วันที่ 20 กรกฎาคม 2555 เป็นวันที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
เช้ามืดวันที่ 20 เป็นวันนัดที่ผมจะพาภรรยาไปคลอดลูก ลูกของผมเป็นผู้ชาย ผมคิดชื่อให้เขาแล้วตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้เพศ ถ้าเป็นผู้หญิงจะให้ชื่อกลางใจ ถ้าเป็นผู้ชายจะให้ชื่อขอบฟ้า ชื่อกลางใจหมายถึงจุดที่ใกล้ตัวที่สุด ชื่อขอบฟ้าหมายถึงที่ที่ไกลที่สุด มีความหมายเป็นนัยว่าไม่มีใครไปไกลกว่าขอบฟ้า
ก่อนวันคลอด ผมหัดใส่คาร์ซีทในฮอนด้า freed คาร์ซีทได้รับบริจาคมาจากพี่สาวของผมผู้ที่หยิบยื่นแคมรี่มาให้ผมขับอยู่แปดพันกิโลเมตรนั่นแหละ การติดตั้งคาร์ซีทเต็มไปด้วยความมึนงง ให้เพื่อนช่วยดูให้เหมือนกัน ก็คิดว่าน่าจะติดได้ไม่ผิด แต่ก็ไม่มั่นใจ จัดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง กระเป๋าภรรยา และกระเป๋าของลูก นอกจากนี้ยังเตรียมป้ายชื่อของลูกเอาไว้ด้วย ตั้งใจจะเอาไปใช้ติดหน้าเตียง เวลามีใครมาเยี่ยมจะได้หาได้สะดวก
ผมขับรถไปโรงพยาบาลรามาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อหนีรถติด นัดหมอไว้เก้าโมงเช้า แต่แม่เด็กต้องไปเตรียมตัวตั้งแต่เจ๊ดโมง ในห้องพักก่อนผ่าตัดผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดตัวเขียว เพื่อเตรียมตัวไปยืนลุ้นอยู่ข้างเตียงผ่าตัด ระหว่างที่รอเวลา ผมทะยอยเตรียมของใช้ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิทัล Fujix100 พร้อมแบตเตอรี่สองก้อน เมมโมรี่อีก 16 Gb กล้องฟิล์ม Leica minilux ใส่ฟิล์มขาวดำเอาไว้เพราะผมต้องการภาพขาวดำแท้ๆเก็บไว้ด้วย ลูกผมเกิดทีเดียว ไมโครโฟนบันทึกเสียงก็เตรียมไว้เพราะอยากจะเก็บเสียงแรกให้ได้ แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พกเข้าไป เพราะชุดเขียวไม่มีช่องให้ใส่อุปกรณ์อย่างอื่นเลย
ในห้องผ่าตัดเป็นอย่างไรผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก รู้ตัวอีกทีลูกผมก็ถูกหิ้วออกมาที่เตียงเล็ก ทำการกระตุ้นระบบหายใจ ดูดน้ำออกจากปอด ผมเป็นพ่อคนแล้ว พ่อมือใหม่ทำอะไรไม่ถูกเลย ภาพเด็กเกิดใหม่น่าเกลีียดมาก เด็กคนนี้เหรอที่ผมร้องเพลงให้มันฟังบ่อยๆ ผมจะเริ่มรักมันนาทีไหนกัน พอเสียงเด็กดังขึ้น บรรยากาศทุกอย่างเปลี่ยนไปเป็นความสุขที่อบอวล ผมรักมันแล้วแหละ จากนั้นก็ได้สติ ผมไปยืนถ่ายรูปพ่อแม่ลูกด้วยท่ามาตรฐานของทีมหมอที่เขาบรรจงถ่ายภาพให้อย่างมืออาชีพ ผมว่าผมเป็นช่างภาพที่ถ่ายภาพมาเยอะ แต่ภาพครอบครัวคงต้องยกให้หมอและพยาบาลในนี้ เพราะเขาคงถ่ายวันละหลายครอบครัว ปีละสามร้อยหกสิบห้าวัน
ผมใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลสามคืน เพื่อให้ภรรยาพักฟื้นและทำความคุ้นเคยกับลูก หัดป้อนนม หัดอาบน้ำ หัดอดนอน หัดตื่นทุกสามชั่วโมง ทุกอย่างพยาบาลค่อยๆฝึกเราทั้งคู่เพื่อให้พร้อมออกไปเลี้ยงลูกอย่างมั่นใจ แต่จริงๆแล้ว พ่อแม่มือใหม่อย่างผมและภรรยามีแต่ความกลัว มีแต่ความวิตกกังวล แต่ก็ทำหน้าเฉยๆเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจ
ผมออกจากโรงพยาบาล พร้อมด้วภรรยาและเด็กชายขอบฟ้า ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น ผมขับ Freed คลานเป็นเต่าออกจากรั้วโรงพยาบาล ทีแรกตั้งใจจะวางลูกไว้ในคาร์ซีท แต่ลูกผมตัวเล็ก น้ำหนักเพียง 2778 กรัมตอนเกิด รูปร่างยังเล็กมากเมื่อเทียบกับคาร์ซีทที่ติดไว้ในรถ วางลูกลงไปแล้วทุกอย่างดูหลวมๆ มันหลวมซะจนคิดว่าลูกน่าจะกลิ้งตกได้เลย ภรรยาผมเริ่มใจเสีย มีสิ่งที่ผิดคาดเกิดขึ้นในชีวิตแล้วหนึ่งอย่าง ลูกนอนในคาร์ซีทไม่ได้ทำให้ต้องอุ้มอยู่อก ซึ่งรู้กันอยู่แก่ใจว่าเป็นท่าที่อันตรายมาก ถ้าผมขับเร็วไป หรือมีอุบัติเหตุอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นลูกคงหลุดจากมือได้ง่ายๆ
ขับรถออกจากรั้วโรงพยาบาลไปแค่ห้าสิบเมตรผมก็รู้สึกว่ารถแรงไปแล้ว อยากขับให้ช้ากว่านี้ ผมกลัวลูกจะหลุดมือ กลัวว่าถ้าวิ่งเร็วลูกจะอันตราย กลัวว่าถ้าต้องเบรกกระทันหันลูกจะหลุดจากอกแม่ ผมกลัวแค่ไหนภรรยาผมกลัวยิ่งกว่า ผ่านไปหนึ่งสี่แยก มีรถเมล์วิ่งแซงรถผมไปแล้ว ผมภาวนาให้รถติดเยอะหน่อยเพื่อให้ผมจะได้ไม่ต้องเร่งความเร็วขึ้นไป อยากให้ทุกอย่างช้าลง อยากให้รถติดค่อยๆขยับเพราะผมกลัวลูกหลุดมือ ใครหลายคนเคยบ่นว่าอยากให้ฟรีดติดเครื่องสองพันซีซี สถานการณ์ของผมผมกลับอยากได้เครื่องเล็กกว่านี้ อยากให้ถนนแคบกว่านี้ อยากวิ่งช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณรัก กับลูกอีกคนที่ทั้งคุณและภรรยาต่างพร้อมใจใช้ทั้งชีวิตที่เหลือเพื่อปกป้องและเลี้ยงดูเขา ผมจะไม่ขับรถเร็วเด็ดขาด จะไม่เผลอปล่อยให้รถวิ่งแบบอันตรายเลยแม้แต่นาทีเดียว ระหว่างรถติดผมหันไปมองภรรยาและลูกบ่อยมาก ภรรยาเริ่มร้องไห้ ผมถามว่าทำไมถึงร้อง เธอบอกว่า เธอกลัว กลัวเลี้ยงได้ไม่ดี เห็นน้ำตาแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย ผมบอกเธอว่า มีผู้หญิงเป็นล้านคนผ่านวันแบบนี้ไปได้พวกเราไม่โชคร้ายหรอก
สามสิบวันผ่านไป ผมนัดหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพและฉีดยาให้ขอบฟ้า คาร์ซีทได้ใช้งานอีกครั้ง คราวนี้ขอบฟ้าตัวโตขึ้น วางในคาร์ซีทแล้วไม่หลวมเหมือนวันแรก คาร์ซีทรุ่นนี้เป็นกระเช้าในตัว ประตูสไลด์ของ Freed ทำให้ผมจัดท่าของขอบฟ้าในคาร์ซีทได้สะดวก ตำแหน่งที่ติดตั้งคาร์ซีทที่ปลอดภัยที่สุดของรถยนต์คือหลังคนขับ ผมเพิ่งพบข้อดีของ Freed อีกข้อหนึ่งที่ดีกว่ารถเก๋งตอนติดคาร์ซีทนี่แหละ นั่นคือ ผมสามารถติดคาร์ซีทไว้ที่แถวสองด้านขวาซึ่งอยู่หลังคนขับได้ และใช้เบาะแถวสองเลื่อนขึ้นหน้าเพื่อบีบให้คาร์ซีทติดแน่นไม่ขยับ ถ้าเป็นรถเก๋ง เราจะพบว่าคาร์ซีทมักจะติดอยู่กับเบาะหลังด้านซ้าย เหตุผลก็เพราะว่าต้องเลื่อนเบาะหน้าลงมาดันคาร์ซีทเอาไว้ เนื่องจากรถเก๋งเลื่อนเบาะหลังไม่ได้ ถ้าติดด้านหลังคนขับจะกลายเป็นว่าต้องเลื่อนเบาะคนขับลงมาดันคาร์ซีท ซึ่งมันก็ทำให้ตำแหน่งคนขับไม่อยู่ในตำแหน่งการขับที่ดี อันตรายยิ่งกว่าเดิม รถเก๋งเลยต้องติดด้านซ้ายแทน แต่ Freed ติดคาร์ซีทหลังคนขับได้ เพราะไม่ต้องเลื่อนเบาะคนขับไปดัน แต่ใช้เบาะแถวสองดันขึ้นมาแทน มันดีกว่ากันตรงนี้
มีอีกครั้งที่ Freed ทำให้ผมรู้สึกดี ตอนที่พาขอบฟ้าไปหาหมออีกครั้งหนึ่งตอนครบหกสิบวัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็แวะไปร้านขายของเด็ก ภรรยาผมต้องการซื้อของใช้ให้ขอบฟ้า ไปจอดที่ร้านค้าแล้วก็ให้ภรรยาเดินลงไปซื้อ ผมกับขอบฟ้ารออยู่บนรถ ดูเหมือนเป็นคนไม่รักโลก เพราะจอดรถเปิดแอร์ แต่ผมให้อภัยตัวเอง เหตุผลง่ายๆก็คือผมรัก ลูกมากกว่ารักโลก พอจอดได้ตำแหน่งที่ดีแล้ว ผมก็เข้าเกียร์ P แล้วเดินจากแถวหน้ามานั่งแถวสอง เพื่อเล่นกับขอบฟ้า มาอยู่เป็นเพื่อนให้ขอบฟ้าเห็นหน้าจะได้ไม่ร้องไห้ แดดร้อน แต่ผมไม่ต้องลงจากรถเพื่อย้ายที่นั่ง ยิ่งถ้าฝนตกยิ่งรู้สึกดีว่าเลือกรถไม่ผิด ชีวิตครอบครัวที่มีเด็กเล็กการได้รถอย่าง Freed มาใช้มันเป็นความอเนกประสงค์ที่รื่นรมย์ แม้ว่าจะใช้รถเก๋งก็เลี้ยงลูกได้ ไปไหนต่อไหนได้ไม่ต่างกัน แต่ความสนุกไม่เท่ากัน ภรรยาผมสามารถโฟกัสกับลูกได้ตลอดเวลา ไม่ต้องพะวงกับการเปิดปิดประตู เพราะประตูไฟฟ้าสั่งได้จากคนขับ แม้แต่ตอนที่ผมนั่งเล่นกับลูก ผมก็กดรีโมทเปิดปิดประตูได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ชีวิตเหนือระดับมันเกิดขึ้นได้ง่ายๆใน Freed นี่แหละ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อยมาก ผมจะพาแม่กลับบ้านตอนเย็นทุกวัน วันที่ฝนตก ผมให้แม่นั่งแถวสอง แล้วถือร่มเอาไว้ รอเปิดประตูรถตรงกับหน้าบ้านแล้วให้แม่กางร่มเดินลงไปเลย ประตูไฟฟ้าสไลด์ออก แม่ค่อยๆกางร่ม แล้วเดินออกจากรถไป หัวไม่เปียก ของในรถไม่เปียก ไม่ต้องเอื้อมมือกลับมาปิดประตู เพราะผมสั่งปิดจากตำแหน่งคนขับได้ แม่เดินเข้าบ้านตัวแห้ง ส่วนคนขับอย่างผมก็ดับเครื่อง แล้วเดินมาออกทางประตูสไลด์ วิ่งหนีฝนออกจากรถ แล้วค่อยกดรีโมทให้ประตูปิด ไม่ต้องไปเสียเวลาหันไปปิดเอง
ตอนนี้ขอบฟ้าเริ่มแสดงอารมณ์ได้แล้ว สามารถยิ้มทักกับทุกคนได้แล้ว รอยยิ้มของเด็กมันมีแรงดึงดูดประหลาด จะโกรธมันแค่ไหนตอนที่มันงอแง แต่พอมันยิ้มให้เราก็รักมันยิ่งกว่าเดิม
Discover more from Pockethifi's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.










ก๊อก ก๊อก
ต้องชนะ แวะมาเยี่ยมครับ
^_^
LikeLike
ขอบคุณครับ
LikeLike