nakamichi musicone+ ลำโพงสวย เสียงดี หายากมาก

20160502134111_IMG_0139

การฟังเพลงในยุคปัจจุบันเป็นการฟังเพลงที่เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก ตลาดของเครื่องเสียงระดับมวลชนจะเทไปทางลำโพงระบบบลูทูธ ซึ่งทุกยี่ห้อทำออกมาขายกันถ้วนหน้า  เรียกได้ว่าใครไม่ทำขายก็พลาดรายได้มหาศาล  และการค้นหาลำโพงเสียงดีที่หน้าตาดีผมก็ได้ค้นพบอีกตัวเลือกหนึ่งที่ได้มาด้วยความบังเอิญ

นากามิชิเป็นบริษัทที่ทำเครื่องเสียงมายาวนาน ในยุคยี่สิบปีที่แล้วเครื่องเสียงบ้านยี่ห้อนากามิชิถือเป็นเครื่องเสียงเกรดไฮเอนด์  เป็นสินค้ายี่ห้อญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมระดับโลก  เครื่องเสียงชิ้นสร้างชื่อของนากามิชิจะเป็นเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทที่แพงระยับและว่ากันว่าเป็นเครื่องเล่นเทปที่ดีที่สุดในโลกที่เคยมีมา  ส่วนเครื่องเล่นซีดีของนากามิชิก็จะออกไปแนวเครื่องเล่นที่ใส่ได้หลายแผ่น ระบบมิวสิคแบงค์ที่สามารถเปลี่ยนแผ่นได้เร็วที่สุดในโลกอีกเช่นกัน  ซึ่งสองอย่างนี้ทำให้นากามิชิเป็นเครื่องเสียงระดับหรูหราไฮเอนด์ไปอย่างไม่มีใครปฏิเสธ

20160502134125_IMG_0141

ลำโพงในครั้งนี้ผมได้ลองฟังและติดใจในน้ำเสียงถึงกับต้องอุ้มกลับมาจากสิงคโปร์ก็คือ nakamichi music one+ อ่านว่า นากามิชิมิวสิควันพลัส  จะขอเรียกว่ามิวสิควันเพื่อความสะดวกนะครับ  เจ้าตัวนี้วางโชว์อยู่ในสนามบินของสิงคโปร์  ตอนที่ผมรอจะขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพก็ได้เดินผ่านร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าจำพวกไอทีและเครื่องเสียงต่างๆ  เจอลำโพงวางอยู่บนโต๊ะหลายตัว  หนึ่งในนั้นที่สะดุดตาก็คือ มิวสิควันตัวนี้

20160502131338_IMG_0134

ข้อมูลทั่วไป

หน้าตาของลำโพงออกมาสไตล์หน้ากลมมีขาตั้งเป็นเสากลาง  ดูเป็นการออกแบบที่เน้นความสวยงามเป็นหลัก  ซึ่งผมก็สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น  ยืนพิจารณารอบตัวก็จะเห็นช่องเชื่อมต่อด้านหลัุงมีช่องเสียบไฟเลี้ยง  มีช่องเสียบสัญญาณเสียงชนิด aux ขนาด 3.5มม.  และมีปุ่มควบคุมอยู่ด้านหน้านิดหน่อย เอาไว้เลือกฟังระหว่างบลูทูธ และช่องเสียง aux และมีปุ่มปรับระดับเสียงดังเบา มีปุ่มเปิดปิดตัวเครื่อง ด้านข้างตู้ลำโพงมีสัญลักษณ์ nfc ที่หมายความว่าเราสามารถใช้อุปกรณ์มือถือ tablet และโน้ตบุ๊คที่มี nfc มาเชื่อมต่อได้อย่างง่ายดาย

20160502141358_IMG_0148

หน้าตากลมๆ ส่วนของตู้ลำโพง มีความลึกพอสมควร คาดว่าภายใต้ความลึกนั้นก็คงเป็นวงจรขยายเสียง ตัวลำโพงสีเทาเข้ม ตัดกับตะแกรงหน้าลำโพงสีเทาอ่อน ทำให้มันดูเป็นลำโพงที่หรูหราและดูแพง  แม้ค่าตัวมันจะอยู่ในระดับไม่กี่พันบาทก็ตาม  นั่นทำให้คนรู้จักนากามิชิในอดีตอย่างผมสนใจที่จะลองฟัง และอยากได้มันนิดๆตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อได้ทดลองฟังที่ร้านอยู่สิบนาที  ก็ตัดสินใจอุ้มกลับมาด้วยกัน

20160502134154_IMG_0142

ระบบการขยายเสียงภายในเข้าใจว่าเป็นการขยายเสียงแบบดิจิทัล และมีดอกลำโพงด้านหน้าแบบฟูลเร้นจ์ขนาดประมาณ 4 นิ้ว  ด้านหลังลำโพงเป็นแผ่นลำโพงเรียบๆทำหน้าที่เป็นพาสซีพเรดิเอเตอร์ ช่วยปรับจูนโทนเสียงทุ้มให้นุ่มนวลน่าฟังมากยิ่งขึ้นกว่าการเปิดเป็นช่องธรรมดาแบบลำโพงตู้เปิด  ข้อดีของมิวสิควันก็คือ มันสามารถเชื่อมต่อกับพวกเดียวกัน หรือมิวสิควันอีกตัวหนึ่งได้ ทำให้มันกลายเป็นลำโพงสเตอริโอ คือตัวแรกเป็นช่องเสียงซ้าย ตัวที่สองเป็นช่องเสียงขวา ทำให้เราสามารถใช้ฟังเพลงแบบสองลำโพงได้เหมือนเครื่องเสียงบ้านทั่วไป  แต่นั่นก็หมายความว่าเราต้องซื้อมันสองตัว

20160502141344_IMG_0146

ตัวลำโพงมาพร้อมกับรีโมทคอนโทรลขนาดเล็กกระทัดรัด ในรีโมทใช้ถ่านกระดุมรุ่น 2032  ที่รีโมทสามารถสั่งการได้ทุกการทำงาน  ตั้งแต่การไล่เปิดเครื่องไปจนปิดเครื่อง  รีโมทสีขาวหน้าตาดูไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่  ลำโพงใช้ไฟเลี้ยง 18V dc และกินกระแสไฟ 1.6a ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ค่อยได้พบกับเครื่องเสียงตัวอื่นๆนั่นหมายความว่า ห้ามทำอแด๊ปเตอร์หายเด็ดขาด  ถ้าพังขึ้นมายังไม่รู้ว่าจะส่งซ่อมที่ไหน เพราะในประเทศไทยยังไม่มีใครนำเข้ามาขายเลย

2018-10-11_08-17-05

ผลการทดลองฟัง

มาถึงเรื่องการใช้งานกันบ้าง  การเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธจากโทรศัพท์มือถือไปยังลำโพงทำได้ง่ายดาย ไร้ความซ้ำซ้อน  แถมมือถือบางรุ่นหรือโน้ตบุ๊คบางรุ่นมีระบบ nfc แค่เอามือถือไปแตะใกล้ๆลำโพงฝั่งที่มีสัญลักษณ์ nfc ทั้งสองตัวก็จะเชื่อมกันได้อัตโนมัติ  นับว่าเป็นความสะดวกสบายเต็มที่  ส่วนคุณภาพเสียงก็ถือว่าทำได้ไพเราะสมราคา  น้ำเสียงโดยรวมจะออกแนวนุ่มและเบสใหญ่  เบสไวเป็นจุดเด่น ไม่คลาง ไม่แห้งเกินไป  การฟังเพลงร้อง เพลงแจ๊ส เพลงที่โชว์เสียงเบสจะเข้าทางลำโพงตัวนี้  เบสอึ๋มๆคลอเคลียร์กับเสียงร้องไปตลอดเพลง  พอฟังเพลงจากลำโพงตัวนี้นานๆแล้วกลับไปฟังเสียงจากโทรทัศน์ก็จะเสียอารมณ์อย่างมาก  เพราะสไตล์เสียงจากโทรทัศน์จะเบสน้อย  พอหูฟังมิวสิควันจนชิน ไปฟังลำโพงตัวอื่นจะเหมือนมีอะไรหายไป  ซึ่งมันก็คือความถี่ย่านต่ำหายไปนั่นเอง

20160502134117_IMG_0140

เสียงกลางส่งเสียงร้องได้ชัด  แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับลำโพงสองทางที่ให้ความคมของน้ำเสียงมากกว่า  ส่วนมิวสิควันจะมาโทนหนาและไม่กรุ๊งกริ๊ง ไม่มีเสียงตัวเอสที่บาดล้นเกินไป  ใครที่ชอบเสียงความถี่สูง ชอบเสียงเพอคัสชั่น  อาจจะไม่ชอบเสียงจากมิวสิควันตัวนี้  เพราะปลายความถี่สูงมันห้วนกว่า จบเร็วกว่าลำโพงสองทางทั่วไป  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสการฟังเพลงหายไป   ดูเหมือนมิวสิควันจะพยายาททำแนวเสียงให้คล้ายๆกับ bose

การฟังเพลงจากลำโพงบลูทูธยุคนี้จะให้ความสมดุลย์น้ำเสียงได้ดี  เสียงต่ำย่านเบส เสียงกลางและเสียงแหลมที่มีอยู่ในเพลงจะได้รับการถุ่ายทอดออกมาสมดุลย์กันทั้งหมด  และมีจุดเด่นได้เปรียบลำโพงบ้านนิดหน่อยตรงที่ เมื่อเราฟังเสียงในระดับเบา เราจะยังคงได้ยินเสียงเบสลึกๆ ที่ช่วยปกคลุมบรรยากาศของเพลงอยู่ด้วย  ดูเหมือนมิวสิควันจะจูนเสียงให้เน้นเบสมากขึ้นเมื่อฟังในระดับความดังน้อยๆ  ตรงนี้จะแตกต่างไปจากลำโพงบ้านอย่างสิ้นเชิง คือ ลำโพงบ้านจะมีจุดที่ได้น้ำหนักสมดุลย์เสียง เบส กลาง แหลมครบก็ต่อเมื่อเราจะต้องเปิดให้ดังระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับการฟังที่จริงจังและเป็นระดับที่เราไม่สามารถพูดคุยกันแข่งกับเสียงจากลำโพงได้   และหากเราเปิดเครื่องเสียงบ้านเบากว่านี้ หรือเปิดในระดับแบ็คกราวน์มิวสิค  น้ำหนักของดนตรีก็จะมาไม่ครบซึ่งเป็นเรื่องปกติของเครื่องเสียงชุดใหญ่

ในไทยผมไม่พบว่ามีใครขายนากามิชิตัวนี้  เคยพยายามเดินดูตามห้าง  ตามร้าน istudio ที่มักจะมีลำโพงดีๆเจ๋งๆมาขายในร้าน  ก็ยังไม่พบรุ่นนี้  nakamichi musicone+ คงไม่มีใครนำเข้ามาขายจริงๆ ผมเลยตั้งชื่อโพสท์นี้ไว้ว่าเป็นลำโพงหายากมาก  มาถึงวันนี้ ต่อให้ผมอยากได้ลำโพงรุ่นนี้อีกตัวเพื่อมาใช้งานเป็นระบบสเตอริโอสองลำโพง ทำงานแยกซ้ายตัวนึง ขวาตัวนึง ก็ทำไม่ได้  ต้องไปหิ้วมาจากเมืองนอกเท่านั้น
ข้อมูลผลิตภัณฑ์
ระบบBluetooth รองรับโหมดสเตอริโอ 4.0+EDR, A2DP;
With DSP Audio Process, and DRC;
ระบบเชื่อมสัญญาณผ่าน NFC
อัตรากินไฟ 20 วัตต์
ความเพี้ยน THD 1%
การตอบสนองความถี่ : 80Hz – 18KHz;
มีช่องรับสัญญาณ Aux
อแด๊ปเตอร์ไฟตรง 18V 2A
ขนาด 28.8×18.7×18.8 cm

ปล ผมเขียนรีวิวหลังจากที่ได้ใช้งานมาประมาณ 1 ปี

หูฟัง Koss KSC35 ของดีราคาไม่แพง

การฟังเพลงจากเครื่องเสียงจะต้องอาศัยการเปิดผ่านลำโพงสักคู่หนึ่ง  การเปิดฟังในบ้านคนเดียวก็จะได้อรรถรสแบบหนึ่ง  แต่ถ้าอยู่นอกบ้านแต่อยากฟังเพลงก็คงไม่พ้นที่จะต้องอาศัยฟังผ่านหูฟังสักตัว  ยิ่งเครื่องเสียงแบบพกพกได้รับความนิยมมากขึ้นเท่าไร  การใช้งานหูฟังก็จะมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

เครื่องเล่นเพลง  ipod เป็นเครื่องเล่นเพลง mp3 ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก  เมื่อเราซื้อเครื่องเล่น mp3 มาสักตัวหนึ่ง  สิ่งที่มักจะแถมมาให้ด้วยก็คือหูฟังนั่นเอง  ซึ่งหลายคนก็พอใจที่จะใช้งานหูฟังแถมไปเรื่อยๆ  แต่อีกหลายคนก็พยายามจะหาหูฟังที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น  เพื่อพัฒนาคุณภาพเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หูฟัง koss รุ่น ksc 35 เป็นหูฟังที่น่าสนใจ ลักษณะรูปร่างที่ออกแบบให้เป็นแบบแขวนใบหู ช่วยลดการกดทับ และลดการเสียบยัดลงในรูหู ทำให้การใช้งานหูฟังลักษณะนี้ไม่ค่อยมีความเจ็บ สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องหลายชั่วโมง ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงก็มีบุคลิกที่น่าสนใจ มีแนวเสียงที่อิ่ม ใหญ่ ให้เสียงเบสได้โดดเด่น เบสชัดมากโดยเฉพาะการฟังเพลงร็อค

IMG_1357.JPG

หูฟังแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อด้อยเป็นของตัวเอง koss ksc35 มีข้อดีในแง่น้ำเสียงที่ไม่เสียดหูเป็นจุดเด่น และใส่สบายเหงื่อไม่ออกเป็นจุดเด่นลำดับถัดมา  และสิ่งที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวก็คือ ksc35 เป็นหูฟังที่ปล่อยให้เสียงภายนอกเล็ดลอดเข้าไปได้ง่าย  ทำให้เราได้ยินเสียงอื่นๆรอบตัวได้ ซึ่งบางคนไม่ชอบ  แต่ผมชอบ  เพราะมันทำให้เราได้ยินเสียงเรียกจากคนอื่น  ถ้าเราใส่หูฟังที่ป้องกันเสียงภายนอกไว้ทั้งหมด  เวลามีคนเรียก  เราก็ไม่ได้ยิน  จากการเรียกด้วยปาก ก็จะกลายเป็นขว้างของใส่เพื่อให้เรารู้ตัว  หูฟังแนวชวนขว้างของผมจะไม่อยากใช้ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่

IMG_3231.JPG

ทดลองฟังเพลงแนวออดิโอไฟล์หลายอัลบั้มก็ให้ความไพเพราะและแนวเสียงที่สงบเสงี่ยม เบสเด้งเป็นลูกๆ  เหมาะกับเพลงโชว์เบส  ยิ่งอัลบั้มที่โชว์เสียงเบส โชว์เสียงร้องใหญ่ๆจะไปด้วยกันได้ดี  norah jones ชุด come away with me  เสียงร้องชัด แหบ และเบสเป็นชิ้นๆ  เปียโนใสและมีความเป็นเครื่องเคราะห์ฟังได้ชัดเจน  การแยกแยะมิติ ไม่ได้แม่นยำ ช่องไฟไม่ห่างชัดมาก อาจเป็นเพราะการสวมใบหูที่ไม่ได้กดทับมาก ทำให้เสียงโฟกัสยังไม่แม่นเท่าหูฟังชนิดยัดเข้าไปในหู  แต่มันเป็นเสียงที่ฟังสบายสุดๆ  ถ้าต้องฟังเพลงใส่หูฟังไม่ถอดสัก 2-3 ชั่วโมง ผมเลือกตัวนี้แน่นอน

IMG_20180825_002004

Koss ksc35  เป็นหูฟังที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมายาวนาน ผลิตครั้งแรกปี 1996  ผู้ขายคนแรกๆในไทยน่าจะเป็นมั่นคงแก็ดเก็จนำมาขายปี 2006 และในปัจจุบันที่เขียนโพสท์นี้หูฟังรุ่นนี้ก็เลิกผลิตแล้ว  และไม่มีของใหม่ให้ซื้อแล้ว  คงเหลือวนเวียนตามเว็บขายของมือสองและของเก่าเก็บจากนักเล่นบางท่านเท่านั้น  ราคาขายล็อตสุดท้ายที่พอหาได้มือหนึ่ง 1890 บาท  มือสองในช่วงเวลาเดียวกันประมาณ 1000-1200 บาท ซึ่งผมซื้อมือหนึ่งไว้ตัวนึงเก็บเอาไว้อย่างดี  และซื้อมือสองไว้ใช้อีกตัวนึง

spec

Frequency Response  15-25,000 Hz

Sensitivity                     101 dB

Impedance                    60 Ohm

update 2018

ได้ข่าวว่ามีหูฟัง ksc35 รุ่นผลิตใหม่ออกมาอีกล็อตหนึ่งในปี คศ2018 นี้  และขายในราคาเดิม 1890 บาท  ใครสนใจต้องลองสอบถามจากผู้ขายดูครับว่าพร้อมให้ซื้อหรือยัง

คอมพิวเตอร์ในความทรงจำ

P_20150731_091251

คอมพิวเตอร์สีสันสดใส ชื่อของมันคือ imac ซึ่งมีผลิตออกมาตั้งแต่ช่วงปี คศ. 1997 ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่สำคัญครั้งหนึ่งของโลกเรา

