Tag Archives: wedding
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกับการใช้แสงแฟลช
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มได้กลับมานิยมกันอีกครั้งในยุค พศ.2563 แต่การหวนกลับมาของฟิล์มครั้งนี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล แต่คนก็ยังเหนียวแน่นกับการถ่ายภาพแบบลองผิดลองถูก ถ่ายทุกม้วนลุ้นทุกเฟรม การใช้แฟลชกับกล้องฟิล์มก็ดูจะมีบางกลุ่มที่ชอบใช้ เพราะลักษณะภาพแตกต่างไปจากมือถือ แตกต่างไปจากภาพจากกล้องดิจิทัล บทความนี้จะแนะนำการใช้แฟลชในบางรูปแบบเปรียบเทียบให้ดูว่า ช่างภาพยุคโบราณใช้แฟลชด้วยแนวคิดอย่างไร และอาจจะไม่เหมือนยุคนี้ทั้งหมด แต่หลักการจะสามารถนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานภาพได้
ภาพที่1 ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เปิดแฟลชด้วย โดยใช้โหมด P บนกล้อง SLR ของ canon ลักษณะภาพจะได้แสงแฟลชพอดีบนตัวแบบ และฉากหลังค่อนข้างดำมืด นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราเปิดโหมด P พร้อมด้วยเปิดใช้งานแสงแฟลช กล้องจะเลือกค่ารูรับแสง f4 และ ความไวชัตเตอร์เป็นค่าสูงๆประมาณ 1/60 วินาทีสำหรับที่แสงน้อย และอาจจะเลือกเป็น 1/125 วินาทีในที่แสงจัด กล้องจะคิดแทนเราว่าเราต้องการภาพไม่สั่น รูรับแสงน้อยเท่าที่เลนส์จะมีให้ได้ โดยฉากหลังจะมืดก็ไม่สนใจ เพราะตัวแบบจะได้รับแสงแฟลชที่เพียงพออยู่แล้ว ภาพจึงออกมาตามภาพคือตัวแบบได้แสงพอดี ส่วนฉากหลังจะดำเกือบมืดนั่นเอง
ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ตั้งใจปรับกล้องอีกแบบหนึ่ง เลือกการตั้งค่าให้เป็นโหมด AV พร้อมเปิดแฟลช ในโหมด Av บนกล้อง canon เมื่อเลือกรูรับแสง f4 กล้องจะเลือกค่าสปีตชัตเตอร์ให้เป็นค่าที่วัดแสงฉากหลังได้พอดี ซึ่งสปีดอาจจะต่ำลง ภาพแนวนี้ถ้าเป็นในอาคารจะใช้ขาตั้งด้วยเพื่อป้องกันการสั่นไหว นั่นจึงทำให้ฉากหลังของภาพที่ 2 นี้ ดูสว่างขึ้นกว่าภาพที่ 1 ส่วนตัวแบบจะได้แสงสว่างจากแฟลชและแสงในอาคาร แต่แสงหลักๆที่ทำให้ตัวแบบสว่างก็คือแสงแฟลช โดยรวมก็คือ ภาพที่1และ2 ตัวแบบจะได้แสงจากแฟลชเป็นแสงหลักและเป็นค่าแสงแฟลชที่สว่างพอดีบนตัวแบบ แต่ฉากหลังจะต่างกันตามโหมด P และ Av ที่กล้องคิดไม่เหมือนกัน
ภาพที่ 3 เป็นโหมด Av ที่ปิดแฟลช เป็นการวัดแสงพอดีทั้งภาพ ตัวแบบจะได้แสงพอดีจากการวัดแสงจริงๆในโหมดนี้ และฉากหลังหากโดนแสงภายนอกส่องเข้ามาพอๆกับแบบ เราก็จะได้ภาพแบบและฉากหลังที่สว่างเหมือนกัน นั่นคือแสงพอดีเหมือนกันตั้งแต่หน้าถึงหลัง สถานการณ์นี้ขาตั้งกล้องจำเป็นมาก เพราะการถ่ายภาพในอาคาร วัดแสงพอดี ด้วยฟิล์มความไวต่ำ ความไวชัตเตอร์จะต่ำมาก หากถือด้วยมือเปล่าภาพจะสั่นแน่นอน
