ในชีวิตผมเองไม่เคยคิดว่าเรื่องน้ำหนักตัวจะสร้างปัญหา หรือ อีกความหมายนึงคือไม่คิดว่าตัวเองจะอ้วน ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยก็กินแหลก สมัยทำงานก็เป็นคนที่กินสารพัด กาแฟ ขนม กินเยอะมาก กินจนหมดโต๊ะ อาหารไม่หมดผมไม่หยุดกิน และมีแฟนแต่ละคนก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนอ้วนไปจีบสาว เวลาไปจีบใครแต่ละคน เราก็ไปชวนเขากินตลอด คนที่บ่นเรื่องอ้วนจะเป็นผู้หญิง และผมก็เป็นคนฟังมาตลอด
ใช้ชีวิตจนเพลิน แม้หลังๆจะเริ่มรู้สึกว่าพุงใหญ่ขึ้น จะรู้สึกว่า เสื้อผ้าชุดเก่าๆเริ่มแคบ แต่ก็ยังไม่ตระหนักว่ามันค่อยๆล้น กางเกงหลายตัวใส่ไม่ได้ ยิ่งแต่งงาน ยิ่งเลี้ยงลูก ยิ่งกินดึก บางวันผมก็ออกไปนั่งกินมื้อดึก พอกินบ่อยๆก็ติดเป็นนิสัย กลายเป็นว่าวันหนึ่งๆกินสี่มื้อ นอกจากนี้ยังซื้อกาแฟเย็นกินทุกวัน ร้านที่เดินผ่านจะแวะซื้อประจำ จนกระทั่งบางวันที่ผมอยากลองเปลี่ยนเป็นเมนูแบบอื่นต้องรีบตะโกนบอกคนขายว่า อย่าเพิ่งชง ผมจะเปลี่ยนเป็นชาดำเย็นบ้าง เพราะคนขายจะขายผมทุกวัน แค่เห็นเงาตะคุ่มๆของผมก็ยกถ้วยชงกาแฟขึ้นมาแล้ว
ภาพนี้ผมแขม่วพุงแล้วนะ คาดว่าน้ำหนักน่าจะประมาณ 90-91 กิโลกรัม
วันที่ถึงจุดที่ตัดสินใจจะลดน้ำหนักก็คือ วันที่ลองชั่งน้ำหนักแล้วพบกับตัวเลข 91.3 กิโลกรัม ผมตกใจสุดขีด และเสียใจอย่างไม่รู้จะเปรียบเปรยอย่างไร อกหักจากสาวที่จีบไม่ติดสักคนยังไม่รู้สึกเลวร้ายเท่านี้ เพราะความจำในวัยเด็กถึงวัยรุ่นก็คือ ผมหนัก 67 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และตอนทำงานใหม่ๆก็หนักประมาณ 72-75 กิโลกรัม ส่วนสูง 175cm คู่กับน้ำหนัก 75 กิโลกรัมตามมาตรฐานชายไทย ผมเคยเป็นคนแบบนั้น แต่วันที่น้ำหนักพีคไป 91.3 กิโลกรัม เหมือนโดนตบหน้า เหมือนตราชั่งขึ้นป้ายว่า “ไอ้อ้วน”
ตอนที่พีคขึ้นไปมากจนเห็นภาพตัวเองแล้วตกใจ
ผมหาวิธีลดน้ำหนักที่ลงทุนน้อยสุด ทั้งตัวเงินและเวลา เนื่องจากเป็นคนงกและคิดว่าคนเราไม่ควรเสียเงินเพื่อออกกำลังกาย มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่จะออกกำลังโดยไม่ต้องจ่าย การเข้าฟิตเนสแล้วเสียเงินปีละหมื่นหรือมากกว่านั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ยอมทำแน่นอน และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมไม่มีเวลา มันไม่มีเวลาจริงๆ ถ้าจะต้องเข้าฟิตเนสวันละ 1 ชม. หรือ วิ่งที่ไหนสักแห่งวันละ 1 ชม. ก่อนไปวิ่งก็ต้องเตรียมตัวและเดินทาง ตอนวิ่งเสร็จก็ต้องอาบน้ำและเดินทาง การทำกิจกรรมวิ่ง 1 ชม.คนเราอาจต้องใช้เวลาร่วม 3 ชม. เพื่อจบทั้งกระบวนการ ดังนั้น ผมไม่ต้องการใช้เวลาขนาดนี้ ถ้ามีเวลาวันละ 3 ชม. ผมอยากเอาไปฟังเพลง เอาไปอ่านหนังสือมากกว่า