 

ใครจะคิดว่าคอมพิวเตอร์ราคาแพงซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนมีฐานะจะเปลี่ยนจากหน้าตาบึ้งตึงเป็นสีสันราวกับขนมหวาน  จากคอมพิวเตอร์ชิ้นส่วนจำนวนมากมีสายรุงรังกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่รวมสิ่งจำเป็นทุกอย่างไว้ด้วยกันทั้งหมด ตั้งแต่จอภาพ เมนบอร์ด พอร์ตสำคัญที่ต้องใช้งาน และ แฟกซ์โมเด็มที่เอาไว้ต่ออินเทอเน็ตก็รวมอยู่ในเครื่องเดียว

P_20150731_094207

imac เป็นคอมพิวเตอร์ที่สร้างสีสันทั้งบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ และบนแผงหนังสือ  ในยุครุ่งเรืองของ imac จอลูกกวาดเหล่านี้ หนังสือทั้งแผงก็แทบจะต้องใช้ imac ผลิตทั้งนั้น  มีผู้นำเข้าบางรายที่ขายของให้โรงพิมพ์มาตลอดยังจัดชุด imac พร้อมสแกนเนอร์ ขายรวมกันในราคาเจ็ดหมื่นบาทในยุคที่ทองราคาแค่บาทละไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท

 

คอมพิวเตอร์ PC ที่เราต้องไปเดินหาซื้อชิ้นส่วนที่พันทิพย์พลาซ่าแล้วนำมาประกอบให้ใช้งานได้ต้องใช้เงินประมาณสามถึงสี่หมื่นบาท แต่กับ imac ที่เลือกอะไรไม่ได้เลยดันขายกันอยู่ที่ระดับ 6หมื่นบาท  ซึ่งในยุคของมันและวัยของผม ผมไม่มีเงินซื้อหรอก เพิ่งทำงาน ฝรั่งเศสเพิ่งได้แชมป์บอลโลกครั้งแรก

P_20150731_091452

กว่าจะได้มีโอกาสใช้ apple ก็ต้องปาเข้าไปในช่วงปี คศ 2004 ซึ่งเป็นปีที่ผมออกมาทำงานโรงพิมพ์ของครอบครัวแล้ว อาชีพโปรแกรมเมอร์ที่เคยเขียนโค้ดทุกๆวันก็วางมันไว้ในอดีต  คอมพิวเตอร์ที่เน้นเรื่องฟังค์ชั่นถูกวางไว้ในความทรงจำ แล้วก็มองหา imac สีสวย มือสอง มาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้  โน้ตบุ๊ค PC ราคาสี่หมื่นกว่าบาทก็ยกเก็บ ในช่วงเวลานี้ผมเลือกจะซื้อของด้วยอารมณ์และความสวยงามเป็นหลัก  imac dv 450Mhz เป็นของมือสองราคา 4500บาทที่ผมดิ้นรนไปหาซื้อมา  ในวันแรกที่มันอยู่บนโต๊ะทำงาน ผมก็ใช้มันทำงานให้ลูกค้ารายหนึ่ง ปิดงานจบได้และเก็บเงินมีกำไรห้าพันบาท  ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นกันด้วยดี imac ตัวนี้ซื้อแล้วทำเงินตั้งแต่วันแรก  นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากที่มันเป็นของมือสองราคาไม่แพง  ถ้าเป็นมือหนึ่งราคาใกล้ๆแสน มันคงต้องใช้เวลาทำงานนับเดือนหรือนานกว่านั้น  จากจุดเริ่มต้นกับ imac มือสอง ผมก็เริ่มซื้อของใหม่บ้างเป็น ibook g4  mac minig4 2 ตัว ซื้อ macbook pro ซื้อ mac mini intel  macbookair ssd  ในช่วงสิบปี

IMG_3109

ในเวลานี้  ปี คศ 2015 อายุ imac สีแดงสดใสก็เข้าสู่วัยชรา  อายุ 16 ปี มันไม่ควรจะทำงานอะไรได้แล้ว  แต่มันก็ยังใช้งานได้ ผ่านการเปลี่ยนอะไหล่อย่างฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว เพิ่มแรมให้แล้ว  คีย์บอร์ดและเม้าส์ที่เป็นชุดของมันก็เสียและหายไปแล้ว  แต่มันก็ยังเปิดติด เอาเม้าส์และคีย์บอร์ดอื่นๆมาใช้แทนได้  แม้ลำโพงจะเสียงแตกพร่า แต่ก็ยังเสียบสายไปเข้าเครื่องเสียงเพื่อฟังเพลงได้  มันเล่นอินเทอร์เน็ตในสมัยของโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ช้ามาก  ลำพังแค่จะหาข้อมูลที่ต้องการ หาลิงค์ที่ต้องการ ก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายนาที  เพราะว่ามันถูกออกแบบมาให้ใช้กับอินเทอเน็ตในความเร็วระดับโมเด็ม 56k เท่านั้น  เรื่องการดู youtube ทำไม่ได้เลย

 

การใช้งานที่เหมาะสมกับความสามารถของมันเองก็คือการเปิดเพลง และการดูหนัง DVD การฟังเพลงจะอาศัยโปรแกรม iTune ที่เคยโหลดเก็บไว้เมื่อหลายปีก่อนถึงจะพอทำงานได้ไม่อืดอาด  เนื่องจาก  iTune เป็นโปรแกรมที่อัพเดทบ่อยมาก บ่อยระดับเดือนเว้นเดือนเลยด้วยซ้ำ   ด้วยเหตุผลที่ apple พยายามทำให้ iTune เป็นศูนย์รวมทุกอย่างของอุปกรณ์ไฮเทคทันสมัย เมื่อก่อน  iTune ทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องเล่นเพลงและเครื่องก๊อปปี้ไฟล์เพลงลง ipod เท่านั้น  แต่ iTune รุ่นใหม่ๆต้องดูและจัดการ  ipod ipad iphone ที่ซับซ้อนและเรื่องเยอะมากขึ้นทุกวัน  การได้ใช้ iTune โบราณจะทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันเรียบง่าย  ฟังค์ชั่นไม่กี่อย่างก็พอที่จะทำงานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าๆอย่าง imac ตัวนี้

IMG_3129

ไดร์ฟ dvd แบบ slot  ที่ติดมากับเครื่องนี้เร่ิมมีปัญหาแล้ว  ใส่แผ่นเปิดหนังดูได้ แต่ตอนเอาแผ่นออกเป็นเรื่องที่ต้องลุ้น  เพราะช่องทางเอาแผ่นออกดูเหมือนจะแคบเกินไป  กดสั่งการให้แผ่นออก แต่แผ่นไม่ออก  คือออกมาแค่พยายามไหลมาจ่อที่ปากทาง แต่ไม่ดันแผ่นออกมาจากเครื่อง  ทำให้เจ้าของเครื่องต้องเอากระดาษติดด้วยเทปสองหน้าแล้วแหย่ไปรอภายในเพื่อให้แผ่นไหลออกมาติดกับเทปกาว แล้วค่อยดึงกระดาษกาวออก

 

ด้วยความที่มันเป็นเครื่องเล่นที่มี usb เพียง 2 ช่อง ซึ่งหากเสียบกับเม้าส์และคีย์บอร์ดไปแล้วก็แทบจะเสียบอะไรต่อไม่ได้  เดิมทีคีย์บอร์ดที่แถมมากับ imac จะเป็นรุ่นที่มี hub ในตัว 1 ช่อง สามารถเอาเม้าส์มาเสียบ  usb บนคีย์บอร์ดได้อีกทอดหนึ่ง  แต่คีย์บอร์ดและเม้าส์รุ่นคู่หูของ imac ตัวนี้หายไปแล้ว พอใช้คีย์บอร์ดอื่น เม้าส์ยี่ห้ออื่น ก็ช่อง usb หมดพอดี  จะเพิ่ม usb wifi ก็ไม่ได้  การจะเล่น internet มาตัว imac โบราณนี้เหลือเพียงพอร์ต lan เท่านั้น  ซึ่งก็ต้องเดิน lan แสนยุ่งยากมาใช้  สุดท้ายจนปัญญา เลยต้องไปใช้ ระบบ ac lan แทน  คือตัวเชื่อมสัญญาณ  lan ผ่านสายไฟ AC ในบ้านนั่นเอง  โดยตัวส่งสัญญาณจะอยู่ใกล้ๆ router เสียบสาย lan เข้ากับ router  ส่วนตัวรับก็มาเสียบอยู่ข้างๆ  imac โดยตัวรับจะมีช่องให้เสียบสาย lan ได้ 2 ช่อง ทำให้เราสามารถใช้งาน imac กับ internet ได้

 

imac รุ่นนี้มี firewire ให้ 2 ช่อง  ทำให้เราสามารถใช้ฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อผ่าน firewire ได้สะดวก  และทำให้เราได้ความเร็วในการโอนข้อมูลข้ามไดร์ฟที่สูงมาก  หากเราจะย้ายข้อมูลเพลงสัก 10Gb ด้วยช่อง usb1 เราคงใช้เวลาหลายชั่วโมง  แต่กับ firewire ในเวลาไม่เกิน 5 นาทีก็เสร็จแล้ว

 

ความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ 1024×768 จุด  อาการจอภาพ CRT เริ่มรวนก็มีให้เห็น บางครั้งเมื่อเครื่องร้อนจัดก็ทำให้จอไม่มีภาพไปเฉยๆ  ต้องปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่บ่อยๆ  ส่วนลำโพงที่อยู่ในจอก็มีเสียงแตกหมดแล้ว ไม่สามารถฟังเพลงได้อีกต่อไป  สิ่งที่ควรจะทำเพื่อให้ imac สามารถฟังเพลงได้ก็คือ เสียบสาย mini 3.5 เข้าช่องหูฟัง แล้วนำสัญญาณเพลงไปขยายด้วยเครื่องขยายเสียงภายนอกอีกที  กับอีกวิธีหนึ่งก็คือ ใช้ iTune เปิดเพลงแล้วเลือกให้เสียงเพลงไปดังที่ airport express ที่อยู่ในวง lan เดียวกัน  แบบนี้ก็ทำงานได้ดีไม่มีสะดุด

 

imac รุ่น dv เป็นรุ่นที่มีสีพลาสติกแบบใส  ชวนให้มองเข้าไปด้านใน  ในความรู้สึกส่วนตัวผมชอบซีรีย์นี้มากกว่า imac รุ่นแรกที่เป็นสีขุ่น   แต่ตัวที่อยากได้มากกว่าตัวอื่นๆก็คือ imac dv ที่เป็นลายดอกไม้  ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมาก  ผมหามาตลอดเกือบสิบปี ไม่เคยเจอประกาศขายเลย และอีกตัวที่อยากได้คือรุ่น cube ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่กล้าหาญและสวยงามที่สุดของโลกคอมพิวเตอร์เลย  การรื้อของเก่าออกมาใช้งานเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆเลย   แม้ว่ามันจะช้า เสียเวลามากมาย แต่สิ่งที่ได้มันคือความสุขเล็กน้อย  ความสุขที่เราได้ครอบครองของบางสิ่งที่เราเคยยืนมองอยู่หน้าตู้แต่ในเวลานั้นเราไม่มีเงินซื้อ

my dog and mac - 6apr2007 -IMG_0175

headphoneamp ทำเองไม่ยาก

P_20150521_130132
P_20150521_130141
P_20150521_130124
P_20150521_130224

เครื่องขยายเสียงหูฟัง ถูกทำขึ้นเพื่อใช้ฟังเพลงด้วยหูฟัง แหล่งโปรแกรมที่ป้อนเข้าเครื่องขยายเสียงตัวนี้เดิมเป็นเครื่องเล่นซีดี เหตุที่ทำก็เพราะอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้ฟังกับลำโพงนั้นไม่มีช่องต่อหูฟัง เลยต้องดิ้นรนทำระบบแอมป์หูฟังใช้งานเอง

เริ่มจากหาวงจรแบบง่ายๆ หากล่องที่ดูพอใช้ได้ แล้วก็เจาะรูใส่ช่องเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 3.5มม. และ 1/4นิ้ว อย่างละ 1 ช่องด้านหน้า ด้านหลังเป็นขั้วต่อสัญญาณแบบ RCA ไฟเลี้ยงใช้ไฟ 12V dc วงจรขยายภายในใช้ ic ขยายสัญญาณสำเร็จรูป LM386 เป็นวงจรขยายสัญญาณ มันมีกำลังประมาณ 0.5 วัตต์ที่ความต้านทาน 8 โอห์ม ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานกับหูฟังทั่วไป

IMG_0113

แอมป์หูฟังตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาก่อน ipod ซึ่งถ้านับถึงวันนี้ก็ประมาณ 15 ปีแล้ว มันยังไม่เสีย ยังไม่รวน วอลลุ่มยังไม่สกปรกเลย อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้ก็ได้ เมื่อก่อนวงการหูฟังยังไม่คึกคัก โนเกียยังครองโลก หูฟังยังไม่มีความนิยมใช้งานเลย หูฟังในยุคนั้นเป็นหูฟังที่ไม่ได้ใช้กำลังมากมาย แต่มายุคนี้ ยุคปี 2015 หูฟังมากมายเปิดตัวกันราวกับดอกเห็ด หุฟังโอห์มสูงตัวท๊อปราคาแพงเป็นหมื่น หลายหมื่นมีให้ซื้อกันง่ายๆ สิ่งที่น่าภูมิใจก็คือ แอมป์ตัวนี้ขับหูฟังอย่าง sennheiser HD800 ได้ดังฟังได้สนุกมาก แม้สัญญาณรบกวนจะได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่พอหยวนๆกันได้ เพราะค่าตัวหูฟังก็เกือบห้าหมื่น จะใช้แอมป์หูฟังตัวละห้าร้อยมาขับย่อมมีของแถมบ้างเล็กน้อย แต่ถามว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเครื่องเสียงตัวอื่น เราสามารถมีความสุขกับแอมป์หูฟังตัวนี้ได้ไหม มันก็ได้ตามอัตภาพของมันนั่นแหละ

เทคนิคการทำแอมป์หูฟังสำหรับหูฟังโอห์มสูงขับยากก็คือ ต้องใช้วงจรขยายสัญญาณที่ใช้ไฟเลี้ยงสูงๆ ยิ่งสูงยิ่งดี

lm368-audio amp
IMG_1769

จากการทดลองใช้มานาน บางวันผมก็หยิบหม้อแปลงของเครื่อง external hardisk มาใช้ มันเป็นหม้อแปลงที่เป็นระบบ switching power supply ซึ่งให้แรงดันคงที่ กระแสไฟเยอะ ขณะที่น้ำหนักเบา แต่ก็มีสัญญาณรบกวนเยอะเช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเสียงรบกวนปะปนออกมาตอนฟังเพลง หากใช้หม้อแปลงแนวโบราณหน่อยที่ออกแบบเป็นวงจรลิเนียร์ใช้ไดโอดเร็คติไฟร์แบบดั้งเดิม เราก็ได้หม้อแปลงที่สัญญาณรบกวนน้อยลง มีผลทำให้แอมป์หูฟังเสียงรบกวนน้อยลงไปด้วย ส่งผลตรงกับคุณภาพการฟัง

LM386 ซื้อที่นี่ได้ครับ https://s.lazada.co.th/s.QVDVK

IMG_0253

3 วัน 2 คืน เอวาซอน ปราณบุรี

เอวาซอนหัวหิน หรือ เอวาซอนปราณบุรี มันคือที่เดียวกัน ตอนที่ผมรู้ว่าจะต้องขับรถมาที่นี่ก็หาข้อมูลจากในเน็ต และก็เกิดอาการมึนงงว่าตกลงมันอยู่ใกล้หัวหิน หรือ มันอยู่ปราณบุรี ใครช่างใส่ข้อมูลให้คนเดินทางต้องสับสน เลยต้องถามแฟนอีกครั้งว่า เอวาซอนมีที่เดียว ไม่มีสาขาใช่ไหม พอรู้ว่าที่เดียวก็เลยหายงง ขับรถไปปราณบุรีนั่นเอง

IMG_0002_1.JPG

ออกเดินทางจากกรุงเทพ ถนนนครอินทร์ เติมน้ำมันเต็มถัง e20 รถฮอนด้าฟรีด จดระยะทางบนหน้าจอเก็บไว้ 133660 กม แล้วก็ขับไปตามเส้นทาง พระราม2 ปากท่อ เพชรบุรี เข้าบายพาสไม่ผ่านชะอำ ตรงไปที่ปราณบุรี แวะกินมื้อกลางวันที่ร้านยกซด ซึ่งเป็นร้านดังที่มีแต่รถกรุงเทพแห่มากิน และเข้าที่พักเอวาซอน ปราณบุรี โดยการนำทางของ gps ยี่ห้อ garmin

IMG_0004_1.JPG

ห้องพัก 313 เป็นห้องพักขนาดใหญ่ ในห้องมีเตียงเดี่ยวขนาดนอนสองคนหนึ่งเตียง มีมุ้งให้ด้วย ที่ระเบียงหน้าห้องมีอีกหนึ่งเตียงใหญ่ๆพร้อมมุ้งเช่นกัน ใครอยากนอนดมกลิ่นดินและน้ำค้างก็ให้นอนระเบียงไม่ต้องกลัวยุง สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักเป็นไปในแบบหรูหราห้าดาว แต่ที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำ ไม่มีเครื่องเล่นดีวีดี เคเบิ้ลทีวีไม่ระบุสัญชาติ ดูช่องทีวีดิจิทัลไม่ได้ อินเทอเน็ตแบบไร้สายมีให้ใช้ แต่ห้องหนึ่งจะจำกัดให้ต่อได้แค่ 2 อุปกรณ์ แฟนผมใช้สิทธิ์ไปหนึ่ง ตัวผมเอง มีโน้ตบุ๊คสองตัว มีมือถือ มีแท็บเบล็ต จะใช้แต่ละชิ้นก็ต้องคอย disconnect ตัวเก่าก่อนทุกครั้ง ลำบากมากกับคนของเล่นเยอะ

