เพลินๆ 18feb2018

IMG_20180218_081258

ขอบฟ้าขอบดาวเสาร์มาหลายเดือนแล้ว และมีการวาดภาพดาวเสาร์เล่นอยู่บ่อยครั้ง  ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ขอบฟ้าและพ่อกับแม่ได้ดูดาวเสาร์ด้วยกัน  เป็นการดูดาวตอนเช้ามืด   ขอบฟ้าได้เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ด้วยตาตัวเอง  ดาวเสาร์มีวงแหวนจริงๆ  และขอบฟ้าก็ตื่นเต้นมาก พ่อก็ตื่นเต้นยิ่งกว่า

วันอาทิตย์ขอบฟ้าได้ไปวิ่งในงาน dinorun ซึ่งเป็นการจัดงานวิ่งที่สวนสาธารณะ  ขอบฟ้าวิ่งผ่านระยะ 2.5 กิโลเมตร ได้เหรียญที่ระลึก ขอบฟ้าเอาเหรียญกลับมาบ้านและอวดคุณยายคนแรกเลย

 

 

คุยกับลูกเรื่องดวงอาทิตย์

 

PICT0200

 

ขอบฟ้า :  โพลี่ ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกเท่าไหร่เหรอ

พ่อ : โลกเราอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 93 ล้านไมล์

ขอบฟ้า : (ทำท่าคิด)   โห ต้องใช้ที่ร้องเพลง 93 ล้านอันมาต่อกันเลยเหรอ

พ่อ : ไม่ใช่แล้ว……    ไมล์แบบระยะทาง  ไม่ใช่ ไมค์ร้องเพลง

 

เที่ยวสิงคโปร์ ตอนที่ 2 ไปสวนสัตว์

เราตื่นเช้าวันใหม่ หลังจากกินมื้อเช้าที่โรงแรมแล้วก็เดินทางมาที่สวนสัตว์ ซึ่งอยู่ไกลจากที่พักเหลือเกิน  การเดินทางที่เคยตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์ก็เปลี่ยนเป็นแท็กซี่แทน เพราะการพาลูกไปขึ้นรถเมล์ดูจะเป็นการลำบากเกินไป  เนื่องจากจำนวนคนที่รอที่ป้ายรถเมล์ และสภาพบนรถเมล์ไม่น่าเข้าไปเบียดสักเท่าไหร่ ยิ่งมีรถเข็นเด็กด้วยแล้วยิ่งดูลำบาก เราก็เลยเดินทางด้วยแท็กซี่ และก็โดนค่าแท็กซี่ไปพันกว่าบาท

IMG_2199.JPG

สวนสัตว์ที่สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับว่าดูแลสัตว์ได้ดีระดับต้นๆของโลก  การจัดการภายในสวนสัตว์มีระเบียบเรียบร้อย ดูปลอดภัยและน่าเที่ยว  การจัดเส้นทางต่างๆก็มีส่วนที่เดินสบาย แม้ว่าอากาศจะร้อนไปหน่อย แต่ความร่มรื่น ต้นไม้เยอะก็ช่วยให้เราทนไหว  เสือขาวอยู่ในพื้นที่ของมัน จุดยืนดูของคนจะถูกจัดสรรเอาไว้ค่อนข้างปลอดภัย มีคูน้ำขนาดกว้างกันเอาไว้ระหว่างพื้นที่เสือกับพื้นที่คน  ให้ความมั่นใจว่าเสือคงไม่กระโดดข้ามมาหรือว่ายน้ำข้ามมา

IMG_2209.JPG

สัตว์บางตัวเราก็เพิ่งเคยเห็นจากที่นี่  แม้ว่าเมืองไทยจะมีเขาดิน มีซาฟารีเวิลด์  มีสวนสัตว์เขาเขียว แต่สัตว์ของสวนสัตว์สิงคโปร์ก็มีความแตกต่างไปจากในเมืองไทยพอสมควร  วูฟเวอรีนที่เป็นตัวละครในหนัง x-men มันเป็นสัตว์หน้าตาแบบนี้เองผมก็เพิ่งจะเคยเห็น  ถ่ายรูปมาได้เพียงป้ายบอก เพราะตัวจริงในสวนสัตว์ดูขี้อายไม่ค่อยอยากโชว์ตัว

