral marketing
และหลังจากที่เราทำให้ทุกคนรู้ว่าเรามีตัวตนแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปก็คือ สร้างความน่าเชื่อถือ หรือ creditability นั่นเอง  เพราะการมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มว่าเราทำอาชีพอะไร นั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เพื่อนๆ มั่นใจและแนะนำลูกค้าให้เรา

การที่ใครสักคนจะแนะนำธุรกิจให้กับเพื่อนของเขา  คนแนะนำเขามักจะคิดอย่างรอบคอบ เพื่อให้การแนะนำของเขามีคุณค่าปัจจัยที่จะมีผลต่อการคัดเลือกว่าจะให้ใครจะมีดังนี้

1  คุณเก่งในสายงานคุณจริงไหม  บางคนใช้คำว่า expert

2 คุณทำสิ่งที่คุณทำอยู่อย่างมีความหลงไหล หรือ passion หรือไม่  และความรู้สึกนั้นหลุดออกมาสู่คนรอบข้างได้ชัดเจนไหม

3  คุณตอบสนองกับธุรกิจที่ได้รับอย่างมืออาชีพ และช่วยรักษาเครดิตของคนแนะนำนั้นอย่างดีไหม  ถ้าให้ไปแล้วไม่ตามงาน ก็เสียชื่อ ดังนั้นการติดตามงานอย่างกระตือรือร้นเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรวดเร็วและสำคัญที่สุด

4  เรามีความสัมพันธ์แบบสนิทรู้จักกันดีเพียงพอไหม?

เพราะหลายๆครั้งเราก็มักจะมีความรู้สึกในใจว่า เราไม่ค่อยรู้จักเขา เราเลยไม่กล้าแนะนำลูกค้าให้เขา บางทีเราก็พูดว่า เรายังไม่รู้เลยว่าสมาชิกคนนี้เป็นคนยังไง  ไม่กล้าแนะนำลูกค้าให้

เราและเพื่อนต้องตอบคำถามสี่อย่างให้ได้ครบทุกข้อซึ่งกันและกันคือ  เราเก่งไหม  เรามี passion มากพอไหม  เราเป็นมืออาชีพในธุรกิจไหม  และ เราสนิทกับเพื่อนมากพอหรือยัง