“คนเราจะอ้วนขึ้นเพราะกินเยอะครับ”
เป็นคำตอบสั้นๆ แต่จริง เดี๋ยวลองมาดูกันยาวๆว่ามันเป็นไปอย่างไรกัน
นักโภชนาการเคยบอกว่า น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมจะคู่กับตัวเลข 7000 กิโลแคลอรี่ หมายความว่า ถ้าเราอยากลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เราต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้ได้ 7000 กิโลแคลอรี่ หรือ ใช้ชีวิตให้ติดลบ 7000 กิโลแคลอรี่ นั่นเอง ซึ่งอาจจะทำโดยการออกกำลังกาย ขณะเดียวกัน ถ้าเราจะเพิ่มน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ก็ต้องกินให้ได้แคลอรี่ตกค้างในร่างกาย 7000 กิโลแคลอรี่ ที่ใช้คำว่าตกค้างก็เพราะว่า ต่อให้เรากินวันนี้เข้าไป 7000 กิโลแคลอรี่ พรุ่งนี้เราก็ขับถ่ายออกไปส่วนใหญ่ คงเหลือค้างไว้ในร่างกายคงจะไม่กี่ร้อยแคลอรี่ แม้จะดูเล็กน้อย แต่ถ้าทำหลายๆวันมันก็สะสมจนน้ำหนักตัวขึ้นมาได้นั่นเอง
นิสัยการกินแหลกนี่แหละที่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้น เพราะผมเป็นคนไม่ออกกำลังกาย การกินอะไรเข้าไป ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มน้ำหนักตัวอยู่แล้ว สมมุตว่า ถ้าเรากินแล้วแคลอรี่สะสมในร่างกายเป็น +100 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เราจะใช้เวลา 70 วันที่จะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หรือสองเดือนเศษ ถ้าทำต่อเนื่องปีนึงก็จะน้ำหนักขึ้น 100*365 / 7000 ก็จะได้ 5.2 กิโลกรัม แปลว่า กินเพลินๆ กินทุกวัน กินเกินความต้องการของร่างกายไปเล็กน้อยสักปีนึง น้ำหนักขึ้น +5.2 กิโลกรัม มันเป็นตัวเลขที่เป็นไปได้ สมมุติว่าเราไม่ได้กินล้นทุกวัน แต่กินแค่วันเว้นวัน เราก็จะน้ำหนักตัวขึ้นปีละ 2.6 กิโลกรัม ถ้าผ่านไป 10 ปี น้ำหนัก +26 กิโลกรัม ลองนึกดูว่าจริงไหม ผมเคยหนัก 67 กิโลกรัมตอนอายุ 20 แต่พออายุ 40 ผมหนักประมาณ 90 กิโล ส่วนต่างประะมาณ 23 กิโลกรัมนี้มีที่มาจากการกินล้นๆ กินเกินความต้องการ ก็คือกินแหลกนั่นเอง
กาแฟเย็นซื้อที่ปากซอยทุกครั้งที่เดินผ่าน
เราคงเคยคุยกับเพื่อนว่าปีนี้กินเยอะมากเลย ไม่กี่เดือนน้ำหนักขึ้น 5 กิโล มันก็มาจากการสะสมแบบนี้แหละครับ ตัวเลข +100 กิโลแคลอรี่ต่อวันมาจากอาหารอะไรบ้าง เราจะไม่พูดถึงอาหาร 3 มื้อที่เราต้องกินประจำนะครับ แต่จะไปวิเคราะห์หาที่มาจากอาหารแปลกปลอมที่เราไม่จำเป็นต้องกินแต่เราดันกิน มันคือ ขนม ของหวานต่างๆ รวมไปถึง กาแฟหวานๆ จะร้อน จะเย็น ถ้ามีรสหวานก็คือปริมาณแคลอรี่ที่มากเกินความจำเป็นของร่างกายทั้งสิ้น ของหวานเหล่านี้ต่อให้เราไม่กินเราก็อยู่ได้ แต่เราก็ชอบกิน มันก็เลยสะสมเกิดเป็นพลังงานส่วนเกินและกลายเป็นน้ำหนักตัวไปในที่สุด