IMG_0008.JPG

พื้นที่ในโรงแรมจัดไว้เป็นระเบียบ กว้างใหญ่ดี แต่ก็ทำให้ที่จอดรถอยู่ไกลจากห้องพักมาก ไม่สามารถจะเดินไปหยิบของที่รถแแล้วเดินกลับห้องได้ง่ายๆเลย ทีแรกก็ทำได้ แต่ถ้าให้ทำอีกทีขอเรียกรถกอล์ฟดีกว่า คนของเยอะกระเป๋าแยะต้องวางแผนการย้ายของให้ดี พอบ่ายมากๆเกือบเย็นก็พาลูกไปเล่นทรายที่ชายหาด ปรากฏว่า ไม่มี โรงแรมนี้ไม่มีหาดทราย มีถนนกั้นระหว่างโรงแรมกับทะเล พ้นถนนก็ตกทะเลเลย ไม่มีหาดทราย ย้ำ ไม่มีหาดทราย ผมได้ยินชื่อเอวาซอนมาหลายปี ไม่เคยคิดว่าจะเป็นโรงแรมติดทะเลที่ไม่มีหาดทราย

IMG_0014_1.JPG

ในช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในเอวาซอนเป็นช่วงที่มีการทำถนนเรียบชายหาด แต่ชายหาดที่นี่มีเพียงสั้นๆและไม่ได้อยู่ใกล้โรงแรมในระดับที่เดินถึง หน้าโรงแรมด้านทะเลเป็นบันไดเดินลงทะเล ไม่สามารถเล่นน้ำทะเลได้ มีกองทรายก่อสร้างอยู่ด้านหน้าเอวาซอนที่ดูเหมือนจะเอาไว้จัดงานอะไรสักอย่างที่กำลังจะรื้อออก ก็เลยให้ลูกเล่นทรายที่บ่อทรายก่อสร้างนี้แทนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะขับรถหาหาดทรายจริงๆให้

IMG_0026_1.JPG

โลกของเด็กสวยงามเสมอ เห็นทะเล เห็นกองทรายก่อสร้าง เด็กชายขอบฟ้าก็บอกนี่ไงหาดทราย แล้วก็ขอเล่นทันที อุปกรณ์ตักทรายก็โรยตัวลงบนพื้นแล้วก็เรนเดอร์ไปตามจินตนาการของเด็กคนหนึ่ง เห็นลูกสนุกพ่อแม่ก็ฟินแล้ว ปล่อยให้เล่นไปตามใจเลยแบบนี้

IMG_0020_1.JPG

กลับมาที่ห้องพัก เราเริ่มมองเห็นของหลายอย่างที่ดูน่าสนใจ มีรายละเอียดที่อยากจะบันทึกเอาไว้ เริ่มจาก ปลั๊กไฟ usb power ที่ฝังอยู่ที่ผนังพร้อมใช้งาน ไม่ต้องพกอแด๊ปเตอร์ usb เลย เราสามารถเสียบสายจากผนังมาชาร์จมือถือได้ทันที เพิ่งจะเจอที่นี่ที่แรกที่ออกแบบไว้พร้อมขนาดนี้ แถมปลั๊กไฟรอบๆห้องก็มีจุดให้เสียบหลายจุด สามารถเสียบโน้ตบุ๊คใช้ไฟห้องได้พร้อมกันไม่ต่ำกว่า 4 ตัว ซึ่งไม่ต้องไปแย่งปลั๊กไฟจากทีวี ตู้เย็นและกาต้มน้ำเสียด้วย ปลั๊กไฟที่นี่ให้หกดาวเลย

IMG_0072_1.JPG

อีกจุดนึงที่เจ๋งก็คือไฟหัวเตียง ไม่ได้มาเป็นโคมไฟดูโบราณฝุ่นจับดูไม่กล้าแตะแบบโรงแรมทั่วไป แต่มาเป็นแท่งดูทันสมัย ใช้หลอด led เปิดปิดที่กระบอกโคมได้เลย แสงสว่างมากพอสำหรับอ่านหนังสือหรือให้ความสว่างในห้องได้อย่างเพียงพอ และแท่งแบบนี้มีทั้งสองฝั่่งเตียง ผมคิดว่าเจ้าของโรงแรมเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีถึงออกแบบแสงสว่าง ปลั๊กไฟ ได้โดนใจขนาดนี้

IMG_0073_1.JPG

มีกระดาษแนะนำใบหนึ่งที่ดูดีมากๆ มากกว่าจะเป็นแค่กระดาษจดหมาย A4 ธรรมดา ลักษณะการพิมพ์เป็นงานพิมพ์สีเดียว พิมพ์บนกระดาษหนาพิเศษ คาดว่าจะเป็นงานพิมพ์ระบบ letterpress หรือไม่ก็ screen เพราะเครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ท และ injet ทำงานกับกระดาษหนาขนาดนี้ไม่ได้ กระดาษใบนี้ถูกวางไว้ในห้องเพื่ออธิบายสิ่งที่โรงแรมต้องการบอกกับนักท่องเที่ยว และตั้งใจใช้งานอย่างยาวนานเลยทำให้ดูพรีเมี่ยมและดูทน ใครเห็นก็ต้องอ่าน ไม่ใช่มองผ่านไปแบบกระดาษใบปลิวทั่วไป

IMG_0075_1.JPG

โรงแรมมีอาหารเช้าให้เป็นบุฟเฟ่ต์ มื้อเที่ยงต้องหากินเอง เราลองมากินที่ร้านของโรงแรมบ้าง พนักงานแนะนำว่า ถ้ามีเด็กมา จะมีเมนูให้เด็กฟรีหนึ่งเมนูในหน้าพิเศษ ดูรายการอาหารแล้วก็เลือกบะหมี่น้ำให้ขอบฟ้า ส่วนพ่อกินแซนวิช แม่กินพิซซ่า ของที่นี่เมนูเด็กก็ไซ้ส์เล็ก เมนูผู้ใหญ่ก็ไซ้ส์ใหญ่ กินกันอิ่มเลย เราบอกกับขอบฟ้าว่า ถ้าจะเล่นอะไรในโรงแรมจะต้องกินข้าวให้ท้องป่องถ้าท้องไม่ป่องพี่คนดูแลจะไม่ให้เล่น จะต้องให้มากินจนป่องเสียก่อน ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะขอบฟ้าเป็นเด็กที่ห่วงเล่น กินยาก เวลาที่ขอบฟ้างอแงไม่ยอมกินก็จะขอเช็คท้องป่องกันทีนึง ก็เลยมีภาพเปิดพุงให้ดู

IMG_0068.JPG

เย็นวันต่อมาเราขับรถไปหาหาดทรายเล่นกัน ใช้เวลาบนรถประมาณ 10 นาทีเราก็มาถึงหาดทราย สภาพอากาศร้อนๆ ลมแรง มีคนเล่น kite surf เต็มไปหมด เราก็ดูด้วยความสนใจ ส่วนเด็กก็ปักหลักเล่นทรายกันไม่สนสิ่งรอบข้างเลย

IMG_0079_1.JPG

IMG_0085_1.JPG

ขอบฟ้าชอบทะเล ชอบหาดทราย ชอบเล่นทราย เหตุผลเดียวที่เลือกมาทะเลคือพาลูกมาเล่นทราย ชีวิตในวัยเด็กของทุกคนคงเป็นแบบนี้ บ้านอยู่กรุงเทพ การมาทะเลจะสนุกมากเพราะได้เที่ยว ได้เล่นน้ำ และได้เล่นทราย คงเป็นที่สุดของการเดินทางหนึ่งครั้ง ขอบฟ้าเองก็มีที่สุดแบบนี้ไปหลายครั้งแล้วด้วย ในช่วงอายุที่น้อยกว่านี้ก็จะนั่งเล่นทราย ยังไม่มีภาพวิ่งและกระโดดแบบรอบนี้

IMG_0109_1.JPG

IMG_0116_1.JPG

IMG_0120_1.JPG

เช้าวันใหม่ขอบฟ้าขอมาเล่นทรายอีก เช้าที่ทะเลแถบนี้ พระอาทิตย์จะขึ้นที่ทะเล นั่นหมายความว่าไม่มีต้นไม้บังแสงแดดให้เลย เมื่อวานเรายังได้ร่มไม้จากฝั่งช่วยบังแดดให้เลยเล่นทรายตอนแดดออกได้ แต่เช้าแบบนี้ พระอาทิตย์ยิงตรงมาจากด้านทะเล เป็นสิ่งที่ทรมานพ่อแม่ที่สุด เพราะในหัวหินรอบก่อนหน้านี้ พ่อก็ยืนเป็นยักษ์วัดแจ้งบังแดดให้

IMG_0129_1.JPG

ด้วยความที่เป็นช่างภาพ เห็นแสงแดดและท้องฟ้าแบบนี้ ใช้หลักการวัดแสงแบบกฏ sunny 16 ได้เลย คือ iso100 สปีด 1/125 วินาที ค่า f16 จะให้แสงที่พอดี ถ้าถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์ก็จะเป็นค่าสีที่สุดแสนจัดจ้าน ฟ้าเป็นฟ้า ส่วนที่เข้มก็จะน้ำเงินเข้มเกือบดำ ผมเลือกใช้ค่า f4 แทนแล้วเพิ่มสปีดให้มากขึ้น เพื่อหวังผลว่าจะได้ภาพที่มีชัดตื้นคือมีส่วนชัดและเบลออยูู่ในภาพ และปรับตั้งกล้องดิจิทัลให้ไม่ต้องชดเชยขอบภาพสีเข้มให้เป็นสีปกติเท่ากับกลางภาพ อันเป็นข้อจำกัดของเลนส์เวลาถ่ายภาพด้วยค่า f กว้างๆ แต่ผมชอบให้ขอบภาพสีเข้มกว่าตรงกลางภาพ เลยปิดฟังค์ชั่นชดเชยเสีย

IMG_0155_1.JPG

แสงแดดแรงขนาดนี้ เลยไปเอาขาตั้งกล้องมาใช้วางใบไม้เพื่อช่วยบังแดด ไม่ทำให้คนเล่นต้องทรมานมาก เหมือนมีต้นไม้บังแดดให้ ได้ขาตั้งมาช่วยก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เดินหากิ่งร่วงๆแถวหาดทรายได้สองอันก็จัดการทำเป็นที่บังแดดซะเลย ถ่ายภาพไว้หลายมุมเก็บเป็นไอเดีย ไว้เที่ยวทะเลครั้งต่อไปจะต้องเตรียมของแบบนี้เอาไว้ด้วย

IMG_0130_1.JPG

IMG_0132_1.JPG

IMG_0134_1.JPG

สุดท้ายเด็กยังไงก็จะเล่นแบบเด็ก อุตส่าห์บังแดดให้ก็ยังวิ่งเล่นไปทั่ว ความร่าเริงและซนไม่เลือกแบบนี้ไม่มีวิธีรับมือนอกจากวิ่งตาม ปล่อยให้เล่นจนเหนื่อยแล้วค่อยพากลับ มือและเท้าเต็มไปด้วยทราย รถเละเทะเลย ขนาดเตรียมน้ำใส่ขวดไว้ล้างก่อนขึ้นรถแล้วก็ยังมีเศษทรายอยู่เต็มรถไปหมด คนล้างรถคงเหนื่อยหน่อย

IMG_0159_1.JPG

โรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เยอะ มีสระว่ายน้ำสำหรับผู้ใหญ่ มีสระว่ายน้ำเด็กที่อยู่ติดกับห้องของเล่น มีสปา มีพี่เลี้ยงเด็กช่วยดูเด็กให้คิดค่าใช้จ่ายพี่เลี้ยงเป็นชั่่วโมง ถ้าไม่ใช้พี่เลี้ยงก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม กล้องถ่ายภาพที่ใช้ตลอดทริปก็คือ canon eos 6d เลนส์ ef 24-105L

IMG_0218.JPG

IMG_0215.JPG

IMG_0196_1.JPG

IMG_0043_1.JPG

IMG_0046_1.JPG

ขากลับมายังกรุงเทพ เดินทางออกจากที่พัก เปิด gps แล้ววิ่งตามแผนที่มาเรื่อยๆ มีแอบนอกใจ gps นิดนึงตรงทางแยกมีป้ายเขียนว่าไปเพชรเกษม ให้เลี้ยวขวา แต่ gps บอกให้เลี้ยวซ้าย ในใจก็คิดว่า gps ก็ผิดพลาดได้ เราวิ่งตามป้ายบอกทางดีกว่า ผลก็คือ ป้ายบอกทางพาเราไปถ.เพชรเกษมที่วิ่งผ่านสวนสนฯ และหัวหิน ไปโดนรถติดในหัวหินอยู่ครึ่งชั่วโมง แทนที่เราจะได้วิ่งเส้นบายพาสเหมือนขามา ถ้าเชื่อ gps ตลอดคงไม่ต้องมาเสียเวลากับหัวหินขนาดนี้ กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ตอนค่ำๆแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันแห่งเดิม เติม e20 เต็มถัง บันทึกหลักกิโลที่ 134194 เติมไป 1010 บาท จำนวนน้ำมัน 39.33 ลิตร

คิดเป็นระยะทางออกมาได้ 534 กิโลเมตร
คิดเป็น กิโลเมตรต่อลิตร 534/39.33 = 13.57 กิโลเมตรต่อลิตร
คิดเป็น บาทต่อกิโลเมตร 1010/534 = 1.89 บาทต่อกิโลเมตร
รถที่ใช้คือ honda freed อายุ 5 ปี

จบรีวิวอัตราสิ้นเปลืองรถยนต์ของผมครับ รีวิวโรงแรมแถมให้

รีวิว nad dac1

IMG_0451.JPG

nad dac1 เป็น wireless dac ของ nad ที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาการเชื่อมต่อที่ยุ่งยาก  ตัวส่งสัญญาณ เป็น usb ตัวรับสัญญาณเป็นกล่องที่มีภาค Dac ให้สัญญาณเป็น L R และ มี coaxial out ให้อีกด้วย กล่องภาครับนี้ใช้ไฟเลี้ยง 5Vdc นักเล่น DIY สามารถสนุกกับมันได้ด้วยการทำเพาเวอร์ซัพพลายแบบคุณภาพสูงแทนตัวที่แถมมา เพราะตัวที่แถมเป็น switching ครับ หรือบางคนจะใช้ถ่านไฟฉาย หรือจะใช้ powerbank มาจ่ายไฟก็ไม่มีปัญหา

IMG_0452.JPG

การใช้งานเบื้องต้นก็คือ ฝั่ง usb เอาไปเสียบกับคอมฯ ใช้ os เป็น windows xp ก็ทำงานได้ลื่นๆ ไม่ต้องลงไดรเวอร์ ลองใช้กับ mac mini osx 10.6 ก็ใช้งานได้ดีครับ ไม่ต้องลงไดรเวอร์เช่นกัน ความเรียบง่ายของ usb ที่ nad ออกแบบมามันเสียบแล้วเล่นได้เลยจริงๆ

IMG_0453.JPG

ผมลองใช้กับเครื่องคอมฯ nettop ที่มี output เป็น Hdmi และ optical ปกติเวลาจะเลือกใช้ช่อง digital ต้องมานั่งงมกันว่าจะตั้งค่าเมนบอร์ดอย่างไรให้เสียงออก optical ไม่ต้องออก hdmi พอเซ็ทไปก็ลืม อีกหลายเดือนจะให้เสียงออก Hdmi ไม่ต้องออก optical ก็ต้องไปงมหาอีก มึนกันไปหลายนาที แต่ usb ของ nad dac1 ตัวนี้ เสียบแล้ว มันเสียงออกที่ตัวรับเลย ง่ายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

IMG_0461.JPG

ผมมีคอมฯใช้งานอยู่ 3 ตัว คือ
nettop manli ใช้ cpu atom d525 มี hdmi และ optical out os xp อีกตัวเป็น dell zino ซีพียู amd จำรุ่นไม่ได้ มี hdmi out os xp

อีกตัวเป็น mac mini 2.4Ghz มี hdmi out และ optical out 10.6 ทุกตัวผมใช้ nad dac1 ได้หมดเลยไม่มีปัญหา  ที่สำคัญคือ ทุกตัวให้เสียงเหมือนกันครับ โดยเฉพาะ nettop manli ที่คุณภาพบอร์ดมีสัญญาณรบกวนมหาศาล คงเป็น defect จากโรงงาน ฟังอนาลอกจากช่องหูฟังไม่ได้เลย มีแต่เสียงเดือดปุดๆ ไม่มีเสียงที่อยากฟังเลย ต้องฟังเป็น optical out หรือ hdmi เท่านั้น

ใช้อยู่หลายวันก็ลองสนุกกับ android บ้างครับ ผมมี samsung note8 อยู่ เลยไปเอาสาย usb otg มาเสียบบน note8 แล้วเอา usb dac1 มาเสียบต่ออีกที ผลก็คือ เสียงออกไปที่ตัวรับเช่นกัน และเสียงดีเหมือนกันด้วย เรียกได้ว่า ใครอยากให้ android เสียงดีขึ้น ต้องลองเสียบสาย usb otg แล้วมาลองเสียบกับ nad dac1 ครับ

