การ์ดแต่งงานที่ออกแบบและจัดพิมพ์ด้วยเทคนิคการพิมพ์แบบ letterpress จะใช้แม่พิมพ์โลหะร่วมกับหมึกพิมพ์ หมึกจะถูกทาลงบนแม่พิมพ์ แล้วนำกระดาษการ์ดไปทับเพื่อสัมผัสกับหมึก เราอยากได้สีอะไรบนการ์ด เราก็ใส่หมึกสีนั้นลงไป
เครื่องพิมพ์ระบบคอมพิวเตอร์ อย่างเครื่องพิมพ์อิงค์เจ๊ตที่เราพบเจอตามสำนักงานหรือบ้าน เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หมึกเหลวประกอบด้วยแม่สี แล้วคอมพิวเตอร์จะประมวลผลว่า หากเราต้องการสีแดงเข้ม คอมพิวเตอร์จะสั่งให้แม่สีปล่อยสีแต่ละสีในสัดส่วนที่ต่างกันเพื่อรวมกันเป็นสีที่ต้องการ วิธีนี้สะดวกได้สีคล้ายๆหน้าจอคอมฯ แต่ไม่เหมือน
การพิมพ์ letterpress แต่ละสีจะได้สีที่เหมือนกับตัวอย่างที่ใช้เป็นใบสั่งให้ช่างผสมสีขึ้นมา เราอยากได้สีอะไร เราก็หยิบสีที่ต้องการไปบอกช่างพิมพ์ว่าให้เอาแม่สี c m y k หรือสีกระป๋องใดๆที่มีอยู่ มาผสมสีกันเพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ คราวนี้ ใบสั่งใบแรก หรือสีตัวอย่างเราจะได้จากไหน วิธีที่สะดวกที่สุดคือ สมุดสี และในอุตสาหกรรมการพิมพ์มีสมุดสีของบริษัท Pantone เป็นสมุดสีที่นิยมใช้กันทั้งโลก
Pantone ผลิตแค็ตตาล็อกสี แต่ไม่ได้ขายสี สมุดสีตัวอย่างของ Pantone ถูกใช้เป็นตัวอย่างสี ใช้เป็นตัวอ้างอิงในการสั่งงาน มันนิยมมากจนกระทั่งโปรแกรมออกแบบกราฟิคยังมีข้อมูลสีของ Pantone ให้เลือกใช้ ประวัติของการเกิดเป็น Pantone เท่าที่เคยอ่านผ่านตา ก็เกิดจากมีคนงานทำงานย้อมสีผ้า ผสมสีออกมาให้ลูกค้าเลือก แต่แทนที่จะเอากระป๋องสีไปให้ลูกค้าเลือก กลับเอาสีเหล่านั้นมาทาบนกระดาษ แล้วเอากระดาษที่มีสีหลายๆสีไปให้ลูกค้าเลือกแทน ผลการทำแบบนี้ทำให้สะดวกมากในการทำงาน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีตัวอย่างสีที่ทาไปบนกระดาษมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นสมุดสีนั่นเอง
การสั่งงานพิมพ์สีให้ตรงกับใจ ก็คือต้องเลือกสีจากสมุดสีว่าสีใดคือสีที่ต้องการ แล้วบอกหมายเลขนั้นกับ
โรงพิมพ์ โรงพิมพ์ก็จะนำสมุดสีหรือค่าสีนั้นมาสั่งงาน แต่สิ่งสำคัญก็คือ ลูกค้า กับ โรงพิมพ์ ต้องมีสมุดสีเล่มเดียวกัน ดังนั้น หากลูกค้าไม่รู้จะเลือกสีอย่างไรเพราะไม่มีสมุดสี ก็ต้องไปที่โรงพิมพ์แล้วไปดูสมุดสีที่โรงพิมพ์ใช้ แล้วเลือกจากเล่มนั้นเลย ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุดในการสื่อสารกับโรงพิมพ์ และวิธีอื่นนอกจากวิธีนี้คือวิธีที่ผิด
Pantone เริ่มแก้ปัญหาการเลือกสีให้กับผู้คนได้แล้ว แต่ก็พัฒนาไปอีกระดับด้วยการผลิตสมุดสีขายมันทั่วโลกเลย ลูกค้าที่อเมริกาจะเลือกสีที่ต้องการแล้วสั่งให้โรงพิมพ์ที่ประเทศไทยพิมพ์ให้ตรงใจ ก็แค่บอกค่าสีมาว่าเป็นสีหมายเลขอะไรบนสมุดสีเล่มไหน และให้ละเอียดที่สุดก็จะต้องบอกปีที่ผลิตของสมุดสีด้วย เช่น สี 1525U บนเล่ม solid coated ปี 2016 จริงๆเราจะใช้สมุดสียี่ห้อ “ไก่กา” ก็ได้ ถ้าอเมริกามีสมุดสียี่ห้อไก่กาขาย แต่มันไม่มี สมุดสีของ Pantone ที่มีขายทั่วโลกจึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้สื่อสารกับโรงพิมพ์ถึงเฉดสีที่ต้องการ
สมุดสีของ Pantone มีอายุการใช้งาน ทางบริษัทแนะนำว่าให้เปลี่ยนทุกปี เพราะกระดาษมีการซีด สีจะไม่เหมือนเดิม รวมถึงแต่ละปีจะมีสีค่าใหม่ๆเพิ่มเติมเข้าไป คงมีเจตนาดีเรื่องทางเลือกสีที่หลากหลายมากขึ้น แต่เจตนาแฝงที่ไม่ได้บอกไว้อาจจะต้องการขายของใหม่ไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง สมุดสีชนิด solid coated เล่มเก่าออกปี 2005 มีสีในเล่ม 1114 สี ปี 2015 มี 1867 สี แต่ปี 2019 มีสีในเล่มมากถึง 2161 สี ดังนั้น การเลือกสีจากเล่ม Pantone ต้องบอกปลายทางด้วยว่าคุณเลือกสีจากเล่มไหน ปีไหน
วิธีการหาของถูกใช้ โรงพิมพ์ที่ทำงานมาหลายปี จะมีเล่ม Pantone เก่าๆอยู่ หากอยากได้ของเก่าราคามือสองก็ไปขอซื้อต่อได้ หาตามเว็บขายของมือสองก็ได้ ebay ก็มีเยอะ แม้จะใช้อ้างอิงเทียบกับเล่มปัจจุบันไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่มีใช้ เล่มเก่าปีเก่าที่มีค่าสี 1 พันสี ก็ทำงานได้เช่นกัน และเราสามารถใช้เล่มเก่าทำงานด้วยวิธีที่ถูกต้องได้ คือการเลือกสีจากสิ่งที่ตาเห็นบนกระดาษ ต่อให้เป็นกระดาษในเล่มเก่าก็ยังเป็นวิธีที่ถูกต้อง เมื่อเลือกสีได้แล้ว ก็ถือเล่มที่เลือกไปสั่งงานโรงพิมพ์นั่นเอง เพราะสีใหม่ โรงพิมพ์ก็ยังไม่มีหรอกครับ…
View original post 3 more words
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.



