การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกับการใช้แสงแฟลช

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มได้กลับมานิยมกันอีกครั้งในยุค พศ.2563 แต่การหวนกลับมาของฟิล์มครั้งนี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล แต่คนก็ยังเหนียวแน่นกับการถ่ายภาพแบบลองผิดลองถูก ถ่ายทุกม้วนลุ้นทุกเฟรม การใช้แฟลชกับกล้องฟิล์มก็ดูจะมีบางกลุ่มที่ชอบใช้ เพราะลักษณะภาพแตกต่างไปจากมือถือ แตกต่างไปจากภาพจากกล้องดิจิทัล บทความนี้จะแนะนำการใช้แฟลชในบางรูปแบบเปรียบเทียบให้ดูว่า ช่างภาพยุคโบราณใช้แฟลชด้วยแนวคิดอย่างไร และอาจจะไม่เหมือนยุคนี้ทั้งหมด แต่หลักการจะสามารถนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานภาพได้

000037

ภาพที่1 ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เปิดแฟลชด้วย โดยใช้โหมด P บนกล้อง SLR ของ canon ลักษณะภาพจะได้แสงแฟลชพอดีบนตัวแบบ และฉากหลังค่อนข้างดำมืด นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราเปิดโหมด P พร้อมด้วยเปิดใช้งานแสงแฟลช กล้องจะเลือกค่ารูรับแสง f4 และ ความไวชัตเตอร์เป็นค่าสูงๆประมาณ 1/60 วินาทีสำหรับที่แสงน้อย และอาจจะเลือกเป็น 1/125 วินาทีในที่แสงจัด กล้องจะคิดแทนเราว่าเราต้องการภาพไม่สั่น รูรับแสงน้อยเท่าที่เลนส์จะมีให้ได้ โดยฉากหลังจะมืดก็ไม่สนใจ เพราะตัวแบบจะได้รับแสงแฟลชที่เพียงพออยู่แล้ว ภาพจึงออกมาตามภาพคือตัวแบบได้แสงพอดี ส่วนฉากหลังจะดำเกือบมืดนั่นเอง

000038

ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ตั้งใจปรับกล้องอีกแบบหนึ่ง เลือกการตั้งค่าให้เป็นโหมด AV พร้อมเปิดแฟลช ในโหมด Av บนกล้อง canon เมื่อเลือกรูรับแสง f4 กล้องจะเลือกค่าสปีตชัตเตอร์ให้เป็นค่าที่วัดแสงฉากหลังได้พอดี ซึ่งสปีดอาจจะต่ำลง ภาพแนวนี้ถ้าเป็นในอาคารจะใช้ขาตั้งด้วยเพื่อป้องกันการสั่นไหว นั่นจึงทำให้ฉากหลังของภาพที่ 2 นี้ ดูสว่างขึ้นกว่าภาพที่ 1 ส่วนตัวแบบจะได้แสงสว่างจากแฟลชและแสงในอาคาร แต่แสงหลักๆที่ทำให้ตัวแบบสว่างก็คือแสงแฟลช โดยรวมก็คือ ภาพที่1และ2 ตัวแบบจะได้แสงจากแฟลชเป็นแสงหลักและเป็นค่าแสงแฟลชที่สว่างพอดีบนตัวแบบ แต่ฉากหลังจะต่างกันตามโหมด P และ Av ที่กล้องคิดไม่เหมือนกัน

000031

ภาพที่ 3 เป็นโหมด Av ที่ปิดแฟลช เป็นการวัดแสงพอดีทั้งภาพ ตัวแบบจะได้แสงพอดีจากการวัดแสงจริงๆในโหมดนี้ และฉากหลังหากโดนแสงภายนอกส่องเข้ามาพอๆกับแบบ เราก็จะได้ภาพแบบและฉากหลังที่สว่างเหมือนกัน นั่นคือแสงพอดีเหมือนกันตั้งแต่หน้าถึงหลัง สถานการณ์นี้ขาตั้งกล้องจำเป็นมาก เพราะการถ่ายภาพในอาคาร วัดแสงพอดี ด้วยฟิล์มความไวต่ำ ความไวชัตเตอร์จะต่ำมาก หากถือด้วยมือเปล่าภาพจะสั่นแน่นอน

การใช้แฟลชถ่ายภาพมีเทคนิคการคิดหลายชั้น ค่อยๆฝึกถ่ายไปทีละบทเรียนก็จะมีความเข้าใจทีละน้อย สะสมความรู้ไปเรื่อยๆเราก็จะมีเทคนิคที่หลากหลายไปใช้ออกแบบรูปถ่ายของเรา ช่างภาพที่ดีก็คือช่างภาพที่เข้าใจแสงและอุปกรณ์ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด ต้องค่อยๆเรียนกันไป

รีวิวรวมกล้อง Toy Camera

กล้อง Toy Camera เป็นกล้องของเล่นชนิดหนึ่ง ส่วนมากทำจากพลาสติก เลนส์พลาสติก กลไกเรียบง่าย ไม่มีระบบวัดแสง ไม่มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ มักจะถูกใช้เป็นของแถมไปกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ บางตัวแถมมากับแชมพูหรือสบู่ อย่างเช่นกล้องโดฟ บางตัวเป็นกล้องใช้แล้วทิ้ง ทุกตัวจะมีลักษณะเฉพาะตัวบางอย่างทำให้มันมีความน่าใช้งานในแต่ละสถานการณ์ต่างกัน รีวิวแบบรวมกลุ่มครั้งนี้ก็จะพูดถึงแต่ละตัวอย่างคร่าวๆ ฟังแล้วก็พอจะได้ไอเดียว่าถ้าเราจะลองเล่นกล้องฟิล์ม เราจะเลือกซื้อตัวไหนมาใช้ดี เชิญคลิกชมวิดีโอด้านล่างสุดได้เลยครับ

_MG_2878
IMG_1543
IMG_20200228_180152_1
IMG_20200228_180430
IMG_1529

ภาพจากกล้อง Harman Reusable Camera

IMG_20200228_180152_1
2020-03-07_12-55-29-01

ภาพจากการใช้กล้อง Harman Reusable Camera ใส่ฟิล์ม fuji c200 ซึ่งเป็นฟิล์มเน็กกาทีฟสี และทำการล้างอัดพร้อมสแกนภาพเสร็จสรรพ ได้เป็นภาพสีดูได้ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ภาพสีที่ได้ก็ไม่ค่อยสวยนัก เพราะกล้องที่ใช้เป็นกล้องคุณภาพต่ำ จุดประสงค์ของกล้องเป็นกล้องที่ใช้เพื่อทดแทนกล้องใช้แล้วทิ้ง เป็นกล้องพลาสติก เลนส์พลาสติก ผลิตขึ้นมาเพื่อการบันทึกภาพเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือเหตุการณ์เร่งด่วน

2020-03-07_12-55-42-01

แม้ว่าสีสันจะไม่ดี ความคมชัดก็แค่ระดับพอใช้ได้ แต่หากเรานำภาพมาปรับแต่งเป็นโทนขาวดำ แล้วเราปรับภาพอย่างเข้าใจ คือปรับด้วยประสบการณ์ว่า ภาพขาวดำที่ดีควรจะเป็นอย่างไร เราก็จะได้ภาพขาวดำดีๆออกมาได้เช่นกัน

การทำภาพเป็นขาวดำด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะมีวิธีการปรับที่ยืดหยุ่น เราสามารถได้ภาพแทบจะดังใจนึก โทนสีขาวสุด ดำสุด เราสามารถกำหนดได้ตามใจเรา ซึ่งการปรับเพื่อดูในหน้าจอคอมพิวเตอร์นี้บางทีผมว่า มันให้ภาพที่ดีกว่าการอัดขยายบนกระดาษขาวดำแล้วค่อยมาสแกนกระดาษเสียอีก เพราะแม้แต่การสแกนจากกระดาษขาวดำ เราก็ยังต้องปรับภาพอยู่ดี อย่างน้อยก็ปรับเรื่องความสว่างและคอนทราสต์ของภาพ