อีกหลายเหตุผลคือ เคยเห็นคนออกกำลังกายอย่างหน้าชื่นตาบานแล้วแชร์ภาพชีวิตดี๊ดีทางเฟสบุ๊คหรือเว็บบอร์ด ทั้งการวิ่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ไฮเทค ร้องเท้าจัดหาเพื่อการวิ่ง นาฬิกานับก้าวหรือนับแคลอรี่ รวมถึงนับอัตราการเต้นของหัวใจ การขี่จักรยานที่ต้องใช้จักรยานหน้าตาเหมือนลงแข่งพร้อมทั้งเสื้อผ้าหน้าผมแบบเต็มยศราวกับจะไปแข่งโอลิมปิค จะใช้จักรยานแม่บ้านก็ไม่ได้ …. สำหรับผมเรียกว่าไร้สาระ ไร้ประสิทธิภาพ และหลายคนในภาพ ไม่ผอมลง ซึ่งมันก็ตามมาด้วยคำอธิบายว่า ไม่ได้ลดน้ำหนัก เขาออกกำลังหัวใจ ว้าวมาก หัวใจก็ต้องออกกำลังนะครับ ผมยังเข้าไม่ถึง ผมแค่จะลดพุงและลดน้ำหนักตัวให้กลับไปเป็นคนหุ่นปกติ ไม่ใช่คุณลุงพุงยื่น และมองไม่เห็นปลายเท้าตัวเอง แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าการวิ่งทำให้น้ำหนักลดได้ แต่ผมไม่อยากวิ่ง มันเหนื่อย และไม่ได้การันตีว่าจะผอมลง
การออกกำลังกายหัวใจ โซน 1 2 3 คืออะไร เป็นความรู้ใหม่ และผมตัดสินใจยังไม่รับในตอนนี้ แม้จะทำความเข้าใจไปแล้ว แต่ก็เลือกไม่รับ รอให้พ้นภารกิจแรกไปก่อน เพราะว่า ผมยังไม่ให้ความสำคัญในลำดับแรก แม้อนาคตผมจะหัวใจวายจากอะไรสักอย่าง แต่ผมเชื่อว่ามันไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกายในวันนี้ วันที่ผมอายุ 40+ เพราะผมปล่อยให้ร่างกายต่อสู่ลำพังมา 40 ปีกว่าปีโดยไม่มีความรู้เรื่องหัวใจแล้ว ดังนั้น ผมปล่อยผ่านไปก่อน แต่เดี๋ยวการลดน้ำหนักในภารกิจนี้ทั้งหมดจะทำให้เราปรับอาหารการกินเราจะไม่เอาของทำลายหัวใจเข้าร่างกายเช่นกัน เรื่องหัวใจไม่ต้องห่วงเลย
ภาพหมู่ พ่อแม่ลูก อ้วนจนรู้สึกอึดอัด
ผมไม่อยากเป็นลุงพุงพรุ้ย เป็นไอ้อ้วนหน้าตาหน้ากลัว ลูกผมน่ารัก แฟนผมน่ารัก ทำไมเขาต้องถ่ายรูปกับไอ้อ้วน ขอภาพครอบครัวที่สวยงามแบบพระเอกนางเอกเลยได้ไหม การมีหน้าตาสดใส มั่นใจในตัวเอง และดูแข็งแรงสุขภาพดี มันดีต่อทุกคนในภาพ
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.