การใช้แฟลชถ่ายภาพมีเทคนิคการคิดหลายชั้น ค่อยๆฝึกถ่ายไปทีละบทเรียนก็จะมีความเข้าใจทีละน้อย สะสมความรู้ไปเรื่อยๆเราก็จะมีเทคนิคที่หลากหลายไปใช้ออกแบบรูปถ่ายของเรา ช่างภาพที่ดีก็คือช่างภาพที่เข้าใจแสงและอุปกรณ์ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด ต้องค่อยๆเรียนกันไป
ส่งงานภาพถ่ายงานแต่งงาน
ด้วยเหตุที่ไม่ค่อยได้รับจ้างถ่ายภาพเหมือนสมัยก่อน พอมีงานสักทีก็ขอปล่อยของปล่อยไอเดียนิดนึง ภาพ prewedding กึ่งภาพครอบครัว พร้อมด้วยภาพงานแต่งงาน ถ่ายเสร็จก็ก็อปปี้ไฟล์ส่งงานเป็นทัมไดร์ฟ เพราะด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่าถ้าส่งงานเป็นแผ่นดีวีดี แผ่นมันจะอายุสั้น และลูกค้าอาจไม่มีเครื่องอ่านแผ่นอีกแล้ว
เลยหากล่องมาใส่ทัมไดร์ฟ พร้อมกับเลือกภาพบางส่วนที่น่าจะเป็นตัวแทนของเหตุการณ์มาพิมพ์เป็นใบให้ได้หยิบจับกัน ยุคดิจิทัลครองเมือง เจ้าของภาพส่วนใหญ่มักจะไม่อัดภาพเป็นกระดาษอีก ถ้าไม่อัดให้เชื่อว่าไม่มีเก็บภาพไว้ติดบ้านแน่นอน ภาพถ่ายดีๆที่ควรจะอยู่ในเล่ม ภาพที่ควรวางไว้ให้หยิบดูได้ตลอดเวลามันจะสูญหายไปจากชีวิต ผมจำได้ว่า สมัยเด็กๆ ไปรื้อของที่หัวเตียงของพ่อแม่ จะเจออัลบั้มภาพงานแต่งงาน เป็นภาพขาวดำเพราะยุคนั้นเป็นยุคขาวดำ พ่อกับแม่ผมใส่ชุดแต่งงานขึ้นรถไฟเลยนะ ความรู้สึกแบบนี้ ความทรงจำแบบชัดๆไม่ต้องโหลดไม่ต้องออนไลน์ เด็กดูได้ คนในบ้านดูสะดวก มันควรมีเป็นใบๆให้เขาสัมผัส
การ์ดแต่งงานระบบ letterpress เทคโนโลยีศตวรรษที่แล้ว
การ์ดแต่งงานที่พิมพ์ด้วยระบบ letterpress กลายเป็นของหรูและหาที่พิมพ์ยากไปเสียแล้ว ด้วยเหตุผลคือ เครื่องพิมพ์ที่จะพิมพ์กระดาษหนาได้นั้นไม่มีผลิตขายออกมาอีกแล้วในปัจจุบัน ต้องอาศัยเครื่องรุ่นเก่าอายุหลายสิบปี ต้องอาศัยช่างพิมพ์ที่เคยหัดและทำงานกับเครื่องพิมพ์โบราณ เทคนิคการพิมพ์ของศตวรรษที่แล้วกำลังจะมีที่ยืนที่ใหม่ในตลาดยุคดิจิทัล เพราะเครื่องพิมพ์ดิจิทัลไม่มีเสน่ห์แบบนี้ ดิจิทัลมีความเร็ว ความแม่นยำ แต่ไม่มีความปราณีตใส่ใจ อารมณ์ของระบบการพิมพ์แต่ละอย่างมีไม่เหมือนกัน