IMG_2216.JPG

เราเดินเที่ยว แวะดูตามจุดแสดงสารพัดชนิดสัตว์  แวะกินข้าว บ้างก็นั่งรถบัสอำนวยความสะดวกอย่างสนุกสนาน  การกินข้าวในสวนสัตว์ก็ไม่ได้ยากเย็นมาก  ถ้าเรามากินก่อนเวลาเที่ยง เราก็พอจะมีพื้นที่นั่งสบายๆ  แต่ถึงจังหวะเที่ยงที่ทุกคนกินข้าว เราก็ไม่ได้เบียดเสียดหรือต้องต่อสู้กับผู้คนล้นหลาม  เพราะการท่องเที่ยวในสิงคโปร์ไม่ได้มีอาการแย่งกันเที่ยว แย่งกันกิน แย่งกันใช้  อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา และอาจจะเพราะสวนสัตว์สิงคโปร์ไม่ได้โด่งดังเป็นเป็นจุดต้องแวะให้ได้

IMG_2227.JPG

ขอบฟ้าลูกชายแสนซน มาเที่ยวสวนสัตว์แต่ก็ตาไวเห็นเครื่องเล่นที่ดูเหมือนสวนสนุก ก็ขอเล่น และก็ติดอกติดใจซะเหลือเกิน  เป็นการเดินเที่ยวสวนสัตว์ที่คุ้มค่าที่สุดของขอบฟ้า  เพราะไปสวนสัตว์อื่นๆที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจอเครื่องเล่นแนวนี้เลย

IMG_2238.JPG

พอได้เวลาบ่ายแก่ๆ ขอบฟ้าเริ่มเหนื่อยและหลับไปในที่สุด การเดินทางกลับที่พักก็เลยต้องใช้แท็กซี่เช่นเคย  แท็กซี่ที่นี่เป็นรถใหม่ๆสวยๆ มีรถหลากหลายให้เราเลือก บางคันก็อัตราปกติ บางคันก็มีอัตราค่าบริการที่สูงขึ้นด้วยเงื่อนไขบางอย่าง  รถหน้าตาแพงก็จะมีค่าโดยสารที่สูงกว่ารถหน้าตาถูก  ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีวิธีคิดยังไง  เรายืนรอคิวอยู่เห็นรถหน้าตาถูกผ่านไปหลายคัน จนถึงคิวของเรา เราโดนรถแพงเข้าจนได้

IMG_2245.JPG

เราก็ได้นั่งอัลพาธก็คราวนี้เอง  สิ่งที่เหมือนกันในแท็กซี่สิงคโปร์ก็คือ คนขับไม่มียูนิฟอร์ม  แต่งตัวเหมือนเรานั่นเอง  และมีอุปกรณ์สื่อสารเต็มไปหมด  มีโทรศัพท์กันคนละสามเครื่องเป็นอย่างน้อย  คือ 1 เครื่องติดตัวเอาไว้คุย อีกสองเครื่องติดไว้ที่กระจกรถเอาไว้เปิด app เรียกแท็กซี่  มีโทรศัพท์มือถือโบราณด้วยที่ผมไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร มีเครื่องอ่านบัตรเครดิต  มีกล้องหน้า กล้องหลัง ทุกอุปกรณ์ใช้ที่ชาร์จเสียบไว้  ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าช่องเสียบไฟในรถเขาจะมีกี่ช่อง

IMG_2248.JPG

ตอนเย็นเราก็กลับมาที่พักของเราด้วยความเหนื่อยอ่อน แวะมาเดินตลาดฝั่งตรงข้ามที่พัก หาของกิน และร้านข้าวที่ชื่อ นคร หรือ nakhon ดูป้ายดูชื่อก็รู้ว่าเป็นร้านอาหารไทย มีคนต่อคิวรอกินจำนวนมาก  เราเป็นคนไทยก็ขอผ่านไม่แวะดีกว่า  เพราะเราอยากมาสัมผัสสิงคโปร์ อยากกินอาหารสิงคโปร์ทุกมื้อมากกว่า  แต่ภาพที่เห็นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อาหารไทยเป็นสิ่งที่ถูกปากคนทั่วโลกจริงๆ