ที่ตัวรับมีช่องสัญญาณ digital out ให้เล่นด้วย แต่ผมยังไม่ได้ลอง  คิดล่วงหน้าว่าใครใช้ smartphone หรือ tablet แล้วอยากให้มี digital out
ลองใช้ nad dac1 เป็นตัวดึงสัญญาณก็ได้นะครับ น่าจะทำงานได้

IMG_0819.JPG

ระดับการทำงานของ nad dac1 อยู่ที่ 16bit 48K ครับ ใครอยากได้สูงกว่านี้ต้องไปดูตัวอื่น  แต่สำหรับผมแค่นี้ก็พอเพียงสำหรับการฟังเพลงที่ผมมีอยู่ 99% แล้ว เพราะไม่เคยซื้อเพลงที่มีความละเอียดสูงกว่านี้เลย ส่วนใหญ่ซื้อแต่แผ่น CD กับ แผ่นรวม mp3 ตามห้างเท่านั้น

บุคคลิกเสียงของ dac1 จะมาแนวอิ่มๆ ใหญ่ๆ ความนิ่งค่อนข้างดี เทียบกับความทรงจำแล้ว dac ระดับกลางๆ หมื่นกว่าบาทจะให้เสียงที่ใสพอๆกัน แต่ nad จะให้เบสเยอะกว่า เหมือนกับว่าจูนเสียงมาให้ถูกหูกว่า เสียงของ nad dac1 ตัวนี้ไม่สากหู ไม่ระคายเคือง ไม่บาด ไม่กระจอก คุณภาพเสียงระดับนี้เปิดฟังแล้วไม่อายใคร พาเพื่อนมาสุมหัวฟังได้ ใช้รับแขกได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมก็คือระบบไร้สายที่แสนสะดวกสบายครับ การเชื่อมต่อที่ง่าย ต่อติดเสมอ ไม่กระเพื่อม ไม่สะดุด มันทำให้การฟังเพลงไร้สายเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมาพร้อมกับคุณภาพระดับสูง ดีกว่าการใช้ bluetooth เยอะ เพราะ bluetooth ที่ผมเจอมักจะรวน สายเข้า เสียงก็หลุดแล้ว

การทดสอบทั้งหมดใช้สายแถมในกล่อง ตั้งแต่หม้อแปลง สาย usb และสายสัญญาณสตอริโอ ไม่มีสาย digital แถมมานะครับ คุณภาพสายแถมก็เป็นแบบแดงดำที่ดูแล้วน่าจะราคาประมาณ 20-30 บาท เบิร์นเครื่องไป 10 วันต่อเนื่องแล้วไม่ปิดเลย ไม่มีปัญหาการค้าง ไม่มีเสียงหาย ไม่ร้อนเลย มีแค่คอมฯที่ใช้เปิดเพลงเท่านั้นที่อุ่นๆ ผมว่าถ้าเราหาคอมฯที่ไม่มีพัดลมมาใช้ได้ น่าจะทำให้ห้องฟังสงัดยิ่งยวดเลย การใช้งานกับ tablet อาจจะเป็นคำตอบที่ดีก็ได้นะครับ

ข้อมูลภายใน ข้อมูลทางไฟฟ้า ผมขอไม่พูดถึงละกันน่าจะหาอ่านได้ไม่ยาก หลังๆผมไม่ค่อยสนใจเรื่องสเป็คเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะเครื่องเสียงต้องวัดกันที่ตอนฟัง สเป็คมีไว้ดูคร่าวๆว่ามันเล่นอะไรได้ เล่นอะไรไม่ได้ เล่นได้แล้วดีหรือไม่ดี ถูกใจหรือไม่เราต้องปิดคู่มือแล้วฟังกันเท่านั้น

สิ่งที่ผมอยากให้ nad ทำขายเพิ่มเติมสำหรับ dac1 ก็คือ ตัวส่ง usb แบบแยกซื้อครับ เพราะระบบของ dac1 มีตัวเลือกส่งข้อมูลได้ 3 ช่อง คงออกแบบมาเพื่อป้องกันการรบกวนกัน เราน่าจะใช้ select ที่กล่องรับเพื่อเลือกรับแหล่งโปรแกรมได้ 3 ชุด ตามช่องดาต้าที่มีให้เลือก ผมก็เลยอยากได้ usb ซื้อเพิ่มเพื่อใช้งานกับคอมฯตัวอื่นๆบ้าง

รีวิว ลำโพงบลูทูธ sony btx300

20141224094419_IMG_0045

ลำโพงบลูทูธเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆตามติดไปกับยอดขายของสมาร์ทโฟนและแท็บเบล็ตที่ยึดตลาดไอทีไว้แล้ว แม้ลำโพงระบบบลูทูธจะมีมาหลายปี แต่คุณภาพของลำโพงระบบบลูทูธเพิ่งจะมีการพัฒนาการแบบก้าวกระโดดเมื่อไม่นานมานี้ ย้อนกลับไปก็น่าจะเป็นลำโพงของ bose รุ่น soundlink ที่ทำลำโพงบลูทูธมีแบตเตอรี่ในตัวออกมาซึ่งมีคุณภาพเสียงที่ดีมากจนผู้ใช้เริ่มอยากได้ และทำให้ตลาดลำโพงบลูทูธนี้ร้อนแรงขึ้นทันที

20141224094333_IMG_0042

เมื่อก่อน การทำลำโพงเล็กๆให้สามารถส่งเสียงเบสได้ดีเกินตัว จะใช้เทคนิคการประมวลผลของ DSP มาช่วยแบ่งความถี่เสียงออกด้วยสูตรคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน และสร้างความถี่ฮาร์โมนิคหลายๆลูกเพื่อทดแทนการสร้างความถี่ต่ำตัวจริง เพื่อให้ลำโพงสามารถถ่ายทอดเสียงต่ำได้ราวกับว่ามันเป็นซับวูฟเฟอร์หรือเป็นดอกลำโพงขนาดใหญ่

20141224094340_IMG_0043

ผมเคยมีลำโพงบางๆที่เป็นระบบบลูทูธ มันสามารถให้เสียงกลางแหลมที่พอใช้ได้ และมีเสียงเบสที่พอทนฟังได้ ถ้าเราฟังแค่ลำโพงตัวนี้ตัวเดียวเราก็คงพอใจกับมัน แต่พอเรากลับไปฟังเครื่องเสียงบ้าน เราก็จะค้นพบว่า เสียงเบสที่เราฟังกับลำโพงบลูทูธตัวบางๆตัวนั้นเป็นเสียงเบสที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนวันหนึ่ง bose ออกแบบลำโพงบลูทูธเอง และได้ใช้เทคนิคการสร้างคลื่นความถี่ต่ำด้วยระบบ passive radiator เป็นผลทำให้คุณภาพเสียงออกมาดีมาก ฟังผ่านๆแล้วรู้สึกว่ามันใกล้เคียงลำโพงบ้านแล้ว นั่นทำให้ลำโพงบลูทูธเริ่มได้รับความสนใจ และในเวลาไม่นาน ลำโพงทุกยี่ห้อก็ทำลำโพงบลูทูธออกสู่ตลาด

20141224094537_IMG_0050

ณ เวลานี้ที่กำลังจะหมดปี คศ 2014 ลำโพงบลูทูธขนาดพกพาได้ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเสียงดีจะเป็นลำโพงที่มีลักษณะการออกแบบให้เป็นระบบ 2.1 กันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการสร้างความถี่ต่ำด้วยระบบซับวูฟเฟอร์แท้ๆนั้นให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า เป็นธรรมชาติกว่าการประมวลผลที่ใช้ DSP แบ่งความถี่ต่ำออกเป็นความถี่ฮาร์โมนิคที่สูงขึ้นหลายๆลูกแล้วค่อยนำมารวมกันในตอนสร้างคลื่นเสียง ระบบเสียง 2.1 ในลำโพงพกพาจึงสร้างความพอใจได้ และทำให้ขายดีมาก

ลำโพงที่เราเอามาลองฟังกันในวันนี้เป็นของ sony รุ่น btx300 เป็นลำโพงพกพา มีแบตเตอรี่ในตัว ใช้ไฟเลี้ยง 12.5โวลท์ มีช่องรับสัญญาณเสียงแบบ Aux และ bluetooth มีปุ่มปรับเสียงให้เลือกลักษณะเสียง 3 แบบ มีช่องต่อสาย usb out ที่ทำหน้าที่จ่ายไฟแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถอ่านไฟล์จาก thumbdrive ได้ และที่สำคัญคือ มีระบบ NFC เอาไว้ให้ใช้ช่วยติดตั้งได้ง่ายขึ้น

ในกล่องจะมีเพียงแค่ตัวลำโพง อแด๊ปเตอร์ ซองผ้ากันกระแทก และคู่มือเท่านั้น ไม่มีสายสำหรับ Aux มาให้ การเชื่อมต่อด้วยบลูทูธทำได้ไม่ยาก แถมยังมีระบบ NFC ช่วยอำนวยความสะดวกให้ติดตั้งเข้ากับอุปกรณ์ที่มี NFC ด้วยกันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

20141224094526_IMG_0049

btx300 เป็นลำโพงที่มีขาตั้งในตัว ขาตั้งด้านขวาจะต้องกางออกมาเพื่อเปิดให้กดปุ่ม power ได้ และจะต้องกางแบบนี้ตลอดการทำงาน ถ้าเราหุบขาต้้งเครื่องก็จะปิดตัวเองไปด้วย วัสดุที่ใช้ประกอบตัวลำโพงให้สัมผัสที่รู้สึกแพง ไม่มีคำว่าก๊องแก๊ง การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทำได้ง่าย ลำโพงสามารถใช้พูดคุยโทรศัพท์ได้ด้วยเพราะมีไมค์รับเสียงในตัว ผมลองเชื่อมเข้ากับมือถือ Asus Zenphone5 และ tablet Samsung note8 ก็สามารถเชื่อมได้ง่ายทั้งคู่ ลองกับโน้ตบุ๊คที่มีระบบ NFC ก็ทำได้ง่ายดายเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา notebook acer w511 ของผมเป็นโน้ตบุ๊คที่ผมไม่เคยเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อฟังเพลงผ่านหูฟังบลูทูธได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่พอเชื่อมกับ sony btx300 ด้วยการสัมผัสแบบ NFC กลับทำได้ภายในไม่กี่วินาที ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าระบบ bluetooth ในโน้ตบุ๊คไม่เสีย

20141224094445_IMG_0046

คุณภาพเสียงของ btx300 อยู่ในเกณฑ์ที่เสียงดี การฟังเพลงผ่าน btx300 ไม่สร้างความรำคาญใดๆให้กับผู้ฟัง เสียงกลางแหลมที่คมชัด เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับลำโพงเล็กๆในยุคนี้ ส่วนเสียงเบสหรือเสียงทุ้มมาในแนวนุุ่ม น่าฟังมาก ไม่กี่วินาทีที่เสียงเพลงเล่นออกมา เราก็รับรู้ได้ถึงเสียงเบสที่กลมกล่อม ระบบ 2.1 ทำงานได้สมราคา คุณภาพเสียงโดยรวมให้ความรู้สึกน่าฟังมากกว่าลำโพงเล็กๆทั่วไป การจัดวางลำโพง btx300 ต้องพิถีพิถันพอสมควร เพราะมันให้เสียงที่เปลี่ยนไปเมื่อย้ายที่วาง วางบนหิ้งหรือโต๊ะไม้ก็เสียงแบบหนึ่ง บางบนพื้นกระเบื้องพื้นปูนก็อีกแบบหนึ่ง

btx300 มีปุ่มปรับเสียงให้ 1 ปุ่ม เมื่อเปิดเครื่องมาปกติ จะเป็นเสียงแบบที่หนึ่งหรือเสียงแบบ flat ซึ่งก็จะให้เสียงเบสที่พอใช้ได้แล้วสำหรับเพลงส่วนใหญ่ แต่หากไม่พอใจก็สามารถกดเพื่อเปลี่ยนเสียงให้มีเบสเยอะขึ้น เสียงเบสนุ่มใหญ่ก็จะเหมือนพองตัวใหญ่ขึ้น และถ้ากดอีกครั้งจะเป็นเสียงระบบเซอราวด์ มีเสียงแอมเบี้ยนส์และย่านเสียงสูงโอบล้อมมากขึ้นหากเรานั่งฟังหน้าตรงกับลำโพง ปุ่มปรับเสียงนี้มีประโยชน์มากเมื่อเราย้ายที่วางลำโพง เพราะแต่ละที่จะมีการตอบสนองของเสียงไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้สึกว่าเสียงบางเราก็กดปุ่มเพิ่มเบส แค่นี้เราก็ได้เสียงที่ดีขึ้นแล้ว

ข้อดีคือ เสียงดี แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 8 ชั่วโมง มีซองผ้ามาให้แล้วไม่ต้องซื้อเพิ่ม มีปุ่มปรับเสียงเพิ่มเบสได้ มีช่อง usb ที่จ่ายไฟได้ 1 A ใช้แทน powerbank ได้

ข้อเสียที่พบก็คือ มันมีขนาดใหญ่กว่าลำโพงพกพาของยี่ห้ออื่น น้ำหนักก็ค่อนข้างหนักมาก ถ้าจะต้องหิ้วติดตัว ใส่เป้ มันก็เป็นภาระพอสมควรเลย แต่ถ้ามันถูกใช้งานในบ้าน ย้ายไปมาระหว่างห้องบ้าง มันก็ยอดเยี่ยมครับ

P_20150513_103132

spec

GENERAL

Bluetooth Profiles

Advanced Audio Distribution Profile (A2DP), Audio/Video Remote Control Profile (AVRCP), Hands-Free Profile (HFP), Headset Profile (HSP)

Audio System Nominal Output Power (Total)

20 Watt

Frequency Response

20 – 20000 Hz

Connectivity Technology

wired, wireless

Rechargeable Battery

rechargeable

Run Time (Up To)

8 hour(s)

Power Consumption Operational

31.5 Watt

Power Source

battery

USB charging

Connectivity Interfaces

Bluetooth 3.0, Near Field Communication (NFC)

ปลั๊กไฟที่รอคอย

P_20141215_171215
P_20141220_094045

ปลั๊กไฟเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เคยได้รับการออกแบบให้ทันสมัยเลย ทั้งๆที่อุปกรณ์ไอทีต่างๆเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันกันถ้วนหน้า คนหนึ่งคนมีอุปกรณ์ไอทีที่ต้องชาร์จไฟมากกว่าหนึ่งอย่างมานานมากแล้ว ตัวผมเองก็มีของพวกนี้จำนวนมาก และก็มีปัญหาเรื่องการเสียบสายชาร์จมาตลอด

มาลองคิดกันเล่นๆ คนหนึ่งคนต้องใช้อุปกรณ์ไอทีอะไรบ้าง ซึ่งของพวกนี้ต้องชาร์จไฟทุกวัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง บางคนมี 2 บางคนมี 3 โน้ตบุ๊ค เครืองเล่น mp3 แท็ปเบล็ต mifi GPS อาจมีกล้องดิจิทัลอีก บางคนอาจรวมของหลายอย่างเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว แต่ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ยังมีของพวกนี้แยกกันใช้คนละหน้าที่อยู่เยอะ

ผมมาเจอปลั๊กไฟที่มีขายในเน็ตตัวหนึ่ง ดูหน้าตาแล้วต้องร้องว่า ใช่เลย มันเป็นปลั๊กพ่วงที่มีสวิตซ์ปิดเปิดไฟที่ใหญ่ดูแข็งแรง มีช่องเสียบปลั๊ก 2 ช่องเอาไว้ใช้กับโน้ตบุ๊ค มีช่องเสียบ usb 4 ช่อง โดย 2 ช่องจะเป็น usb ที่จ่ายไฟได้ 2.1 แอมป์ เพื่อเอาไว้ชาร์ตแท็ปเบล็ต มี 2 ช่องที่เป็น usb 1 แอมป์สำหรับเอาไว้ชาร์จมือถือและอุปกรณ์อื่นๆใดๆ

ผมลองเอามาต่อเล่นๆ พบว่าผมมีอุปกรณ์ที่อยากชาร์จไฟมากกว่าช่องของมันทั้งหมดรวมกัน แต่ผมก็ถือว่าพอร์ตเสียบไฟที่มีให้มาแค่นี้ก็ถือว่าตอบสนองความต้องการได้เกือบทั้งหมดแล้ว และที่ดีใจมากเป็นพิเศษคือมันชาร์จไฟเข้าเครื่องเล่น ipod shuffle gen1 ของผมได้ด้วย ซึ่งเครื่องเล่นตัวนี้จำเป็นต้องใช้ที่ชาร์จไฟที่ให้ไฟสูงกว่า 5v เล็กน้อยมันถึงจะชาร์ตไฟได้ เพราะแม้แต่อแด๊ปเตอร์ของ apple เองที่เป็นรุ่น 10w ที่ออกแบบมาให้ใช้กับ ipad ยังไม่สามารถใช้กับ ipod shuffle ได้เลย

มินิรีวิว มินิคอมโป JVC EX-A3

มินิคอมโปตัวนี้เพิ่งได้มาไม่นาน จากการประกาศเคลียร์แล้นในเว็บแห่งหนึ่ง เมื่อได้มาก็ลองฟังคร่าวๆและเขียนบันทึกไว้คร่าวๆ จะเป็นรีวิวก็ไม่เชิง