กระดาษชานอ้อยหนาพิเศษ 1.6 มิลลิเมตร กับบล๊อกเหล็ก พิมพ์สีด้วยเครื่องพิมพ์ตีธง งานลักษณะโบราณแบบนี้อาศัยช่างพิมพ์ที่หายากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเทคนิคการผสมสีเลียนแบบค่าสี pantone ซึ่งต้องใช้ช่างพิมพ์อ๊อพเซ็ทอีกคนหนึ่งที่มีประสบการณ์สูงมาช่วยผสมสี เพราะช่างพิมพ์เครื่อง letterpress จะผสมสีไม่เก่ง เนื่องจากเครื่องพิมพ์ letterpress ในอดีตมักจะถูกนำมาใช้พิมพ์งานแบบฟอร์ม ใบเสร็จรับเงิน ซึ่งมักจะเป็นสีดำ หรือ น้ำเงินมาตรฐาน มีสีสำเร็จรูปให้ใช้ แต่กับสีที่เหมือน pantone ต้องผสมเอง กว่าจะออกมาเป็นใบสำเร็จต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญเฉพาะทางหลายคน โรงพิมพ์เล็กๆก็จะไม่ค่อยมีช่างครบครัน โรงพิมพ์ใหญ่ก็จะไม่รับงานเล็ก และไม่รับงานที่ต้องใช้เครื่องพิมพ์โบราณ งานแนวนี้ใครทำได้ดี ลูกค้าจะตามกันมาหาเอง
พิมพ์การ์ดแต่งงานด้วยระบบ letterpress
การ์ดแต่งงานเป็นตัวแทนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่จะเชื้อเชิญแขกให้มาร่วมงาน บุคลิกของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นอย่างไรก็จะสะท้อนภาพแรกออกมายังการ์ดแต่งงานใบนี้ หลายคู่เลือกใช้การ์ดสำเร็จรูป แต่ก็มีบางคู่ที่อยากได้การ์ดแต่งงานที่แตกต่างออกไป
ในเมื่อการแต่งงานคือความทรงจำที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของคนส่วนใหญ่ ไม่เคยมีใครวางแผนแต่งงานมากกว่าหนึ่งครั้งถ้าไม่จำเป็น ดังนั้นความทรงจำที่มีกับงานแต่งงานครั้งหนึ่งในชีวิตก็เป็นเรื่องราวที่ควรได้รับการออกแบบ ตั้งแต่รูปแบบการจัดงาน การเลือกชุด การเลือกสถานที่ การเลือกอาหาร การเลือกช่างภาพ การเลือกวงดนตรี การเลือกสิ่งต่างๆที่ประกอบอยู่ในงาน การ์ดแต่งงานก็เป็นสิ่งที่ควรได้รับการออกแบบอย่างปราณีตเพื่อเป็นความทรงจำอย่างแรกที่แขกจะมีต่อเจ้าภาพ และมันจะเป็นความทรงจำระยะยาวที่จะทำให้ผู้คนจดจำบ่าวสาวได้หากงานแต่งงานครั้งนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ หากงานแต่งงานครั้งนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากงานอื่นๆ
มีวิธีมากมายในการสร้างการ์ดแต่งงานขึ้นมา ตามแต่จินตนาการของเจ้าภาพและที่ปรึกษาของเจ้าภาพ ตำแหน่งที่ปรึกษาก็หมายถึงเพื่อนที่เคยแต่งงานมาแล้ว หรือ เพื่อนผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบและสั่งทำการ์ด และที่ปรึกษาอาจหมายถึงออแกไนเซอร์ที่ช่วยจัดงาน การ์ดแต่งงานที่ทำได้เร็ว และเป็นรูปแบบมาตรฐานที่พ่อแม่คุ้นเคยก็คือไปแถวๆพาหุรัด แล้วหาร้านขายของชำร่วยที่หน้าร้านมีบอกว่ารับพิมพ์การ์ดแต่งงาน แล้วก็บอกเขาว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ เขียนรายชื่อพ่อแม่สองฝ่าย สถานที่จัดงาน ชื่อบ่าวสาว และวันเดือนปี แล้วเลือกการ์ดจากแค็ตตาล๊อค แล้วก็จ่ายเงิน อีกสามถึงห้าวันมารับของได้ วิธีนี้จบ ได้การ์ด ได้ของชำร่วย เสียเวลาเดินทางแค่สองวัน คือวันแรกไปสั่งการ์ด วันที่สองตอนไปรับการ์ด เหมาะกับคนที่ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากเสียเวลา ราคาก็จะถูกที่สุดด้วย แต่การ์ดแบบนี้ อย่าคาดหวังว่าแขกจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยคู่ที่จัดงานปีเดียวกันก็ใช้การ์ดแบบนี้
