nec17 – referal source ep4

 

IMG_2194

referral source มีอยู่ 8 ช่องทาง ที่ผ่านมาเราคุยกันไป 4 ช่องทางครับคือ

1 คนใน contact sphere

2 ลูกค้าเก่า

3  คนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจเรา  เช่น ซัพพลายเออร์

4 คนที่เราไปอุดหนุน เช่น ช่างตัดผม ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านกาแฟ

 

วันนี้เราจะพูดส่วนที่เหลืออีก ในช่องทางที่ 5-8 ครับ

ช่องทางที่ 5 คือ ลูกน้องในอ๊อฟฟิศ  ใครจะรู้ดีว่าเราทำอะไรได้ หรือเราเก่งเรื่องอะไรมากไปกว่าลูกน้องในอ๊อฟฟิศ  ไม่ใช่แค่พนักงานเซลส์ หรือมาเก็ตติ้ง  ตำแหน่งอื่นๆในบริษัทก็มักจะรู้ดีและสามารถบอกต่อได้เช่นกัน  จริงๆคือทุกตำแหน่งในอ๊อฟฟิศเลยที่จะช่วยบอกต่อได้  ลูกน้องเหล่านั้นเขาก็ย่อมมีเพื่อน  มีญาต มีคนรู้จักอีกมากมายอยู่ในเครือข่ายส่วนตัวของเขา  สิ่งที่เราควรทำกับลูกน้องก็คือ เราต้องทำให้เขามีความสุขกับการทำงาน  ดูแลทุกสุขของลูกน้องจะช่วยให้เขามีใจและพร้อมบอกต่อ ก็คือ พร้อมจะช่วยเราหางานนั่นเอง

 

ยกตัวอย่าง  ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์ บางวันก็เดินมาบอกผมว่า ญาติเขาจะพิมพ์บิลใบเสร็จรับเงิน  ผมก็บอกดีเลย ให้เขาโทรมาหรือแวะเอาตัวอย่างงานมาให้ดูเลยก็ได้ เดี๋ยวคิดราคาให้  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครับ  เพราะลูกน้องทุกคนจะมีเครือข่ายของเขาเอง  และเขาก็รู้ว่าเราทำงานอะไร referral ที่เขาพบมาเราทำได้หรือไม่  ลูกน้องเรารู้ดีไม่ต่างจากเราแน่นอน  ดังนั้น  อย่าลืมทำให้ลูกน้องมีความสุขกับที่ทำงาน

nec26-fact tell story sell

IMG_4677

 

Fact Tell  Story Sell

การสื่อสารกับกลุ่ม networking ให้มีประสิทธิภาพมีคนจำเราได้นั้นจะทำให้เพื่อนๆสามารถนำเรื่องของเราไปเล่าต่อให้กับคนอื่นฟังได้ และนั่นจะเป็นที่มาของ referral ที่ดี

การทำให้เพื่อนจำเรื่องของเราได้ เราควรจะสื่อสารด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจ ไม่ใช่ ข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่เพียงอย่างเดียว  การหาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรามาผูกเป็นเรื่องเล่าจะทำให้ผู้คนจำได้ง่าย และเล่าต่อได้ง่าย  ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้

นายธนาคาร มีโครงการกู้เงินซื้อบ้านดอกเบี้ยต่ำ  เมื่อเขามาพูดต่อหน้ากลุ่มเพื่อนหรือกลุ่ม networking เขามายืนพูด สวัสดีครับ ผมมาจากธนาคาร  ตอนนี้ดอกเบี้ยสำหรับกู้ซื้อบ้านต่ำมากนะครับใครสนใจขอเชิญคุยต่อที่โต๊ะอาหารได้เลยนะครับ

 

flower house-IMG_9423

 

กับอีกแบบหนึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นเรื่องเล่า
วันก่อนครับ  ผมไปเจอกับเพื่อนรุ่นน้องมาคนหนึ่ง  เขามีครอบครัวกำลังโต มีลูกสองคน  เขากับแฟนทำงานประจำ  ลูกกำลังจะเข้าโรงเรียน เขาอยากจะย้ายจากคอนโดมาอยู่บ้านสักหลัง  ผมกำลังดูแลโครงกู้ซื้อบ้านอยู่พอดี  เลยให้คำปรึกษาและเลือกโครงการที่ดอกเบี้ยต่ำที่เหมาะกับเขาให้  ตอนนี้เขากำลังย้ายของเข้าบ้านใหม่อยู่ครับ

