ตัวอย่างการถ่ายภาพด้วยแฟลช


การใช้แสงแฟลชในการถ่ายภาพมีมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยของฟิล์มก็มีการใช้แฟลชกันอย่างแพร่หลาย กล้องถ่ายภาพเกือบทุกตัวมักจะมีแฟลชในตัวมาให้ด้วย ทั้งกล้องคอมแพ็คขนาดเล็ก และกล้อง SLR ระดับเริ่มต้นหรือเกือบจะโปรก็จะมีแฟลชในตัว โดยการถ่ายภาพด้วยแสงแฟลชถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาแสงไม่พอ อย่างเช่นการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ถ้าเราอยากถ่ายภาพคนในอาคารที่แสงสว่างไม่มาก การถ่ายภาพด้วยการเปิดแฟลชไปด้วยจะทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1439
ไม่ใช้แฟลช
dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1442
ใช้แฟลช

กล้องดิจิทัลที่ออกมาเพื่อทดแทนกล้องฟิล์มก็มีแฟลชในตัวมาให้ แต่ระยะหลังกล้องบางตัวก็เลิกใส่แฟลชมาให้แล้วด้วยเหตุผลว่า ความไวแสงหรือ iso ของกล้องดิจิทัลสูงขึ้นเรื่อยๆ ความไวแสงของกล้องดิจิทัลสูงกว่าฟิล์มถ่ายภาพไปไกลมาก เรียกได้ว่า กล้องถ่ายภาพในยุคปัจจุบันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีแฟลชอีกแล้ว นั่นทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลชกลายเป็นสิ่งที่หายาก และคนเริ่มไม่คุ้นเคย และสุดท้ายคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันใช้กล้องฟิล์มก็อาจจะไม่รู้วิธีการถ่ายภาพด้วยแฟลชแล้วด้วย แต่ก็ยังดีที่กล้องบางรุ่นก็ยังให้แฟลชมาให้ในตัว และมีการปรับค่าความสว่างของแฟลชให้พอดีแบบอัตโนมัติ ทำให้การเรียนรู้เรื่องแฟลชเริ่มไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป และแม้ไม่รู้เรื่องกล้องก็ยังใช้งานได้

แต่การใช้แฟลชเทียบกับการไม่ใช้ให้ลักษณะภาพต่างกัน ถ้าเรารู้หลักการสักหน่อยเราก็จะใช้แฟลชในภาพเพื่อปรับปรุงคุณภาพ สร้างลักษณะแสงที่ต้องการได้ เราจะได้ภาพที่ดีขึ้น

IMG_3854

ภาพที่หนึ่ง เป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง Eos M3 ติดเลนส์ Ef-m 22F2 ตั้งค่าให้กล้องปรับ iso อัตโนมัติ ยกกล้องเล็งแล้วถ่ายเลย ไม่เปิดแฟลช ได้ภาพที่เหมือนตาเห็น สภาพแสงในห้องเกิดจากไฟเพดานบางส่วนและไฟจากโคมไฟที่ส่องอยู่บนโต๊ะหนังสือ

IMG_3855

ภาพที่สอง ลองเปิดแฟลชให้กับภาพ ถ่ายภาพในมุมเดิม แต่เพิ่มเติมการเปิดแฟลชด้วย โหมดการถ่ายภาพแบบ P กล้องจะเลือกค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ และเมื่อเปิดแฟลชด้วยก็จะได้ภาพสว่างขึ้น อิทธิพลของแสงจากเพดานและโคมไฟบนโต๊ะดูจะไม่ค่อยมีผลแล้ว แสงสว่างในภาพเกือบทั้งหมดมาจากแสงแฟลชที่ยิ่งเข้าไปตอนถ่ายภาพนั่นเอง เราจะเห็นเสาด้านซ้ายที่ได้รับแสงแฟลชจนเห็นลายไม้

IMG_3860

ภาพที่สาม เป็นภาพที่ยิงแฟลชเช่นกัน แต่เปลี่ยนจากที่แฟลชยิงแสงออกไปตรงๆ ก็เอามือปรับให้ตัวปล่อยแสงแฟลชเงยขึ้น เพื่อให้แสงแฟลชไปกระทบกับเพดานแล้วสะท้อนกลับมายังส่วนที่ต้องการ เราเรียกเทคนิคการยิงแฟลชใส่เพดานว่าการเบ๊าซ์ หรือ bounce สิ่งที่ต้องควบคุมในเทคนิคการ bounce คือ เพดานต้องเป็นสีขาว แสงแฟลชที่สะท้อนกลับมาจะเป็นแสงขาวและความสว่างไม่ถูกลดทอนมากเกินไป ถ้าเป็นเพดานสีเข้ม หรือ เป็นไม้ แสงสะท้อนจากเพดานไม้ก็จะกลายเป็นสีอมเหลืองแทน ผลของการ bouce คือ ภาพจะสว่างขึ้น ได้แสงสว่างจากเพดานที่ดูนุ่มนวลขึ้น ภาพตัวอย่างดูสวยขึ้นมากกว่าการยิงแฟลชออกไปตรงๆ และดีกว่าไม่มีแฟลชเลย แต่การ bounce จะต้องใช้กำลังแฟลชสูงขึ้นมาก ถ้าเป็นแฟลชติดกล้องตัวเล็กๆก็อาจจะกำลังไฟไม่พอ ยิ่งเพดานสูงกำลังไฟก็จะยิ่งไม่พอเช่นกัน

การถ่ายภาพด้วยแฟลชจะช่วยให้ภาพเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้นดีขึ้น หรืออาจจะทำให้แย่ลงก็เป็นไปได้ ช่างภาพมือระดับอาชีพบางคนจะฝึกฝนการใช้แฟลชจนเข้าใจ สามารถควบคุมแสงแฟลชเพื่อสร้างสรรค์ภาพให้ได้ตามจินตนาการ


Discover more from Pockethifi's Blog

Subscribe to get the latest posts sent to your email.

Leave a comment