การออกแบบการ์ดเองแล้วสั่งพิมพ์เองเป็นรูปแบบที่น่าสนใจ เพราะจะได้การ์ดที่แสดงตัวตนของบ่าวสาวได้ดี สามารถออกแบบให้ถูกหรือแพงก็ได้ การออกแบบและสั่งทำเองนี้จะมีสองแนวทางคือแนวง่ายและเร็ว กับแนวยากแต่เท่ห์สะใจ ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้จะมีราคาค่าใช้จ่ายสูงกว่าการ์ดพาหุรัดเสมอ แนวง่ายและเร็วก็คืออาจจะเป็นการออกแบบแล้วทำอาร์ตเวิร์คด้วยโปรแกรมจัดหน้าในคอมพิวเตอร์ แล้วก็เอาไฟล์ไปให้โรงพิมพ์จัดพิมพ์ อาจจะพิมพ์การ์ดและซองไปด้วยเลย ขั้นตอนการพิมพ์ก็จะเป็นการพิมพ์ระบบอ๊อพเซ็ท โรงพิมพ์บางแห่งอาจจะเป็นระบบดิจิทัล ถ้าเป็นระบบอ๊อพเซ็ทอาจจะต้องใช้เวลาในโรงพิมพ์ประมาณ 7 วัน แต่ถ้าเป็นงานพิมพ์ระบบดิจิทัลก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน เพราะไม่ต้องเสียเวลาทำเพลท
ถ้าพ้นจากแนวง่ายและเร็วไปแล้วก็จะเป็นแนวยากแต่เท่ห์ นั่นก็คือเป็นการพิมพ์ในโรงพิมพ์เหมือนเดิม แต่จะเพิ่มขั้นตอนพิเศษเข้าไปด้วย คืออาจจะเป็นงานพิมพ์ระบบดิจิทัลก็ได้ ระบบอ๊อพเซ็ทก็ได้ แล้วเพิ่มขั้นตอนอย่างการปั๊มนูนที่โลโก้ แบบนี้ก็จะได้ความแปลกและน่าสนใจเพิ่มขึ้น อาจจะเพิ่มเทคนิคการปั๊มเงิน ปั๊มทองเข้าไปด้วยเพื่อให้ดูหรูเลิศขึ้นไปอีก อาจจะมีการเพิ่มเทคนิคการเคลือบผิวเข้าไป หรืออาจจะใช้เทคนิคการประกบกระดาษเพื่อเพิ่มความหนาให้รู้สึกหนามากจนดูเด่น ไม่ว่าจะเพิ่มเทคนิคอะไรเข้าไปก็จะเป็นการเพิ่มความดูดี ความน่าสนใจ และแน่นอนว่าราคาสูงขึ้น แต่ก็ได้มาซึ่งความเท่ห์ที่มากกว่าปกติ เหมาะกับบ่าวสาวที่ต้องการความพิเศษ ต้องการให้การ์ดดูแตกต่าง
ในช่วงไม่กี่ปีนี้มีการ์ดแต่งงานอีกรูปแบบหนึ่งที่ค่อยๆได้รับความนิยมขึ้นมา เป็นการ์ดที่มีลักษณะพิเศษกว่าการพิมพ์อ๊อพเซ็ท และระบบดิจิทัล นั่นก็คือการ์ดที่พิมพ์ด้วยเทคนิค Letterpress ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่โบราณที่สุด เป็นระบบการพิมพ์ที่เกิดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ได้มีการนำมาใช้กับงานพิมพ์ในรูปแบบใหม่ให้น่าดูยิ่งขึ้น ทำให้การ์ดลักษณะนี้มีความพิเศษ มีลักษณะเฉพาะตัวที่เลียนแบบได้ยาก