ขอปิดตอนด้วยภาพแรกของวันนะครับ

IMG_2201.JPG

ย้อนดูตอนที่ 1 เที่ยวสิงคโปร์ เขามีทุกอย่างที่อยากมี

คิดถึงกล้องบางตัว

เวลาเดินผ่านตู้โชว์กล้องในห้าง ก็แอบชำเลือง แอบมอง ว่ามีอะไรลดราคา มีอะไรน่าใช้ มีอะไรน่าซื้อบ้าง  ปกติผมจะเป็นคนไม่ค่อยมองของใหม่ถ้าของเก่ายังไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อวานเห็นกล้องในตู้ที่ขาย  บางตัวก็ดูดีน่าสนใจ แต่ก็ติดตรงที่ว่า ผมมีกล้องหลายตัวแล้ว  และตัวที่น่าสนใจในตู้นั้นก็ไม่ได้มาทดแทน หรือ ทำอะไรได้ดีกว่าตัวที่มีอยู่ ก็เลยได้แต่มองแล้วผ่านไป  แต่ในใจกลับนึกถึงกล้องอยู่ตัวนึงที่เคยมีใช้และปัจจุบันก็ตกพัง  กลายเป็นของเสียอยู่ นั่นคือกล้อง nikon v1

นิสัยของช่างภาพที่ถ่ายรูปมานานจะติดอยู่กับการมองภาพผ่านช่องมองภาพ ซึ่งกล้องรุ่นใหม่ๆหลายๆตัวก็ตัดช่องนี้ออกไปแล้ว  กล้อง nikon v1 ก็เป็นรุ่นที่มีช่องมองภาพมาให้และใช้งานได้สนุกสมกับเป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพรุ่นใหญ่  การจับถือและการเล็งผ่านช่องมองภาพให้อารมณ์และความใส่ใจต่อแบบมากกว่าการมองจอหลัง  ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ภาพจากกล้องสไตล์นี้จะได้องค์ประกอบภาพที่เป็นไปดังใจ  แม้ว่า nikon1 v1 จะมีเซ็นเซอร์รับภาพที่เล็ก มีผลทำให้ภาพหลังเบลอสู้พวกเซ็นเซอร์ใหญ่ไม่ได้  แต่ก็ไม่ได้แย่ระดับกล้องมือถือ หรือ ดิจิทัลถูกๆ  แถมเรายังสามารถใช้เลนส์เก่าๆของ nikon มาร่วมกับ v1 ทำให้ได้ภาพสวยได้ไม่ยาก

DSC_2901.JPG

nikon1 v1 + lens 50f1.8 ais mf

IMG_20180709_212554_402

ภาพเด็กคนนี้คือลูกชายที่ผมเล็งถ่ายในช่วงเวลาที่เขาอายุประมาณ 2 ขวบ  ความซนเป็นอุปสรรคกับการโฟกัสภาพอย่างมาก  แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม  ความยากเหล่านี้จะเป็นตัวคัดแยกระหว่าง ช่างภาพความตั้งใจสูง กับ ช่างภาพขี้เกียจฝึกฝนออกจากกัน

 

auto whitebalance ของกล้องแต่ละตัวเก่งไม่เท่ากัน

กล้องดิจิทัลให้ความสะดวกในการบันทึกภาพอย่างมาก ใครๆต่างก็มีใช้กันคนละตัวสองตัว อย่างน้อยโทรศัพท์ของทุกคนก็ถ่ายภาพได้  และในกล้องดิจิทัลเหล่านี้จะมีความสามารถในการวัดแสงทั้งสิน  และ มีการจัดการสี มีการปรับค่า whitebalance แบบอัตโนมัติเพื่อให้สีสันของภาพสมจริง

เมื่อก่อน สมัยที่เรายังใช้ฟิล์มถ่ายภาพ การถ่ายภาพกลางวัน และการถ่ายภาพกลางคืนที่เน้นไฟถนนจะใช้ฟิล์มคนละชนิดกันเพื่อให้ภาพมีความเที่ยงตรงของสี  ภาพกลางวันเราจะใช้ฟิล์ม daylight  ภาพไฟถนนตอนกลางคืนจะใช้ฟิล์ม tungstain   หากเราเอาฟิล์มกลางวันไปถ่ายภาพกลางคืน ภาพที่ได้ของหลอดไฟทังสเตนทั้งหลายก็จะดูสีส้มเข้ม  ภาพพื้น ถนน ผู้คนภายใต้แสงไฟทังสเตนจะมีสีสันที่ไม่ถูกต้อง

