เที่ยวชะอำปีนี้ 20ตุลาคม2561 ไปพักที่โรงแรมรีเจ้นท์ชะอำ สาเหตุที่เลือกโรงแรมนี้ภรรยาบอกว่า สระว่ายน้ำที่นี่อลังการมาก ใหญ่โตและน่าจะเล่นสนุก พร้อมด้วยหาดทรายที่เด็กๆคงสนุกมาก
เราออกเดินทาง 9 โมงเช้าที่ถนนนครอินทร์ และเดินทางตรงไปชะอำด้วยเส้นทาง กาญจนาภิเษก พระราม2 ปากท่อ เพรชบุรี ชะอำ เป็นการเดินทางที่ใช้เวลายาวนานถึง 4 ชั่วโมง ตอนบ่ายโมงตรงเราเพิ่งถึงที่ร้านอาหารซีแซบในชะอำ กรุงเทพรถติดมาก ถนนรอบกรุงเทพรถติดมาก เป็นคุณภาพชีวิตที่เราไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร
โปรแกรมเดิมที่คาดว่าจะแวะไปดูอุทยานสิ่งแวดล้อมที่มฤคทายวันก็ต้องยกเลิกไป เพราะหมดเวลาไปกับการเดินทาง กินมื้อเที่ยงเสร็จก็ตรงเข้าโรงแรม ได้ห้องพักแล้วก็เล่นน้ำกันเลย กว่าจะเหนื่อยกันก็มื้อเย็นพอดี และฝนตกหนัก เราก็ออกไปไหนไม่ได้ เลยได้กินร้านอาหารในโรงแรม เป็นร้านพิซซ่า ทั้งร้านไม่มีแขกนั่งเลย
โต๊ะไม้ แสงไฟ วิวทะเล ห้องกระจก และมีห้องด้านนอก วิวสวย สภาพแสงใกล้จะหมดแล้ว วิวทะเลเริ่มมืด แสงสว่างในห้องเป็นหลอดไฟทังสเตน ถ่ายภาพออกมาตัวแดงกันเป็นแถว คนถ่ายภาพต้องเลือกค่า white balance ในกล้องกันปวดหัว ใช้ custom white balance ถึงจะได้ภาพที่ดูดี สีคนปกติ แต่วิวทะเลด้านนอกอมสีฟ้าสีน้ำเงินกันอย่างช่วยไม่ได้ มันก็ดูแปลกตาดี
การถ่ายภาพภายใต้สภาพแสง 2 ชนิดเป็นขาขมของกล้องดิจิทัลอย่างมาก เพราะแสงในห้องเป็นไฟหลอดไส้ แสงด้านนอกเป็นแสงจากท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงสองอย่างนี้ต้องแก้สีไม่เหมือนกัน ผลการแก้สีด้วย custom whitebalance ก็ออกมาเป็นแบบตัวคนปกติ ฉากด้านนอกเป็นสีฟ้า แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ มือถือถ่ายภาพคนในห้องได้ถูกต้องทันทีในครั้งแรกเลย ไม่ต้องแก้สีให้เมื่อยเลย
วิวฝนตก ห้องกระจก โต๊ะว่างๆ ก็ถ่ายภาพกันเพลินเลย ทั้งถ่ายด้วยความรู้สึกว่ามันสวยดี ถ่ายเผื่อเอาไปใช้งานทำสิ่งพิมพ์ ถ่ายเผื่อเอาไว้ขายภาพสต๊อค เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆหลายๆมุม ห้องอาหารในโรงแรมแนวนี้คิดว่าคนไทยคงไม่ค่อยได้แวะกินสักเท่าไหร่ เพราะที่กลุ่มของเราแวะก็เพราะติดฝน ไม่สามารถออกไปกินด้านนอกได้
ร้านอาหารชื่อ Peppina ขายพิซซ่า เมนูพิซซ่าก็อร่อยดี
จบมื้อเย็นก็แยกย้ายกันไปนอน ไฟหัวเตียง กับ สีในห้องนอนดันถ่ายรูปออกมาแล้วดูดี ก็เลยเก็บภาพไว้หลายมุมหน่อย โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่เปิดมานาน สถานที่ดูเก่าและใหญ่โต โทนสีที่เลือกใช้ในห้องรวมถึงเฟอร์นิเจอร์ และโคมไฟดูด้วยตาเปล่าแล้วก็เฉยๆไม่ได้น่าสนใจ แต่พอถ่ายภาพออกมากลับดูดี เป็นความลงตัวโดยบังเอิญจริงๆ
ด้านหัวเตียงใช้สีกำแพงเป็นสีฟ้า ด้านปลายเตียงหรือฝั่งตรงข้ามให้สีกำแพงเป็นสีเทา ถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัล eos m ตั้งค่าแสงเป็น custom whitebalance สังเกตุได้ว่า แสงสว่างในโคมไฟจะเป็นสีขาว นั่นเป็นการแก้สี หากเราไม่แก้ไขค่าสีแบบนี้ ถ่ายด้วยค่า Auto เราจะได้แสงสว่างจากหลอดไฟพวกนี้เป็นสีส้ม มันจะทำให้ทุกอย่างในห้องดูแดงไปหมดเลย