การพิมพ์ระบบ Letterpress คือการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ที่มีความแข็ง แกะลายเป็นตัวหนังสือหรือรูปทรงต่างๆ แล้วนำไปป้ายด้วยหมึกพิมพ์ จากนั้นก็นำไปกดทับลงบนกระดาษ ลักษณะจะคล้ายกับการพิมพ์ตรายางที่เราคุ้นเคย แต่จะแตกต่างจากตรายางตรงที่ แม่พิมพ์ตรายางจะทำด้วยแผ่นยางติดไว้บนไม้ แต่แม่พิมพ์ Letterpress ที่พูดถึงนี้จะทำด้วยแผ่นเหล็กแทนยาง
ลักษณะเครื่องพิมพ์ที่จะพิมพ์ระบบ Letterpress จะมีหลักการคือ แม่พิมพ์จะยึดติดไว้กับแท่น แล้วมีลูกกลิ้งหมึกคอยพาหมึกมาทาบนแม่พิมพ์ แล้วก็มีหน่วยป้อนกระดาษที่จะพากระดาษไปสัมผัสกับแม่พิมพ์จนเกิดเป็นภาพ การ์ดแต่งงานที่พิมพ์ด้วยระบบนี้จะมีความละเอียดไม่มาก แต่จะมีลายเส้นที่มีน้ำหนักกดทับที่ชัดเจน เพราะเป็นการเคลื่อนกระดาษไปกดลงบนแม่พิมพ์ และการกดทับที่มากเป็นพิเศษจะทำให้งานพิมพ์ดูมีเสน่ห์ ซึ่งแตกต่างจากระบบการพิมพ์อ๊อพเซ็ทที่แทบจะไม่มีการกดทับให้กระดาษเป็นรอยเลย
การกดทับจนเกิดเป็นรอยลึก หรือรอยจมลงบนเนื้อกระดาษจะยิ่งมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหากเราใช้กระดาษที่หนาขึ้น กระดาษทั่วไปที่ใช้พิมพ์การ์ดเชิญรูปแบบต่างๆจะมีความหนาประมาณ 300 แกรม แต่การ์ดแต่งงานที่เราพยายามทำให้แตกต่างนั้นจะใช้กระดาษที่หนาเป็นพิเศษ นั่นคือเราเลือกใช้กระดาษชานอ้อยที่มีความหนาประมาณ 500-600 แกรม ความหนาของกระดาษชานอ้อยนี้เมื่อมองด้วยตาเปล่าแล้วน่าจะมีความหนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร นั่นหมายความว่ากระดาษชานอ้อยเป็นกระดาษที่หนามาก หนาจนไม่สามารถจะดัดโค้ง หรือพับงอได้
ลักษณะงานพิมพ์ Letterpress จะมีเนื้องานที่มีความดิบ รอยหมึกที่กดทับเป็นภาพหรือตัวหนังสือจะมีลักษณะไม่สม่ำเสมอ บางส่วนอาจจะดูแล้วเป็นเส้นบาง บางส่วนอาจจะดูแล้วเป็นเส้นหนา บางครั้งดูเหมือนเป็นตัวหนังสือขาดวิ่น ที่กล่าวมาล้วนเป็นเสน่ห์ของระบบการพิมพ์ Letterpress ความไม่เพอเฟ็คเหล่านี้เป็นบุคคลิกเฉพาะตัว ความหนาของกระดาษ และความลึกของรอยกดมันทำให้ผู้จับการ์ดรู้สึกว่ามันออกมาด้วยความตั้งใจ แน่นอนว่ามันมีโอกาสถูกเก็บเป็นที่ระลึกมากกว่าการ์ดลักษณะอื่นๆ
การพิมพ์ Letterpress 1 สี จะใช้แม่พิมพ์ 1 ชิ้น หากจะพิมพ์ 2 สี ก็จะใช้แม่พิมพ์ 2 ชิ้น ยิ่งมีจำนวนสีเยอะ ก็ยิ่งใช้แม่พิมพ์เยอะขึ้น ในตัวอย่างนี้เป็นการ์ดแต่งงานที่ใช้แม่พิมพ์ 4 ชิ้น โดยสองชิ้นแรกจะพิมพ์ด้านหน้า โดยหนึ่งชิ้นเป็นหมึกสีน้ำตาล อีกหนึ่งชิ้นสำหรับด้านหน้าจะพิมพ์แบบไม่ใส่หมึกเพื่อกดให้เป็นรอยจมแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนด้านหลังก็จะมีสองสี ใช้แม่พิมพ์อีก 2 ชิ้นสำหรับแต่ละสี รวมเป็น 4 ชิ้น
การ์ดแต่งงาน letterpress