2020-03-07_12-55-02-01

ผมชอบภาพสีขาวดำที่ปรับจากภาพสี เพราะว่าข้อมูลสีที่เป็นสีธรรมชาติมันประกอบไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก มากกว่าภาพโทนขาวดำจากฟิล์มขาวดำแท้ๆด้วยซ้ำ นั่นทำให้เราได้การไล่ระดับสีเข้มอ่อนได้ละเอียดกว่าการสแกนฟิล์มขาวดำเป็น grayscale โดยตรง เพราะข้อมูล Grayscale จะมีความละเอียดเพียง 8bit เทียบเป็นระดับความเข้มสุดไปอ่อนสุดเท่ากับ 256 ระดับ เท่านั้น

2020-03-07_12-55-21-01

แต่ถ้าเราใช้ภาพสี jpg หรือ tif ที่เป็นสี RGB หรือภาพสแกนจากฟิล์มเน็กกาทีฟสี เราจะมีข้อมูลตั้งต้นเป็น RGB อย่างละ 8bit x 3 = 24bit คิดเป็นระดับความเข้มไล่ไปอ่อนได้ 16.7 ล้านระดับ เห็นไหมว่าแตกต่างกันมาก

2020-03-07_12-54-52-01

ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิกใช้ฟิล์มขาวดำ แต่แนะนำว่า การเล่นขาวดำจากฟิล์มเน็กกาทีฟสีแล้วดูแค่บนจอภาพไม่อัดลงกระดาษ เราสามารถได้คุณภาพงานขาวดำที่ดีได้เช่นกันจากหลักการที่อธิบายไป เรื่องศิลปะไม่มีผิดถูก ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น และอยากเสริมอีกนิดว่า ศิลปะ สะดวกแบบไหนก็ทำตามสะดวก เราก็จะได้งานเช่นกัน

2020-03-07_12-56-00-01

2020-02-19_04-23-13-02
2020-02-19_04-23-02-02
2020-02-19_04-22-53-01
2020-02-19_04-23-50-01

รีวิว กล้องคอมแพ็คฟิล์ม nikon L35AF

20200131162450_IMG_0410-01

ใครอยากฟังเป็นเสียง ผมทำเป็นคลิปไว้ใน youtube เลื่อนลงด้านล่างแล้วกดฟังได้เลยครับ

กล้องฟิล์มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงสามปีมานี้ ในงานโฟโต้แฟร์ของปลายปี คศ 2019 ที่เพิ่งผ่านไป ในงานมีมุมของกล้องฟิล์มมือสองที่มีผู้ขายมาออกร้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ต้องบันทึกไว้ก็คือ คนที่มาดูกล้องฟิล์มมือสองมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติงานโฟโต้แฟร์ในช่วงหลังที่มีแต่กล้องดิจิทัลจะมีคนเดินหลวมๆ ดูของสบาย จะมีบางบู๊ทเท่านั้นที่มีคนมุง 2-3 คนเพื่อดูสินค้า แต่กับมุมกล้องฟิล์มกลับมีผู้คนล้นหลาม ถึงขนาดที่คนดูมุงซ้อนกัน จะดูกล้องสักตัวต้องมุดต้องเอื้อมมือแทรกเข้าไปเพื่อขอกล้องตัวที่สนใจมาถือดู ความคึกคักระดับที่ไม่เคยเห็นเลยในงานโฟโต้แฟร์ การรุมดูอย่างบ้าคลั่งราวกับตลาดนัดยี่สิบบาทเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และที่น่าตกใจก็คือ ราคากล้องฟิล์มขึ้น…. มันเป็นไปได้จริงๆ

กล้องฟิล์มยอดฮิตในช่วงปีนี้จะเป็นกล้องคอมแพ็คเลนส์ฟิกซ์ทั้งสิ้น กล้องที่ได้รับความนิยมจากที่ตามอ่านตามเว็บและกลุ่มเฟสบุ๊คก็จะไม่พ้นกล้องฟิล์มไฮโซหรือกล้องคอมแพ็คเทพทั้งหลาย ที่ติดเป็นดาวค้างฟ้าก็เช่น contax t2, contax t3, leica minilux, nikon 35ti, olympus mju II, canon afm, yashica electro35, canon ql17, และ nikon L35AF ซึ่งตัวหลังนี้จะราคาค่อยข้างถูกกว่าทุกตัว และเป็นที่มาของรีวิวชิ้นนี้

กล้อง Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คฟิล์มระบบออโต้โฟกัสตัวแรกของค่าย nikon ออกวางขายในปี คศ 1983 ติดเลนส์ 35มม. รูรับแสง 2.8 มาให้เลย นับว่าเป็นเลนส์ไวแสงตัวหนึ่งของการถ่ายภาพ รูปร่างเหลี่ยมตามยุคสมัยของทศวรรษที่80 ดูบึกบึนแข็งแรงดี สเป็คเลนส์ที่ดีทำให้มันน่าสนใจมากเมื่อเราเจอกล้องที่สภาพดีและยังคงทำงานได้สมบูรณ์

สเป็คกล้องจากเว็บฝรั่งว่าไว้ตามนี้

  • Produced 1983 – ? Nippon Kogaku K. K., Japan
  • Film type 135 (35mm)
  • Picture size 24mm x 36mm
  • Weight 13.9oz with batteries (394g)
  • Lens Nikon Lens 35mm 1:2.8-? (5 element 4 group?)
  • Filter size 46mm
  • Focal range .8m-infinity (?)
  • Shutter Nikon
  • Shutter speeds ??
  • ASA 100-400*
  • Viewfinder bright frame finder with symbol distance scale
  • Exposure meter lens mounted CdS, +2 backlight compensation lever
  • Battery 2 x AA 1.5v
  • Pop-up flash (automatic when light levels drop out of range)
  • Self-timer
  • Autofocus
  • Auto film advance

จุดเด่นที่พบหลังจากได้ลองใช้ก็จะมีดังนี้

L35AF เป็นกล้องที่ใช้ถ่าน AA 2 ก้อน ซึ่งถือว่าเป็นถ่านราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายมาก เพราะกล้องตัวอื่นมักจะใช้ถ่านหายากบ้าง ราคาแพงบ้าง เช่น CR2 หรือ CR123 หรือ 2CR5 บางคนได้กล้องมาราคาสามร้อยบาท แต่ต้องซื้อถ่านเพื่อทดสอบราคาสามร้อยบาท ยังมีค่าฟิล์มค่าล้างอีกสำหรับทดสอบความสมบูรณ์ของกล้อง มันเป็นเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อยสำหรับกล้องที่ใช้ถ่านราคาแพง

000004

L35AF เป็นกล้องที่ใส่ฟิลเตอร์ได้ ขนาดฟิลเตอร์ 46 มม. ตรงนี้เจ๋งมาก เพราะว่ากล้องคอมแพ็คเทพทั้งหลายใส่ฟิลเตอร์ไม่ได้เลย การถ่ายภาพด้วยฟิล์มหากจะหวังผลปราณีตมากๆ ก็ควรจะมีฟิลเตอร์ที่ตอบสนองความต้องการของช่างภาพ เช่นจะถ่ายขาวดำก็อาจจะต้องใช้ฟิลเตอร์สีเหลือง จะถ่ายฟิล์มสไลด์หรือเน็กกาทีฟที่สีเที่ยงตรงก็ต้องมีการใส่ฟิลเตอร์แก้สี เนื่องจากฟิล์มไม่สามารถเปลี่ยนค่าไวท์บาลานซ์ได้แบบกล้องดิจิทัล เราจึงต้องใส่ฟิลเตอร์เพื่อเปลี่ยนสีของแสงที่วิ่งเข้าสู่ฟิล์มนั่นเอง