จากสองวิธีการพูดนี้ เราจะจำเรื่องราวที่สองได้  และนำไปเล่าต่อได้ง่ายกว่า  ส่วนวิธีพูดแบบที่หนึ่ง เราอาจจะไม่ใส่ใจที่จะจำเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้น ธุรกิจของเรา เราอยากให้คนจำเราแบบไหน ให้ลองเลือกวิธีและหาเรื่องเล่าที่น่าประทับใจ น่าสนใจ แล้วลองใช้กับการประชุมกลุ่ม networking ดูครับ

 

nec17 – referral source ep2 ช่องทางที่ 3

IMG_7262

referral source หรือแหล่งที่มาของการแนะนำงาน ที่มีอยู่ 8 ช่องทาง  เราจะมาต่อที่ช่องทางที่ 3 ครับ

(ย้อนไปอ่านช่องทางที่ 1 และ 2)

ช่องทางที่ 3

คนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจเรา  เช่น ซัพพลายเออร์ของเรา  หรือ คนที่ลูกค้าเราไปอุดหนุน  ยกตัวอย่าง  ถ้าเราขายหนังสือ หรือ ขายเครื่องสำอางค์ อาหารเสริม  โรงพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือ หรือ พิมพ์กล่อง คือคนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจของเรา  ก็คือซัพพลายเออร์ของเรานั่นเองที่จะเป็นผู้ให้ referral แก่เราได้      หรือ  ธุรกิจที่ลูกค้าเราไปอุดหนุน  เช่น  ลูกค้า fitness ไปแวะกินข้าวที่ร้านอาหารสุขภาพ   ถ้าเราจะพัฒนา referral source ช่องทางนี้  เราก็ควรจะ ไปแนะนำตัวกับคนกลุ่มนี้

 

การแนะนำตัวกับซัพพลายเออร์ ว่าเราขายอะไร  ลูกค้าเราเป็นใคร  เขาจะได้นึกออกว่าถ้ามีลูกค้ามาถามหาถึงบริการของเรา  เขาจะได้แนะนำเราให้กับคนถาม  เช่น ธุรกิจ catering รับจัดเลี้ยง  เวลาเราไปจัดเลี้ยง  คนที่ได้ประโยชน์คือ คนขายของสดให้เรา คนขายข้าวสารให้เรา  เราควรไปแนะนำตัวให้คนขายของสดและขายข้าวได้รู้จักเราว่าเรามีลูกค้าแบบไหน  เพราะคนขายก็ขายให้ ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล วัด เขาอาจไม่รู้ว่าเราเป็นธุรกิจรับจัดเลี้ยงตามบริษัท  เราควรไป 1-2-1 กับซัพพลายเออร์นั่นเอง   เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะมีคนรู้จักหรือคนมาถามหาจากคนขายว่า ถ้าเขาจะจัดเลี้ยงพนักงาน ช่วยแนะนำร้านอาหารให้หน่อย  คนขายข้าวสารย่อมจะไม่แนะนำวัด ไม่แนะนำโรงเรียนให้กับคนถามอยู่แล้ว  เขาจะต้องแนะนำร้านอาหาร และ catering แน่นอน  ถ้าเราไปแนะนำตัวให้ชัดเจน  ไปบอกซัพพลายเออร์ว่าเรามีลูกค้าแบบไหน เราอยากบริการลูกค้าแบบไหน  เขาจะได้จำได้และนึกถึงเราเมื่อต้องแนะนำให้เพื่อนเขา

 

ทำไมเขาถึงกล้าแนะนำเราให้กับเพื่อนเขา ก็เพราะ เราอุดหนุนซัพพลายเออร์มานาน  และซัพพลายเออร์ก็รู้ว่าเราจ่ายเงินตรง เรามีคุณภาพนั่นเอง  ช่องทางที่ 3 นี่คือช่องทางที่ควรพัฒนาให้เป็น referral source ของเราให้ได้

 

nec17 – referral source ep1

IMG_4105

การเพิ่ม referral ให้กับตัวเรามีหลายวิธี  ใน bni เคยเล่าไว้ว่ามี 8 ช่องทาง  แค่เพียงเราเลือกสักช่องทางออกมาเน้น มาพัฒนาให้มันเกิดขึ้นจริง  ก็จะทำให้จำนวน referral ของเราเพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน  การเพิ่มขึ้นของ referral ก็จะนำมาซึ่งธุรกิจ  และมันก็จะทำให้บริษัทของเราเติบโตต่อไป