IMG_0812.JPG
IMG_0819.JPG
IMG_0817.JPG

ผมพอใจกับน้ำเสียงของ A3 มาก เสียงเบสทำได้ดีไม่น่าเชื่อ บาลานเสียงของกลางแหลมกับเบสมีพอดีๆ ให้ความรู้สึกเหมือนลำโพงซับแซทชั้นดีที่จูนเสียงมาให้ฉ่ำอิ่ม จังหวะกระแทก เบสอิ่มๆ มีครบถ้วน การวางลำโพง ในคู่มือบอกให้วางห่างผนังประมาณ 15cm ซึ่งคงเป็นจุดที่ให้เบสได้ใหญ่ที่สุด แต่ผมวางห่างผนังหลังประมาณ 30cm ครับ

ราคาระดับนี้ หายากมากที่จะมีตัวที่ดีกว่าคุ้มกว่า จริงๆต้องบอกว่าไม่มีเลย ลำพังแค่ลำโพง หรือแค่ตัวเครื่องก็หาซื้อมาแทบไม่ได้แล้ว คุณภาพเสียงฟังจากแผ่นซีดี คุณภาพดีมาก เป็นเครื่องที่ฟังเพลงได้เพราะมาก ไม่เหมือนเครื่องเล่นดีวีดีทั่วไปที่ฟังแล้วไม่รู้สึกเพราะ

มีรายละเอียดอีกมากที่มันส่งเสริมให้คุณภาพเสียงออกมาดี ถ้าให้สาธยาย ผมต้องไปรับเงินเดือนที่ jvc เลยแหละ
เอาคร่าวๆก็คือ ตู้ลำโพงไม้ออกแบบมาดีดูมีความตั้งใจมาก ตัวซับเสียงภายในก็ไม่ใช่ฟองน้ำทั่วไป แต่เป็นเศษไม้เอามาทำให้เป็นก้อนๆแทนฟองน้ำ ขั้วลำโพงก็มีราคา สายลำโพงที่แถมมาก็เป็นของดี ไม่ใช่สายดำแดงเล็กๆบางๆ
วงจรดิจิทัลแอมป์มีระบบ feedback 2 ชั้น เห็นโลโก้ ที่ฝาบนว่า Hybrid feedback Digital amp
ไปหาข้อมูลเพิ่ม พบว่าเป็นระบบ feedback ที่จะประมวลผลสัญญาณออกลำโพง เพื่อชดเชยทำให้การตอบสนองความถี่เสียงเป็นไปตามที่ออกแบบ มี feedback ระบบดิจิทัลเพื่อควบคุมภาคดิจิทัลแอมป์ให้ทำงานเที่ยงตรง มี feedback analog คุมอีกที ซึ่งส่วนที่เป็นอนาลอกมันคือบล๊อกการทำงานแบบ op-amp มันก็หมายความว่า A3 เป็นโคตร op-amp พลังมหาศาลลลลลลลลลลลลลลลลลล

ถ้าคุณเป็นวิศวกรไฟฟ้า เจอคอนเส็บวงจรแบบนี้ต้องซื้อสองชุดเก็บไว้เลย แม้แต่แท่นเครื่องจุดที่วางพื้นมีสามจุด ก็มีการออกแบบเป็นสามเหลี่ยม มีตัวพยุงที่เกือบสัมผัสพื้นด้วย เพื่อป้องกันการวางเครื่องเอียงหรือเครื่องสั่น จะได้ไม่ทำให้ภายในรวน การอ่านแผ่นจะได้มีคุณภาพตลอดเวลา ภาคดิจิทัลแอมป์ และภาคจ่ายไฟออกแบบให้อยู่คนละด้านของตัวเครื่อง แยกให้ห่างที่สุดเป็นหลักการออกแบบที่ปราณีตและมีหลักการครับ

ถ้าคุณมองเครื่องนี้เป็นดีวีดี มันก็เป็นเครื่องเล่นดีวีดีที่ให้เสียงเพลงได้เพราะมาก
ถ้ามองว่าเป็นชุดลำโพง มันก็เป็นแอมป์พร้อมลำโพงที่หน้าตาดี ขนาดกระทัดรัดและให้เสียงดีมาก คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อชุดแอมป์และลำโพงแยกชิ้นสักห้าหมื่นเพื่อให้เสียงดีกว่านี้

การเชื่อมต่อมีให้หลากหลายครับ สามารถเพิ่มซับวูฟเฟอร์ได้ มี sub out ให้ใช้ สามารถอ่านไฟล์จาก usb ได้ เพลงที่โหลดมาทั้งหลายมีเครื่องเล่นดีๆแล้ว จะต่อจาก ipod หรือ player อื่นๆทางช่อง mini ก็ได้ รับ digital in ได้ด้วย ถ้าคุณมีเครื่องเล่น media player ที่มี digital out ก็ลงตัวเลย เครื่องนี้เครื่องเดียวเข้ามาในห้องฟังผม ผมปิดแอมป์ชุดหลัก เก็บลำโพงชุดหลักไปแล้ว ราคาเต็มสองหมื่นอาจจะซื้อไม่ลง แต่พอลดราคาลงมาขนาดนี้กลายเป็นของโคตรดีไปซะได้เลย บังเอิญช่วงนี้ผมใช้เงินเยอะ ไม่งั้นจะซื้อเก็บไว้อีกตัว

ผมเพลินไปกับการเล่นคอมฯ เล่นเน็ต เล่น ipod จนไม่เคยติดตามเครื่องเสียง mini compo เลย เวลาผ่านไปตามห้างก็เจอแต่เครื่องจีนราคาไม่กี่พัน ฟังกี่รอบก็เมิน ไม่อยากซื้อกลับบ้าน อยู่บ้านก็อยู่กับลำโพงมอนิเตอร์ห้องบันทึกเสียง อยู่กับแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอนด์ มันก็ลงตัว กลมกล่อม ไม่ได้อยากมีอะไรเพิ่มเติมเข้าระบบอีกได้ jvc A3 มาก็ใช้แทนได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีที่หยิบแผ่นซีดีมาฟังโดยตรง เพราะที่ผ่านมา ก็ฟังจากไฟล์ที่ริบเก็บไว้ตลอด

แถม รับวิทยุได้ค่อนข้างดีครับ ฟังเสียงดีเจแล้วไม่อยากปิดเครื่องเลย.

รีวิวเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบพกพา Crosley Revolution CR6002A-BK

sale2013-IMG_0026

เครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นสิ่งที่อยู่กับวงการเครื่องเสียงมายาวนานที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ต่างๆในแวดวงของนักเล่นเครื่องเสียง รูปทรงก็จะเป็นลักษณะของแป้นหมุนที่มีแขนประหลาดหรือโทนอาร์มติดหัวเข็มที่จิกลงไปบนแผ่นเสียงที่กำลังหมุนอยู่ เครื่องเล่นแผ่นเสียงได้รับความนิยมก่อนสื่ออื่นใดในโลกเพราะมันเกิดก่อน และเมื่อเวลาผ่านไป สื่อที่เกิดใหม่อย่างเทป ซีดี ดีวีดี เอสเอซีดี และไฟล์ mp3 ก็ได้ทำให้โลกของการเล่นแผ่นเสียงซบเซาลง แต่ว่า ยังคงมีกลุ่มนักเล่นกลุ่มเล็กๆที่ยังหลงไหลและใช้งานแผ่นเสียงอยู่

sale2013-IMG_0010

เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่หลงเหลืออยู่ในยุคดิจิทัลอย่างปัจจุบันนี้จะมีไม่มาก ไม่แพงไปเลยก็ถูกไปเลย ของแพงก็คือของที่ตั้งใจทำมาให้มีคุณภาพสูง มีหน้าตาดี สามารถเล่นเพลงจากแผ่นเสียงได้คุณภาพสูงมาก คนที่เล่นในกลุ่มนี้จะมีฐานะทางการเงินที่ดี เพราะของมันแพงมาก กับแบบที่ถูกไปเลยก็คือออกแแบบมาเหมือนเป็นของเล่น เป็นของใช้งานแบบแฟชั่นบ้าง แบบใช้งานจริงในชุดเครื่องเสียงราคาถูกบ้าง ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะเป็นกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียงระดับกลางๆเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงนักเล่นมือใหม่ที่อยากลองของโบราณอยู่บ้างให้พอรู้รส แต่ไม่อยากจะจ่ายเงินหนักๆ

sale2013-IMG_0019

เครื่องเล่นแผ่นเสียงในภาพนี้เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ออกแบบมาให้เป็นของราคาประหยัด ชื่อรุ่น Crosley Revolution CR6002A-BK ราคาขายค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุปกรณ์เครื่องเสียงต่างๆ มันมีค่าตัวแค่ 99ดอลล่าร์ในตลาดต่างประเทศซึ่งราคาระดับนี้เป็นราคาต่ำสุดของเครื่องเล่นที่มีคุณภาพดีและมียี่ห้อที่น่าเชื่อถือ

sale2013-IMG_0002

crosley เป็นยี่ห้อที่เน้นผลิตแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงหน้าตาโบราณเป็นหลัก หากไปดูในเว็บไซต์ของเขาเองจะเห็นว่ามีแต่เครื่องหน้าตาแนววินเทจ เหมาะกับการใช้เป็นของแต่งบ้านเสียงจริงๆ แต่ก็จะมีเครื่องเล่นตัวนี้ที่นำมาทดสอบที่จะอยู่ในข่ายเครื่องเล่นหน้าตาทันสมัยดูโมเดิร์น แต่ก็ดูเป็นของราคาถูกไปพร้อมกัน

sale2013-IMG_0006

เครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นนี้เป็นเครื่องที่ออกแบบมาให้ใช้พกพา เคลื่อนย้ายได้สะดวก ขนาดเล็กอย่างน่าประหลาดใจ คงเหลือแต่ชิ้นส่วนที่จำเป็นในการเล่นเท่านั้นที่เหลือตัดออกหมดเลย แม้แต่ขนาดก็ยังเล็กกว่าแผ่นเสียงเสียด้วย

sale2013-IMG_0013

ฟังค์ชั่นทั่วไปที่ควรจะมีในเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็มีครบครัน ทั้งการเปิดปิด การเล่นด้วยความเร็วระดับ 33 และ 45 รอบต่อนาทีซึ่งเราสามารถเลือกได้ มีช่องต่อขาออกให้สองชนิด อย่างแรกคือช่อง lineout ที่ให้สัญญาณระดับไลน์ ซึ่งเหมาะสำหรับการเชื่อมต่อกับเครื่องขยายเสียงหรือลำโพงที่มีวงจรขยายในตัวอย่างลำโพงคอมพิวเตอร์ กับอีกช่องหนึ่งคือช่อง headphone ที่เอาไว้เสียบด้วยหูฟังเพื่อฟังส่วนตัวเลย

sale2013-IMG_0008

ฟังค์ชั่นที่เด็ดและมีมากกว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงไฮเอนด์ตัวอื่นมีหลายฟังค์ชั่นมาก ไล่ไปทีละตัว เริ่มจากการมีลำโพงในตัว เครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวนี้มีลำโพงในตัวสามารถเปิดแผ่นแล้วฟังเสียงได้เลยทันที หากต้องการคุณภาพเสียงแค่ฟังรู้เรื่อง ฟังได้ยิน มันให้ได้เลย คุณภาพเสียงลำโพงในตัวจะคล้ายๆกับวิทยุราคาถูกที่มีลำโพงเล็กๆบางๆติดตัวมาด้วย เสียงกลางเสียงสูงจะได้ยินครบ แต่เบสไม่ค่อยมี เอาไว้ฟังข่าวฟังก็พอไหว

sale2013-IMG_0011

อีกฟังค์ชั่นหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นพระเอกที่หาไม่ได้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องอื่นๆอีกแล้วนั่นก็คือฟังค์ชั่นการส่งสัญญาณเสียงผ่านคลื่นวิทยุ fm ได้ในตัว เครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้มี fm transmitter ในตัว สามารถเลือกความถี่ที่จะส่งคลื่นได้สองความถี่ เราสามารถเปิดแผ่นเสียงแล้วปล่อยสัญญาณ fm ออกไป แล้วใช้เครื่องรับวิทยุในบ้านมาจูนคลื่นให้ตรงกันเพื่อรับสัญญาณเสียงได้ทันที นอกจากวิทยุตั้งโต๊ะแล้ว พวกเครื่องเล่นเพลงพกพาที่รับวิทยุได้ มือถือที่รับวิทยุได้ก็จะสามารถรับคลื่นจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย ระยะการส่งคลื่นที่หวังผลได้ว่าคุณภาพดีอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 2 เมตร ถ้าระะทางมากขึ้นคลื่นจะเริ่มไม่ชัด เท่าที่ลองฟัง คลื่นวิทยุจะค่อนข้างแรง มันสามารถเบียดคลื่นวิทยุชุมชนที่อยู่ติดกันได้เป็นอย่างดี

อีกฟังค์ชั่นหนึ่งที่เด็ดไม่แพ้นกันและไม่มีในเครื่องเล่นแผ่นเสียงไฮเอนด์อื่นๆนั่นก็คือการเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ด้วยพอร์ต usb ซึ่งฟังค์ชั่นนี้จะเอาไว้ใช้บันทึกแผ่นเสียงลงเป็นไฟล์นั่นเอง นัั่นหมายความว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวนี้สามารถต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ และมันก็มีซอ์ฟแวร์แถมมากับเครื่องเป็นโปรแกรม Audacity ที่เอาไว้บันทึกเสียง ความละเอียดในการบันทึกเป็นไฟล์จะอยู่ที่ระดับ 16bit 44.1k

sale2013-IMG_0023

คุณภาพเสียงของเครื่องเล่นแผ่นเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพแผ่นเป็นหลัก ถ้าได้แผ่นสภาพดี ฝุ่นน้อยมาฟังก็จะได้คุณภาพที่สูงพอสมควร บางแผ่นที่ทดสอบฟัง ผมใช้แผ่นซื้อใหม่ ก็ให้คุณภาพเสียงที่ดี บางแผ่นเป็นแผ่นมือสองที่เคยซื้อสะสมไว้เกือบสิบปี ก็มีเสียงฝุ่นปนๆออกมา มีครอกแครกให้รำคาญใจอยู่ แล้วน้ำเสียงจริงๆของมันถ้าแผ่นสภาพดีมันจะดีกว่า mp3 ไหม ข้อนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะว่าระบบการเล่นแผ่นเสียงแบบสำเร็จรูปแบบที่ผมลองนี้ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมารตรฐานการเล่น เราเล่นเพื่อจะรับรู้ว่าอรรถรสการเล่นแผ่นเสียงนั้นเป็นอย่างไรมากกว่า ไฟล์เพลง mp3 และไฟล์ระดับไฮเรสต่างๆในระบบที่ผมมีอยู่ให้คุณภาพที่ดีกว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้ทั้งสิ้น สิ่งที่แผ่นเสียงให้ได้มากกว่าระบบไฟล์ดิจิทัลในบางมุมก็คือ บางแผ่นที่เป็นแผ่นเก่า ยุคเก่า เป็นยุคที่ยังไม่มีระบบซีดี ระบบการบันทึกเสียงยังเป็นอนาลอกอยู่ เมื่อเราฟังเพลงเหล่านั้นผ่านแผ่นเสียง มันคือรสชาดแท้ๆของอัลบั้มนั้นๆ และบางครั้ง บางอัลบั้มก็ไม่มีผลิตออกมาในรูปแบบของแผ่นซีดี การฟังจากแผ่นเสียงจึงเป็นทางเลือกเดียว

ข้อดีของการมีระบบ usb ก็คือ เราสามารถใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียงต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกแผ่นเสียงไปเป็นไฟล์ดิจิทัลได้อย่างง่ายดายกว่าแต่ก่อน ผลจากการลอง rip เป็นเสียงไปเป็นไฟล์ดิจิทัล ส่วนใหญ่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าที่คาดไว้

sale2013-IMG_0037

ลองต่อกับลำโพงเพื่อจัดเป็นชุดฟังเพลงบ้าง ผมต่อเครื่องเล่นแผ่นเสียงเข้ากับลำโพงคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ elephant ที่มีราคาขาไม่กี่ร้อยบาท เป็นลำโพงขนาดเล็กที่ให้เสียงเบสลึกได้ลึกจริงๆ และสามารถถ่ายทอดเสียงเบสออกมาได้อย่างน่าฟัง เมื่อต่อเป็นชุดฟังเพลงแล้วก็จัดแจงหาแผ่นเพลงที่ชอบมาลองเปิดทันที มีทั้งแผ่นใหม่และแผ่นเก่าสลับกันฟังเต็มไปหมด

sale2013-IMG_0047

พอลองต่อฟังก็รู้สึกประทับใจดี จัดเป็นชุดอนาถาไฮเอนด์ หน้าตาของทั้งชุดเมื่อวางบนหิ้งก็ออกมาแบบนี้ มันก็ให้ความเพลิดเพลินได้ดี ข้อดีของการฟังเพลงจากแผ่นเสียงก็คือเราได้ดูปก ได้ดูรายละเอียดที่พิมพ์ไว้ในแผ่นหรือในซอง ก็คือได้อ่านข้อมูลคร่าวๆของอัลบั้มนั่นเอง มันเหมือนสมัยก่อนตอนที่ฟังเพลงจากม้วนเทป เราซื้อเทปมาก็จะดูปก ดูรายชื่อคนทำงานเบื้องหลัง ได้รู้ว่าศิลปินมันจะต้องขอบคุณพ่อแม่พี่น้องโคตรเง่าศักราชเต็มไปหมด กับแผ่นเสียงก็คล้ายๆกัน เราได้เสพข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากดนตรี

sale2013-IMG_0054

ส่วนข้อเสียก็มีอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการยกหัวเข็มวางก็ต้องระวัง เมื่อเล่นหมดแผ่นก็ต้องยกเก็บเอง เปิดทิ้งไว้ให้มันเล่นซ้ำเฉพาะเพลงหรือเล่นซ้ำทั้งแผ่นก็ไม่ได้ แถมคุณภาพเสียงก็ยังไม่ดีมากเพราะมีเงินจ่ายแค่ของราคาเด็กเล่น ไอ้ของแพงๆระดับไฮเอนด์ราคาเท่ารถยนต์ก็เอื้อมไม่ถึง รวมไปถึงข้อเสียที่สำคัญที่สุดก็คือ ราคาแผ่นเสียงแพงกว่าแผ่นซีดีอย่างน้อยสามเท่า เพลงฝรั่งของนอร่าโจนส์ชุดแรก ซีดีสามร้อยกว่าบาท แต่พอเป็นแผ่นเสียงแผ่นละหนึ่งพัน แพงกว่า เล่นยากกว่า แต่ก็น่าแปลกที่ยังมีคนพยายามจะเล่น