การ์ดแต่งงานที่พบในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ แบบที่ทำยากและไม่ค่อยพบว่ามีใครเขาทำกันคือแบบ letterpress ปกติเวลาได้รับการ์ดแต่งงานเราก็จะได้รับการ์ดสีครึมหรือสีชมพู ในนั้นก็จะพิมพ์ด้วยตัวสีทอง หรือสีเงิน เป็นงานปั๊มทองเค ในโรงพิมพ์จะเรียกว่า เคทอง หรือ เคเงิน คำว่า “เค” มาจากไหนผมก็ไม่แน่ใจ แต่มันก็คือการเอาบล็อกเหล็กมาติดกับแผ่นความร้อนแล้วเอาไปกดแผ่นทองชนิดพิเศษ แผ่นทองเมื่อโดนความร้อนจะละลายติดกับกระดาษ แรงกดและความร้อนจะทำให้ทองติดบนกระดาษ การพิมพ์แบบนี้ก็เป็น letterpress ประเภทหนึ่ง แต่มันไม่มีสี
เมื่อต้นเดือนนี้ผมทำการ์ดแต่งงานให้ลูกค้ารายหนึ่ง เจ้าภาพต้องการอารมณ์ letterpress คือตัวหนังสือมีรอยจมลงไปอย่างเด่นชัด ผมดูอาร์ตเวิร์คแล้วก็เลือกที่จะพิมพ์ด้วยระบบอ็อพเซ็ทแทนที่จะพิมพ์ด้วยบล็อกเหล็กตรงๆ เพราะว่ากระดาษที่ใช้เป็นสีขาวงาช้าง มีการย้อมสีพื้น ตัวหนังสือเป็นสีประมาณสามสี การพิมพ์ letterpress ลงบนพื้นที่กว้างๆเป็นสิ่งที่ไม่น่าทำ มันเหมือนตรายางที่ไม่สามารถจะกดหมึกได้เรียบตลอดกระดาษ ยิ่งกระดาษมีรอยเป็นลอนๆเสียด้วยยิ่งพิมพ์แล้วไม่สวย
ผมใช้วิธีพิมพ์อ็อพเซ็ทด้วยสีพิเศษจำนวน 4 สี ค่าสีระบุตามรหัสสีของ pantone ทำเพลทสีพิเศษ 4 ใบ ผสมสีตามตัวอย่างของ pantone พิมพ์จริง 1 รอบเพื่อให้ลูกค้าตรวจ เมื่อสีผ่านแล้วก็ค่อยพิมพ์จริงทั้งหมด กระดาษเท็กเจอร์ เลือกกระดาษชื่อ ACQ สีขาวงาช้างความหนา 300g พอพิมพ์เสร็จก็เอาบล็อกเหล็กสำหรับทำงานปั๊มจมมาทำการปั๊มต่อ ก็คือมีบล็อกเหล็กสองแผ่น แผ่นบนจะเป็นตัวผู้มีตัวหนังสือตรงกับอาร์ตเวิร์คตัวหนังสือทุกคำ แผ่นล่างจะเป็นบล็อกตัวเมีย ปั๊มจมเพื่อสร้างรอยกดให้เหมือนเป็นงาน letterpress โดยตั้งน้ำหนักกดให้ไม่มากเกินไป เอามือลูบผ่านตัวหนังสือจะรู้สึกจมก็พอ
ตอนที่อยู่ในขั้นตอนการพิมพ์และปั๊มก็ลุ้นว่าจะออกมาสวยไหม พองานจบก็โล่งใจ สวยตามที่คิดไว้ หยิบตัวอย่างมาถ่ายภาพเก็บไว้ การถ่ายภาพรอยจมของกระดาษเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน ต้องใช้เลนส์มาโครโฟกัสใกล้ๆ เลือกแนวแสงสว่างให้ช่วยเน้นรอยจมให้ดูชัดขึ้น ก็ได้ภาพตามที่เห็น
ลงหนังสือ weddingguru
ภาพงานแต่งและรายละเอียดเบื้องต้นในงานแต่งงานของผมได้ลงในหนังสือ wedding guru เป็นฉบับประจำเดือนมกราคม 2555 แม้ว่าข้อมูลจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้ลง เพราะปีหนึ่งๆมีคู่แต่งงานมีหลายพันหลายหมื่นคู่ การได้ลงข้อมูลของงานในหนังสือเหล่านี้ก็เป็นเรื่องน่าภูมิใจ และเอาไว้คุยโม้กับเพื่อนฝูงได้สนุกปาก