ภาพเด็กน้อยผิวแดงเป็นการตั้งค่ากล้องให้เป็น Auto whitebalance
เปลี่ยนการตั้งค่าใหม่ให้เป็น custom whitebalance เราก็จะได้ภาพที่สีสันเที่ยงตรง แสงเหลืองๆในห้องจะกลายเป็นสีขาว สีผิวก็กลายเป็นสีธรรมชาติ
อินเทอเน็ตที่นี่มีช่องเสียบสายแลนให้ใช้ แต่ผมไม่ได้เตรียมสายแลนและตัวปล่อย wifi มา ส่วนการใช้ wifi ก็ยุ่งยากมาก เป็นเรื่องน่าเบื่อของโรงแรมเรื่องหนึ่ง ผมใช้คอมพิวเตอร์มาเกิน 20 ปี ผมตั้งค่า wifi repeater ในบ้านได้ตามใจ แต่ผมใช้งาน wifi ในโรงแรมไม่ได้ เป็นความน่าเบื่อที่เราต้องยุ่งยาก ทำไมถึงออกแบบให้ใช้งานไม่ได้ ผมไม่เข้าใจ ถ้าเจตนาจะงกการใช้งาน internet ก็ถือว่าแย่มาก สุดท้ายผมต้องใช้โทรศัพท์ปล่อยสัญญาณ wifi เพื่อใช้งานแทน
สระว่ายน้ำที่นี่ใหญ่โตถูกใจคนชอบเล่นน้ำแน่นอน แถมวิวก็สวยใช้ได้ เช้ามืดผมเดินออกมาเพื่อตามลูกไปเล่นทราย วิวสระน้ำกับสภาพแสงสลัวๆ แดดยังไม่ออกก็ถ่ายภาพได้อารมณ์สวยดี
เราสามารถตั้งค่า white balance เป็นค่าอื่นๆเพื่อผลของสีที่แปลกตาก็ได้ การถ่ายภาพที่ดีคือการได้ภาพถูกใจตัวเรา บางครั้งเราไม่ได้อยากได้ความเที่ยงตรง เราอยากได้โทนสีแบบไหน อยากให้สีเพี้ยน ก็สั่งให้กล้องเพี้ยนได้ตามใจสั่ง
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจนแสงแดดส่องถึง เราสามารถใช้ค่า white balance เป็น Auto ได้ กล้องจะทำงานปรับสีได้ถูกต้องแม่นยำ และเราก็จะได้ภาพสีสันปกติ ส่วนจะได้ภาพสีเข้ม สีสด หรือสีจืด ก็อยู่ที่การวัดแสงของเราว่าจะให้ภาพดูมืด หรือ ดูสว่าง
หาดทรายบริเวณโรงแรมเต็มไปด้วยกระสอบทรายขนาดยักษ์วางเรียงตัวเป็นเขื่อนยาวสุดสายตา หาดที่นี่คงโดนน้ำทะเลเซาะไปเรื่อยๆจนต้องแก้ปัญหาแบบนี้ มันดูขัดสายตาหน่อย แต่ก็คงไม่มีทางแก้ไขที่ดีกว่านี้ ไม่งั้นโรงแรมอาจพัง สถานที่ต่างๆคงจะละลายหายไปกับคลื่น
เล่นทราย เก็บหอย สวรรค์ของเด็ก และนรกของช่างภาพอายุเยอะ ก้มๆเงยๆ ถ่ายภาพยาก ทรายเข้าเลนส์ แต่ยังไงก็ต้องถ่ายภาพเก็บไว้ ลูกเราก็โตครั้งเดียว ย้อนกลับไปถ่ายใหม่ไม่ได้ กล้องกับเลนส์ไม่ได้แพง ของพวกนี้เสียก็ซื้อใหม่ ไม่เสียวันนี้ ก็ต้องเสียในอีกไม่กี่ปีอยู่ดี เราไม่ควรกลัวการใช้กล้อง แน่นอนแหละผมพูดได้เพราะผมใช้ของไม่แพง ส่วนพวกช่างภาพที่ใช้ของระดับไฮเอนด์ก็คงต้องระวังเรื่องทรายและทะเลเป็นพิเศษ
แล้วลูกผมก็ได้ขี่ม้า เป็นครั้งแรกในชีวิต แม้แต่ผมยังไม่เคยเลย ค่าใช้จ่ายรอบละ 200 บาท ราคาสำหรับคนไทย ขอบฟ้ากลัวนิดหน่อย ตอนนั่งอยู่ก็บอกว่าอย่าเดินเร็ว การทรงตัวบนหลังม้าคงไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่
ผ่านไปได้ด้วยดี ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ม้ามีแวะขี้ลงทรายด้วย สีขี้ม้าเป็นสีเขียวออกแนวแพนโทนตุ่นๆ คำว่า เขียวขี้ม้ามันมาจากขี้ม้าจริงๆด้วย ผมไม่ได้ถ่ายภาพสีของขี้ม้ากลับมา แต่ถ้านึกจากภาพจำ กลับมาบ้านก็รีบเปิดสมุดสีดู สีขี้ม้าจะใกล้เคียงค่าสีแพนโทน 7748U และ 7749U