รีวิวลำโพง Roger LS3/5 และ AB1 Sub Woofer

รีวิวลำโพง Roger LS3/5 และ AB1 Sub Woofer
15jun2013

IMG_2261

ลำโพงเป็นอุปกรณ์หลักอย่างหนึ่งของการฟังเพลง ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นคลื่นเสียง วงการเครื่องเสียงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ได้รับการปรับปรุงบ่อยและเปลี่ยนแปลงอย่างมากจะเป็นไปในส่วนของเครื่องเล่นหรือแหล่งโปรแกรม หรือสื่อบันทึกเป็นส่วนใหญ่ จะเห็นได้จากแหล่งโปรแกรมจากวิทยุ กลายเป็นแผ่นเสียง กลายมาเป็นเทป กลายมาเป็นแผ่นซีดี กลายมาเป็นดีวีดี แผ่น SA-CD จนไปถึงหน่วยความจำแบบต่างๆ จนในปัจจุบันอาศัยการดาวโหลดจากอินเทอเน็ตไปแล้ว

IMG_2273

ส่วนเครื่องขยายเสียงก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แม้จะไม่เปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคนแบบสื่อบันทึก แต่ก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆไปสองครั้ง คือคราวที่เปลี่ยนจากหลอดมาเป็นโซลิทสเตท แต่ก็ยังไม่ทิ้งหลอดที่มีกลุ่มนักเล่นที่ยังหลงใหลอยู่ และเปลี่ยนมาเป็นดิจิทัลแอมป์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากและคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

IMG_2275

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนช้าหรือแทบไม่เปลี่ยนเลยนั่นคือลำโพง จะมีพัฒนาการบ้างก็เป็นไปในส่วนของการปรับปรุงระบบเดิมให้ดียิ่งขึ้น ห้าสิบปีที่แล้วเคยมีลำโพงรูปแบบใดอยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบเดิม แต่พัฒนาเรื่องวัสดุและคุณภาพให้สูงยิ่งขึ้นไป ลำโพงมีขนาดเล็กลงแต่มีคุณภาพที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ตลอดระยะเวลาในช่วยยี่สิบปีหลังนี้

IMG_2277

การผลิตคลื่นความถี่เสียงเป็นเรื่องของฟิสิกส์ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปริมาณและพื้นที่ของดอกลำโพง หมายความว่าเราไม่สามารถผลิตลำโพงให้เล็กลงไปสุดๆโดยที่ยังสามารถสร้างคลื่นความที่ต่ำที่สมบูรณ์ได้เลย มันเป็นเรื่องของปริมาณล้วนๆ การพัฒนาลำโพงที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่เลือกสรรมาใช้จะเป็นไปในรูปแบบของการสร้างบุคลิกเสียง และสร้างลำโพงให้เหมาะสมกับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆเสียมากกว่า

ลำโพงในวงการเครื่องเสียงจะมีรุ่นที่เป็นดาวค้างฟ้า ได้รับความนิยมมายาวนานอยู่หลายตัว แต่ละตัวเป็นตำนานที่มีเรื่องเล่าที่ใช้เวลาพูดคุยกันได้เป็นชั่วโมง บางรุ่นเป็นวันๆ บางรุ่นหาอ่านข้อมูลเป็นเดือนก็ยังไม่หมด บางรุุ่นเป็นปี ซึ่งในครั้งนี้เราจะพูดคุยและทดสอบลำโพงคู่หนึ่งที่มีประวัติยาวนานและเป็นตำนานระดับหัวแถวของวงการเครื่องเสียงของโลกและของไทย นักอ่านและนักเล่นรุ่นใหม่ๆจะได้รับข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อประดับความรู้ ส่วนตัวผมเองแม้จะติดตามและเล่นและอ่านมาสักยี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นมือใหม่กับตำนานลำโพงคู่นี้ Roger LS 3/5

ถ้าเพาเวอร์แอมป์ต้องมาร์คเลวินสัน เครื่องเล่นแผ่นเสียงต้อง Linn LP12 แอมป์หลอดต้อง VTL ลำโพงยักษ์ต้อง wilson ลำโพงวางหิ้งก็ต้องเป็น Roger LS 3/5 นี่แหละ แม้หลายคนจะมีความเห็นต่างว่าลำโพงวางหิ้งอย่าง Proac หรือ Totem จะเป็นวางหิ้งหัวแถวแย่งกันเป็นที่ 1 เช่นกัน แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่า Roger LS 3/5 ยิ่งดูประวัติที่ยาวนานแล้ว หายากที่จะมีลำโพงที่เจ๋งกว่า LS 3/5 เพราะแม้แต่ต้นทางที่ออกแบบลำโพง LS 3/5 ยังไม่สามารถสร้างลำโพงวางหิ้งรุ่นใหม่ที่ดีกว่านี้ได้เลย แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วสามสิบกว่าปี

IMG_2289

เรื่องราวของ Roger LS 3/5 ที่มากมายมหาศาลและมีข้อมูลที่แน่นที่สุดในโลกหาได้จากเว็บ ls35a.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่และละเอียดที่สุดที่สร้างและรวบรวมโดยนักเล่นที่มีใจรัก ไม่ใช่เว็บของผู้ผลิต ไม่ใช่เว็บของบริษัทขายเครื่องเสียง ข้อมูลเหล่านี้ผมตามอ่านมานานแล้ว และอ่านเข้มข้นมากขึ้นเมื่อทราบจาก hifilover.com ว่าจะให้ผมฟังทดสอบเพื่อ review ลำโพง LS 3/5คู่นี้ เรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า

roger02

สำนักข่าว BBC เป็นสำนักข่าวรายใหญ่ของประเทศอังกฤษ มีเครือข่ายทั่วประเทศและทั่วโลก มีการสร้างรายการโทรทัศน์จำนวนมากมาย มีส่วนของการรายงานข่าว มีส่วนของการผลิตรายการสารคดี BBC ใหญ่มาก ใหญ่จนต้องมีทีมวิจัยเป็นของตนเอง งานวิจัยจำนวนมากถูกทำขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพของภาพและเสียงให้สมบูรณ์ที่สุด เมื่อ BBC ลุยงานด้านสื่อมาระยะหนึ่ง ก็มีความเห็นจากคนภายในว่าถึงเวลาต้องวิจัยสร้างลำโพงมอนิเตอร์ของตัวเองสักที เพราะทีมข่าว รถถ่ายทอดหรือรถโอบี ห้องตัดต่อ ทุกหน่วยในองค์กรต่างก็ต้องการอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีคุณภาพที่เหมือนกันทั้งระบบ จะไปทะยอยซื้อของใช้เองทีละหน่วยมันทำให้ควบคุมคุณภาพไม่ได้ รายการทีวีของ BBC ควรจะได้รับการตัดต่อและปรับแต่งจากมอนิเตอร์ตัวเดียวกันทั้งระบบถึงจะดีที่สุด เมื่อมีแนวคิดดังนี้ก็เลยเกิดโครงการพัฒนาลำโพงขึ้น

roger10

ทีแรก ลำโพงที่ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองต่อโปรเจ๊คลำโพงมอนิเตอร์ยังไม่ใช่ LS 3/5 เพราะว่า วงจรตัดแบ่งความถี่ที่ใช้กับ LS 3/5 เกิดขึ้นมาก่อนลำโพงเสียอีก โดยดูได้จากขั้วต่อต่างๆในวงจรแบ่งความถี่ที่มีการทำขาเชื่อมต่อหลายๆตำแหน่ง หลายๆระดับเพื่อใช้กับดอกลำโพงหลายๆรุ่น พูดง่ายๆก็คือ BBC ได้พยายามทำลำโพงมาหลายรุ่นแล้ว จนกระทั่งมาถึงคิวลำโพงอย่าง LS 3/5 ก็เลยหยิบครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คที่มีอยู่แล้วมาใช้งาน ลำโพง LS 3/5 รุ่นแรกเลยเป็นเหมือนลำโพงที่โดนผ่าตัด โดนยำมาจากอุปกรณ์ที่มีอยู่ใกล้มือในห้องวิจัยของ BBC

roger14

ไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรที่ดลใจให้คนออกแบบได้หยิบดอกลำโพงของ Kef รุ่น B110 รหัส SP1003มาใช้เป็นวูฟเฟอร์ และใช้ T27 เป็นทวิตเตอร์ ในคราวที่ทำตัวต้นแบบนั้น มีตัวเทียบคือลำโพง LS5/8 ซึ่งเป็นลำโพงหลักเกรดสูงของ BBC ในยุคนั้น การพัฒนา LS3/5 มีการปรับแต่งทีละเล็กทีละน้อยในส่วนของวงจรแบ่งเสียง มีการปรับเทียบกับการแสดงสดของวงออเครสตร้า การปรับแต่งทีละเล็กทีละน้อยบางครั้งใช้เวลาเป็นสัปดาห์เพียงเพื่อจะปรับอัตราการตอบสนองความถี่ให้เปลี่ยนแปลงไปเพียง 1 dB ผลก็คือ การวิจัยทั้งหมดที่จะทำให้เกิดเป็น LS3/5 ใช้เงินไปประมาณ 100,000 ปอนด์ ในยุคทศวรรษที่ 70 ซึ่งถ้าให้เทียบกลับมาเป็นค่าเงินในปี 2011 จะเป็นมูลค่าสูงถึง 2 ล้านปอนด์ นั่นหมายความว่า ไม่มีลำโพงคู่ใดในโลกที่วิจัยกันบ้าระห่ำขนาดนี้อีกแล้ว และก็คงไม่มีใครทำได้นอกจาก BBC ที่เป็นเจ้าพ่อสื่อตัวจริงของอังกฤษ

roger04

เมื่อตัวต้นแบบของ LS3/5 ทำเสร็จ ก็มีการผลิตออกมา 20 คู่ บางคู่ก่อนจะเป็นตัวต้นแบบ มีการออกแบบให้มีทวิตเตอร์อยู่ด้านล่าง และวูฟเฟอร์อยู่ด้านบนก็มี บางตู้ก็มีร่องรอยเจาะรูเอาไว้แล้วมีรอยอุด ซึ่งก็หมายความว่าในตอนทดสอบ มีความพยายามออกแบบให้เป็นลำโพงตู้เปิดมาก่อนแล้วเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็นลำโพงตู้ปิดแทน และเมื่อได้ปล่อย 20 คู่แรกให้พนักงานได้ใช้แล้ว ก็มีการลงความเห็นว่าจะผลิตเป็นจำนวนมาก เลยได้มีการขายไลเซ่น หรือ ลิขสิทธิ์การผลิตให้กับเอกชนรายอื่นๆ ผู้ที่ได้ไปผลิตก็คือ Roger ลำโพงคู่นี้จึงมีชื่อว่า Roger LS3/5 โดยที่ผู้ผลิตขายจะยังคงใช้ดอกลำโพงจาก Kef อยู่เช่นเดิม

roger01

ทาง BBC วางแผนการใช้งานลำโพงคู่นี้เอาไว้ด้วยวิสัยทัศน์ยาวไกลมาก นั่นคือ ลำโพง LS3/5 จะใช้ในงานบักทึกเสียงภาคสนามหรือในรถโอบีเป็นหลัก ลำโพง LS3/5 จึงต้องมีคุณสมบัติการตอบสนองความถี่ที่ดีและมีความทนทาน และที่สำคัญคือ ลำโพงที่ผลิตในยุคหลังๆ จะยังต้องใช้งานร่วมกับลำโพงรุ่นแรกๆได้ โดยที่ได้น้ำเสียงแบบเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลำโพงในรถโอบีใช้งานไปหลายๆปีแล้วเกิดข้างซ้ายพังขึ้นมา จะต้องสามารถเอาตัวใหม่แค่ข้างเดียวไปใส่ในรถแล้วยังคงให้เสียงกลมกลืนกับลำโพงตัวเดิมที่เหลือได้และยังได้คุณภาพที่ดีใกล้เคียงกันเพื่อให้ทำงานมอนิเตอร์หรือบันทึกเสียงต่อไปได้ แนวคิดนี้ทำให้เราพอจะเข้าใจได้ว่า roger ls3/5 เป็นลำโพงที่ออกแบบมาสำหรับทำงานมอนิเตอร์ มากกว่าจะเป็นลำโพงสำหรับฟังเพลงตามบ้าน เจอแนวคิดแบบนี้ต้องยกนิ้วให้กับความพยายามในการออกแบบเลยจริงๆ

roger09

ด้วยแนวคิดที่สุดโต่งแบบนี้มันสร้างปัญหาใหักับผู้ผลิตดอกลำโพงอย่าง Kef มาก และ Roger ก็เจอปัญหาใหญ่จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เริ่มจาก ดอกลำโพง B110 หรือดอกซับวูฟเฟอร์ ในระยะแรกของการได้ใบอนุญาติมาผลิต Roger ปล่อยรุ่น LS3/5 ออกสู่ตลาดเพียงไม่นานก็ต้องปรับไปเป็น LS3/5A ซึ่งมีสาเหตุมาจากดอกวูฟเฟอร์ที่ Kef ไม่สามารถคงสเป็คแบบเดิมเหมือนตัวต้นแบบได้ เป็นผลให้ต้องมีการปรับวงจรครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์คเพื่อชดเชยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ผลก็คือ Roger ดัดแปลงจนได้เสียงแบบเดิมตามมาตรฐานของ BBC แต่สเป็คของชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ไม่เหมือนเดิม การปรับปรุงครั้งนี้ทำให้ต้องใส่ ตัว A ลงไปท้ายชื่อ จึงเป็นที่มาของคำว่า LS3/5A และในเวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างนิ่ง Roger สามารถผลิตขายได้อย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนวันดีคืนดี Kef ก็มีปัญหากับการผลิตดอกลำโพงวูฟเฟอร์อีกครั้ง และครั้งนี้หนักกว่าเดิม

การผลิตดอกวูฟเฟอร์ B110 เมื่อออกมาจากโรงงานจะมีการคัดเกรดเพื่อส่งเข้าสู่การผลิตเป็น Roger LS3/5 การคัดเกรดเช่นนี้จะมีของเสียที่ไม่ผ่านการคัดเกรดอยู่สักจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากเท่าไร แต่วิกฤตมันค่อยๆสะสม ของเสียที่เกิดจากการคัดทิ้งมีมากขึ้นจาก 10 % เคยขึ้นไปถึง 85 % นั่นทำให้ Kef ต้องยุติการผลิตดอกลำโพงรุ่น B110 ในรหัส SP1003 ลงไป และไปปรับปรุงการผลิตใหม่ เกิดเป็น B110 รหัส SP1228 แทน

ในช่วงทศวรรษที่ 90 มีการผลิตซับวูฟเฟอร์สำหรับ ls3/5 ออกมาในชื่อ ab1 ซึ่งเป็นซับวูฟเฟอร์ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นขาตั้งลำโพงไปในตัวด้วย นักเล่นเครื่องเสียงที่ครอบครองลำโพง roger ls3/5 ต่างก็แห่กันไปซื้อเพราะว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ บางคนซื้อเพราะว่าต้องการใช้ซับวูฟเฟอร์กับระบบเดิมเนื่องจากแนวเสียงของ roger ls3/5 ให้เบสไม่ถูกใจวัยรุ่นขาร๊อคสักเท่าไหร่ บางคนก็ซื้อเพราะว่ารู้ข้อมูลมาว่าดอกที่ใช้ในซับวูฟเฟอร์เป็นดอกลำโพงรุ่นเดียวกับที่อยู่ใน ls3/5 คือ B110 นั่นเอง ก็เลยแห่ไปซื้อกันด้วยเหตุผลว่าจะสต๊อคอะไหล่ของวูฟเฟอร์เอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าจะต้องซ่อม ls3/5 นั่นเอง

ในความเป็นจริงก็คือ roger ls3/5 ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีแฟนคลับหรือนักเล่นจำนวนไม่น้อยกว่า 60000 คนที่ครอบครองลำโพงรุ่นนี้อยู่ การผลิตของที่ออกมาเป็นคู่ขวัญให้กับ ls3/5 เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดายอดขายได้ และมันก็ขายได้ดีจริงๆ แต่เบื้องหลังทางเทคนิคที่ผู้ผลิตไม่ได้แจ้งไว้ก็คือ ดอกลำโพง B110 ที่ใช้ในซับวูฟเฟอร์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นรุ่นที่เทียบเคียงได้กับลำโพง ls3/5 ชนิดที่ถอดเปลี่ยนกันได้เลย แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นดอกที่ตกสเป็ค คือเป็นดอกที่ให้การตอบสนองต่อการทำงานย่านเสียงกลางได้ไม่ดี ทำให้ถูกคัดทิ้ง คำว่าคัดทิ้งไม่ได้หมายความว่าเป็นขยะ แต่มันไม่ดีพอจะเอาไปทำ ls3/5 ที่มีสเป็คเขี้ยวลากดิน แต่มันยังคงทำงานเป็นซับวูฟเฟอร์ได้ เพราะย่านความถี่ต่ำมันเป็นเพียงช่วงแคบๆ คุณภาพของขาตั้ง ab1 จะไม่แตกต่างกันถ้าคุณซื้อไปใช้เป็นซับวูฟเฟอร์ แต่ถ้าคุณซื้อไปใช้เป็นอะไหล่เพื่อถอดเปลี่ยนกับลำโพง ls3/5 รับรองว่ามีโอกาสผิดหวังสูง