Screenshot 2020-02-20 23.17.15

L35AF ออกแบบช่องมองภาพมีสเกลโฟกัส มีเข็มชี้ว่าตอนนี้กำลังโฟกัสไปที่ระยะใด มีระยะ4 ตำแหน่งบอกเรา คือ โฟกัสใกล้ๆเข็มจะชี้ที่ภาพคน1คน ถ้าโฟกัสระยะห่างออกมาประมาณ 2-3 เมตรเข็มก็จะชี้ที่ภาพคน2คน ถ้าโฟกัสไกลอีกหน่อยเข็มก็จะชีที่ภาพสามคน และถ้าโฟกัสไกลมากเข็มจะชี้ที่ภาพภูเขา ระบบออโต้โฟกัสที่แสดงผลเป็นเข็มชี้แบบนี้ช่วยให้เรามั่นใจมากยิ่งขึ้นว่ากล้องทำงานไม่ผิดพลาด และคนใช้งานก็จะโฟกัสไม่พลาด เช่นถ้าเรากำลังถ่ายคนครึ่งตัว เมื่อกดปุ่มถ่ายลงไปครึ่งหนึ่งกล้องจะทำการโฟกัส และเข็มชี้โฟกัสจะชี้ไปตามระยะที่มันทำงานคือชี้ภาพ1คน แต่ถ้ามันบังเอิญไปชี้ที่รูปภูเขา แสดงว่าเราโฟกัสพลาดไม่โดนคน ไปโฟกัสฉากหลัง ภาพก็จะออกมาเป็นคนเบลอ ภูเขาหรือวิวด้านหลังชัด

000010

L35AF เป็น เป็นกล้องที่ตั้งค่า iso ได้เอง กล้องตัวนี้ไม่มีระบบอ่าน DX code เราจะต้องตั้งค่า iso ที่ด้านบนของเลนส์ให้ตรงกับฟิล์มที่เราใช้ แม้จะดูไม่สะดวก แต่มันเจ๋งมากหากเราใช้ฟิล์มประหลาดที่ไม่ได้มาพร้อม DX code ที่ถูกต้อง อย่างเช่น ฟิล์มโหลดชนิดต่างๆ ยุคนี้เรามีฟิล์มประหลาดที่มาแบ่งขายใส่กลักเก่า กลักเก่าจะมี DX code ที่ไม่ตรงกับฟิล์มประหลาดเหล่านี้ หากเราใช้ฟิล์มประหลาด เราต้องใช้กล้องที่ตั้งความไวแสงได้เอง

000009

L35AF มีปุ่มชดเชยแสง +2EV ปุ่มนี้เป็นปุ่มที่ช่วยให้เรื่องวัดแสงเป็นเรื่องง่ายขึ้น ปกติหากเราจะถ่ายภาพแบบปราณีต เวลาถ่ายภาพย้อนแสง กล้องจะวัดแสงผิด หากเราถือกล้องโปร เราก็ควรจะไปตั้งค่าการชดเชยแสงให้กับกล้องก่อนถ่ายภาพจริง ถ้าย้อนแสงเราจำเป็นต้องชดเชยไปทาง + 1 หรือ +2 แล้วแต่ความสว่างของด้านหลัง แต่ในกล้องคอมแพ็คตัวนี้ไม่ต้องคิดเยอะ เขาระบุมาเลยว่า ถ้าถ่ายย้อนแสงให้กดปุ่มพิเศษปุ่มนี้ด้วย มันคือปุ่มชดเชยแสงนั่นเอง

Nikon L35AF +2ev

นักถ่ายภาพมือใหม่บางคนไม่รู้ว่าปุ่มนี้ใช้ทำอะไร แต่ถ้าเคยฝึกฝนการถ่ายภาพอย่างจริงจังจะเข้าใจว่า การมีปุ่มชดเชยแบบสำเร็จรูแบบนี้เป็นสิ่งที่เจ๋งมาก ภาพตัวอย่างดูจากภาพลูกผมนั่งอยู่ในเบาะรถยนต์ แสงสว่างด้านนอกรถยนต์รวมถึงด้านหลังรถเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพย้อนแสง หากเราถ่ายไปตรงๆ ภาพจะมีความมืดที่ตัวนายแบบ แต่หากเรารู้ว่าย้อนแสงและต้องการชดเชยแสงให้มีแสงมากขึ้น เรากดปุ่มชดเชยแสงค้างไว้แล้วโฟกัสภาพถ่ายใหม่เลย กล้องจะรับแสงนานขึ้น ความสว่างจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 สต๊อป นั่นเพียงพอที่จะทำให้เด็กในภาพมีหน้าขาวดขึ้น ภาพดูสว่างขึ้น และรวมถึงฉากหลังก็จะสว่างขึ้นด้วย

2020-02-19_07-55-32

ภาพสะพายกระติกน้ำผมถ่ายที่บริเวณจุดจอดรถรับส่งนักเรียน ผมให้ลูกไปยืนห่างออกไปประมาณสองเมตรแล้วถ่ายภาพแรก แล้วจากนั้นก็กดปุ่มชดเชยแสงค้างไว้แล้วถ่ายภาพซ้ำอีกครั้ง ภาพที่สองจะมีความสว่างบนตัวแบบมากขึ้นทันที จุดนี้เป็นจุดเด่นที่เจ๋งมากๆและหาไม่ได้จากกล้องในปัจจุบัน

IMG_0408

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มในยุคปัจจุบัน จะมีความนิยมใช้ฟิล์มสีหรือเน็กกาทีฟ โดยเมื่อถ่ายเสร็จแล้วจะส่งไปล้างและทำการสแกนภาพด้วย มีผู้ให้บริการล้างฟิล์มพร้อมสแกนจำนวนมาก มีทั้งร้านเก่าแก่ที่ยังคงดำเนินงานอยู่ และอีกเกินครึ่งเป็นร้านใหม่ เมื่อได้ภาพสแกนมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเอาไปโพสท์โชว์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ภาพสแกนจาก nikon L35AF ชุดนี้ได้ภาพมา 37 ภาพ มี 36 ภาพที่โฟกัสเข้าตามที่ตั้งใจไว้หมดเลย ส่วน 1 ภาพที่ไม่ชัดก็เป็นภาพที่หันกล้องมาถ่ายเซลฟี่ตัวผมเอง ซึ่งคาดว่าโฟกัสพลาดเพราะระยะใกล้เกินไป กล้องยุคเก่ามักจะมีระยะโฟกัสใกล้สุดที่มากกว่ากล้องสมัยใหม่ ระยะแขนที่เซลฟี่ตัวเองก็เลยอยู่ในระยะที่กล้องโฟกัสไม่ได้

ข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากถ่ายภาพให้ดูดี เราควรจะยืนใกล้เหตุการณ์ทีจะถ่ายเพื่อให้วัตถุหรือคนเป็นจุดเด่นที่สุดในภาพ การใช้กล้องคอมแพ็คมักจะให้ภาพไม่แม่นยำเท่ากล้อง SLR การจัดองค์ประกอบที่ซับซ้อน การเล่นเส้นนำสายตา การจัดภาพที่จุดตัดเก้าช่อง ทฤษฎีองค์ประกอบภาพต่างๆอาจทำได้ไม่ชัดนัก สิ่งที่ทำได้คือเน้นให้จุดเด่นเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในภาพ ภาพลักษณะนี้มักจะดูดี

สรุป

Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คฟิล์มคุณภาพดี ให้ภาพที่คมชัด วัดแสงแม่นมาก สามารถโฟกัสวัตถุได้แม่นยำ คุณภาพของภาพที่ล้างแล้วสแกนขึ้นมาดูสูสีกับกล้องเทพอย่าง contax t3 ถ้าไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพด้วยตัวเองก็อาจแยกไม่ออกว่าภาพไหนจาก nikon ภาพไหนมาจาก contax ถือว่าเป็นกล้องราคาย่อมเยาที่ให้คุณภาพทัดเทียบกับกล้องแพง ข้อเสียอย่างเดียวของกล้องตัวนี้คือ แฟลชจะเด้งอัตโนมัติเมื่อมีแสงน้อย ทำให้เราไม่สามารถสั่งปิดแฟลชได้ด้วยตัวเอง ทำให้การถ่ายภาพบางสถานการณ์อาจจะไม่เป็นไปดังที่ใจคิด และการไม่มีลูกเล่นระดับ advance อย่างโหมด Av Tv หรือการโฟกัสแบบโซนรวมถึงปรับเป็นแมน่วลโฟกัสไม่ได้ก็อาจจะทำให้ใช้งานไม่ตอบสนองต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เรามี แต่มันก็เป็นกล้องที่ออกแบบมาให้พกง่ายถ่ายง่าย ไม่ได้ออกแบบมาให้มือโปรใช้ ดังนั้นข้อจำกัดต่างๆก็ไม่อาจบอกว่าเป็นข้อเสียได้

