ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 3 เรื่องแย่ๆก็มี


ผมเริ่มเจอปัญหาแล้ว

สองเดือนที่ผ่านมาเครื่องพิมพ์มีปัญหาค่อนข้างเยอะ ผมโทรตามช่่างมาดู มาซ่อมหลายครั้ง การซ่อมแต่ละครั้งไม่สามารถทำให้หายขาดได้ อาการก็คือ ภาพขึ้นไม่สม่ำเสมอ บางส่วนของภาพสีอ่อนทั้งๆที่ข้อมูลสีเป็นแบบเดียวกัน อาการแบบนี้ทำให้งานพิมพ์นามบัตรหรือป้ายสินค้าที่ลงไว้หลายๆตัวในหน้ากระดาษ บางตัวจะสีเข้ม บางตัวจะสีอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เครื่องพิมพ์ตัวละพันบาทก็ต้องไม่มีปัญหาแบบนี้ แต่นี่เครื่องละเป็นล้าน ถ้ามีก็แย่แล้ว

ตัวอย่างงานที่เป็นปัญหา เป็นงานป้ายสินค้าสีส้ม ซึ่งในกระดาษใบใหญ่จะมีป้ายตัวเล็กๆวางอยู่ประมาณ 20 ชิ้น ชิ้นที่อยู่ด้านบนจะสีอ่อนกว่าชิ้นที่อยู่ด้านล่างของกระดาษ ผมตัดชิ้นด้านล่างออกมาแล้วเอาไปวางทาบกับชิ้นบนเพื่อให้เห็นว่า สีมันต่างกัน

ช่างหลายคนที่วนเวียนเข้ามาดูตลอดสองเดือนไม่มีใครวิเคราะห์อาการแล้วซ่อมให้หายขาดได้เลย มีแต่พยายามปรับแต่งทำให้สีดูแตกต่างน้อยลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการ ผมเจอหน้าช่างประมาณไม่ต่ำกว่าห้ารอบภายในเวลาแค่สองอาทิตย์ คำสัญญาที่ Fujixerox ได้เคยให้ไว้ว่าจะมาถึงเครื่องหลังจากแจ้งซ่อมไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ไม่เป็นจริง หลายครั้งที่มาได้จริง แต่ก็มีหลายครั้งที่มาไม่ได้ มาไม่ทัน มันแย่ตรงที่ว่าผมรักษาสัญญาด้วยการจ่ายเงินตรงไปตรงมาครบทุกเดือน แต่ผมไม่ได้รับการปฏฺิบัติตามสัญญากลับคืนมา ข้อนี้ถือว่าสอบไม่ผ่าน ถ้าผมมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ผมไปจากคุณแน่นอน

อาการเสียซ่อมไม่หายขาด เป็นๆหายๆ ผมยืนดูช่างมาซ่อมแต่ละคนแล้วไม่เข้าใจนโยบายบริษัทเลย ถ้าชิ้นส่วนเครื่องมันเสื่อมแล้วความสามารถมันตก ก็เปลี่ยนอะไหล่ให้ผมก็จบเรื่อง ยกทั้งเครื่องมาเปลี่ยนให้ผมไปเลยก็ได้ เอาตัวเก่าไปซ่อมให้ชัวร์แล้วค่อยมายกเปลี่ยนคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ปีหนึ่งๆ Fujixerox ขายเครื่องรุ่นนี้ได้เป็นร้อยตัว ผมไม่เชื่อว่าจะไม่มีอะไหล่ให้ผม แต่ถ้าไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนจริงๆ(เครื่องสำรอง) ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่แย่มาก

ธุรกิจสิ่งพิมพ์ดิจิทัลคือการพิมพ์ตามสั่ง คำศัพท์ Print on demand เป็นถ้อยคำที่ Fujixerox โปรโมทมาตลอดเวลา อุตส่าห์เชื้อเชิญ แนะนำ ว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์มันต้องเป็นดิจิทัล ต้องรวดเร็ว ถึงจะเสริมสร้างธุรกิจของลูกค้าได้ ผมก็เห็นด้วยเลยลงทุนกับดิจิทัล แต่วันที่มันมีปัญหา Fujixerox กลับเพิกเฉยไม่กระตือรือร้นที่จะทำให้เครื่องพิมพ์ของผมซึ่งยังอยู่ในสัญญารับประกันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมทำงาน ในบางวัน print on demand ในโรงพิมพ์ของผม มันกลายเป็นคำว่า Print on demand but wait for service tomorow