ลักษณะทั่วไป

IMG_2263

ลำโพง roger ls3/5a รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตโดยเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง BBC ผู้ผลิตในรุ่นใหม่นี้คือบริษัท Roger แต่จ้างผลิตในประเทศจีน แม้ว่าเราจะรับรู้ว่าจีนทำอะไรไม่ค่อยเน้นคุณภาพเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดจะแย่ เครื่องเสียง ลำโพง คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเบล็ตระดับหรูหราต่างก็ผลิตที่จีนกันทั้งนั้น ลำโพงที่แปะยี่ห้อ Roger อย่างไรเสียก็ต้องมีการควบคุมคุณภาพสูงลิบเพื่อให้คุณภาพเป็นไปตามที่ BBC ออกแบบไว้ และที่สำคัญ มันต้องเอาไปใช้ร่วมกับลำโพงรุ่นเก่าได้ด้วย เราจึงวางใจว่า ls3/5a เวอร์ชั่นมังกร ก็คือของแท้ คุณภาพแบบเดียวกันกับในอดีตแน่นอน

IMG_2268

ลำโพง ls3/5a เป็นลำโพงวางหิ้ง ขั้วลำโพงออกแบบมาให้เชื่อมต่อกันได้แบบไบไวร์ ความไวของลำโพงอยู่ที่ 83 dB ซึ่งถือว่าเป็นลำโพงความไวต่ำมาก อิมพีแดนซ์หรือความต้านทาน 11 โอห์ม ทนกำลังขับเพียง 30 วัตต์เท่านั้น นักเล่นหลายคนจะบ่นกันในทำนองว่า roger ls3/5 เป็นลำโพงขับยาก เพราะความไวต่ำ ความต้านทานสูง แถมทนกำลังขับได้นิดเดียว มันทำให้เลือกแอมป์ได้ยากสุดๆ การค้นหาแอมป์ที่เกิดมาคู่กันกับลำโพงตัวนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย และเป็นสิ่งที่ทำให้มีเรื่องเล่ายาวนานว่าจะเล่น ls3/5 ต้องผ่านแอมป์อะไรมาบ้าง ใช้เงินกันไปคนละเท่าไหร่กว่าจะจบ สุดท้ายจบโดยการขายทิ้งไปเล่นยี่ห้ออื่นซะเลยก็มีให้ได้ยินกัน

อุปกรณ์ที่ใช้
แหล่งโปรแกรมใช้ mac mini แต่ส่วนใหญ่จะใช้ ipod video ต่อผ่าน dock
Dac ใช้ calyx coffee สลับกับ Califonia Gamma
แอมป์ใช้ antique sound lab single ended 3.5 วัตต์ ใช้หลอด el84
อินทิเกรตแอมป์ VCL รุ่น แรกของค่ายนี้ legend 75 วัตต์
สายลำโพง belden สลับกับ canare

การทดลองฟังลำโพง roger ls3/5a รุ่นนี้เป็นการทดสอบระดับมหากาพย์ของผมเลย เพราะว่ามีปัญหาและความไม่เข้ากันอย่างแรงหลายประเด็น และกว่าจะเรียนรู้และปราบมันให้ได้เสียงที่พอใจก็งมอยู่นานมาก ผมถือว่าลำโพงคู่นี้เป็นลำโพงชั้นครูที่จะทำให้นักเล่นที่สนใจเรื่องเครื่องเสียงได้เข้าใจ ได้เรียนรู้หลายๆอย่าง อย่างน้อยมันก็ทำให้เราแยกแยะได้ว่า อินทิเกรตแอมป์ตัวจริง กับเพาเวอร์แอมป์ที่ติดวอลลุ่มเข้ามาด้วยนั้น มันต่างกันอย่างไร แค่นี้ก็ซึ้งและขอบคุณ Roger ls3/5a ได้อย่างหมดใจเลย คนที่ไม่อยากเสียเวลาอ่าน ให้ผ่านไปได้เลยครับ ไปอ่านบทสรุปอย่างเดียวเลยก็ได้

มันเริ่มมาจากตอนที่ขนของเข้าบ้านเพื่อเริ่มทดสอบ ผมต่อลำโพงตัวนี้เข้ากับ แอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอนด์ตัวรักตัวโปรดที่มีกำลังแค่ 3.5 วัตต์ ปกติมันจะต่อกับลำโพง 4 โอห์ม ความไว 90 dB แต่กับ ls3/5a มีความไวเพียง 83 แถมอิมพีแดนซ์สูง 11 โอห์ม โดยการประมาณหยาบๆแล้ว เสียงมันจะเบาลงไปห้าหรือหกเท่า พอต่อเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงเพลงแค่แผ่วๆ เร่งวอลลุ่มขึ้นไปก็ดังได้อีกไม่มาก แถมเสียงยังเริ่มคลิปมีเสียงแตกปนมาให้ได้ยินเสียอีก ตอนนั้นได้สรุปสั้นๆในใจเลยว่า มันขับยากจริงๆ มันเลือกแอมป์จริงๆ นึกไปถึงคำพูดของนักเล่นหลายๆท่านเลยว่าลำโพงคู่นี้ต้องแอมป์กล้ามโต แต่ไม่ต้องเปิดดังมาก เอาไงต่อดีล่ะ

ทดลองเปิดเบาๆไปหลายวัน นั่งฟังระยะใกล้หน่อย รับรู้ได้ว่ามันก็เสียงดีจริงๆ เสียงร้องเสียงกลางนี้เป็นน้ำเสียงที่มีความคมชัดมาก ถ้าเอาลำโพงตัวนี้ไปฟังข่าว ไปฟังรายการทอล์คโชว์ที่อัดเสียงมาดีๆ ผมรู้สึกว่ามันเพลินมาก เสียงดีเจฝรั่งที่มันพูดในรายการวิทยุต่างๆ มันช่างชัดเจนและน่าฟังอย่างมาก เริ่มรู้สึกอินไปกับน้ำเสียงพูดและเริ่มทึ่งกับผลงานของ BBC เลยเข้าเว็บหาเรื่องอ่านโดยละเอียดเกี่ยวกับลำโพงตัวนี้

ฟังไปหลายวันก็รู้สึกว่าเขาคงไม่ได้ใช้งานกันแค่นี้หรอก ใครจะออกแบบลำโพงมาฟังกันเบาๆ เพราะน้ำหนักเสียงในระบบของผมตอนนี้มันให้คอนทราสต่ำ การฟาดกลอง หรือกระตุกเบสยังไร้เรี่ยวแรง ลำโพงอย่าง stirling broadcast BBC ls3/5a ที่ขายในไทยกันครึ่งแสน ก็ให้เสียงดีที่สุดในงานเครื่องเสียงที่เคยจัดที่โรงแรมอะไรจำชื่อไม่ได้แล้วแต่มันอยู่ตึกเดียวกับฟอร์จูน ปีนั้นไปเดินฟังหลายห้อง ก็จำได้ว่าห้องที่เสียงดีสำหรับผมเขาใช้ stirling ls3/5a v2 ราคาป้าย 50000 บาท รวมแอมป์รวมสายแล้วชุดนั้น 100000 พอดี โชคดีที่ตอนนั้นเก็บเงินไว้แต่งงาน ไม่งั้นคงได้เครื่องเสียงแทนแหวนและทองซึ่งอาจทำให้เจ้าสาวหนีเคืองได้

ลำโพง Roger ls3/5 เคยถูกเอาไปใช้กับอินทิเกรตแอมป์ตัวเล็กๆ กำลังขับไม่มากอยู่บ้างตามข้อมูลที่เคยอ่านในหนังสือเครื่องเสียง นักทดสอบบางคนเคยเล่าเอาไว้ว่าแอมป์เล็กๆบางตัวสามารถเอาไปขับ Roger ls3/5a ได้ นั่นเป็นลายแทงหนึ่งว่าแอมป์กำลังขับน้อยๆมันก็สามารถใช้งานกับ ls3/5a ได้แน่นอน แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่างแอมป์กำลังน้อยแต่ละตัวคืออะไร มันน่าคิดอยู่

ผมลองเปลี่ยนอินทิเกรตแอมป์ไปเป็นโซลิทสเตทกำลังขับ 75 วัตต์ คราวนี้ Roger ls3/5a ให้คุณภาพเสียงได้ดีขึ้น การสวิงของน้ำเสียงดังเบาทำได้น่าฟัง ไดนามิคเร้นจ์ต่างๆมีให้ตามที่ชิ้นดนตรีเหล่านั้นควรจะเป็น เสียงกลองก็ให้น้ำหนักฟาดได้จริงจังขึ้น เสียงอคูสติกกีต้าร์ก็มีประกายและมีแรงสะบัดตัวของสายให้รับรู้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม การเปลี่ยนอินทิเกรตแอมป์ตัวนี้เข้าไปให้ผลลัพธ์ในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าทำไมนักเล่นท่านอื่นๆที่เคยจับ ls3/5a มาแล้วถึงไม่ได้แนะนำแอมป์ตัวยักษ์ ทำไมบางคนยังเคยแนะนำแค่เพียงแอมป์หลอดกำลังขับไม่มาก

โซลิทสเตทตัวนี้ปกติผมเคยเปิดไว้ที่ประมาณ 8 นาฬิกาก็ให้น้ำเสียงที่ดังฟังสบาย แต่พอมาใช้กับ Roger ls3/5a กลับกลายเป็นว่าต้องเปิดดังกว่าเดิมถึงระดับประมาณ 10 นาฬิกา นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้กว่าลำโพงตัวนี้ความไวต่ำ การจะได้พลังเสียงให้ใกล้เคียงลำโพงตัวอื่น มันต้องการพลังงานมากกว่าเดิม ระดับวอลลุ่มเลยต้องบิดเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างเยอะ

บางครั้งผมยังคงอยากได้เสียงจากแอมป์หลอด แต่การเอาแหล่งโปรแกรมมาต่อตรงเข้าแอมป์หลอดของผมแล้วต่อไปยังลำโพงอย่าง Roger ls3/5a มันมีอาการเสียงอั้น ขับไม่สุด เร่งจนเต็มที่แล้วเสียงก็แตกซะงั้น แตกทั้งๆที่เสียงไม่ได้ดังเหมือนตอนที่ฟังกับโซลิทสเตท นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ตัวว่ากำลังเจอปัญหาไม่แม็ทช์ แต่เดิมผมไม่คิดว่าปัญหานี้จะสำคัญ เพราะการออกแบบเครื่องเสียงในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก การออกแบบความต้านทานขาเข้า และขาออกของแต่ละอุปกรณ์มันน่าจะมาถึงจุดที่ใช้ร่วมกันได้หลากหลายแล้ว แต่ผมเพิ่งนึกได้ว่า ลำโพงตัวนี้ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์เครื่องเสียงรุ่นใหม่ มันคือลำโพงทำใหม่แต่เป็นการออกแบบของโบราณ ดังนั้นปัญหาการไม่แม็ทช์ย่อมเกิดขึ้นได้เหมือนในอดีต และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

ผมเอา ipod video gen5 ต่อผ่าน Dock ชนิด active ตัวหนึ่ง แล้วต่อสัญญาณ RCA เข้ากับอินทิเกรตแอมป์แบบโซลิทสเตท หรือ VCL 75 วัตต์ บางวันก็ฟังแล้วเสียงดี บางวันก็เสียงไม่ดี บางครั้งก็เสียงแตกเร่งไม่ขึ้น บางวันก็เร่งได้ดังโดยไม่มีอาการคลิป พอมานั่งวิเคราะห์ดูก็ไปเจอสาเหตุ สาเหตุก็คือ ผมปรับระดับเสียงดังเบาจาก Dock นั่นเอง เพราะว่า Dock ที่ผมใช้เป็นระบบ Active มันจึงมีปุ่มให้ปรับระดับเสียงด้วย การปรับระดับเสียงที่ Dock ตัวนี้ให้ดังขึ้นบางครั้งมันเกิดอาการคลิป มีเสียงแตกเล็ดลอดออกมา มันเป็นเพราะว่า สัญญาณขาออกจาก Dock ที่ปรับระดับเสียงเพิ่มเข้าไปมันให้แรงดันที่สูงมากเกินกว่าภาคปรีแอมป์ในอินทิเกรตจะทำงานได้ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สัญญาณวิ่งเข้าอินทิเกรตมีแรงดันสูงเกินไป และอาจจะบวกกับอิมพีแดนซ์ขาออกของ Dock อาจจะสูง ทำให้ภาครับของปรีแบ่งแรงดันไปได้ไม่เท่าไหร่ก็พีคหรือเกือบพีค ทำให้ภาคปรีที่รับสัญญาณเข้ามาขยายต่อเพียงนิดเดียวมันก็ชนเพดานของปรีแอมป์แล้ว พอมันส่งไปขยายต่อที่ภาคสุดท้ายมันก็เลยมีเสียงเครียดๆเสียงแตกให้ได้ยิน อาการนี้ต้องบอกว่าแหล่งโปรแกรมถูกเร่งเสียงแล้วเกิดอาการไม่แม็ทช์ แต่ถ้าไม่เร่งที่ Dock เสียงก็พอใช้ได้

กลับมาที่การเชื่อมต่อแหล่งโปรแกรมอย่าง Dock ipod เข้ากับแอมป์หลอด แล้วต่อสายลำโพงจากแอมป์หลอดไปเข้า Roger ls3/5 ที่เจออาการเสียงอั้นๆเร่งไม่ขึ้น พอเร่งจากทาง Dock ก็เสียงแตกเสียอีก มันเกิดจากการขาดปรีแอมป์นั่นเอง อธิบายในเชิงไฟฟ้าก็จะได้ดังนี้ เพาเวอร์แอมป์ทุกตัวจะมีสเป็คกำลังขับที่แน่นอนค่าหนึ่งว่ามันขับได้สูงสุดกี่วัตต์ซึ่งเป็นค่าที่ผู้ผลิตบอกไว้ในแค็ตตาล๊อก แต่บอกไม่หมดว่ามันจะปล่อยกำลังสูงสุดได้วัตต์ตามสเป็คมันต้องการสัญญาณขาเข้าเท่าไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแอมป์บอกกำลังไว้ 20 วัตต์ เท่ากันทั้งสองตัว ตัวหนึ่งเกนสูงขยายได้ยี่สิบเท่า ตัวหนึ่งเกนต่ำขยายได้สิบเท่า มันก็หมายความว่ามันต้องการ input ที่ไม่เท่ากันในการทำงานให้เต็มกำลัง ตัวแรกอาจจะต้องการ 1 โวลท์เพื่อขยายจนได้กำลังสูงสุด ตัวที่สองอาจจะต้องการถึง 2 โวลท์ก็ได้เพื่อจะปล่อยกำลังได้เต็ม 20 วัตต์ มันจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีปรีแอมป์นั่นเอง เพราะปรีแอมป์จะรับสัญญาณจากแหล่งโปรแกรมและปล่อยสัญญาณที่ปรับระดับได้ให้เพาเวอร์แอมป์ ปรีแอมป์สามารถลดทอนและเร่งสัญญาณได้หลายโวลท์ ซึ่งมันต่างไปจากการติดวอลลุ่มที่ตัวเพาเวอร์แอมป์ เพราะการติดวอลลุ่มเพื่อใช้แทนปรีแอมป์มันขยายสัญญาณไม่ได้ มันลดทอนได้อย่างเดียว ดังนั้นกรณีที่เจอแอมป์เกนต่ำ และไปเจอกับลำโพงขับยาก ปรีแอมป์จะมีความจำเป็นทันที
แอมป์หลอดตัวที่ผมใช้อยู่ในกลุ่มที่ติดวอลลุ่มเพื่อใช้แทนปรีแอมป์ มันทำงานกับลำโพงทั่วไปที่ขับง่ายได้โดยไม่เคยมีปัญหา แต่พอเจอกับ ls3/5 มันกลายเป็นเร่งไม่ขึ้น สุดท้ายก็เลยต้องจัดการหาปรีแอมป์มาใส่ แอมป์ vcl ของผมเป็นอินทิเกรตที่สามารถแยก ปรีเอ๊าท์ และ เมนอินได้ ก็คือถอดสายลิงค์ด้านหลังออกเพื่อแยกให้มันเป็นปรีแอมป์ เอาสัญญาณจาก dock เข้าปรี แล้วต่อปรีเอ๊าท์มาเข้าแอมป์หลอด แค่นี้เราก็ได้ระบบที่พอใช้งานร่วมกับลำโพงขับยากได้แล้ว

คุณภาพเสียง
เสียงจากลำโพง ls3/5 เป็นเสียงที่มีบุคลิกที่ฟังสบาย เสียงกลางและแหลมจะเด่นกว่าเสียงทุ้ม มันให้เสียงที่ครบทุกเสียง ครบทุกเครื่องดนตรี เราอยากเพ่งเพื่อฟังอะไรเราได้ยินทั้งหมด แต่ปริมาณของเสียงย่านต่ำหรือเสียงเบสจะไม่มากแบบลำโพงวูฟเฟอร์ใหญ่ๆ มันให้เบสที่ลึกมากกว่าจะให้เบสที่อิ่ม แถมเบสลึกๆเหล่านั้นก็ได้ยินแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แทนที่กลองจะได้เสียงเป็นก้อนนุ่มๆกลับกลายเป็นกลองที่เสียงเป็นเม็ดๆซะมากกว่า