ออกจากโรงแรม เช็คเอ๊าท์ เราก็มาเที่ยวอุทยานสิ่งแวดล้อมที่ค่ายทหาร สถานที่แห่งนี้อยู่ในรั้วเดียวกับพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวของตายของช่างภาพและประชาชน ส่วนอุทยานสิ่งแวดล้อมก็เป็นของที่ถูกลืม ถูกมองข้าม ดูจากความรกร้างและการดูแลไม่ทั่วถึง
ที่นี่เป็นสถานีวิจัยพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะโซล่าเซลส์ที่ติดตั้งบนหลังคาของพื้นที่จอดรถ แผ่นโซล่าเซลส์สีดำจำนวนมากติดตั้งไว้เหนือหลังคา มีตัวอินเวอเตอร์แปลงไฟจากโซล่าเซลส์เข้าสู่ระบบไฟฟ้ากระแสสลับจำนวนมาก ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมให้ใช้กับรถ EV ด้วยนะไม่งั้นคงไม่วางอุปกรณ์ต่างๆไว้ที่ลานจอดรถ ผมอิจฉาคนที่นี่ที่มีพลังงานสะอาดและฟรีให้ใช้ แม้ว่า ทหารจะใช้ไฟฟรีอยู่แล้ว เพราะทหารกินเงินเดือนประชาชน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพลังงานก็เงินภาษีประชาชนจ่าย แต่ก็ยังมีโซล่าเซลส์ไว้ใช้ด้วย ถ้าจะมีรถ EV ใช้ในกองทัพ จะใช้ในภารกิจทางการ หรือ ธุระส่วนตัว ผมก็มั่นใจว่า พลังงานฟรีและสะอาดพวกนี้แหละจะส่งเข้ารถ EV ในค่ายทหารแน่นอน
เรามาที่นี่เพื่อดูเรื่องพลังงานทางเลือก และ ไปดูป่าโกงกาง ที่นี่วิจัยป่าโกงกาง ป่าโกงกางมีประโยชน์ต่อชีวิตติดทะเลทุกชีวิต มีข้อดีเยอะมาก อย่างน้อยก็ป้องกันการกัดเซาะแผ่นดินและชายฝั่ง และยัง ป้องกันคลื่นยักษ์สึนามิได้ แต่ก็คงเป็นสิ่งที่แหล่งท่องเที่ยวแนวชายหาดไม่ชอบ เพราะดูรก และ ไม่สวย
ทางเดินศึกษาธรรมชาติของป่าชายเลนที่นี่เป็นแบบทางเดินสะพานไม้ ข้างๆโกงกางต้นเล็ก มีแดดส่องตลอดทาง มันร้อนมากจริงๆ สู้แหล่งวิจัยป่าชายเลนที่ปราณบุรีไม่ได้ ป่าชายเลนที่ปราณบุรีเป็นต้นสูง แดดส่องไม่ถึงทางเดิน เดินดูได้ไม่ร้อน ผมเคยพาลูกไปเดินมาแล้ว ที่สถาบันวิจัยย่านปราณบุรีเย็นสบายตลอดทางแม้จะเป็นช่วงเดือนเมษายนก็ตาม
ขากลับ เราเดินทางออกจากค่ายทหาร ไปร้านอาหารที่ชะอำ แวะกินจะอิ่มเรียบร้อย เราออกจากร้านอาหารประมาณ 15.00 น. เราถึงบ้านที่กรุงเทพ 18.30 น. เป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าที่เคย เพราะรถเยอะมาก มีทำถนนด้วย ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนที่ผมเคยไปหัวหินด้วยเวลา 90 นาที นั้น จะทำได้อีกไหม เราผ่านวันที่รถไม่มากไปแล้ว ตอนนี้ที่ไหนก็รถติด ร้านอาหารยอดฮิตก็รถติด ปั๊มน้ำมันก็รถจอดเต็ม ทั้งแวะเข้าห้องน้ำ แวะซื้อของกิน แวะเติมน้ำมัน ผมไม่สามารถแวะปั๊ม ปตท ใหญ่ๆ ได้อีกแล้วสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน พศ นี้ เพราะเต็มตลอด ต้องไปรอเข้าปั๊มยี่ห้ออื่นๆแทน ขอให้ปั๊ม shell และ บางจาก จงเจริญ
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.























