นครนายกเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกรุงเทพทางด้านทิศตะวันออก เวลาจะเดินทางไปเราก็ต้องไปทางรังสิตและต่อไปที่นครนายก ผ่านคลอง 1 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆ ที่รังสิตคลอง5 คือจุดที่จะเลี้ยวไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศสตร์ ขับไปไกลๆก็จะเข้าสู่เขตจังหวัดนครนายก ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวของนครนายกส่วนมากเป็นธรรมชาติ เป็นน้ำตก และเป็นทางขึ้นเขาใหญ่อีกทางหนึ่ง ส่วนทางขึ้นอีกด้านก็จะเป็นทางสระบุรี
สมัยเด็กๆผมเคยไปเที่ยวน้ำตกนางรอง วังตะไคร้ เคยอ่านข้อมูลมาว่าน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือน้ำตกสาลิกาซึ่งอยู่ในจังหวัดนครนายก ทั้งหมดที่กล่าวมาทริปนี้เราไม่ได้ไปเลย แค่ขับรถผ่านเท่านั้น แล้วเราไปไหนบ้างล่ะ จุดประสงค์หลักของทริปนี้คือเชื่อนขุนด่านปราการชล เราจะไปดูวิวทุ่งหญาสวยๆที่เห็นภาพในเน็ตแล้วราวกับเป็นภาพวาดจากนิทาน
เราจองที่พักเป็นโรงแรมสีดารีสอร์ต ซึ่งไม่ได้รู้หรอกว่าที่นี่ดังหรืออยู่มานานแค่ไหน แต่พอคุณภรรยารู้ว่าผมจองโรงแรมสีดา เขาก็บอกอ๋อ ที่นี่เปิดมานานแล้ว หรือเก่านั่นเอง ในโรงแรมมีกิจกรรมหลายอย่าง คิดว่าจะให้ลูกได้เล่นในโรงแรมเต็มวันเลย แล้วอีกวันค่อยไปเที่ยวเขื่อนก่อนจะกลับ ทุกอย่างวางแผนไว้ว่าจะไม่วางแผน แวะร้านอาหารเท่าที่เห็นว่าน่าสนใจ ลูกเล่นอะไรชอบก็เล่นต่อ เปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา
ก่อนเข้าโรงแรมที่พัก เราแวะร้านกาแฟที่เลี้ยงนกเยอะมาก มีปลาคาร์ฟให้ดู แวะถ่ายรูปกันพอหายเหนื่อย และมื้อเย็นเราก็หาร้านอาหารใกล้โรงแรมสักร้าน ได้ร้านชื่อริมธาร เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีลำธารไหลอยู่ในร้านเลย เราไปกินก็แสงหมดแล้ว ถ่ายรูปออกมาก็ดูมืดๆ คิดว่าตอนกวางวันน่าจะดูสดใสกว่านี้ หน้าตาตอนยังไม่กินก็ดูหงุดหงิดโมโหหิว กินเสร็จแล้วก่อนกลับแวะถ่ายรูปกับป้ายชื่อร้านก็ยิ้มออก
วันต่อมาอีกทั้งวันเราใช้เวลาในโรงแรมโบราณ โดยที่เมื่อคืนขอบฟ้าโวยวายเรื่องห้องเก่า มืด ดูเปลี่ยวๆ เราก็เลยขอทางโรงแรมเปลี่ยนห้องเปลี่ยนตึก โรงแรมก็ใจดีเปลี่ยนให้ พวกเราเองก็แอบคิดว่าถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็จะย้ายโรงแรม เงินจองที่จ่ายไปแล้วก็จะทิ้งไป แต่ก็โชคดีที่ไม่ต้องย้าย เราได้ห้องที่ดีขึ้นเล็กน้อย ไม่อับ ไม่เปลี่ยว แต่ความเก่าก็ชวนให้รู้สึกนึกถึงหนังผีนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ลูกฟัง สรุปคือเราได้ห้องที่พักได้สบาย ดูเก่า แต่ก็สบายใจกว่าเดิมเล็กน้อย
เราตื่นเช้ามาก็ได้เห็นทุ่งหญ้า มุมแสงตอนเช้ากับต้นไม้ กับสะพาน กับม้าตัวนั้น มันดูเป็นภาพในจินตนาการเลย เสียอย่างเดียวเราเห็นเสาประตูฟุตบอลไกลๆ ม้าที่เลี้ยงไว้ไม่รู้ว่ามีกี่ตัว แต่เห็นมาเดินเล่นกินหญ้าอยู่สองตัว และก็ดูต้งใจยืนโชว์ให้เราได้เก็บภาพ กล้อง DSLR ตัวตกรุ่นกับเลนส์ที่เพิ่งจะส่งซ่อมสภาพใช้งานได้ เราได้ภาพที่ถูกใจในการถ่ายครั้งแรกเลย วิวนี้มันเกินคำบรรยายจริงๆ
