เครื่องพิมพ์รุ่นหนึ่งของ Heidelberg เป็นเครื่องพิมพ์ระบบ letterpress คนไทยเรียกว่าเครื่องพิมพ์ตีธง เพราะลักษณะมือจับกระดาษจะหนีบกระดาษแล้ววิ่งเข้าไปพิมพ์ตรงกลางเครื่อง แขนจับกระดาษเมื่อทำงานจะดูเหมือนธง ทำให้ถูกเรียกว่าเครื่องพิมพ์ตีธง
เครื่องพิมพ์เครื่องนี้มีบทบาทกับการพิมพ์ในประเทศไทยในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นปีที่ผมได้เห็นเครื่องนี้ครั้งแรกในชีวิต เป็นเครื่องพิมพ์ที่พ่อเริ่มธุรกิจสิ่งพิมพ์ หรือประมาณสามสิบปีก่อน ช่วงที่ระบบการพิมพ์ยังไม่พัฒนามาก ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ แม่พิมพ์ต้องเป็นบล๊อกเหล็ก หรือเป็นตัวหนังสือทำจากตะกั่วตัวเล็กๆที่เราเรียกว่าตัวเรียงเอามาเรียงกันเป็นประโยค เครื่องพิมพ์เครื่องนี้จะมีงานพิมพ์ผูกขาดคืองานพิมพ์บิลใบเสร็จรับเงินต่างๆ นอกจากบล๊อกเหล็กและตัวเรียงตะกั่วแล้ว เครื่องพิมพ์ตีธงยังสามารถติดตั้งตัวรันนิ่งนัมเอร์ไว้ในบล๊อกพิมพ์ด้วย เพื่อให้การพิมพ์ในแต่ละหน้ามีตัวเลขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดของใบเสร็จรับเงิน หากใครจะพิมพ์บิลต่างๆที่ต้องมีตัวเลขเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ต้องอาศัยการพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ตัวนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็น
เมื่อการพิมพ์อ๊อพเซ็ทเริ่มได้รับความนิยม และราคาการผลิตแม่พิมพ์สำหรับเครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ทเริ่มถูกลง ระบบอ๊อพเซ็ทก็กลืนกินระบบการพิมพ์ letterpress ไปเสียเกือบทั้งหมด นามบัตรที่เคยพิมพ์ง่ายๆด้วยตัวเรียงและเครื่องพิมพ์ตีธงก็เปลี่ยนมาเป็นทำเพลทแล้วพิมพ์ด้วยระบบอ๊อพเซ็ทแทน การ์ดแต่งงาน การ์ดเชิญต่างๆ จากที่เคยพิมพ์เป็นตัวหนังสือเรียบๆ ก็พัฒนาการจัดหน้าเป็นอาร์ตเวิร์คที่ทันสมัย ต้องพิมพ์ระบบ 4 สี และก็หมายความว่าต้องพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ทเช่นกัน
จากหลายๆเหตุผลทำให้ระบบการพิมพ์ letterpress ถูกมองข้ามละเลยไปจากตลาดส่วนใหญ่ ผู้คนแทบจะลืมคำว่า letterpress ไปเสียแล้ว โรงพิมพ์ต่างๆทะยอยนำตัวเรียงมาชั่งกิโลขาย เครื่องพิมพ์ตีธงถูกปล่อยให้ฝุ่นจับ บางแห่งโละช่างพิมพ์ตีธง บางแห่งโละช่างเรียงตัวเรียง เครื่องพิมพ์ตีธงและตัวเรียงหายไปจากโรงพิมพ์ในยุคสิบปีที่ผ่านมา คนที่ยังมีเครื่องพิมพ์ตีธงอยู่ก็จะมีเก็บไว้ทำงานพิมพ์ตัวเลขบนใบเสร็จรับเงิน ซึ่งอาศัยเครื่องตีธงเพียงการพิมพ์ตัวเลขเท่านั้น เส้นสายแบบฟอร์มทั้งหน้ากระดาษยังพิมพ์ด้วยอ๊อพเซ็ทด้วยซ้ำ
เมืองไทยเป็นเมืองที่เห่อเทคโนโลยี พอมีของใหม่มาก็หยุดใช้ของเก่าไปเสียดื้อๆ ระบบการพิมพ์ทันสมัยทำให้หนังสือและใบปลิวต่างๆทำได้ง่ายขึ้น ระบบการพิมพ์อ๊อพเซ็ทที่สวยขึ้นทุกวัน ระบบการพิมพ์ดิจิทัลที่ทำจำนวนน้อยได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบ letterpress ค่อยๆห่างหายไปจากสายตา แต่ในทางกลับกัน เมืองฝรั่ง เมืองที่เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยี่การพิมพ์ต่างๆ ยังคงใช้งาน letterpress อยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นเสียด้วย
ในภาคธุรกิจ กระดาษหัวจดหมาย และนามบัตรของฝรั่งมักจะถูกจัดพิมพ์ด้วยระบบ letterpress อาจจะเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในเมืองฝรั่งค่อนข้างสูงมาก การใช้เครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่และไฮเทคคงมีต้นทุนที่สูง และบริษัททั้งหลายก็คงไม่ได้อยากได้สิ่งพิมพ์ปริมาณมาก เครื่องพิมพ์ letterpress เลยมีช่องทาง เพราะเครื่องพิมพ์ letterpress โบราณเหล่านี้แทบไม่มีราคาแล้ว ค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์ก็ไม่สูงมาก และที่สำคัญทำจำนวนน้อยชิ้นได้
นอกจากสิ่งพิมพ์ในภาคธุรกิจแล้ว การพิมพ์การ์ดเชิญงานแต่งงานก็ได้รับความนิยมทำในระบบ letterpress ด้วย ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของ letterpress ที่มีสีสันสดอิ่ม มีรอยกดจมไปพร้อมกับหมึกทำให้ดูมีเสน่ห์ ดูหรูหรา กลายเป็นทางเลือกที่คู่แต่งงานชอบ และเครื่องพิมพ์ letterpress ยังสามารถพิมพ์กกระดาษหนาพิเศษได้อีกด้วย โดยมันสามารถพิมพ์กระดาษหนาได้ถึง 1.6 มิลลิเมตร หรือกระดาษประมาณ 620g ขณะที่เครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ทรับกระดาษได้เพียง400g เท่านั้น และเครื่องพิมมพ์ดิจิทัลก็รับกระดาษได้หนาเพียง 300g และที่สำคัญ เครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ทและดิจิทัลทั้งหลายสร้างรอยกดทับแบบ letterpress ไม่ได้
ในปัจจุบัน งานพิมพ์ letterpress กำลังจะกลายเป็นงานอาร์ตขั้นเทพ เป็นงานฝีมือที่แสดงตัวตนของคนเสพงานแนวนี้ โรงพิมพ์ที่พอจะทำงานแนวนี้ได้มีอยู่ไม่มาก เพราะรายได้จากงาน letterpress ไม่ได้มากมายเหมือนงานพิมพ์อ๊อพเซ็ท โรงพิมพ์ส่วนใหญ่ย่อมไม่อยากเสียเวลาและเสียทรัพยากรบุคคลไปกับงานอาร์ตหาลูกค้ายาก คนที่พอทำได้ก็อาจจะทะยอยเลิกทำไป สุดท้ายระบบการพิมพ์ letterpress อาจจะเป็นงานทำกันเองในบ้านใครสักคน มากกว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.