กล้องดิจทัลแก้ปัญหานี้ด้วยการมีเมนูปรับตั้งค่า whitebalance หลายค่า เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ แต่ละสภาพแสง  ซึ่งน้อยคนนักจะปรับค่า whitebalance เปลี่ยนไปตามสภาพแสงจริงทุกๆค่าแสง  ผู้ผลิตเลยมีเมนู auto whitebalance เอาไว้ด้วย เพื่อให้กล้องเลือกค่านี้ให้อย่างอัตโนมัติ  และสีสันในภาพก็จะถูกต้องตามจริง

แต่ความสามารถของการทำ auto whitebalance ของกล้องดิจิทัลแต่ละตัวแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อก็มีความสามารถไม่เท่ากัน  ทำให้ภาพจากกล้องบางตัวสีเพี้ยนมากเกินยอมรับได้  ภาพต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างยืนยันว่า autowhitebalance ของกล้องแต่ละตัวเก่งไม่เท่ากันจริงๆ

IMG_4893

ภาพแรกนี้เป็นกล้อง canon eos m พร้อมเลนส์ 22f2 ปรับค่า white balance เป็น auto ซึ่งให้ภาพอมเหลืองมากเกินพอดี

 

IMG_20170228_202621

ภาพที่สองเป็นภาพที่ถ่ายด้วยมือถือ huawei P9 ความเที่ยงตรงของสีจะมีมากกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นความเก่งกาจของค่ายมือถือที่พัฒนากล้องให้มีความสามารถมากขึ้น และแม่นยำขึ้น

 

หากใครยังคงต้องใช้ auto whitebalance บนกล้องที่ให้สีภาพยังไม่ถูกต้อง เราสามารถใช้วิธี ตั้งค่าเป็น custom whitebalance ซึ่งวิธีการทำจะมีอยู่ในคู้มือกล้อง  ซึ่งจะทำให้ได้ภาพดังภาพที่สาม

IMG_4892

ภาพที่สาม ปรับกล้องให้ใช้วิธีตั้งค่า custom whitebalance

ขอบฟ้าเขียนหนังสือ ประโยคแรก

วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นวันที่ผมได้เห็นขอบฟ้าเขียนหนังสือเป็นประโยค  คือ “ขอบฟ้ารักแม่”  เป็นคำที่ขอบฟ้าขอให้แม่สอนให้เขียน  ทีแรกแม่ก็สอนคำว่า ขอบฟ้า ซึ่งขอบฟ้ารู้จักตัวหนังสือในชื่อตัวเองมาหลายเดือนแล้ว แต่การหัดเขียนเพิ่งจะเริ่มทำกันในเดือนธันวาคมก่อนจะขึ้นปีใหม่  และคำว่า รัก แม่ ก็ตามมา เป็นการสอนให้เขียนตามคำขอร้อง  แล้วทั้งหมดก็มาเขียนรวมกันเป็นประโยคในวันนี้  แม้ลายมือเด็กจะไม่สวย  แม้จะดูไม่เป็นระเบียบ  แต่การพยายามจนทำได้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง  เวลาที่เด็กเกิดความอยากรู้อะไรสักอย่าง การเรียนรู้ในสิ่งนั้นจะรวดเร็วมาก และมีความพยายามที่ต่อเนื่อง จริงจังอย่างอัตโนมัติ  ผลลัพธ์เลยเกิดเร็ว

IMG_20170101_204254

พอเขียนประโยคแรกได้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ขอบฟ้าอยากรู้จักตัวอักษรไทยทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง  และก็หัดเขียนมันทุกตัวอักษรเลย  พ่อกับแม่เลยเดือดร้อนต้องไปหา เพลงท่อง กไก่ ถึง ฮ นกฮูก มาท่องเอง และให้ลูกท่องด้วย  ความสนุกมันอยู่ที่  ลูกก็ฟังเพลง ซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็เขียนเองบ้าง อ่านเองบ้าง  สุดท้ัาย ให้แม่เขียนตามเพลง เพื่อดูว่าแม่เขียนทันไหม  ผ่านไปไม่กี่วัน นับจากวันที่เขียนประโยคแรก ของฟ้าก็ท่อง ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูกได้จนจบ