งานแต่งงานของผมจัดวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ใช้เวลาเตรียมงานประมาณ 6 เดือนไม่จริงจัง แต่จะเข้มข้นในสองเดือนสุดท้าย ซึ่งตอนช่วงเวลาเข้มข้นนั้นผมแทบไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย ผลของงานออกมาตามภาพที่เห็น แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องให้ติได้อยู่หลายข้อ แต่ผมก็ให้อภัยตัวเอง ไม่คิดจะจัดงานซ้ำในรอบแก้ตัว
ทีมงานที่จัดงานให้ผมได้แจ้งกับผมหลังจากจบงานไปสองเดือนว่ามีหนังสือสนใจอยากจะเอาข้อมูลในงานผมไปลง ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา (อยากอยู่แล้ว) ก็เลยนัดคุยกับทีมงานของหนังสือ คุยกันเดือนตุลา หนังสือออกมกราคมปีถัดมา
ผมเห็นภาพที่ลงหนังสือแล้วก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆในงาน มีภาพหลายภาพที่ผมชอบมากกว่าที่เห็นในหนังสือ อีกอย่างหนึ่ง ผมเองก็คิดจะเขียนสรุปเกี่ยวกับงานแต่งงานของตัวเองบ้างเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีเวลาว่างที่ยาวนานพอจะสรุปความคิดให้ตกผลึกได้ มีหนังสือออกมากระตุ้นทำให้ความอยากเขียนกลับมาใหม่ เดี๋ยวจะค่อยๆเขียนออกมา เพราะสิ่งที่พยายามทำก่อนจะจัดงานแต่งงานมันน่าจดจำกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเสียอีก
ระหว่างไปถ่ายภาพคู่เก็บไว้ใช้ในงาน
ทองที่ใช้ในพิธี
![]() |
| From for wordpress5 |
คนขายแหวน
| From for wordpress5 |
แหวน
ตุ๊กตาของแจกในงาน
ลองชุดเจ้าสาว

สมุดโน้ตแทนของชำร่วย

เข็มกลัดติดเสื้อให้สต๊าฟและเจ้าภาพใช้

ป้่ายร้อยของแจกอื่นๆในงาน

จานรองแก้ว
เจ้าสาว
ตอนแจกการ์ดเพื่อน

การ์ดแต่งงานรุ่นผู้ใหญ่

การ์ดแต่งงานรุ่นที่ออกแบบตามใจ แต่ไม่ได้แจก

ดูสถานที่โรงแรมกลางเมือง

ไปดูโรงแรมใกล้บ้าน


ดูสถานที่จัดงานเช้าแบบเล็กๆ

ดูสถานที่ ราชนาวีฯ ติดเจ้าพระยา

ซ้อมดนตรี

ระดมทุน

ลองทำของชำร่วย

กล่องรับซองจากญาติ ผ่านมาหลายงานแล้ว เตรียมไว้แต่ไม่ได้ใช้

ดูสถานที่ ตรัยย่า

รูปแบบการถ่ายภาพหมู่ในงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถ่ายแนวนี้ เพราะลืม



