ผมมีภาระต้องผ่อนค่าเครื่องวันละเกือบสามพันบาท การที่เครื่องทำงานไม่ได้ ไม่ว่าจะกี่วัน กี่ชั่วโมง หรือกี่นาทีเป็นความเสียหายที่ผมไม่สามารถไปเรียกร้องเอาจากใครได้เลย บริษัทใส่ใจผมน้อยเกินไป ถ้าผมได้รับเช็คคืนเงินชั่วโมงละสามร้อยบาทที่เครื่องทำงานไม่ได้ หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ผมจะไม่ว่าอะไรเลย

ตอนนี้เครื่องได้รับการซ่อมและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใหญ่ๆไปแล้ว มันอยู่ในสภาพเกือบ 100% ช่างทีมสุดท้ายที่มาซ่อมให้ผมอธิบายเรื่องอะไหล่ที่หมดอายุ “มันหมดอายุครับ” พูดแค่นี้ผมเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมไม่เปลี่ยนสิ่งที่มันหมดอายุไปตั้งแต่แรก ทำไมต้องรอให้มันสร้างปัญหาซ้ำซาก วิ่งเข้ามาดูกันห้ารอบแล้วยังไม่สำนึกว่าชิ้นส่วนมันหมดอายุ

เครื่องพิมพ์ดิจิทัลมันช่วยในธุรกิจโรงพิมพ์ได้จริง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็คาดหวังกับการบริการที่ดีที่สุด เพราะผมจ่ายแพง มันแพงกว่าเครื่องพิมพ์อ็อพเซ็ททั่วไปอย่างเทียบกันไม่ได้ ถ้าคุณจ่ายเงินสามล้านให้กับเครื่องพิมพ์อ็อพเซ็ท คุณสามารถใช้มันไปได้ยี่สิบปีเป็นอย่างต่ำ และถ้ายี่สิบปีผ่านไปแล้วคุณขายต่อ คุณก็น่าจะได้เงินหลายแสน หรือเป็นล้านบาทคืนกลับมา แต่เครื่องพิมพ์ดิจิทัล ถ้าครบห้าปีตามสัญญาบริการ ราคาที่คุณจะขายคืนหรือขายต่อก็คือการชั่งกิโลขาย ผมคิดว่าซาเล้งน่าจะให้คุณสักกิโลละสองบาท เครื่องพิมพ์ทั้งตัวน่าจะได้สักหนึ่งพันบาท มันแย่ยิ่งกว่าเศษกระดาษในโรงพิมพ์เสียอีก เพราะเศษกระดาษเขาขายกันกิโลละสี่บาท


Discover more from Pockethifi's Blog

Subscribe to get the latest posts sent to your email.

6 thoughts on “ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 3 เรื่องแย่ๆก็มี

  1. ผมกำลังสองจิตสองใจ ระหว่าง canon imagepress และ DocuCenter ยิ่งอยู่ ตจวด้วยเจอเรื่องแบบนี้ได้นอนก่ายหน้าผากแน่นอน ตอนนี้แนวโน้มจะไปทาง imagepress มีมากว่าพอสมควร แต่ก็ติดเรื่องความหนากระดาษรองรับได่ไม่ถึง 300 แกรม และความละเอียด Fuji นำโด่งไปแลวที่ 2400×2400

    พอจะมีคำแนะนำดีๆไหมครับ ขอบคุณล่วงหน้าเลย

    Like

    • ผมบ่นไว้เยอะ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้งานไปเรื่อยๆ เพราะ Fujixerox ก็เป็นทางเลือกที่พร้อมที่สุดในในตลาด

      กระดาษ 300g เป็นสิ่งสำคัญครับ งานการ์ดเชิญ งานเมนูอาหารต้องหนาๆครับ ถ้าหยวนๆซื้อสเป็คต่ำ วันหลังจะเจ็บใจและรู้สึกว่าตัดสินใจผิดพลาด

      แค่ถาดรองกระดาษที่มีติดเครื่องมา 6 ถาด พร้อมถาดป้อนบนเครื่องอีก 1 รวมเป็น 7 ช่องทางใส่กระดาษ ผมยังใช้งานไม่พอเลย เพราะกระดาษมีหลายสเป็คมาก ต้องยกเข้ายกออกบ่อยๆ

      Like

  2. ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมพึ่งจะเซ็นสัญญาซื้อเครื่อง Spec เดียวกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง ตอนนี้เครื่องมาตั้งอยู่ที่ร้านแล้วแต่ซอฟต์แวร์ Freeflow ยังใช้ไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้ไลเซ่นต์จากเมืองนอก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เปิดไลเซ่นต์มาให้เรียบร้อยก่อนส่งเครื่องมาที่ลูกค้า

