ผู้ที่อยู่ในวงการศึกษาก็เลยหาทางพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อฝึกเด็กให้ได้เริ่มหัดเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยมีความพยายามพัฒนาคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ราคาประหยัด เพื่อให้ทุกครอบครัวสามารถซื้อได้ ก็เลยเกิดเป็นบอร์ดอิเล็คทรอนิกตัวหนึ่งชื่อว่า Raspberry Pi ในปี คศ 2012 และบอร์ดนี้มาพร้อมกับ OS เฉพาะกิจ เสียบสายจอภาพ ต่อคีย์บอร์ดเม้าส์ แล้วก็เสียบไฟจากที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือก็ทำงานได้เลย โดย Pi จะบู๊ทเข้าโปรแกรมของมัน และมีเครื่องมือในการเขียนโปรแกรม ทำให้เด็กๆสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้เขียนโปรแกรมได้ในราคาไม่เกิน 35 ปอนด์ แต่ก็ต้องมีจอภาพ คีย์บอร์ด เม้าส์ของเก่าอยู่แล้วนะ
นอกจาก OS และซอร์ฟแวร์ที่ช่วยให้เด็กได้หัดเขียนโปรแกรมแล้ว วงการซอร์ฟแวร์ก็ปรับตัวพัฒนาเครื่องมือสำหรับหัดเขียนออกมาให้เป็นรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น เรียนรู้ได้เร็วขึ้น เจตนาเพื่อให้เด็กเรียนรู้ได้รวดเร็ว และมันก็ได้ผล มีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการปรับปรุงให้เข้าใจง่าย เรียนรู้ง่าย และบอร์ด Pi ก็ได้รับความนิยมมาก เด็กได้เริ่มเรียนรู้จริงจัง ผู้ใหญ่หลายคนได้ลองเลือกใช้ Pi มาทำของเล่นหลายอย่างเพราะความง่ายและเร็วในการพัฒนา ทำให้มันถูกใช้ทำโปรเจ็คมากมายสารพัด แทบไม่ต่างไปจากคอมพิวเตอร์ PC ที่ใช้ CPU x86 เลย บางคนใช้ Pi ทำระบบ Home Automation มีเซ็นเซอร์และสามารถสั่งการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าอัตโนมัติได้ตามต้องการ มีหุ่นยนต์ทำงานด้วยสมองของ Pi นี่คือของเล่นผู้ใหญ่ จากเครื่องมือของเด็กจริงๆ
แต่ขณะเดียวกัน ความนิยมของนักถ่ายภาพสมัครเล่นและคนที่ไม่ได้มีอาชีพเกี่ยวกับการถ่ายภาพโดยตรงก็จะนิยมใช้โปรแกรมในโทรศัพท์มือถือ อย่าง snapseed ซึ่งเป็นของบริษัท google และโปรแกรมปรับแต่งภาพสีของ VSCO ที่ได้รับความนิยมอยู่พอสมควร
ยังคงมีโปรแกรมปรับแต่งสีสันจากไฟล์ raw อีกตัวหนึ่งที่แถมมากับกล้องทุกตัวที่ถ่ายภาพชนิดนี้ได้ก็คือโปรแกรมจากค่ายกล้อง อย่าง canon ก็จะมีโปรแกรมชื่อ DPP ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถแปลงไฟล์ raw ให้เป็น jpg ด้วยค่าสีสารพัด มีความหลากหลายให้เลือกใช้มากมาย และคุณภาพของ DPP ก็ดีจนช่างภาพให้การยอมรับ