 

บันทึกให้ขอบฟ้า 31ตุลาคม2559

2016-10-30_09-57-10

ขอบฟ้าในช่วงเดือนนี้เป็นเดือนที่ขอบฟ้าได้ทำอะไรใหม่ๆหลายอย่าง  การถ่ายรูปด้วยกล้องตัวใหญ่ของพ่อก็ได้หัดถ่ายและได้ภาพที่พอใช้ได้  เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ขอบฟ้าเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องได้อย่างครบถ้วน  แม้ว่าตัวเล็กและกำลังน้อยเกินไปสำหรับกล้องหนักๆของผู้ใหญ่ แต่ท่าทางการจับถือและการจัดให้สิ่งที่ต้องการถ่ายอยู่ในภาพอย่างครบถ้วนนั่นทำได้ไม่บกพร่อง  และขอบฟ้าก็ได้ถ่ายภาพให้คุณยาย กับ อาม่า ของขอบฟ้าแบบที่สามารถเอาไปใส่อัลบั้มภาพของครอบครัวได้

IMG_0877

IMG_0001

ขอบฟ้ายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับ การฝังกลบขยะ และการใช้น้ำจุลินทรีย์ดับกลิ่นด้วย  ขยะไขมันที่อยู่ในถังดักไขมันถูกนำมาตักทิ้งและจัดการฝังกลมในสนามหญ้า ขอบฟ้าเป็นคนตักดินมาปิดหลุมด้วยตัวเอง  กลิ่นเหม็นที่เล็ดลอดออกมาก็จัดการราดด้วยน้ำดับกลิ่นที่เตรียมไว้  พอขอบฟ้ารู้ว่าน้ำจุลินทรีย์ช่วยดับกลิ่นได้ ก็เดินหากลิ่นตามจุดทิ้งขยะแล้วราดน้ำลงไปดับกลิ่นทุกจุด

2016-10-30_04-12-48

เที่ยวสิงคโปร์ เขามีทุกอย่างที่อยากมี

สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร ขนาดใหญ่ประมาณภูเก็ตของเรา  สิ่งที่ได้ยินมาตลอดชีวิตของคนไม่เคยไปสิงคโปร์ก็คือ ที่นี่ข้าวมันไก่ดังมาก  สิงคโปร์ทันสมัย สิงคโปร์เป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าของเอเชีัยตะวันออกเฉียงใต้  การลงทุนในระดับบริษัทข้ามชาติจะมีสาขาใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์  แม้แต่ ระบบ cloud ของอเมซอนก็อยู่บนเกาะเล็กๆแทนที่จะอยู่ในแผ่นดินกว้างใหญ่อย่างไทยหรือมาเลเซีย

IMG_1938.JPG

ทริปไปสิงคโปร์พ่อแม่ลูกเป็นทริปนอกประเทศทริปที่สองของการเดินทางแบบมีเด็กเล็ก หลังจากที่เราได้ไปฝึกฝนการพาลูกเที่ยวที่ญี่ปุ่นมาแล้ว การไปสิงคโปร์ก็กลายเป็นเรื่องที่เชื่อว่าไม่ยากลำบากอีกต่อไป  จองตั๋วกันล่วงหน้าประมาณสามเดือน แล้วพอใกล้ๆวันเดินทางเหลือเวลาอีก 1 วัน ปรากฏว่าผมเช็คอินยืนยันตั๋วเครื่องบินไม่ได้  เหตุผลเพราะพาสปอร์ตกำลังจะหมดอายุในอีกสองเดือน  ผู้รู้ทุกท่านให้ข้อมูลว่าการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องมีอายุพาสปอร์ตเหลือเกิน 6 เดิอน  เดือดร้อนต้องรีบไปทำพาสปอร์ตและต้องทำเร่งด่วนภายใน 1 วัน ซึ่งจะต้องไปทำที่กงสุลซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเท่านั้น  ราคาความด่วนต้องจ่าย 3000 บาท จากเดิม 1000 บาทเท่านั้น  นับว่าเป็นความวุ่นวายที่ไม่คาดฝันจริงๆ