8ช่องทางคือดังนี้

1 คนที่อยู่ในรายชื่อ contact sphere ของเรา
2 ลูกค้าแสนดีของเรา
3 คนที่ได้ผลประโยชน์จากการทำธุรกิจของเรา คนที่ได้เงินจากธุรกิจของเรา เช่นซัพพลายเออร์
4 คนที่เราไปอุดหนุน เช่น ช่างตัดผม ร้านอาหาร ฟิตเนส
5 ลูกน้องของเรา  เพราะเขารู้จักเราดี
6 คนที่เราเคยให้ referral
7 คนที่เคยให้ referral แก่เรา
8 สมาชิกในกลุ่ม networking

เราจะอยู่กับ 2 แหล่งก่อน เพื่อให้เราจำข้อมูลและนำไปทดลองทำได้

ช่องทางที่1  คนใน contact sphere

ก็คือคนที่มีคุณสมบัติสามารถเป็น powerteam กับเราได้  คนกลุ่มนี้คือคนที่มีคุณภาพ มีโอกาสสูงมากที่จะให้ referral กับเรา  สมมุติว่า  ถ้าเราให้คนทำ catering  นักจัดดอกไม้  ออแกไนเซอร์ โรงพิมพ์ ช่างภาพ ได้มานั่งอยู่ในห้องเดียวกัน โดยห้ามมีคนอื่น  ผ่านไปสัก 1 ชม. ก็จะมีธุรกิจเกิดขึ้น  แต่ละคนจะมีลูกค้าของตัวเองที่สามารถใช้บริการคนอื่นในห้องได้ด้วย  งานแต่งงานทำให้คนหลายอาชีพกลายเป็น powerteam กันได้  และนี้คือ referral source ช่องทางที่ 1

ช่องทางที่ 2 ลูกค้าเก่า

ก็จะเป็น referral source ที่ดีให้กับเราได้เ่ช่นกัน  เพราะลูกค้าเก่าได้เคยใช้งานเรามาแล้ว  ลูกค้าเก่าเชื่อเต็มร้อยว่าเรามีคุณภาพ  ลูกค้าเก่า พร้อมจะบอกต่อ  พร้อมจะเล่าเรื่อง testimonial ของเรา  เราควรจะติดต่อกับลูกค้าเก่าของเราอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อให้เขานึกถึงเรา และเชียร์เรากับคนที่เขาพูดคุยต่อไปเรื่อยๆ    แต่หากเราทำเสียเอาไว้ ลูกค้าเก่าไม่พอใจ เขาก็จะกลายเป็นคนที่ผลักลูกค้าให้หนีเราไปด้วยเช่นกัน

อ่านตอนใหม่ ช่องทางที่ 3

nec07 – เหตุผลที่ระบบ powerteam ไม่ได้ผล

เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถมี referral ที่ดีถูกใจ วิธีการที่แน่นอนที่เราควรจะได้ทำก็คือ บอกเล่าว่าเราอยากได้ referral แบบไหนกับคนในกลุ่มเน็ตเวิร์คของเรา หรือให้ความรู้กับเพื่อนเราว่าเราอยากได้อะไร เป็นการบอกกับ contact sphere ของเรานั่นเอง ในขณะเดียวกัน ก็มีวิธีการอื่นที่ทำได้ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย โดยเป็นวิธีการให้ความรู้กับกลุ่มคนที่มีอาชีพใกล้เคียงกับเราและน่าจะส่งงานให้เราได้ การทำแบบนี้ เราจะเรียกว่า เรากำลังหา referral partner นั่นเอง ซึ่ง referral partner นี้ จะมีที่มาจากคนสองกลุ่มหลักๆ คือ จาก contact sphere และ จาก powerteam

คำว่า contact sphere กับ powerteam มีความหมายต่างกัน contactsphere คือกลุ่มคนที่อยู่ในเน็ตเวิร์คของเรา มีความน่าจะเป็นที่จะส่งงานให้เราได้ แต่เรายังไม่ได้ไปร่วมทีมกับเขาเพื่อทำบางอย่าง กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ powerteam เป็นกลุ่มที่เราได้ตัดสินใจร่วมทำงานด้วยกันแล้ว เพราะเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างร่วมกันและทำให้เกิดงานส่งต่อได้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอาชีพที่ส่งเสริมกันหรือมีลูกค้ากลุ่มเดียวกัน