Nikon L35AF Contax T3 Leica minilux
แถมภาพเปรียบเทียบให้ สามภาพนี้ มาจากกล้อง nikon L35AF Contax T3 และ Leica minilux ใช้ฟิล์ม Fuji c200 เหมือนกัน และล้างอัดพร้อมสแกนฟิล์มร้านเดิมตลอด ทุกภาพต่างกันที่ช่วงเวลาที่ถ่ายเท่านั้น
2020-02-20_11-01-59
แถมภาพเปรียบเทียบกับกล้องดิจิทัล ภาพบนถ่ายด้วย eos m + เลนส์ 22f2 ส่วนภาพล่างเป็นภาพจาก nikon L35AF เอาภาพมาต่อกัน พยายามปรับขนาดให้ตัวเด็กดูใหญ่เท่ากัน

แถมให้อีกนิด L35AF ตอนสั่งกรอฟิล์มกลับเมื่อถ่ายหมดม้วน กล้องจะหมุนฟิล์มย้อนกลับแบบเหลือหางให้ มันดีสำหรับคนที่จะล้างฟิล์มด้วยตัวเอง เพราะจะได้ไม่เสียเวลาดึงหางฟิล์มเอง แต่มันเป็นข้อเสียเมื่อจะต้องส่งฟิล์มไปให้ร้านทำการล้างให้ เพราะฟิล์มที่เหลือหางจะดูเหมือนฟิล์มใหม่ยังไม่ได้ถ่าย หากเราเผลอวางไว้ใกล้กับฟิล์มใหม่ หรือเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วลืมว่าถ่ายไปแล้วหรือยัง เราจะแยกไม่ออกเลยว่าฟิล์มม้วนนี้ใช้ถ่ายไปแล้วหรือยัง

IMG_20210308_194010
IMG_4855

รีวิว Harman Reusable Camera กล้องฟิล์มจาก ilford

กล้อง Harman Reusable Camera เป็นกล้องคอมแพ็คที่ทำมาจากพลาสติกทั้งตัว ลักษณะทั่วไปเหมือนกล้อง Toy camera หรือจะเรียกว่าเป็นกล้องแนวโลโม่ก็ไม่ผิดนัก แม้ว่าปัจจุบันคำว่า โลโม่จะไม่ค่อยฮิตแล้วก็ตาม

IMG_0525
Harman in the box

บริษัท ilford เป็นบริษัทที่ผลิตฟิล์มขาวดำที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังคงดำเนินการผลิตฟิล์มและกระดาษอัดภาพขาวดำออกมาขายอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความนิยมในการใช้ฟิล์มถ่ายภาพจะลดน้อยลงแต่ฟิล์มขาวดำและน้ำยาล้างฟิล์มขาวดำยังมีให้นักถ่ายภาพผู้หลงใหลในเสน่ห์ของอนาลอกได้ใช้งานอยู่ และด้วยความที่เป็นเจ้าตลาดในด้านของฟิล์ม บริษัทก็เกิดอยากผลิตกล้องถ่ายภาพออกมาด้วย เพราะนักถ่ายภาพรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นสนใจฟิล์มอาจจะไม่พร้อมซื้อกล้องฟิล์มระดับโปรหรือระดับคุณภาพสูงมาลอง การมีกล้อง Toy ราคาประหยัดสักตัวให้ลองถ่ายเล่นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

IMG_1540
Harman Single use real black&white film

บริษัท Harman เป็นใครมาจากไหนเคยทำอะไรมาผมไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นผู้ผลิตกล้องToyให้กับ ilford โดยกล้อง Toy รุ่นแรกที่ผมรู้จักก็คือกล้องใช้แล้วทิ้งที่ใส่ฟิล์มขาวดำมาในกล้องเลย มาแนวเดียวกับกล้องใช้แล้วทิ้งของ kodak และ fuji ที่มีขายทั่วไป แต่ Harman ทำกล้องใช้แล้วทิ้งที่บรรจุฟิล์มขาวดำมาแทน คนที่จะใช้กล้อง Single use แล้วทิ้งมักจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่สนใจเรื่องถ่ายภาพคนกลุ่มนี้จะไปซื้อ kodak หรือ fuji แต่คนที่ชอบงานขาวดำ ใช้กล้องถ่ายแล้วต้องล้างด้วยขบวนการขาวดำแท้ๆจะเป็นกลุ่มช่างภาพที่มีทักษะ่ระดับหนึ่ง กลุ่มนี้จะเรียกว่ารักการถ่ายภาพก็ได้ และนอกจากรักการถ่ายภาพแล้วยังรักกล้องด้วย ซึ่งความรู้สึกนี้ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ตัวใหม่

IMG_0529
one camera two films

จากกล้องใช้แล้วทิ้งก็พัฒนามาเป็นกล้องใช้แล้วไม่ต้องทิ้ง คือ เปลี่ยนฟิล์มได้ นั่นทำให้กล้อง Toy รุ่นนี้น่าสนใจขึ้นทันที เพราะการใช้แล้วทิ้งเป็นเรื่องที่ตะขิดตะขวงใจสำหรับนักถ่ายภาพที่รักกล้อง Harman Reusable Camera ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับแถมฟิล์มขาวดำ Kentmere Pan400 จำนวน 2 ม้วน เป็นฟิล์มที่ต้องล้างด้วยน้ำยาขาวดำแท้ๆ จะล้างด้วยน้ำยาของ ilford เอง หรือจะล้างด้วยน้ำยา kodak d76 ที่เป็นมาตรฐานของวงการขาวดำก็ได้ และเราก็จะได้มาลองถ่ายภาพด้วยกล้องตัวนี้กัน โดยการทดสอบจะเป็นการใช้ฟิล์มสี fuji c200 แทนฟิล์มขาวดำ เพราะต้องการทดสอบในแบบนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นิยมถ่ายภาพสีเป็นส่วนใหญ่ เราจะได้รู้ว่าเราควรใช้กล้องตัวนี้แทนกล้องใช้แล้วทิ้งหรือไม่

IMG_0479
Harman reusable camera

กล้องตัวนี้มีแฟลชในตัว และตัวกล้องก็มีช่องใส่ถ่านชนิด AAA 1 ก้อน การสั่งการให้กล้องยิงแสงแฟลชจะต้องมีการเลื่อนสวิตซ์ใช้งานแฟลช และหากใช้แล้ว ไม่เลื่อนกลับ กล้องก็จะชาร์จไฟเต็มที่ไว้เพื่อพร้อมยิงแฟลชตลอดเวลา มันไม่อันตรายหรอก แต่มันเปลืองแบตเตอรี่ ถ้าเราเผลอเปิดแฟลชทิ้งไว้ ภายใน 24-48 ชั่วโมง แบตจะหมด ส่วนความแรงของแสงแฟลช ถ้าให้เดาจากที่เคยใช้แฟลชแมน่วลมาในอดีต ผมเดาว่าแฟลชในกล้องตัวนี้มีค่า guide number ประมาณ 5.6 เท่านั้น หมายความว่า ถ้าเราถ่ายภาพด้วย f5.6 วัตถุห่าง 1 เมตร วัตถุจะได้รับแสงแฟลชที่พอดี หากเราใช้ฟิล์ม is100 แต่ถ้าเราใช้ฟิล์มความไว 200 เราสามารถยืนห่างวัตถุได้ไกลถึง 1.4 เมตร ซึ่งก็พอดีกับระยะทางที่กล้องแนะนำให้

IMG_0484
top of camera

ด้านบนของตัวกล้องจะมีปุ่มกดชัตเตอร์ มีตัวเลขแสดงจำนวนภาพที่ถ่ายไป และ มีแป้นหมุนฟิล์มย้อนกลับที่จะใช้ตอนที่เราถ่ายภาพครบทั้งม้วนแล้ว ส่วนด้านล่างของกล้องจะเป็นช่องใส่ถ่าน และมีปุ่มเล็กๆเอาไว้กดเพื่อทำการหมุนฟิล์มย้อนเข้ากลักเพื่อเตรียมไปส่งล้างฟิล์ม และกล้องตัวนี้ไม่มีปุ่มตั้งเวลาถ่ายภาพ และมันไม่มีรูสำหรับติดขาตั้งกล้องด้วย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะกล้องแนวนี้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้มือถือกล้องอยู่แล้ว