    เรื่องชุดสร้างภาพหมดอายุแล้วยื้อไม่ยอมเปลี่ยนให้ลูกค้านี่ คงเป็นกันทุกเจ้าไม่ว่าจะบริษัทไหน เพราะผมเจอมาตั้งแต่ Ricoh, Konica Minolta, และก็คงเจ้าเครื่อง Xerox 700 นี่เหมือนกัน ถ้าไม่สุดๆ จริงๆ ช่างจะไม่ยอมเบิกอะไหล่ใหม่มาเปลี่ยนให้ อย่างของ Ricoh เครื่องอยู่ในประกัน 1 ปี เป็นประมาณเดือนที่ 6 แต่กว่าจะหาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ผม ล่อเข้าไปเดือนที่ 9 บอกว่าไม่มีของ โกงประกันเราไป 3 เดือน ส่วน Konica ตอนที่ใช้เครื่อง Multifunction ก็เหมือนกัน (จ่ายมิเตอร์) บอกว่าอะไหล่ไม่เข้า รออะไหล่อยู่ประมาณ 2 เดือน ดีที่เครื่อง Konica ถึงแม้ชุดสร้างภาพพวกลูก Drum หรือ Belt หมดอายุ มันจะยังสามารถผลิตงานที่มีคุณภาพในระดับใช้ได้ ถ้าไม่พิมพ์สีพื้นตาย ก็ยังพอผลิตงานออกไปได้อีก 30% ของอายุการใช้งาน (ดีกว่า Ricoh เยอะ Ricoh นี่ยังไม่หมดอายุ ขึ้นแถบสีเป็นร่องๆ ชัดเจน)

    ตอนนี้ผมมีเครื่อง Konica C6500 อยู่ พอชุดสร้างภาพทั้งหลายแหล่หมดอายุ (ดูจากรายงานในเครื่องได้ ว่ามันครบ 100% หรือยัง) ทางช่างก็จะทำรายการเปลี่ยนให้ แต่ก็ต้องรออะไหล่อยู่เกือบๆ เดือนเหมือนกันกว่าจะเบิกมาให้ได้ ดีแต่ว่าชุดสร้างภาพมันค่อนข้างดี ทำงานต่อไปได้แบบคุณภาพประมาณ 85-90% ซึ่งก็ไม่ถึงกับผลิตงานส่งลูกค้าไม่ได้เลย

    เมื่ออาทิตย์ก่อนตัดสินใจซื้อ Xerox อีกเครื่องเพราะเห็นว่าเครื่อง Xerox สีสวยกว่า ความละเอียดสูงกว่า และอยากจะดูว่าคำกล่าวอ้างที่บอกว่าเค้าบริการดีกว่าเจ้าอื่น เร็วกว่าเจ้าอื่นนั้นเป็นจริงแค่ไหน แต่เจอคุณ pockethifi บ่นแบบนี้ ผมคงต้องขอเอาบทความนี้ Print ไปขู่ Xerox เอาไว้ก่อนว่าเครื่องผมไม่ควรจะเจอกรณีแบบนี้

    ส่วนเครื่อง Canon นั้น ถ้าอยู่ต่างจังหวัีดที่ไม่มี Team Service อยู่ในจังหวัีดนั้นๆ ผมว่าบริการช้ากว่าเจ้าอื่นๆ เพราะผมมีเครื่อง Inkjet หน้ากว้าง 24 นิ้วอยู่ตัวนึงมีปัญหาหัวพิมพ์มา 2 ครั้ง แต่ละครั้งต้องยกไปซ่อมไม่ต่ำกว่า 3 อาทิตย์ ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะสามารถซ่อมเสร็จภายใน 2-3 วัน เพราะเครื่องมันแทบไม่มีอะไรเลย แต่ต้องรอเบิกอะไหล่ หลายวัน และต้องรอช่างว่างจากงานอื่นๆ มาซ่อมมันอีกที เลยต้องรอนาน ผมเลยชักจะแหยงๆ การบริการหลังการขายของ Canon สำหรับในส่วนเครื่องใหญ่ๆ แบบนี้

    อ้อ ลืมบอกไป ผมอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ไม่มีศูนย์ Canon , Xerox, Ricoh หรือ Konica แต่ช่างของ Konica สามารถวิ่งมา Service ผมได้ในเวลาไม่เกินวันครึ่ง ซึ่งถือว่าเค้าทำได้ดีตามที่ให้สัญญากับผมเอาไว้ แต่ถ้าเป็นอะไหล่พวกชุดสร้างภาพ อาจจะต้องรอเป็นอาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์เพื่อให้ได้ของใหม่มาเปลี่ยน (แต่เครื่องยังทำงานได้) ถ้าเป็น Part ที่ต้องซ่อมด่วน ไม่งั้นเครื่องทำงานไม่ได้ เค้าจะสามารถนำมาเปลี่ยนให้ได้ภายใน 2-3 วัน