IMG_1945.JPG

ตีสี่เราเดินทางไปดอนเมือง ใช้เวลาต่อแถวเช็คอินสายการบินประมาณสองชั่วโมง และรอขึ้นเครื่องในอีก 1 ชม.ต่อไป  เราถึงสิงคโปรประมาณ 9.30 น.เวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวลาที่เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง  รถจากโรงแรมมารอรับพวกเรา  ซึ่งคิดว่าจะมีนักเดินทางหลายคนแต่ปรากฏว่ามีแค่เราสามคนเท่านั้นที่นั่งรถบัสคันโตเข้าโรงแรม grand mercue roxy

IMG_1941.JPG

ลูกหลับเร็วมากระหว่างเดินทางไปโรงแรม เราก็เลยรีบเช็คอินที่โรงแรมแล้วพาลูกนอนเตียงให้สบายๆ  กลางวันเดินออกมาฝั่งตรงข้ามโรงแรมเพื่อซื้ออาหารกิน  อาหารในตลาดที่หน้าตาคล้ายๆตลาดสามย่านในความทรงจำ  ราคาอาหารจานเดียวมีตั้งแต่ 2 เหรียญจนถึง 10 เหรียญสิงคโปร์  เทียบเป็นเงินไทยก็คูณ 26 เข้าไป  โดยมื้อแรกของผมในสิงคโปร์ก็คือข้าวมันไก่ราคา 4.8 เหรียญสิงคโปร์ รสชาดก็คล้ายๆของไทย ถือว่าอาหารไม่แพงเท่าไหร่ แต่ที่แพงบาดใจเลยก็คือน้ำดื่ม  น้ำเปล่าขวด 600ซีซี ที่บ้านเราขาย 10 บาท ที่สิงคโปร์ขาย 3 เหรียญ  กินแทบไม่ลงเลย

IMG_1952.JPG

IMG_1956.JPG

IMG_1959.JPG

บ่ายแก่ๆใกล้ๆเย็นเราสามคนเริ่มเที่ยวสวนดอกไม้ ชื่อ garden by the bay ซึ่งมีความอลังการและน่าตื่นตาตื่นใจมาก ต้นไม้หายาก ดอกไม้หายากดูได้จากที่นี่  อาคารกระจกทรงโค้งๆสวยงามติดแอร์ ปลูกต้นไม้แปลกๆไว้เต็มไปหมด  นอกจากความแปลกแล้วยังได้ดูการจัดสวนที่น่ามองยิ่งกว่าสวยใดๆที่เคยเห็นในประเทศไทย  การจัดสวนแนวตั้งที่เมืองไทยเริ่มฮิตอาจมีที่มาจากสวนของสิงคโปร์แห่งนี้

IMG_1971.JPG

ต้นไม้ยักษ์ที่สร้างขึ้นเป็นเสาสูงๆและมีส่วนบานอยู่ข้างบนเป็นสิ่งที่เรียกความสนใจให้ถ่ายรูป  สวนแห่งนี้เป็นจุดแวะอันดับต้นๆของสิงคโปร์  การถ่ายรูปดอกไม้ต้นไม้ในสวนแห่งนี้ถ่ายได้เรื่อยๆหลายร้อยรูป  ความสดชื่นของต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีและอยู่ในบรรยากาศที่ควบคุมไว้ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบอาคารกระจกรวมไปถึงระบบปรับอากาศที่เย็นแสนสบายมันช่างเป็นโชคดีของต้นไม้หายากเหล่านี้จริงๆ  ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวที่ต้องแวะสวนแห่งนี้  แต่นักเรียนนักศีกษาต่างก็ต้องแวะมาหาข้อมูลจากสวนแห่งนี้เช่นกัน  การลงทุนพัฒนาระบบการปลูกต้นไม้แบบไม่กลัวจนมันช่างให้ผลที่คุ้มค่าเหลือเกิน