IMG_0488
Under camera

กล้องแนวนี้จะมีสปีดชัตเตอร์ค่าเดียว คาดว่าจะมีความเร็วประมาณ 1/125 วินาที รูรับแสง f10 ดังนั้นค่าแสงที่เหมาะกับรูรับแสงและสปีดนี้คือค่าแสงตอนกลางวัน แดดจัดนั่นเอง หากเราใช้ถ่ายในที่กลางแจ้งมีแสงแดด เราจะได้ค่าแสงพอดีในฟิล์ม ภาพจะมีสีสันสมบูรณ์ หากถ่ายในที่แสงน้อย ภาพจะมืด การเปิดแฟลชกรณีที่เราถ่ายในที่แสงน้อย พอช่วยให้เห็นภาพ แต่ปริมาณแสงก็ไม่เพียงพอกับฟิล์มความไว iso200 คาดว่ากล้องตัวนี้อยากให้เราใช้ฟิล์มความไว 400 มากกว่า และมีจุดที่ควรทำความเข้าใจเล็กน้อยคือ หากเราปิดแฟลช รูรับแสงของเลนส์จะเป็นรูที่แคบ และเมื่อเราเลื่อนสวิตซ์เปิดแฟลช ตัวเลื่อนจะไปขยับรูรับแสงให้เปลี่ยนเป็นรูรับแสงที่กว้างขึ้นเล็กน้อย ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นการลดรูรับแสงให้ตัวเลขลดน้อยลง หรือ รูรับแสงกว้างขึ้นนั่นเอง ปริมาณแสงที่รับเข้าสู่ฟิล์มจะมากขึ้น 1 สต๊อป ตัวเลขนี้เดาจากการประมาณ ไม่ใช่ค่ารูรับแสงที่ผู้ผลิตกล้องแจ้งไว้

มาดูภาพกันดีกว่า

000010
ภาพปืนใหญ่ ถ่ายที่ชุมพร สภาพแสงแดดออกแต่ไม่จัดมาก คุณภาพของภาพให้สีสันเที่ยงตรง ดูรับแสงพอดี
000030
ภาพข้างรถยนต์ ถ่ายตอนเช้า สภาพแสงแดดยังไม่ส่องถึงพื้น ก็คือเช้ามากแดดยังไม่แรง แต่อาศัยให้ด้านหลังเป็นแสงอาทิตย์โดยตรงเลย แนวต้นไม้ด้านหลังก็จะรับแสงแดดแล้ว ภาพนี้เปิดแฟลชถ่ายด้วย ระยะยืนของเด็กห่างแฟลชไปไกลเกินระยะทำการ ทำให้ไม่เห็นความสว่างของแฟลชเท่าที่ควร
000020
กล้องที่มีสปีดชัตเตอร์ค่าเดียวมักจะออกแบบให้ถ่ายในสภาพแสงที่แดดออกดีๆสวยๆ หากเรายืนอยู่ใต้ต้นไม้หรือในร่ม แสงจะน้อยเกินไป ถ้าเปิดแฟลชช่วยก็พอจะช่วยเพิ่มแสงให้ได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่พอ เพราะกล้องตัวนี้ออกแบบมาให้ใช้ฟิล์มความไว้สูงประมาณ 400 ดังนั้นการใช้ฟิล์ม 200 มาถ่ายในร่มก็จะมีอาการแสงไม่พอเกิดขึ้นได้
000036
การถ่ายภาพในที่มืด กล้องฟิกซ์โฟกัสแบบนี้เหมาะกับการจับภาพแบบรวดเร็ว แต่กำลังของแสงแฟลชไม่เพียงพอที่จะใช้งานกับฟิล์มความไว 200 รูปนี้ถ้าใช้ฟิล์มความไว 400 ภาพจะสมบูรณ์กว่านี้
000041
การถ่ายภาพในบ้านที่แสงสลัวๆหรือแสงน้อย หากเราเปิดแฟลชช่วยเราก็ควรถ่ายภาพในระยะใกล้ การยืนห่างจากแบบไกลระดับถ่ายภาพเด็กๆหัวจรดเท้าได้แสดงว่าเรายืนไกลมาก แสงแฟลชจะไปน้อยเกินไป ภาพจะดูไม่สวยเลย
000012
ยืนใกล้ตัวแบบ ถ่ายภาพครึ่งตัวเด็ก เป็นระยะที่เกือบจะแสงไม่พอแล้ว จริงๆก็รู้สึกแสงแฟลชน้อยไป แต่ก็ยังไม่ไกลมาก ยังได้ภาพที่พอดูได้
000015
ในสภาพแสงแดดแรง แล้วตัวแบบได้ยืนในที่แสงส่องถึง ความสว่างของภาพจะเพียงพอ เราสามารถถ่ายภาพแบบคาดหวังกับคุณภาพสีสันได้
000023
การเล่นกลางแจ้ง ถ้าโดนแสงแดดส่องก็จะมีความสว่างเพียงพอที่จะใช้กล้องตัวนี้บันทึกภาพ ถ่ายสิ่งของต่างๆด้วยกล้องตัวนี้ก็ควรให้สิ่งของโดนแดด ถ้าเป็นคนก็ต้องบอกให้ไปเล่นจุดที่โดนแดดถึงจะได้ภาพที่ดี
000038
สีสันที่ดูพอใช้ได้เกิดจากสภาพแสงที่เพียงพอ สภาพแสงที่แดดส่องเห็นเงาลางๆ ถ้าให้ประมาณค่ารูรับแสงตามกฏ sunny16 ผมก็คงเดาว่าเป็นค่า f8
000009
การถ่ายภาพในมุมย้อนแสงเรามีโอกาสจะได้ภาพมุมสวยๆ แต่ต้องระวังตอนใช้งานอย่าให้แสงแดดส่องเข้าหน้ากล้องไปโดนเลนส์โดยตรง เพราะภาพจะเกิดอาการฟุ้งๆหลอนๆ และเมื่อส่งฟิล์มไปล้าง อาจคิดว่าการล้างฟิล์มไม่สมบูรณืหรือกล้องมีแสงรั่ว เข้าใจว่าเลนส์พลาสติกจะไม่ชอบแสงแดดที่ส่องโดนเลนส์
IMG_20200228_180140
IMG_0379

สรุป

กล้อง Harman Reusable Camera เป็นกล้องพลาสติกที่คุณภาพพอใช้ แต่ก็ใช้งานเพื่อความสนุกได้ สามารถถ่ายภาพในสถานการณ์ที่ต้องการได้โดยไม่ได้คาดหวังกับคุณภาพ แต่เราจะได้ความทรงจำที่ต้องการ ณ วินาทีนั้นทันที การถ่ายภาพแบบไม่ต้องโฟกัส ไม่ต้องวัดแสงเป็นความสนุกของการเดินทางท่องเที่ยว การรอภาพที่ส่งล้างและสแกนให้ความรู้สึกสนุก เป็นเสน่ห์ที่ไม่มีอยู่ในกล้องดิจิทัล บางครั้้งความสนุกคือสิ่งที่เราต้องการมากกว่าคุณภาพ เพราะเราไม่ได้อยากซีเรียสจริงจังไปซะทุกเรื่อง

ผมได้ทำรีวิวกล้องพร้อมฟิล์มขาวดำของกล้องตัวนี้แล้วครับ ตามไปอ่านได้ที่นี่

สั่งซื้อ Harman Reusable Camera

รีวิว nikon fm2n

nikon fm2n เป็นกล้องถ่ายภาพฟิล์มที่มีความทนทานเหลือเชื่อ และเหมาะกับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาฝีมือในหลายๆด้าน แม้ว่าระบบดิจิทัลจะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าฟิล์ม แต่หากเราอยากกลับไปถ่ายฟิล์ม กล้องที่ตอบสนองต่อความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพก็ควรจะมีสเป็คระดับ nikon fm2n ตัวนี้