แต่กับดนตรีแจ๊สอคูสติก อย่างเพลงแนวทรีโอ ที่มีเปียโน กลอง เบส เล่นไปเรื่อยๆ กลับฟังได้เพลิดเพลิน การใช้เวลาอยู่กับลำโพงที่ได้ชื่อว่าเป็นมอนิเตอร์ระดับตัวพ่อตัวหนึ่งแบบนี้นานๆ ทำให้เราปรับหูเข้ากับสไตล์เสียงแบบนี้ได้ไม่ยาก เมื่อฟังไปหลายๆวันเราจะรู้สึกว่าเสียงแบบนี้แหละที่เอาไว้เปรียบเทียบคุณภาพการบันทึกเสียงได้ เพราะลำโพงตัวนี้ไม่เน้นเบส ไม่เน้นกลาง ไม่เน้นใส คือมันมีทุกอย่าง ไม่มีอะไรเด่นกว่ากัน แผ่นไหนบันทึกมาเน้นเสียงย่านไหน เราจะรู้ได้เลยว่าแผ่นนี้ทำมาสเตอร์มาดีแค่ไหน เพลงไทยที่ผมเคยชื่นชอบหลายแผ่นพอฟังผ่าน ls3/5 จะรู้เลยว่าโทนเสียงบางย่านยังไม่สมบูรณ์ อย่างเช่นเพลงของธีร์ไชยเดช ที่ผมชอบเสียงกีต้าร์ในชุด เบเกอรี่เลิฟ3 เสียงกีต้าร์ฟังผ่าน LS 3/5แล้วยังไม่ใสเท่าไรนัก ความอิ่ม ความใสที่เคยได้ยินกับแผ่นนี้มันลดลง แต่กับเพลงของ Jack Johnson ที่บันทึกเสียงกีต้าร์มาได้น่าฟังมาก ฟังกับลำโพงคู่ประจำของผมก็เพราะ ฟังกับ LS 3/5 ก็เพราะ มันเพราะเหมือนเดิม อาการแบบนี้คงบอกได้เพียงว่า ลำโพงLS 3/5 มีความสามารถแยกแยะได้ดีกว่าลำโพงคู่หลักที่ผมใช้อยู่ แม้ว่าจะเป็นลำโพงมอนิเตอร์เหมือนกันก็ตาม

Ls3/5 เกิดมาเพื่อการฟังในระดับ nearfield หรือฟังระยะใกล้ เวลาเราวางเครื่องเสียงในห้องฟังเราจะวางในตำแหน่งมาตรฐานคือนั่งฟังระยะห่างพอสมควร ระยะที่เขาว่ากันว่าสมบูรณ์จะเริ่มกันที่สามเหลี่ยมด้านเท่า คือถ้าให้ลำโพงห่างกัน 1.5 เมตร ตำแหน่งนั่งฟังก็มักจะเริ่มที่ระยะ 1.5 เมตรจากลำโพงทั้งสอง แล้วค่อยๆถอยออกมาเรื่อยๆ ระยะที่มากขึ้นเรื่อยๆเราจะได้เสียงที่นุ่มนวลและฟังสบายมากขึ้น เสียงร้องที่ชัดเจนจะนุ่มนวล ใส ลื่นหู แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นนั่งฟังระยะใกล้ ใกล้ระดับเอื้อมมือถึงลำโพง เราจะได้อีกอารมณ์หนึ่ง บาลานซ์ของเสียงยังเหมือนเดิม แต่เสียงร้องเราจะได้ยินมันชัดยิ่งขึ้น เราจะรับรู้ได้เลยว่าเสียงร้องมันคือเสียงที่วิ่งออกมาจากลำคอ เป็นอาการเสียงลมวิ่งผ่านท่อสากๆ ก็คือลมหายใจที่วิ่งผ่านคอออกมานั่นเอง มันเหมือนกับว่าเสียงร้องมี texture หรือมีรายละเอียดที่มากมายมหาศาลให้เราได้ยิน แต่ไม่ใช่เสียบหยาบนะครับ ใครร้องดี ร้องไม่ดี ฟังกันตรงนี้กดปุ่มเลือกเข้าทีมได้เลย (อินกับรายการเดอะวอยซ์นิดหน่อย)

roger12

พระเอก AB1
เสียงจาก LS 3/5 มีบาลานซ์เสียงที่ดีสมตัวแล้ว แต่มันก็ยังให้เบสไม่อิ่ม การผลิตซับวูฟเฟอร์ AB1 ออกมาเพื่อเสริมในส่วนที่ขาดเป็นการออกแบบคู่ขวัญที่เข้ากันได้ดีมากคู่หนึ่งของวงการเครื่องเสียงเลย AB1 จะมีขั้วรับสายลำโพงหนึ่งชุดที่ด้านล่างของตัวมัน แล้วด้านบนจะมีช่องต่อลำโพงสองคู่ ออกแบบมาให้เชื่อมต่อสายลำโพงไปยัง ls3/5 แบบไบไวร์ อุปกรณ์ที่ AB1 แถมมาให้ด้วยก็คือสไปร์คสำหรับติดที่ฐานลำโพง และสายลำโพงแบบสั้นเชื่อมหัวท้ายด้วยหางปลาอีก 8 เส้น เพื่อให้ใช้ข้างละสี่เส้นนั่นเอง

IMG_3419

การเสริมซับวูฟเฟอร์ที่ทำหน้าที่เป็นขาตั้งในตัวนั้นทำให้คุณภาพเสียงโดยรวมดีขึ้น เสียงกลางแหลมที่ดีอยู่แล้วไม่ได้โดนรบกวนอะไรเลย เสียงกลางยังชัด เสียงสูงยังมีเหมือนเดิม ไม่ได้ขุ่นมัวเพิ่มขึ้น เสียงย่านต่ำลงได้ลึกขึ้น เปลี่ยนเสียงกลองกระเดื่องที่เป็นเม็ดๆให้มีความเป็นก้อนที่นุ่มขึ้น เสียงโดยรวมดังขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนวูฟเฟอร์ของ LS 3/5ใหญ่ขึ้น และมีความไวมากขึ้น บอกได้เลยว่าใครจะเล่นลำโพง LS 3/5 ควรจะได้ซื้อ AB1 เอาไว้ทำขาตั้งและทำซับวูฟเฟอร์ด้วย

IMG_3417

การได้ซับวูฟเฟอร์ที่ใช้ดอกลำโพงแบบเดียวกับกลางแหลมถือเป็นการออกแบบสุดแสนฉลาด การออกแบบซับวูฟเฟอร์ที่กลมกลืนกลับลำโพงหลักก็ใช้ดอกเดียวกับลำโพงหลักมันซะเลย แนวทางนี้เราเห็นได้จากวงการโฮมเธียเตอร์ที่มักจะแนะนำว่าให้ใช้ลำโพงรุ่นเดียวกันทั้งห้าตัว สำหรับระบบเสียง 5.1 เพื่อให้การโยนเสียงระหว่างลำโพงแต่ละตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การออกแบบซับ AB1 เพื่อมาใช้กับ LS 3/5 ก็ใช้หลักการเดียวกัน ใช้ดอกลำโพงรุ่นเดียวกัน แต่ตัดแบ่งความถี่ให้มันเป็นซับวูฟเฟอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการตอบสนองต่อความถี่ย่านต่ำสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม เป็น accessory ที่ไม่กระทบกับคุณภาพเสียงหลัก ของแบบนี้น่าใช้ครับ

roger13

เมื่อต่อ AB1 เข้ากับ Roger ตามคู่มือที่ผู้ผลิตให้ไว้ มันกลายเป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดไม่ใหญ่โต แต่คุณภาพเสียงไปได้อีกไกลลิบ เสียงกลางแหลมที่เด่นยังคงเด่นเหมือนเดิม เสียงทุ้มที่ใหญ่ มีพลัง มีความสะท้านมากขึ้นกับเพลงที่อัดมาแบบเน้นโชว์เสียงเบส ใครชอบร๊อค ชอบอัลเทอเนทีฟ ชอบเบส ชอบกีต้าร์โปร่ง ชุด AB1 กับ LS 3/5 เป็นคู่ขวัญที่ต้องทดลองฟัง ฟังเพื่อให้รู้ว่า ลำโพงมอนิเตอร์ที่เซ็ทอัพเพื่อเอาใจหูเบสเป็นอย่างไร เบสที่มากขึ้น ไม่ได้ทำให้มันเป็นลำโพงสำหรับฮิบฮ๊อบ แต่มันทำให้มันกลายเป็นลำโพงไฮเอนด์เสียงเบสสะกดอารมณ์สุดๆ ถ้าได้ฟังเสียงอคูสติกกีต้าร์ที่สะบัดปิ๊กจิกสายโลหะเส้น 6 และ 5 แบบอิ่มๆ จะร้องอ๋อทันทีเลยว่านี่แหละ ลำโพงเสียงดี อาการสายเบสที่มันสะบัดตัวแสดงพลกำลังได้เหลือเฟือ เป็นเสน่ห์ของเสียงกีต้าร์แท้ๆ

สิ่งที่ดูจะเป็นจุดด้อยให้เห็นคือ ขั้วลำโพงแบบบานาน่าที่ Roger ให้มา มันดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย เพราะแจ๊คบานาน่าที่ผมมีอยู่ทุกตัว แจ๊คที่ใช้งานกับแอมป์หลอดและอินทิเกรตมาตลอดหลายปีกลับไม่สามารถใส่เข้ากับ roger ได้พอดีเลย มันเหมือนจะเล็กไปเมื่อเทียบกับรูเสียบบนลำโพง หรือมันหลวมนั่นเอง แม้ว่าผมจะไปซื้อแจ๊คบานาน่าชุดใหม่มาลอง มันก็ยังหลวมอยู่ดี คิดว่าสายลำโพงที่จะใช้กับ LS 3/5 คู่นี้ควรจะเข้าหัวด้วยหางปลาแทนจะได้ใส่ได้แน่นหนา

ข้อดี
เสียงดี ใช้เป็นมอนิเตอร์เพื่อเปรียบเทียบเสียงต่างๆได้
ขนาดเล็ก กะทัดรัด เคลื่อนย้ายไม่ยาก
มีความเคร่งครัดอย่างมากในการผลิต เพราะนโยบายของ BBC คือ ลำโพง ls3/5 ที่ผลิตในยุคหลังๆต้องมีเสียงกลมกลืนกับลำโพงรุ่นเก่าที่มีการใช้งานอยู่
สำหรับงานมิกซ์เสียง เอา LS 3/5รุ่นใหม่ ไปใช้งานร่วมกับรุ่นเก่าได้ มือมิกซ์ยังทำงานต่อไปได้ แนวคิดนี้ลำโพงยี่ห้ออื่นไม่ทำ
ฟังระยะใกล้ ได้ยินเสียงลมผ่านลำคอ ให้เสียงคนได้เปิดเผยมาก ดีกว่าฟังจากหูฟัง
ฟังระยะไกลได้บาลานเสียงเหมาะสำหรับห้องฟังทั่วไป ห้องเล็กจะได้ประโยชน์จาก LS 3/5 มากกว่าห้องใหญ่

ข้อด้อย
ความไวต่ำ อิมพีแดนซ์สูง รับกำลังขับได้ไม่มาก
จัดชุดยาก ต้องการปรีแอมป์คุณภาพสูง หรืออินทิเกรตแอมป์แท้

สรุป
ลำโพง Roger LS3/5 เป็นลำโพงที่ได้รับการออกแบบมาด้วยพื้นฐานวิชาการที่เข้มข้นที่สุดตัวหนึ่งของวงการลำโพง การเลือกใช้ดอกลำโพงเกรดธรรมดาความไวปานกลาง มาทำงานแบบจำกัดความไวให้ต่ำลง จนการตอบสนองความถี่มันราบเรียบนั้นเป็นงานออกแบบที่ท้าทาย แม้จะทำให้ความไวของลำโพงต่ำลงจนขับยาก แต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพการตอบสนองความถี่ที่ดีและสามารถใช้งานเป็นมอนิเตอร์ในสตูดิโอได้ งานออกแบบแนวทางนี้เหมือนปั้นหินให้เป็นดาว น้ำเสียงที่ได้จาก Roger LS3/5 มีความเป็นธรรมชาติสูง การฟังเพลงอคูสติกผ่านลำโพงคู่นี้จะให้อรรถรสเหมือนการทานปลาดิบ คือรับรู้ถึงรสแท้ๆจากสิ่งที่มี ไม่ได้เป็นรสชาติที่ปรุงแต่งเอาใจหู การทำงานเพียงคู่เดียวโดดๆจะให้น้ำเสียงเบสที่ลึกแต่ยังไม่อิ่ม การเพิ่มซับวูฟเฟอร์ AB1 เข้าไปในระบบจะเป็นการเติมเต็มคุณภาพอย่างแท้จริงทำให้ลำโพงขับยากกลายเป็นลำโพงขับง่ายไปในทันที และที่สำคัญ น้ำเสียงจากการทำงานร่วมกับซับวูฟเฟอร์จะเป็นน้ำเสียงที่สมบูรณ์แบบ แนวเสียงไฮเอนด์ที่ฟังเพลงเพราะจะเป็นแบบไหน เราหาได้จาก LS3/5A + Ab1 ได้เลย ถ้าผมมีงานบันทึกเสียงและสามารถเลือกอุปกรณ์ได้ตามใจ Roger LS3/5A จะเป็นตัวเลือกแรกๆแน่นอน และจะเอาแค่ LS3/5A ด้วย ไม่เอาซับวูฟเฟอร์ หากเราสามารถมิกซ์เสียงให้มันฟังเพราะถูกใจบน LS3/5A ได้แล้ว เชื่อว่าฟังกับเครื่องเสียงส่วนใหญ่ได้ไพเราะแน่นอน แต่ตอนฟังเพลงที่บ้าน ขอแค่ห้องเล็กๆ 3*4 เมตร ชุด LS3/5A + AB1 กับอินทิเกรตแอมป์ดีๆสักตัว กับเพลงที่ rip เก็บไว้ หรือ รายการวิทยุออนไลน์ที่ไม่ต้องทนฟังวิทยุชุมชน แค่นี้ก็มีความสุข และสบายหูสุดๆแล้ว

polaroid digital camera z340 กล้องโพลารอยด์ยุคใหม่

highres-polaroid-z340-6_1354287054

กล้องดิจิทัลจาก polaroid ในรุ่น z340 เป็นกล้องลูกผสมระหว่างกล้องดิจิทัลความละเอียด 14 ล้านพิกเซล กับ ปริ๊นเตอร์ขนาดเล็กสามารถพิมพ์ภาพขนาด 3×4 นิ้วได้ในตัว  ในส่วนของกล้องดิจิทัลจะใช้แผ่น SD card   แบตเตอรี่ในเครื่องสามารถใช้พิมพ์ภาพได้ 10 ภาพต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง  ส่วนการถ่ายภาพแบบไม่ต้องพิมพ์ภาพ สามารถถ่ายได้กี่ครั้งยังไม่รู้ข้อมูล เดี๋ยวใช้ไปเรื่อยๆคงรู้เอง

polaroid_z340_digital_instant_camera_5

ภาพที่ถ่ายเล่นด้วยกล้องดิจิทัลโพลารอยด์

ตั้งค่าของกล้องเอาไว้ที่ฟิลเตอร์แบบโลโม่  ซึ่งจะมีลักษณะเพิ่มขอบดำให้กับภาพ แล้วก็ถ่ายภาพนี้จากในรถ  โฟกัสภาพไว้ที่กระจกที่มีหยดน้ำเกาะอยู่  วัดแสงไปตามที่กล้องวัดให้ โฟกัสชัดก็กดถ่ายไปเลย

นอกจากจะถ่ายไปนอกตัวรถแล้ว ลองโฟกัสที่คอนโซลรถบ้าง  สภาพแสงตอนนี้ค่อนข้างน้อยเพราะว่าขับรถอยู่บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี

ภาพศาลตายายถ่ายในโรงพิมพ์  ตั้งค่าเป็นแบบโลโม่เพื่อช่วยให้ภาพมีขอบดำเข้มขึ้น  คุณภาพกล้องคอมแพ็คระดับ 14 ล้านพิกเซลอยู่ในระดับมาตรฐานกล้องทั่วไป  แต่ลูกเล่นเรื่องฟิลเตอร์ต่างๆก็เป็นของเล่นที่น่าเล่น  ภาพที่ได้มีคุณภาพเพียงพอที่จะนำไปโพสท์หรือใช้ในงานสิ่งพิมพ์ได้ไม่มีปัญหา

การถ่ายภาพในห้องนอนก็มีคุณภาพพอใช้  สภาพแสงในห้องมีเพียงไฟฟลูออเรสเซนท์หนึ่งดวง  กล้องพยายามเร่ง iso ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่กล้องจะมีให้ได้  ภาพที่ได้ก็มีรายละเอียดพอใช้ได้  แม้ว่าจะดูมีกลากเกลืื้อนต่างๆอยู่ในผิวคนและทั่วทั้งภาพแต่มันก็ยังคงให้ภาพได้  คือเก็บภาพได้ ไม่สั่นจนเสีย

 

PDSC6479

set2-PDSC0318

2016-104-PDSC0015
PDSC0265
PDSC0042