แต่ในบทความนี้จะแนะนำการปรับ raw ไฟล์เป็น jpg ที่มีมาให้ในกล้อง ซึ่งทำให้เราไม่ต้องลงซอร์ฟแวร์เพิ่มเติมเลย และสะดวกมาก เนื่องจากเราสามารถทำการแปลงค่าได้จากหลังกล้อง และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่มากพอใช้งานเลย
เมนูที่จะเข้าไปปรับไฟล์ raw ของกล้อง canon ก็คือ ส่วนที่มีชื่อว่า RAW image processing
ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วจะไปพบกับภาพที่เราถ่ายด้วยไฟล์ชนิด raw ที่แสดงขึ้นมา หากต้องเการเข้าไปรับแต่งเพื่อแปลงไฟล์ก็กดปุ่ม set เพื่อเข้าสู่เมนูกาปรับแต่งเลย
ลองดูภาพอีกมุม หลังจากสั่งอาหารไปแล้วก็นั่งรอ ลูกเบื่อก็เลยขอวาดรูปเล่น พอวาดไปสักพักจนเพลินๆ ผมก็หยิบกล้อง contax T3 ขึ้นมาถ่ายภาพ โดยเจตนาถ่ายให้เหมือนกับเป็นนักท่องเที่ยว คือเปิดกล้อง เล็ง แล้วถ่ายเลย กล้องก็ยิงแฟลชให้ทันที เพราะค่ามาตรฐานของกล้อง T3 จะเป็นแฟลชระบบ auto เมื่อเจอสถานการณ์แสงน้อย หรือ ย้อนแสง กล้องเปิดแฟลชให้เสมอ หากเราไม่ต้องการแฟลช เราจะต้องกดปุ่มปิดแฟลชทุกครั้งที่เปิดกล้อง นี่เป็นจุดน่ารำคาญของกล้อง T3 ซึ่งแม้แต่ Minilux ก็น่ารำคาญยิ่งกว่าเรื่องปิดแฟลช
ส่วนภาพจากกล้องดิจิทัล eos m ติดเลนส์ 22f2 โหมดถ่ายภาพตั้งเป็น P กล้องเลือกรูรับแสงที่ f4 ให้ ก็ให้ภาพได้สวยงาม นุ่มนวล เก็บบรรยากาศได้ดี ดูผ่านๆแล้วดีกว่า T3 เสียอีก แน่นอนว่าเป็นเพราะกล้องดิจิทัลออกมาทีหลัง เลนส์ติดกล้องก็เป็นเลนส์ฟิกส์คุณภาพสูง ระหว่างสองภาพนี้ ผมยังรู้สึกว่ากล้องดิจิทัลให้ภาพที่ดีกว่า ชอบภาพจากกล้องดิจิทัลมากกว่า
มุมรับภาพของ T3 เป็นเลนส์ 35มม ส่วนมุมรับภาพของ eos m + 22f2 ก็เทียบเท่ากับ 35 มม. ซึ่งมันเป็นช่วงเลนส์ที่เทียบเท่ากันได้ ยิ่งหากถ่ายด้วยโหมด P ด้วยกันทั้งคู่แล้วจะใช้ตัวไหนก็ได้ จะ T3 หรือ eos m1+22f2 ก็พอกัน ในระยะยาว T3 จะรอวันพัง ส่วน eos m ยังไม่รู้ว่าจะพังเร็วหรือช้า แต่ราคามือสองของ eos m รุ่นแรกหาได้ในงบไม่เกิน 3000 บาท แต่ที่แน่ๆ สามารถอัพเกรดบอดี้ให้ใหม่ขึ้น ความคมชัดของดิจิทัลจะสูงขึ้นไปอีกตามคุณภาพของบอดี้ใหม่ๆ ภาพนี้ดีขึ้น คมชัดมากขึ้น ถ้าเปลี่ยนกล้องเป็น eos m5 ที่ความละเอียดสูงขึ้นและให้ไฟล์ภาพที่ดีกว่าแน่นอน
อีกมุมหนึ่งที่จะใช้เป็นมุมทดสอบได้บ่อยก็คือ การถ่ายภาพลูกกำลังหลับอยู่ที่เบาะแถวสองในรถของผมเอง จังหวะที่ลูกหลับอยู่ แล้วได้จอดรถอยู่นิ่งๆ มีกล้องอยู่ในมือก็จัดการถ่ายภาพเก็บไว้ และวันนี้ก็มีทั้ง contax T3 กับ eos m + 22f2 ก็ลองถ่ายทั้งสองตัว ได้ภาพมาดูตามนี้