ต่อให้เราสร้าง powerteam กันแล้ว ก็ยังไม่ได้หมายความว่างานเราเสร็จสิ้น เรายังต้องหาวิธีที่จะทำให้เรากับทีมสามารถส่ง referral ต่อกันได้ สิ่งที่เป็นความสำคัญใน powerteam มากที่สุดคือการสร้างความไว้วางใจ ความไว้วางใจหรือความมั่นใจ ทำให้คนในทีมมั่นใจว่าหากเขาส่งงานให้เราแล้วเราจะไม่ทำเสีย

สาเหตุที่ powerteam จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือ วิธีการสร้าง powerteam ที่ผิด

1 คิดว่า คนในทีมคือ powerteam รวมตัวกันแล้วจบ แบบนี้ไม่เกิดงานแน่นอน ซึ่ง powerteam ที่แท้จริง เราจะต้องใช้เวลาทำงานร่วมกันกับทีมอย่างจริงจัง

2 ไม่ให้เวลากับทีม เราต้องใช้เวลาเพื่อพูดคุย เรียนรู้ เราอยากได้อะไร เพื่อนอยากได้อะไร และมุ่งหาวิธีที่จะทำให้เพื่อนไปถึงเป้าหมาย นั่นคือต้องประชุม powerteam อย่างสม่ำเสมอ  ต้องทำ 1-2-1 อย่างทั่วถึงทั้งทีม

3 อยู่ผิดทีม ถ้ามีใครบางคนในทีมไม่สามารถให้ referral กับเราได้ นั่นแปลว่า ไม่เขาก็เราที่อยู่ผิดทีม อาจจะมีสาเหตุมาจาก เซอร์วิสของเราเพื่อนทำเองได้ เลยไม่มีงานมาถึงเรา แบบนี้เราและเขาไม่ควรอยู่ทีมเดียวกัน ต้องเปลี่ยนทีม ให้เรามองหาทีมอื่น มองหาเน็ตเวิร์คอื่นๆเพิ่มเติม ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คนเราสามารถมีกลุ่มเน็ตเวิร์คได้หลากหลาย ให้เราเลือกอยู่กับทีมที่ต้องการเรา

การมี powerteam ที่มีประสิทธิภาพ จะต้องเกิดผลลัพธ์  ลองใช้เวลากับทีมสัก 3 เดือนหากไม่เกิดผลทางธุรกิจนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเราต้องเปลี่ยน powerteam

nec92 – referral ออกแบบได้

Screen shot 2018-11-06 at 7.18.30 AM

referral หรือการแนะนำธุรกิจที่ดีที่เคยมีในระบบ bni เป็น referral ที่มาจากการออกแบบ ไม่เคยมีธุรกิจที่มาแบบฟลุคๆ ไม่เคยมี referral ที่ดีที่ได้มาโดยบังเอิญ หลายๆคนที่ทำธุรกิจมักจะรอคอย referral ซึ่งการเฝ้ารอแต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่ดี

referral ออกแบบได้ เป็นแนวคิดที่เป็นจริง ไม่ว่าเราจะมีบทบาทอะไรในธุรกิจของเรา ตั้งแต่การเป็นเจ้าของ หรือ คนทำงาน การออกแบบreferral อย่างมีระบบ มีการวางแผน จะทำให้เราได้ referral ที่เราต้องการ

 

มีเหตุการณ์สมมุติ ถ้ามีนกแร้งสองตัวเกาะอยู่บนต้นไม้ เฝ้ารอสัตว์เดินมาตายใกล้ๆ แล้วจะเข้าไปกิน ถ้าเราเป็นแร้ง เราจะทำอย่างไร หาเรารอให้มีสัตว์เดินมาตายต่อหน้า พอเราจะเข้าไปกิน ก็มีแร้งอีกตัวที่อาจเร็วกว่าเราเข้ามาแย่งเราไป อาจมีคู่แข่งทางธุรกิจที่มีระบบการจัดการบางอย่างที่ดีกว่าเรามาตัดหน้าเสนอบริการที่ดีและพร้อมกว่าไปจนได้ แต่ถ้าเราเป็นแร้งที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันที่มีหัวก้าวหน้าสักหน่อย แทนที่เราจะรอสัตว์เดินมาตายตรงหน้า สู้ออกไปฆ่าสัตว์สักตัวแล้วกินเลยไม่ดีกว่าหรือ นั่นคือ การออกไปแล้วลงมือทำสิ่งที่แร้งตัวอื่นไม่ทำ ทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่ทำ การลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มากกว่าการรอคอยจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด referral ที่ดีได้ การลงมือทำเพื่อให้เกิด referral ก็คือการออกแบบ referral นั่นเอง อย่าลืมว่า referral ออกแบบได้