IMG_0077

การใช้กล้องแมน่วลแบบนี้เราจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง ลองมาไล่กัน อย่างแรก เราจะได้เรียนรู้การวัดแสง การวัดแสงที่เราจะต้องกำหนดค่า isoตามฟิล์มที่เราใช้ กำหนดรูรับแสงที่ต้องการใช้ และเราจะต้องหาค่าสปีดชัตเตอร์ที่ทำให้ได้แสงพอดี การได้บิด ได้หมุนทุกอย่างจะทำให้ตัวเลขต่างๆผ่านสายตา และเราจะรู้ความสัมพันธ์ของค่ามาก ค่าน้อยต่างๆ

IMG_0064

ยกตัวอย่าง เมื่อเราใส่ฟิล์ม iso200 เรากำลังจะถ่ายภาพวิวต้นไม้ที่อยู่ในสวนสาธารณะ แดดออกตอนเช้ากำลังสวย เราอยากจะใช้รูรับแสง f8 เพื่อให้ได้ภาพชัดทั้งภาพ สปีดชัตเตอร์ที่ได้แสงพอดีอาจจะ 1/250 วินาที พอเราถ่ายภาพเสร็จ เปลี่ยนมุม แสงแดดแรงขึ้นอีกเล็กน้อย ภาพที่สอง เราถ่ายด้วยค่าเดิม แสงจะมากเกินไป ค่าแสงที่วัดได้ในกล้องจะแจ้งว่าเป็น + หรือโอเวอร์ เราจะต้องปรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ค่าแสงในกล้องลดลงมาที่พอดี เราอาจจะปรับรูรับแสงเป็น f11 แล้วได้ค่าแสงพอดี หรือถ้าเราจะใช้รูรับแสงเดิม f8 เราก็ต้องปรับสปีดชัตเตอร์เป็น 1/500 วินาที เพื่อให้ค่าแสงพอดีก็ได้เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสงและสปีดชัตเตอร์นี้เป็นความรู้ความเข้าใจในการวัดแสง เราได้เรียนรู้แน่ๆจากการใช้กล้องที่เราต้องปรับทุกอย่างเอง

สมมุติว่า เราใช้ฟิล์ม iso 100 และเราปรับสปีดกล้องไว้ที่ 1/125 วินาที การใช้กล้องแมน่วลจะทำให้เราได้เห็นค่ารูรับแสงที่เปลี่ยนไปเมื่อเราถ่ายในแต่ละเหตุการณ์

หากเราถ่ายในที่แสงแดดจัดจนแสบตา เราต้องปรับรูรับแสงประมาณ f16

หากเราถ่ายภาพที่มีแสงแดดปกติ เราต้องปรับค่า f11

หากเราไปถ่ายที่สภาพแสงแดดอ่อนๆ รูรับแสงที่พอดีจะเป็น f8

ค่าแสง f16 f11 f8 ที่เปลี่ยนไปนี้ จะตรงกับกฏ sunny16 ที่เป็นความรู้คู่กับช่างภาพมายาวนาน กฏนี้ถูกกำหนดขึ้นจากสถานการณ์แสงแดดที่มีค่าต่างๆ

นี่คือเรื่องราวที่เราจะผ่านการเรียนรู้จากการใช้กล้องแมน่วล

ผมทำคลิปแนะนำการใช้งานกล้อง nikon fm2 เอาไว้ให้ดูเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่สนใจกล้องแมน่วลตัวนี้

ภาพตัวอย่างที่ถ่ายด้วยกล้อง nikon fm2n

slide-img089
slide-img092
slide-img328
slide-img744
neg-samui-img580

neg-place-img-giantswing

img4800dpi397e

img1200dpi460e

scanSuanlun-Sep2007-012

scanSuanlun-Sep2007-006

เรื่องของเทคโนโลยี Ai ในชีวิตประจำวัน

เทคโนโลยีระบบ Ai เป็นสิ่งที่เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแล้วหลายอย่าง ตั้งแต่การค้นหาคนหายด้วยการเปรียบเทียบใบหน้าโดยการทำงานของ Ai การใช้ Ai สร้างคีย์เวิร์ดเพื่อช่วยในการค้นหาภาพ การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ด้วย Ai ที่ชนะแชมป์โลกได้แล้ว ยังมีระบบการค้นหาดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลที่คาดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยการมี Ai

เราปฏิเสธ Ai ไม่ได้ ไม่ว่าผู้คนจะพูดถึง Ai ในแง่บวกหรือลบ ไม่ว่าจะชอบหรือกลัว สุดท้ายเราก็ต้องมี Ai อยู่ในชีวิตประจำวัน ใครที่กลัวก็ขอให้ติดตามอ่านข่าวของ Ai หรือติดตามฟังคลิปที่เราจัดทำไว้ให้ เพื่อให้ท่านได้รู้จัก Ai ในหลายๆแง่มุม

อย่าตระหนกไปกับการพูดถึงว่า Ai จะแย่งงานคน เพราะเราเชื่อว่า Ai ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้มนุษย์ และ มันไม่ควรจะทำให้ชีวิตมนุษย์ตกระกำลำบาก เราติดตามไปพร้อมกันและใช้งานมันอย่างมีสติ Ai จะเป็นทาสของมนุษย์ได้ในที่สุด

รีวิวเป็นเสียง leica minilux

กล้อง leica minilux ผมใช้มานานหลายปีแล้ว ลองเอามาเล่าเป็นเสียงบ้าง แง่มุมที่พูดถึงจะเป็นเนื้อหาที่เพิ่มเติมไปจากรีวิวปกติที่เคยเขียนไว้ เช่น ภาพขาวดำจาก minilux การสแกนภาพจากฟิล์มสีของร้านล้างฟิล์ม ความทนทาน อาการเสียประจำรุ่น เชิญฟังได้ครับ หลังจากฟังแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อด้านล่างนี้

ภาพที่ชอบที่สุดจากกล้อง leica minilux คือภาพวันแรกเกิดของลูกผมเอง ก่อนจะได้ถ่ายภาพนี้ผมก็เตรียมตัวมาล่วงหน้าหลายเดือน การเตรียมตัวก็คือ เอาฟิล์มขาวดำมาทดลองถ่ายและล้างฟิล์มออกมาดู ยังมีขั้นตอนการโหลดฟิล์มเข้าแท๊งค์ล้างฟิล์มด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เสี่ยงต่อความเสียหายที่สุด เพราะหากโหลดฟิล์มติดขัด ฟิล์มไม่เรียงตัวในตะแกรงอย่างเป็นระเบียบ ฟิล์มก็จะทำปฏิกิริยากับสารเคมีไม่ทั่วถึง ภาพก็จะเสียนั่นเอง การซ้อมยังรวมถึงการทดลองผสมน้ำยา ทดลองล้างที่อุณหภูมิตามสเป็ค เพื่อดูผลของฟิล์มว่าผ่านการล้างแล้วเป็นอย่างไร และอีกส่วนที่ต้องทำก็คือเตรียมกล้องให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเพราะกล้องเก่าแล้ว เช็คสภาพก่อนจะถ่ายจริงก็เป็นเรื่องที่ควรทำ ฟิล์มขาวดำผมเลือกใช้ยี่ห้อตลาดราคาไม่แพง ด้วยเหตุผลว่า มันยังมีขายในช่วงเวลานั้นและเคยใช้ฟิล์มตัวนี้กับน้ำยาล้างฟิล์มตัวที่คุ้นเคย และภาพที่ออกมาก็สร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ดี และในตอนที่ถ่ายภาพในเหตุการณ์จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ซ้อมไว้