    ช่าง Ricoh หลังจากแจ้งซ่อมจะมาหาผมในเวลา 1-4 วัน (เครื่อง Laser สี) แต่ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ จะใช้เวลาเป็นอาทิตย์หรือมากกว่านั้น กรณีที่ซ่อมใหญ่จริงๆ อาจจะหายไป 3-4 อาทิตย์ แต่ที่ผมเจอแย่กว่านั้นก็คือ ซ่อมมาแล้ว อาการก็เป็นเหมือนเดิมอีกภายในเวลาแค่ 1 เดือน (ภาพด่างเป็นเส้น) ซึ่งทำให้ผมเซ็งกับเครื่อง Ricoh มาก แต่ตอนนี้ก็ยังมีใช้อยู่ 2 เครื่อง คือ C420 DN เป็นเครื่องเช่าจ่ายมิเตอร์ และอีกเครื่องที่เอาเครื่องเก่า CL5000 ไป turn ซื้อมาสำรองใช้งานคือ C820 ซึ่ง Print งานสีไปประมาณ 5000 แผ่น ขาวดำหมื่นกว่าแผ่น ก็มีริ้วแถบสียาวๆ เกิดขึ้นสองแถบซะแล้ว ตอนนี้ช่างกำลังซ่อมอยู่ข้างหลังผมนี่แหละ เรียกว่าเอาเครื่องไว้ใช่งานเบาๆ แบบไม่ซีเรียสก็พอใช้ได้ แต่เอาไปทำงานหนักๆ ทำมาหากินแบบ Digital Print นี่คงไม่ไหวสำหรับยี่ห้อนี้

    ช่าง Canon หลังจากแจ้งซ่อมจะมาหาผมในเวลา 3-4 วัน (เครื่อง Inkjet หน้ากว้าง) ถ้า Part ที่เสีย อะไหล่ไม่ได้เอามาด้วยก็ต้องรออีก 2-3 วันสำหรับการเบิกของจากกรุงเทพ ได้อะไหล่มาแล้วถ้าซ่อมแล้วไม่หาย ต้องยกเครื่องไป ก็จะหายไปอีกเป็นอาทิตย์เป็นอย่างน้อย แย่หน่อยก็หายไป 2-3 อาทิตย์ ดีแต่ว่างาน Inkjet ผมไม่ได้มีทุกวัน เดือนหนึ่งจะมีสักครั้งสองครั้งเลยพอจะทนกับการบริการซ่อมที่เชื่องช้าแบบนี้ได้

    Like

    • พี่ธานินทร์ใช้เครื่องพวกนี้เยอะดีจังครับ ผมเพิ่งจะลองใช้ก็ x700 ตัวแรกเลย ไม่เคยรู้ว่าจะต้องเจอประสบการณ์ขมขื่นแบบไหนบ้าง คงจะค่อยๆเจอไปทีละอย่าง

      ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่อง ผมก็ลังเลระหว่าง fujixerox และ konica รุ่นที่พี่ใช้น่ะแหละครับ ไปดูที่โชว์รูม ไปลองมาหลายอย่าง เขาลดราคาให้ผมค่อนข้างเยอะ เรียกว่าถูกกว่า Fujixerox หลายแสน เอาส่วนต่างไปซื้อรถยนต์ได้อีกคันเลย แต่ว่า ผมไม่ค่อยมั่นใจทีมบริการสักเท่าไหร่ เลยตัดสินใจเลือก Fujixerox แต่อีกเหตุผลลึกๆก็คือ Fujixerox มีตัวอย่างงานดิจิทัลที่เป็นงานระดับโปร เช่น งานรับพิมพ์ทางเน็ท งานพิมพ์โปรโมชั่นเปลี่ยนข้อมูลตามลูกค้า งานพวกนี้เป็นสิ่งที่ผมสนใจ และอยากได้ความรู้ในระบบพิมพ์ตามฐานข้อมูลซึ่ง Fujixerox ดูเหมือนจะชำนาญที่สุด ผมไม่อยากไปเรียนรู้เองกับยี่ห้ออื่น กลัวจะโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วย

      Like

      • ต้องยอมรับละครับว่าในเรื่อง Knowhow ของทีมขาย Fuji Xerox เค้าเก่งกว่า รู้ลึกและรู้จริง รวมไปถึงเรื่องสื่อต่างๆ และ Software ที่พร้อมกว่าด้วย แต่ถ้าดูจากส่วนประกอบของเครื่องแล้ว ดูเหมือน KM จะทำเครื่องได้แข็งแรงกว่า เดี๋ยวดูในระยะยาวอีกทีว่าเครื่อง Xerox จะทำงานได้ดีแค่ไหน

        Like

Leave a comment