IMG_1982.JPG

IMG_1999.JPG

IMG_2001.JPG

IMG_2006.JPG

ดอกไม้รูปทรงแปลกตา สีสันประหลาดแบบที่ไม่คิดว่าจะมีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นของที่ไม่เคยพบเจอในประเทศไทย ความหลากหลายของต้นไม้ดอกไม้ในโลกนี้มีมหาศาล สวนดอกไม้แห่งนี้อาจเป็นห้องสมุดดอกไม้ของโลก มนุษย์ที่สนใจดอกไม้มาเดินที่นี่ที่เดียวอาจจะได้เห็นของดอกไม้ใบไม้เกือบทั่วโลก นอกจากดอกไม้แล้ว ยังมีส่วนที่ทำเป็นน้ำตก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรูปทรงธรรมชาติแบบที่คนไทยอย่างเราๆเคยเห็น แต่มันก็เป็นน้ำตกที่กลมกลืนกับอาคารแก้ว และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์แห่งนี้มันเกิดขึ้นจริง มันสมจริงจนตะไคร่น้ำยังขึ้นมาเป็นพยาน

IMG_2043.JPG

IMG_2058.JPG

IMG_2066.JPG

IMG_2070.JPG

IMG_2123.JPG

IMG_2130.JPG

IMG_2159.JPG

IMG_2170.JPG

เราใช้เวลาในสวนดอกไม้แห่งนี้ประมาณสามชั่วโมงแบบเร่งเดิน เพราะหากเราปล่อยอารมณ์ไปตามความสวยงามของดอกไม้ต้นไม้เหล่านี้ เวลาทั้งวันก็อาจไม่พอ ความคิดสร้างสรรของสวนดอกไม้แบบนี้คงยากจะเกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะคนไทยไม่ได้มีนิสัยรักสิ่งแวดล้อมและต้นไม้อย่างแท้จริง สิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมากมาย เทียบกับเมืองไทยแล้ว ไทยมีธรรมชาติที่เพียบพร้อม แต่คนไทยกลับเลือกทำลายเบียดเบียนจนทุกวันนี้เราได้ยินแต่ข่าวน้ำแล้ง คนแย่งน้ำ เกษตรกรล่มจม เพาะปลูกไม่ได้ผล ขณะที่สิงคโปร์เล็กกระจิ๋วหลิว แต่มีต้นไม้ใหญ่ในทุกถนนปกคลุมทางเดินฟุตบาทให้เดินได้อย่างร่มรื่น มีสวนดอกไม้ที่เป็นงานทดลองชั้นยอด และอีกไม่นาน เราคงจะเห็นฟาร์มแนวตั้ง ที่ติดตามสวนแนวตั้งมาติดๆ ทรัพยากรจำกัดไม่ได้ทำให้ประเทศนี้ตกต่ำ แต่ทรัพยากรคนที่ดีเลิศต่างหากที่เสกทุกอย่างที่ต้องการได้ ถือเป็นโชคดีของสิงคโปร์อย่างมากที่ไม่มีคนหัวใจไทยในระบบราชการของเขา

IMG_2183.JPG

IMG_2175.JPG

ขณะที่เมืองไทยขอร้องกันทั้งประเทศว่าอย่าเล่นสงกรานต์แบบสิ้นเปลือง เพราะชาวนาชาวสวนกำลังจะขาดน้ำตายแล้ว แต่สิงคโปร์ที่ล้อมรอบด้วยทะเล ไม่มีแหล่งน้ำจืดใหญ่เท่าเมืองไทย ยังสามารถปล่อยน้ำให้เด็กเล่นอย่างสนุกสนาน ขอบฟ้าเป็นเด็กตลก อยากเล่นน้ำแต่ไม่อยากเปียก พ่อแม่เลยต้องใช้เสื้อกันฝนใส่ให้ ขอบฟ้าก็เลยได้เล่นน้ำแบบไม่เปียกในความคิดและความเชื่อแบบเด็กๆ แต่สภาพจริงเปียกถึงข้างในอยู่ดีแหละลูกเอ๋ย

IMG_2192.JPG

เราจบวันนี้ด้วยอาหารเย็นแบบร้านอาหารจานเดียว ผมสั่งของที่หน้าตาเหมือนต้มยำกุ้งที่ชื่อรักสะ laksa แต่พอกินแล้วก็อยากจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ขนมจีนน้ำยา รสชาดต้มยำเป็นสิ่งที่คนต่างชาติทำยังไงก็ไม่เหมือนคนไทยทำ เปรี้ยว เค็ม เผ็ดแบบไทยนี่เป็นสิ่งที่สิงคโปร์ยังทำไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้อยากทำก็ได้ แค่หน้าตามันเหมือนกันและคนไทยอย่างผมก็คิดว่ามันจะเป็นต้มยำกุ้งแน่ๆ