หนึ่งวันในโรงแรมที่มีกิจกรรมหลายอย่างก็ทำให้หมดเวลาไปโดยไม่รู้ตัว แม้ว่ากิจกรรมทั้งหมดจะมีบางส่วนที่ปิดตัวลง คงเหลือให้เล่นให้ทำแค่ไม่ถึง 50% แต่ก็เป็น 50% ที่พอใช้ได้ เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าลูกค้าน้อยลงทำให้พนักงานต้องลดจำนวนลง พอพนักงานน้อยลงก็เลยดูแลกิจกรรมทุกอย่างไม่ได้ เลยต้องเลือกปิดบางอย่างไป วันนี้เราก็เลยได้เดินดู เดินชมทุ่งหญ้า ให้อาหารแกะ ถ่ายรูปเล่นหลายๆมุม ขี่รถ ATV กันสองรอบเลย เปลืองแต่ก็สนุก ได้ขี่ม้าด้วย ลูกขี่ พ่อกับแม่เดินตาม เพราะม้าเป็นขนาดเล็ก ไม่สามารถให้ผู้ใหญ่ขี่ได้ แล้วก็มีกิจกรรมปีนหน้าผาที่พ่อแม่ยืนดูอย่างตั้งใจ ได้ยิงปืน BB gun ได้ขี่จักรยานทั้งพ่อแม่ลูก ซึ่งจักรยานรอบพื้นที่โรงแรมเป็นรอบใหญ่มากๆ มีจังหวะขึ้นเนินปั่นไม่ไหว มีจังหวะลงทางลาดยาวๆ สนุกมาก ปั่นกันไปห้ารอบก็หมดแรง
ปลั๊กไฟในห้องพักเป็นปลั๊กสเป็คโบราณ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เตรียมไปไม่สามารถเสียบใช้งานได้ ต้องหาปลั๊กพ่วงหรือ อแด๊ปเตอร์แปลงขาปลั๊กมาใช้ด้วย และสิ่งที่น่าตื่นเต้นกับสีดารีสอร์ตก็คือความเก่า เราได้เห็นอุปกรณ์โบราณอย่าง เครื่องเป่าผม ที่ดูทีแรกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอหยิบสายมันออกมาก็เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร
ในเช้าอีกวันเราก็เดินทางไปที่เขื่อนขุนด่านปราการชลซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทริปนี้ เรารู้แค่ว่ามีทุ่งหญ้าสวยๆให้เราดู ส่วนระหว่างทางเป็นยังไงเราก็ไม่ได้หาข้อมูลไว้ ไปเริ่มต้นกันที่บนเขื่อน ถึงจะได้รู้ว่าเราต้องนั่งเรือไปเที่ยว เรือออกตั้งแต่หกโมงเช้า ค่าเรือคนละ 200 บาท เราไปสามคนก็จ่ายไป 600 บาท แต่เราไม่ได้จ่ายตอนขึ้นเรือนะ เราจ่ายตอนสุดท้ายของทริป ก่อนเรือจะกลับ
พวกเราเคยอ่านข้อมูลว่าการเดินลุยดงหญ้า ดงหิน ในบางเวลามันลื่นมาก บางทีถ้าฝนตกจะล้มกลิ้งกันเป็นว่าเล่น ก็เลยเตรียมตัวใส่ชุดที่เผื่อจะลุย เผื่อเปื้อน รองเท้าผ้าใบ ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการเดินลุย แต่พอมาเจอกับสถานการณ์จริง บางจุดก็ไม่ได้ลื่นมาก เราคงโชคดีที่ฝนไม่ตก แถมเพื่อนร่วมทริปหลายคนก็แต่งตัวมาราวกับเดินแบบ สาวๆแต่งตัวกันไม่กลัวเปื้อนเลย
ทริปเขื่อนนั่งเรือไปดูทุ่งหญ้าใช้เวลารวมกันประมาณ 2 ชั่วโมง เราไปขึ้นเรือกันประมาณ 06.15 น. เรากลับออกมาจากเขื่อนก่อนเก้าโมงเช้า กลับไปกินมื้อเช้าที่รีสอร์ต เพราะเขื่อนกับรีสอร์ตห่างกันประมาณ 5 นาทีรถยนต์เท่านั้น ทริปนี้ทำให้เรารู้ว่านครนายกอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย ตลอดทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ขับรถมานครนายก ขับไปขับมาหาร้านกินข้าวหลายมื้อ ขับไปเขื่อน แล้วตอนกลับก็แวะพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ก่อนกลับด้วย พอถึงบ้านจอดรถในบ้านแล้วก็ถ่ายภาพระยะทางที่วิ่งไปทั้งหมด 304 กิโลเมตร ใช้น้ำมันครึ่งถังเท่านั้น เป็นเรื่องน่าสนใจมากที่เราได้เที่ยวสนุกและใช้น้ำมันไม่มาก
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.