 

nec20 – สองหูหนึ่งปาก

IMG_4105

เหตุการณ์ที่จะนำพาไปสู่การเกิดงาน คืออะไร นั่นคือ มีใครสักคนบอกคุณว่าเขามีปัญหาอะไร  อยู่ๆเราจะไปบอกว่าคุณควรใช้งานเรา ก็ไม่สามารถทำได้
ทุกๆงานมักจะเกิดจาก มีคนเกิดปัญหา และเขาบ่นให้เราฟัง

พวกเราเป็นคนที่มี 2 หู 1 ปาก นั่นเป็นธรรมชาติที่สอนให้เราฟังมากกว่าพูด
การถามเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความสัมพันธ์ เพราะคนที่ฟังจะหมายถึงคนที่ให้ความสำคัญกับผู้อื่น สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทำให้เขาบ่น หรือ ให้เขาได้พูด ได้เล่า

วิธีการก็คือ การถามนำ  ให้เราถามคำถามที่ทำให้เขาได้เล่าครับ ยกตัวอย่างคำถาม

1 ช่วงนี้คุณมีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นไหม

2 วันนี้อะไรน่าสนใจสำหรับคุณไหม

3 คุณผ่านวิกฤตเมื่อปี ….  มาได้อย่างไร

ผลของคำถามจะทำให้คนโดนถามต้องหยุดคิดเล็กน้อย แล้วก็เรียบเรียงคำตอบให้คุณ การตอบคำถามของเขาจะนำมาสองเหตุการณ์ คือ

1 อาจจะมีปัญหาเล่าให้ฟัง  และเราเป็นนักแก้ปัญหาก็จะสามารถแก้ไขให้ได้ เพราะพวกเราเยอะ
2 คนตอบจะเริ่มจดจำคนถามได้  เพราะคำถามมันแปลกและไม่ค่อยได้พบเจอการถามแบบนี้

เราน่าจะลองหาคำถามเปิดประเด็นเพื่อนำไปใช้กับว่าที่ลูกค้า หรือ คอนเน็คชั่นใดๆที่เราไปพบเจอ   การถามอย่างสร้างสรรค์จะนำผลลัพธ์ที่ดีมาให้ได้ครับ

nec12 -การทำธุรกิจแบบเน้นความสัมพันธ์

717374983

การทำ networking ไม่ได้หมายถึงการพูดถึงธุรกิจซึ่งกันและกัน และจบด้วยการแลกนามบัตร หากเราคิดเพียงแค่นี้ เรากำลังเข้าใจผิด

 

ในการเข้ากลุ่ม networking สิ่งที่ควรจะพูดถึงนั้นมีมากกว่าการคุยกันเรื่องธุรกิจ  การบอกต่อที่อาศัยความสัมพันธ์นั้น ไม่ใช่แค่การพูดว่า ฉันทำอะไร เธอทำอะไร เรามาทำธุรกิจกันเถอะ  แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นก็คือ ความสัมพันธ์ในระดับส่วนบุคคลบนความเหมือนกันบางอย่าง  ซึ่งความสัมพันธ์ที่ว่านี้จะนำไปสู่ธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นได้

736279103

ในการเทรนนิ่งบางครั้ง จะมีกิจกรรมการเขียนข้อมูลส่วนตัว  เป็นการระบุ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่สนใจ สิ่งที่อยากได้ และเป้าหมายทางธุรกิจ  ใน bni เรียกว่า  GAIN Sheet หลังจากนั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ต่อกันกัน

 

กรณีตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้น

การวิเคราะห์ข้อมูล Gain นี้ทำให้รู้ว่า มีคนสองคนที่มีข้อมูลบางอย่างเหมือนกัน  ซึ่งสองคนนี้อยู่ในกลุ่มและรู้จักกันมาเป็นปีแล้ว แต่ไม่เคยมีธุรกิจถึงกันเลย  สิ่งที่เหมือนกันจาก GAIN ก็คือ เขาทั้งสองคนมีลูกและลูกอยู่ในทีมฟุตบอลซึ่งเขาทั้งสองต่างก็มีส่วนร่วมในกิจกรรมฟุตบอลของลูกเหมือนกัน  หลังจากที่รู้ว่ามีบางอย่างเหมือนกันแล้ว  เขาสองคนนี้ก็ได้พูดคุยกันมากขึ้น และกลายเป็นคู่ที่สนิทกันได้ในเวลาไม่นาน  และได้ร่วมแจมกิจกรรมฟุตบอลของลูกด้วยกัน  หลังจากนั้นสามเดือน  ก็มี referal เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคน

 

ทั้งหมดนี้มันเร่ิมจากการค้นหาความเหมือนกันในบางอย่าง  ความเหมือนกันนี้สามารถพัฒนาเป็น connection ที่ดี และทำให้เกิด referral ได้ ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นก็จะตามมา

nec09 – นำความรู้ธรรมดามาใช้อย่างไม่ธรรมดา

 

771534429

การนำความรู้ธรรมดามาใช้อย่างไม่ธรรมดา

มีเหตุผลเพียงสองข้อที่จะทำให้เกิด referral ได้ง่าย ก็คือ การที่เรามี visibility และมี creditability ที่สูงพอ  โดย visibility ก็คือการมีตัวตนอยู่  แสดงตัวตนให้คนอื่นได้รู้เห็น  ส่วน creditabilityก็คือ การสร้างความน่าชื่อถือด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าเราคือผู้รู้จริง มีความสามารถจริงๆ

วิธีการเพิ่ม V และ C นี้ มีวิธีหนึ่งที่มีคนนำไปใช้แล้วได้ผลลัพธ์เช่นกัน นั่นก็คือ การทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเด่นชัด แล้วทำการเขียนเป็นบทความ เขียนเป็นจดหมายข่าวออกมา  ส่งบทความที่เขียนไปยังสื่อที่อยู่ในสายอาชีพของเราเอง  งานนักเขียนไม่ใช่งานยาก  แต่เป็นงานที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

เราเป็นคนที่มีความสามารถในอาชีพของเรา แต่เรามักจะลืมที่จะโปรโมทตัวเราเองต่อสาธารณชน  งานเขียนเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากที่จะสร้าง V และ C  เช่น

  • ถ้าเราเป็นช่างภาพ เราสามารถให้ความรู้เรื่องการโพสท์ท่าได้ สามารถให้ความรู้เรื่องเมมโมรี่และฮาร์ดดิสก์ที่จะต้องใช้กับภาพจำนวนมากได้
  • ถ้าเราเป็นคนทำอาหาร เราสามารถให้ความรู้เรื่องโภชนาการ หรืออาหารเพื่อสุขภาพได้ ของอร่อยอยู่ที่ไหน กินอะไรอ้วนช้า
  • ถ้าเราเป็นคนเขียนเว็บ  เราให้ความรู้เรื่องเทรนและโมบายแอ็พได้

ไม่ว่าเราจะทำอาชีพอะไร มี เรื่องน่ารู้ในสาขาอาชีพของเรามากมายที่เรานำมาใช้เป็นบทความได้ ส่งบทความไปยังกลุ่มเครือข่ายของเรา ส่งบทความไปยังสำนักพิมพ์ หรือ หัวหนังสือ ส่งไปยังเว็บบอร์ดที่เราชอบอ่าน  บรรณาธิการหนังสือมักจะยินดีรับบทความคุณภาพอยู่แล้ว จะใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าบทความเราดีเขาจะใช้ทันที หรือหากยังไม่มีโควต้าจะใช้ในวันนี้ แต่วันใดวันหนึ่งข้างหน้าบทความในมือ บก. หมดลง เขาก็ต้องมาพิจารณาบทความของเราแน่นอน

การเป็นนักเขียน ทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้เราเก่ง  คนที่เป็นนักเขียนเขาทำสิ่งเดียวที่มากกว่าคนอื่นคือ เขาลงมือเขียน  การนำความรู้ธรรมดามาใช้แบบไม่ธรรมดา จะทำให้ creditability ของเราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

nec-ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ contact sphere

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ contact sphere
1 คิดว่า contact sphere = ลูกค้า  แท้จริงแล้วลูกค้าคือเป้าหมาย  contact sphere คือคนที่เรารู้จักและมีความพร้อมที่จะสร้างทีมกับเรา
2 คิดว่า รายชื่อ contact sphere อยู่ในมือถือ  แท้จริงแล้ว contact sphere จะถูกกำหนดโดยเป้าหมาย
3  คิดว่า contact sphere และ powerteam สร้างแล้วจะมี referal   แท้จริงแล้ว เมื่อกำกนด powerteam ได้จากนั้นทั้งทีมต้องเข้าสู่การเรียนรู้ซึ้งกันและกัน สร้างความไว้ใจต่อกัน  ใช้เวลาร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ

bni กับแนวคิดของ การทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4121

วิธีการทำการตลาดแบบบอกต่อที่เป็นหัวใจของ bni เป็นวิธีที่เน้นการปลูกสร้างสายสัมพันธ์  หลายคำศัพท์ที่มักจะได้ยินในกลุ่มของนักธุรกิจ bni คือ เรามาทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4142

farming คืออะไร  ย้อนกลับไปที่คำศัพท์การทำฟาร์ม  การทำฟาร์มใดๆก็ตาม เราจะต้องได้ผลผลิตจากสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ถ้าเราทำฟาร์มไก่ เราก็เลี้ยงไก่ ผลผลิตเป็นไก่ เราได้ไก่กินทุกวัน เรามีไก่ไปขายทุกวัน  แม้เราหลับ เราตื่นมาก็มีไก่ให้กิน  เพราะฟาร์มจะมีผลลัพธ์ให้เราตลอดเวลา

ถ้าเราปลูกเห็ดขาย เรากำลังทำฟาร์มเห็ด  เราก็จะมีเห็ดให้เก็บขายทุกวัน  วันนี้เก็บไปแล้ว พรุ่งนี้มีเห็ดต้นใหม่ให้เก็บ เก็บขายทุกวัน นอนหลับตื่นมา พรุ่งนี้ก็มีเห็ดต้นใหม่

สิ่งที่ยกตัวอย่างมาคือเราทำฟาร์ม  ฟาร์มนั้นๆจะต้องให้ผลลัพธ์กับเราตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หล่อเลี้ยงฟาร์มนั้นด้วยสิ่งที่จำเป็น เลี้ยงไก่ ก็ต้อง ให้อาหาร ให้น้ำ เก็บกวาดขี้ไก่ทำความสะอาด  ปลูกเห็ดก็ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย สิ่งที่เราทำเพิ่มลงไปทุกวันๆก็เพื่อให้วันพรุ่งนี้มีผลผลิต

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4182

เรามา farming ใน bni  ก็คือ ฟาร์มแห่งนี้จะต้องให้ธุรกิจกับเราทุกวัน หรือ ให้บ่อยๆ หรือ ให้อย่างสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของเราด้วย  ถ้าเราเป็นคนรับเหมาสร้างบ้าน  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าสร้างบ้านกับเราตลอดปี  จบหลังแรก ก็มีหลังที่สองให้สร้างต่อ ทำให้บริษัทไม่ว่างงาน   หรือถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าที่สั่งพิมพ์งานทุกวัน หรือทุกสัปดาห์แล้วแต่ชนิดงาน ถ้าปีนึงลูกค้าสั่งงานโรงพิมพ์ 1 ครั้ง และเราใช้เวลาผลิตงานประมาณ 1 สัปดาห์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะทำให้เราได้ลูกค้า 52 รายเพื่อให้โรงพิมพ์ได้ทำงานส่งทุกสัปดาห์นั่นเอง

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

farming ใน bni คือการพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมของกลุ่มคนประมาณ 40-50 คน  คนในกลุ่มนี้จะมีหลายหลายอาชีพ และทุกคนอาชีพไม่ซ้ำกัน  การที่จะให้คนเหล่านี้แนะนำบอกต่อลูกค้ามาสั่งงานกับเรา ก็ต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง เช่น เราจะต้องได้รับความไว้วางใจว่าเรามีคุณภาพ เพื่อนถึงจะกล้าแนะนำงานให้  เราต้องเป็นเพื่อนเขา สนิทสนมกับเขาในระดับนึง  และ เขาต้องรู้จักเรา รู้จักธุรกิจของเรา  และรู้ว่า งานที่เขาจะช่วยบอกต่อมาถึงเรานั้น เป็นงานที่เราต้องการจริงๆหรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  เราก็อยากจะพิมพ์งานหลายอย่าง  แต่งานที่เราทำไม่ได้ก็มี เช่น งานพิมพ์หนังสือพิมพ์ เพราะเครื่องจักรของเราผลิตหนังสือพิมพ์ไม่ได้  ดังนั้นเพื่อนในกลุ่มถ้าเขารู้จักเรา รู้จักธุรกิจเรา เขาจะไม่แนะนำงานหนังสือพิมพ์มาให้เรานั่นเอง