กาแฟถ้าชงเองก็จะใส่ครีมและน้ำตาลด้วย
ผมกินแหลกอย่างไรบ้าง ลองไล่ดูนะ มื้อเช้ากินในบ้าน มีคนเตรียมให้ ผมกินอิ่ม มื้อเช้าใครๆก็กินเยอะอย่างสบายใจ แล้วก็ต่อด้วยกาแฟร้อน ใส่กาแฟ 1 ช้อน น้ำตาล 1 ช้อน ครีม 1 ช้อน สูตรการชงกาแฟผมจะง่ายๆ 1 1 1 นั่นเอง แต่บางครั้งก็ทำเป็น 2 2 2 เมื่อใช้แก้วใบใหญ่ขึ้น สายๆ ประมาณสิบโมงกว่า มีเดินไปชงกาแฟอีกแก้ว พอถึงเวลาเที่ยง กินมื้อเที่ยง กินหมดจาน ข้าวราดด้วยผัดกระเพรากับไข่ดาวฟองนึง กินเต็มจาน อิ่ม ยังมีน้ำอัดลมหรือกาแฟเย็นในมื้อนี้อีกแก้ว
อาหารแสนอร่อย ของทอด และ ปลาหมึกผัดกะเพรา ไขมันเพียบ
แล้วก็กลับมาทำงานรอบบ่าย ชงกาแฟสักแก้วก่อนเริ่มงานรอบบ่าย นั่งทำงานไป บ่ายสามโมงอู้ไปเดินยืดเส้นยืดสาย ชงกาแฟอีกแล้ว พอเลิกงาน เดินกลับบ้านหรือขับรถกลับบ้าน ถ้าขับรถก็จะมีกาแฟกระป๋องกินไปกับการขับรถ ก่อนจะขับรถกลับบ้าน ผมจะผ่านร้านขายลูกชิ้นทอด ก็ซื้อกินสัก 20 บาท พร้อมด้วยกาแฟเย็นอีกแก้ว กลับมาถึงบ้าน กินมื้อเย็นเต็มจาน บางทีก็สองจานขึ้นอยู่กับกับข้าวน่ากินไหม พอตกดึก ถ้าไม่ง่วงก็ชงกาแฟกินโดยนั่งทำงานหรือนั่งเล่นอินเทอเน็ตไปด้วย พอตกดึก ก็ไปกินข้างนอก บางครั้งก็ไปกินข้าวต้มกระเพาะหมู บ้างก็เป็นเกาเหลากับข้าวถ้วยนึง บางทีก็ฟู้ดแลนด์ ซึ่งที่ฟู้ดแลนด์จะมีเมนูประจำคือชุดอาหารเช้า ในนี้จะมี ไส้กรอก ไข่ดาว2ฟอง ขนมปัง2แผ่น เนย แยม มีกาแฟร้อนอีกแก้วที่ผมจะตักครีมและน้ำตาลเติมเข้าไป และบางวันก็ไปกินราดหน้าผัดซีอิ๊วซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบมากๆ ข้าวขาหมูก็มีขายทั้งแถวบ้านและแถวที่ทำงาน กินบ่อยเหมือนกัน
ผัดซีอิ๊ว ทุกพื้นที่ผิวมีน้ำมันฉาบอร่าม ยิ่งมันยิ่งอร่อย
ข้าวขาหมูที่ดูเหมือนเนื้อน้อยกว่ามัน
ก็กินซะขนาดนี้จะไม่สะสมจนล้นได้ยังไง ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นการกินใน 1 วัน และกินแบบนี้เป็นปีๆ ในเวลาไม่กี่ปีที่ผมปล่อยตัวให้เคยชินกับการซื้อกินรายทางและกินหลายมื้อ ทุกอย่างที่กินก็ไขมันสูงทั้งสิ้น จะเห็นว่าไม่มีเมนูเพื่อสุขภาพเลย มันก็เลยทำให้น้ำหนักตัวขึ้นไปถึง 91.3 กิโลกรัม ซึ่งอีกนิดเดียวจะร้อยกิโลอยู่แล้ว ผมไม่ยอมเด็ดขาด มันรับสภาพตัวเองไม่ได้ จากคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน กลายเป็นคนอ้วนไม่มีคอ ไม่มีเอว และที่สำคัญ เด็กในบ้านเรียกผมว่าอ้วน มันเป็นภาพจำของเด็กไปแล้ว แย่มากจริงๆความรู้สึกแบบนี้
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.