IMG_9465
ภาพอัดลงกระดาษขาวดำ

หลังจากไปยืนเป็นพยานตอนลูกเกิด ไปรอถ่ายภาพพ่อแม่ลูกในห้องคลอดเสร็จแล้ว ก็ออกมาที่ห้องพัก คุณหมอจะพาลูกมาให้เริ่มดูดนมแม่ และเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้เห็นหน้าลูกชัดๆ และสามารถถ่ายรูปได้ตามใจด้วย ผมเข็นเตียงเด็กไปอยู่ใกล้ๆหน้าต่างเพื่อให้แสงสว่างมากเพียงพอที่จะถ่ายภาพได้ ยกกล้อง minilux ตั้งค่าที่ตัวกล้องเป็นการถ่ายแบบเลือกรูรับแสงเอง ผมตั้งรูรับแสงของกล้องไว้ที่ 2.4 แล้วก็โฟกัสสิ่งที่ต้องการแล้วถ่ายภาพเลย หลังจากถ่ายไป ประมาณ 2 สัปดาห์ ผมว่างพอจะล้างฟิล์ม ก็ทำการล้างในแบบที่เคยซ้อมไว้ ได้ฟิล์มที่มีภาพบันทึกสมบูรณ์แบบ คุณภาพการล้างเป็นไปตามมาตรฐาน เราสามารถใช้ฟิล์มนี้ไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มก็ทำได้สวยงาม ทดลองสแกนด้วยการถ่ายภาพผ่านกล้องดิจิทัลก็ทำได้ และ การอัดภาพลงกระดาษขาวดำโดยตรงก็ได้ดังภาพที่เห็น

ไฟล์สแกนดูบนจอ

ภาพขาวดำบนกระดาษขาวดำแท้ๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก ระบบการแสดงภาพบนจอทุกชนิดไม่สามารถให้คุณภาพได้เหมือนกระดาษ ไม่ว่าเราจะพยายามสแกนฟิล์มให้ได้ไฟล์ที่มีคุณภาพอย่างไร ภาพที่ได้ก็ไม่เหมือนภาพบนกระดาษอัดภาพแท้ๆที่ผ่านการฉายแสงด้วยวิธีดั้งเดิม ผมเอาไฟล์ดิจิทัลที่สแกนฟิล์มไปทดลองพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ต่างๆก็ไม่ได้คุณภาพแบบที่กระดาษขาวดำให้ได้ ผมลองทั้งเครื่องดิจิทัลปริ๊นท์ระดับโปรดักชั่นของโรงพิมพ์ราคาเครื่องเป็นล้าน หรือ เครื่องพิมพ์ภาพถ่ายของ canon ที่เป็นระบบการพิมพ์แบบ dye-sublimation ซึ่งเป็นการผลิตภาพที่ให้คุณภาพสีจากไฟล์ดิจิทัลที่สูงที่สุดของเทคโนโลยีทางการพิมพ์แล้ว ความรู้สึกตรงนี้ต้องเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะเข้าใจ มันเหมือนการมองโลกผ่านกระจก มันมีอารมณ์ร่วมมากกว่ามองผ่านจอทีวี แล้วชีวิตเราดีขึ้นไหมจากการถ่ายภาพ ล้างฟิล์ม อัดภาพเอง ก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก เราแค่หาความสุขจากการถ่ายภาพให้ครบวงจรเท่านั้นเอง

สแกนฟิล์มสไลด์ด้วยมือถือ

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกลับมานิยมอีกครั้งในยุคปีพศ 2562 ซึ่งเป็นความนิยมที่ค่อยๆก่อนตัวมาก่อนหน้านี้สัก 3 ปี ปัจจุบันมีร้านล้างฟิล์มเกิดขึ้นอีกหลายร้านหากนับจากช่วงตกต่ำของวงการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม และฟิล์มที่นิยมใช้งานกันก็จะเป็นฟิล์มเน็กกาทีฟและฟิล์มขาวดำ ส่วนฟิล์มสไลด์ยังถือว่ามีความนิยมเล่นน้อยอยู่เพราะการล้างฟิล์มสไลด์มีต้นทุนสูงกว่า และมีร้านที่รับจ้างล้างน้อยกว่า

เมื่อมีการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม การล้างฟิล์มก็มีคนรับล้างแล้ว ขั้นตอนต่อจากการล้างฟิล์มในอดีตจะเป็นการอัดภาพมาเป็นกระดาษ แต่ในปัจจุบัน(พศ2562) แทบไม่มีใครอัดภาพเป็นกระดาษแล้ว แต่จะใช้วิธีสแกนฟิล์มให้เป็นไฟล์ภาพดิจิทัล แล้วดูด้วยโทรศัพท์มือถือกันเกือบ 100% นั่นทำให้การสแกนภาพเป็นสิ่งจำเป็น และหากเราจะสแกนฟิล์มสักม้วน ถ้าไม่ทำเอง ถ้าไม่ลงทุนเครื่องสแกนและเรียนรู้เอง เราก็ต้องจ้างร้านทำให้ ร้านล้างฟิล์มยุคปัจจุบันจึงต้องสแกนฟิล์มด้วย

ฟิล์มเน็กกาทีฟสี และ ฟิล์มขาวดำ จำเป็นต้องสแกนด้วยเครื่องมือพิเศษ เพราะจะต้องมีขั้นตอนการกลับสี ต้องมีโหมดการแก้สีช่วยทำงาน ขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนปกติในการสแกนฟิล์ม และเราควรใช้เครื่องสแกนที่ทำหน้าที่นี้อย่างตรงหน้าที่ ส่วนฟิล์มสไลด์เรามีทางเลือกอื่นนอกจากสแกนด้วยเครื่องสแกนจริงๆ

ฟิล์มสไลด์เป็นฟิล์มที่ให้สีปกติ สามารถมองด้วยตาเปล่าเป็นภาพปกติ ดังนั้นเราสามารถใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพจากฟิล์มได้เลย จัดแสงให้เข้าด้านหลังฟิล์มแล้วถ่ายภาพเป็นภาพสีเก็บไว้ดูในคอมพิวเตอร์หรือบนมือถือก็สามารถทำได้ทัน และแม้แต่จะถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือเลยก็ทำได้ ยิ่งมือถือปัจจุบันมีความสามารถในการถ่ายภาพที่ดีมาก มีพิกเซลจำนวนมหาศาล ทำให้เราถ่ายภาพจากฟิล์มสไลด์แล้วคร็อปภาพเพื่อดูได้ทันที

ตัวอย่างด้านล่างนี้เป็นการสแกนสไลด์ด้วยโทรศัพท์มือถือ เป็นขั้นตอนที่ง่าย รวดเร็ว และได้ภาพไปดูและแชร์ได้ทันที

ผมใช้มือถือที่ผลิตขายในปี พศ 2562 หรือ คศ 2019 อย่าง redmi note7 ที่มีความสามารถในการถ่ายภาพที่ความละเอียด 48ล้านพิกเซลมาเป็นตัวถ่ายภาพ เอาฟิล์มเก่ามาส่องบนกล่องไฟ แล้ววางมือถือให้นิ่งบนกล่องกระดาษยกสูงเล็กน้อย พอให้มือถือสามารถโฟกัสภาพบนฟิล์มได้ แล้วก็กดถ่าย



เมื่อเราได้ภาพแรกจากการถ่ายแล้ว ฟิล์มสไลด์จะอยู่กลางภาพเพื่อให้โฟกัสได้ ภาพที่ได้เราจะต้องเอามาคร็อปขอบภาพออกเพื่อให้เหลือพื้นที่เฉพาะภาพตรงกลาง การคร๊อปก็ใช้ความสามารถของโทรศัพท์มือถือได้เลย และหลังจากคร็อปภาพแล้วเราจะแก้ไขสี ปรับสี ปรับแต่งโทนสีต่างๆอย่างไรก็ได้ตามใจเรา ภาพที่ได้จะมีความคมชัดเพียงพอต่อการดูบนโทรศัพท์มือถือ สามารถดูในคอมพิวเตอร์ได้ และใช้แชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆได้เลย

ลองสแกนฟิล์มอีกหลายม้วน ดูเพลินๆก็สวยดีสำหรับการย้อนดูอดีตอันรุ่งเรืองของฟิล์ม

IMG_20190718_143626_1
IMG_20190718_200725

กล้องฟิล์ม canon eos33

IMG_5395

กล้องฟิล์มของ canon eos33 เป็นกล้องระดับกลางของค่าย  ในยุคที่กล้องรุ่นสูงสุด ไฮเทคสุดของกล้องฟิล์มยุคสุดท้ายคือกล้อง eos3 ที่เป็นเกรดโปร  มีรุ่นกลางเป็น eos33 eos30 และมีรุ่นเล็กเป็น eos300 ซึ่งเป็นแนวทางของ canon ที่ตัวเลขประจำรุ่นสูงจะใช้เลขตัวเดียว  ส่วนรุ่นเล็กจะเป็นเลข 3 หลัก