IMG_0048

ในขณะที่เรากำลังสร้างฟาร์มที่จะมีลูกค้า มีงานส่งมาถึงเราอย่างต่อเนื่อง  เราก็เป็นฟาร์มของคนอื่นเช่นกัน  คนอื่นจะต้องพยายามสร้างความไว้วางใจให้ได้  เขาจะต้องทำให้เราเชื่อและไว้ใจว่าเขามีคุณภาพ และจะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับลูกค้าที่เราส่งไปให้  การหล่อเลี้ยงฟาร์มแห่งนี้เพื่อให้เกิดการแนะนำบอกต่ออย่างต่อเนื่องนั้น เราจะต้องมีวิธีการประจำวันที่จะทำงานกับระบบแบบนี้  ดังต่อไปนี้

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4280

1  ต้องพบกันอย่างสม่ำเสมอ  ในทางปฏิบัติ ก็คือการเจอกัน คุยกันอย่างเป็นประจำ  คำว่าเป็นประจำมีความหมายยิ่งกว่าบ่อยๆ  ในกลุ่ม networking ทางธุรกิจ จะมีการพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เจอกันบ่อยยิ่งกว่าญาตพี่น้องเสียอีก  การพบกันอย่างสม่ำเสมอทำให้เราและเขาได้รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน  แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และสามารถนำไปสู่ความไว้วางใจในการส่งต่อลูกค้าได้  ให้ลองคิดเล่นๆว่า  เราจะบอกต่อลูกค้าคนสำคัญของเราให้กับเพื่อนแบบไหน เพื่อนแบบที่นัดแล้วไม่มา  ไม่ค่อยได้เจอ  หรือเพื่อนที่พบกันทุกสัปดาห์และเขารับผิดชอบงานดี

2  ต้องใช้เวลาพูดคุยกันอย่างถึงแก่นของธุรกิจ  รู้ในสิ่งที่ควรรู้ของเพื่อน  เช่น  ต้องรู้ถึงระดับที่ว่า งานที่เราพบเจอใช่งานของเพื่อนเราจริงไหม  อย่างเช่น  ถ้ามีคนจะซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน  และในกลุ่ม network ของเรามีผู้รับเหมาสร้างบ้าน  เราต้องรู้ว่า ผู้รับเหมาที่เราพบกันประจำเขารับงานต่อเติมไหม  บางคนอาจรับแต่งานสร้างใหม่  ส่วนงานซ่อมหรืองานต่อเติมไม่รับ  ดังนั้น  เวลาเราจะเลือกส่งต่องาน เราควรรู้ว่า คนรับเขาอยากได้งานนั้นๆจริงหรือไม่  และการที่จะได้รู้ว่าเขาอยากรับ หรือ ไม่อยากรับ  เราต้องผ่านการพูดคุยกันในเชิงลึก  ผ่านการได้ดูได้เห็นผลงานของเขา  ในทางกลับกัน  ถ้าเพื่อนผู้รับเหมาจะส่งงานมาให้เรา  เขาก็ควรรู้จักเราว่าเราชอบงานนั้น หรือ ไม่ต้องการงานแบบนั้น

เมื่อเราพบกันสม่ำเสมอ และรู้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งกันและกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนทั้งสองฝ่าย  การแนะนำลูกค้าที่เรามีอยู่ให้ใช้บริการเพื่อนในกลุ่มก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  ไม่ตะขิดตะขวงใจ  คนเรามีลูกค้าติดตัวรวมถึงคนรู้จักที่พูดคุยได้อย่างน้อย 200 คน  ถ้าเรารวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อย 5 คน ก็เท่ากับมี 1000 ว่าที่ลูกค้า  ถ้าเรารวมกลุ่มกัน 40 คน เราจะมีว่าที่ลูกค้า 8000 คน  นี่คือความน่าจะเป็นของการทำธุรกิจด้วยวิธีการบอกต่อ  แต่เราบอกต่อแบบมีคุณภาพ และมีโครงสร้างการติดตามงานที่ชัดเจน ทำให้การบอกต่อเป็นการบอกต่อที่เกิดผลลัพธ์  ซึ่งมันก็คือการทำฟาร์มที่จะได้ผลเป็นลูกค้านั่นเอง  เพราะในกลุ่มจะวนเวียนเกิดงานใหม่ๆให้แก่สมาชิกเสมอ