IMG_2195.JPG

จบวันที่หนึ่งแบบเหน็ดเหนื่อย วันที่สองจะเป็นวันสวนสัตว์ โปรดติดตาม

เที่ยวสิงคโปร์ ตอนที่ 2 ไปสวนสัตว์

 

ขอบฟ้า ภูผา มิลิน เป่าเค้ก

kobfa-home-IMG_0055

วันเกิดลุง ขอบฟ้า ภูผา มิลิน ร่วมกันเป่าเค้กแทนเจ้าของวันเกิด

การถ่ายภาพเด็กให้ดูดีจะต้องมีเรื่องต้องคิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบทที่จะต้องน่าสนใจ หรือเป็นจังหวะไฮไลท์ของเหตุการณ์ รวมถึงการเลือกใช้เลนส์และรูรับแสงให้เหมาะกับสถานที่ด้วย การที่เด็กเป่าเค้กวันเกิดเหตุการณ์ที่ควรจะจับภาพให้ได้ก็คือ ภาพเค้ก เด็ก รอยยิ้ม เทียน ปากกำลังเป่า สิ่งเหล่านี้ถ้ามีประกอบอยู่ในภาพให้มากที่สุดก็จะยิ่งทำให้ภาพมีความน่าสนใจ อย่างภาพตอนเป่าเทียนผมก็มีถ่ายเอาไว้ แต่จังหวะการเป่าและการยิ้มหรือสายตาของเด็กยังไม่ลงตัว องค์ประกอบของภาพหยิบผลไม้ขึ้นมาชูภาพนี้มีองค์ประกอบย่อยๆมากกว่าภาพอื่น คือมีรอยยิ้ม มีเค้ก มีสายตาที่มอง ทุกอย่างมาพร้อมกันในจังหวะพอดีจังหวะนี้ วินาทีนี้คือภาพที่สวยที่สุด

ส่วนเรื่องการเลือกใช้เลนส์ ผมเลือกใช้เลนส์ช่วง 85mm เพื่อให้ความเพี้ยนของภาพน้อยที่สุด เพราะช่วงเลนส์ 85มม. นี้ จะเป็นช่วงที่นิยมใช้ถ่ายภาพคน ส่วนรูรับแสงก็เลือกรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์นั่นคือ 1.8 เพื่อให้ฉากหลังเบลอ ทำให้กลุ่มเด็กมีความโดดเด่นกว่าฉากหลัง

การวัดแสง ผมเลือกการวัดแสงพอดีเป็นหลัก แต่เป็นการวัดแสงพอดีที่บริเวณโต๊ะหรือขาโต๊ะ ซึ่งเป็นส่วนที่โดนแสงน้อยกว่าด้านหลัง ฉากหลังที่เป็นกระจกหน้าต่างจะดูสว่างมาก แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับส่วนสำคัญในภาพ และเลือกที่จะถือกล้องให้เอียงด้วย เพื่อให้อารมณ์ของภาพดูมีการเคลื่อนไหว

จบภาพหลังกล้องเป็นไฟล์ jpg แล้วก็นำมาปรับแต่งด้วย app มือถืออีกเล็กน้อย ผมเปลี่ยนโทนสีของภาพให้เพี้ยนอมเขียวอมฟ้านิดๆ ปรับให้ส่วนมืดดูสว่างขึ้น เพื่อให้ดูเป็นลักษณะของฟิล์มที่ถ่ายมาแบบอันเดอร์นิดๆ การปรับแต่งภาพเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคนไม่มีผิดถูก ดังนั้น อยากปรับอะไรก็ปรับไปตามใจได้เลย

ตื่นสาย

วันนี้เป็นวันที่ขอบฟ้าตื่นสายครับ ปกติจะตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า หรือ ไวกว่านั้น แต่วันนี้ เจ็ดโมงแล้ว ยังไม่ตื่นเลย เลยแอบถ่ายรูปไว้หน่อย