กล้องยุคสุดท้ายของฟิล์มผมจะวัดจากกล้องที่รองรับระบบแฟลช e-ttl ที่เป็นระบบแฟลชไฮเทคมาก  เป็นระบบแฟลชของ canon ที่พัฒนาจนทำให้ช่างภาพกล้องฟิล์มสามารถควบคุมแสงแฟลชได้ดังใจยิ่งกว่าแฟลชแมน่วลเสียอีก  หากเราศึกษาทำความเข้าใจระบบแฟลชไฮเทคของ canon จนใช้งานได้เป็น  มันจะให้ความแม่นยำของแสงแฟลชระดับจับวาง  เกือบจะแม่นจำเท่ากับการวัดด้วยมิเตอร์วัดแสงแฟลชเลย

eos33 เป็นกล้องที่ผมซื้อมาใช้เพื่อรับงานถ่ายภาพรับจ้าง โปรคนอื่นใช้ eos1  eos3 ส่วนผมใช้ eos33 เนื่องจากไม่สามารถลงทุนกับบอดี้ได้หนักเท่ากับมืออาชีพ  เพราะผมแค่หาเงินเติมน้ำมัน หาเงินเที่ยวเท่านั้น  แต่มันก็อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเข้ามา มันทำเงินให้ผมตั้งแต่วันแรกเลย  และในตอนที่เริ่มใช้ดิจิทัล eos33 ก็ถูกวางเก็บไว้ เก็บลืมไปเลย  จนหลายปีผ่านมา หยิบออกมาเล่นดู ก็พบกว่ายางเหนียวทั้งตัว  และด้วยความหงุดหงิด  ก็เลยหาอะไรมาเช็ดให้ยางหายเหนียว  ทิชชูอยู่ใกล้ตัวก็เลยใช้ทิชชู่เช็ด  เช็ดไปเช็ดมาเศษขาวๆของทิชชู่ก็ติดอยู่กับบอดี้ตั้งแต่วันนั้น

วันนี้ความนิยมกล้องฟิล์มค่อยๆเพิ่มขึ้น  กล้องมือสองที่ราคาร่วงติดดิน กล้อง SLR ที่เคยขายทิ้งกันหลักร้อยบาทก็ค่อยๆราคาแข็งขึ้น จนขึ้นมาอยู่ระดับหลายพันบาท   วันนี้เลยหยิบออกมาตรวจอีกครั้ง และทดลองใส่เลนส์เพื่อลองใช้งานดู  ผลก็คือใช้งานได้ดี  ระบบไฟฟ้ายังทำงานครบถ้วนเหมือนเดิม หน้าจอดิจิทัลที่แสดงสถานะก็ทำงานทุกส่วน ทุกค่าสามารถแสดงผลได้

คาดว่าจะได้นำไปใช้ถ่ายภาพอีกครั้งในเร็วๆนี้

ตอนนี้ขอหาภาพเก่าๆที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มตัวนี้มาแปะไว้ดูเล่นก่อน

neg-place-img203

neg-place-img395

neg-sanamluang-img343

slide-img105

neg-fruit-img017-resize

neg-fruit-img018

slide-img673

ใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพจากแผ่นฟิล์ม

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกำลังกลับมาฮิตอีกครั้งหนึ่งในช่วงปี พศ 2561 กล้องมือสองขายดิบขายดี กล้องรุ่นคลาสิคมีคนจับจองราคาค่าตัวขึ้นกันหลายสิบหลายร้อยเปอร์เซ็น และการถ่ายภาพด้วยฟิล์มก็จะต้องสแกนฟิล์มออกมาเพื่อดูหรือเพื่อแชร์ผ่านเฟสบุ๊ค ผ่านอินสตาแกรม การสแกนฟิล์มเราจะใช้บริการร้านล้างฟิล์มเป็นส่วนใหญ่ คือส่งฟิล์มไปล้างพร้อมกับขอให้สแกนให้ด้วย ค่าใช้จ่ายก็จะเป็นค่าล้างบวกกับค่าสแกน

Scan by macro lens

ฟิล์มสไลด์เป็นฟิล์มที่ให้ภาพตรงกับที่ตาเห็น คือสีสันปกติ การสแกนฟิล์มสไลด์นอกจากจะใช้เครื่องสแกนฟิล์มแล้ว เราก็ยังสามารถใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพจากฟิล์มได้อีกด้วย การถ่ายภาพจากแผ่นฟิล์มนี้มีเทคนิคไม่ซับซ้อน เพียงใช้เลนส์มาโครที่สามารถถ่ายภาพด้วยอัตราขยาย 1:1 และใช้แหล่งกำเนิดแสงสีขาวส่องผ่านฟิล์มจากด้านหลังเท่านั้น บางคนอาจจะใช้แสงธรรมชาติ แต่ในบทความนี้จะใช้แสงจากแฟลช

Scan by macro lens

เนื่องจากไม่อยากจะใช้ขาตั้งกล้องเลยเลือกใช้แฟลชแทน ผมเอาฟิล์มหนีบไว้ด้วยกล่องกระดาษ แล้ววางไว้ใกล้ๆกับผนังสีขาว ให้มีระยะห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุต แล้วใช้แฟลชต่อกับทริกเกอร์หรือตัวส่งสัญญาณไร้สาย เมื่อกดชัตเตอร์แฟลชจะทำงาน แสงจากแฟลชจะวิ่งไปชนกำแพงแล้วกระจายแสงออกมา ฟิล์มก็จะสว่างและได้เป็นภาพบันทึกไว้ในกล้อง สปีดการถ่ายภาพผมตั้งไว้ที่ 1/125 วินาที ความไวแสงตั้งไว้ที่ iso 400 รูรับแสง f16 กล้อง canon eos 6d เลนส์ canon macro100

IMG_0362

ภาพที่ได้มีสีสันที่ตรงกับฟิล์ม แต่ก็มีหลายจุดที่ควรจะปรับปรุงให้ภาพมีคุณภาพมากขึ้น เช่น

  1. ฝุ่นต่างๆบนฟิล์ฒจะพบเห็นจำนวนมาก เราควรทำความสะอาดปัดฝุ่นให้เกลี้ยงก่อนถ่ายภาพ
  2. ภาพเอียง มีกรอบภาพสีดำโผล่อยู่ในเฟรม เนื่องจากเป็นการถือกล้องถ่าย ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง การถือกล้องเอียงหรือ ทำภาพเอียงเป็นเรื่องปกติของการไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เพราะมือคนจะไม่นิ่งอยู่แล้วตามธรรมชาติ แม้ว่าจะต้องอาศัยการฝึกถือกล้องให้ตรง แต่จริงๆแล้วเราควรใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพ

ถ้าเป็นไปได้เราควรจะใช้ขาตั้งกล้อง และทำอุปกรณ์เสริมมาหนีบฟิล์มเอาไว้ให้เป็นระยะที่ตายตัว เพราะจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพแผ่นฟิล์มได้เร็วขึ้นและได้คุณภาพคงที่ในทุกๆภาพ ช่วยให้ประหยัดเวลาอย่างมาก

IMG_0367

IMG_0368

Scan by macro lens

ดูภาพจากฟิล์มสไลด์

ฟิล์มสไลด์เป็นฟิล์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการสิ่งพิมพ์และการถ่ายภาพในยุคฟิล์ม  รวมไปถึงเป็นที่สุดของการบันทึกภาพที่ให้สีสันเที่ยงตรงหรือฉูดฉาดสุดๆได้  ด้วยเหตุที่ว่าเราสามารถดูสีของฟิล์มได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องสแกนหรืออัดภาพ  การดูภาพที่ได้รับคุณภาพจากฟิล์มที่สุดคือการดูจากฟิล์มโดยตรง

IMG_20170330_180321

 

IMG_20170330_180332

อุปกรณ์ดูฟิล์มสไลด์ที่ถูกที่สุดคือกล่องพลาสติกในภาพ  เราใส่ฟิล์มไว้ในช่องของมันแล้วก็ส่องดูด้วยตาเลย  ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพใหญ่เต็มตา  สวยไม่สวยเราก็เห็นด้วยตาของเราเอง  สนุกดี และ ฟินมาก

IMG_20170330_180256