ใช้แฟลชปรับปรุงภาพ

PHOTO_COLLAGE1553348756275

สองภาพนี้เป็นรูปของพ่อผมเองที่นั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล จากการป่วยหนักอยู่หลายวัน พอถึงวันที่จะออกก็นั่งเล่นอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจ ผมไปรับพร้อมกล้องถ่ายรูป ช่วงนั้นพกกล้อง yashica 635 ติดตัว เป็นกล้องที่ถ่ายภาพขนาด 6x6cm ใช้ฟิล์ม 120 ฟิล์ม 1 ม้วนจะถ่ายได้ประมาณ 10 ภาพ

ภาพแรกถ่ายตอนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ริมหน้าต่าง แสงจากด้านนอกสว่างมาก ส่วนแสงในห้องก็อยู่ในระดับปกติ หากเทียบกับแสงภายนอกก็น่าจะมีความแตกต่างกันหลายสต๊อป เลยตัดสินใจถ่ายภาพเลือกค่ารูรับแสงที่พอดีกับการใช้แฟลชที่พกมาด้วย เจตนาภาพหลักคือภาพที่ใช้แฟลช แต่ถ่ายภาพแรกถ่ายโดยปิดแฟลชเสียก่อน ได้ภาพแรกแล้วก็หยิบแฟลชขึ้นมา เสียบสายซิงค์กับกล้องแล้วปรับตั้งแฟลชให้ส่องขึ้นเพดานห้อง ตั้งใจใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชเพื่อให้แสงแฟลชสะท้อนเพดานและแสงจะมีความนุ่มนวล ตั้งค่าของแฟลชเป็นแบบ Auto 2.8 คือแฟลชจะยิงแสงออกไป และมีเซ็นเซอร์หน้าแฟลชคอยวัดค่าแสง เมื่อค่าความสว่างบนวัตถุหรือตัวแบบพอดีกับค่า f2.8 ก็จะตัดการทำงาน ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีสวยแบบภาพที่สอง

เพดานห้องพักเป็นสีขาว ความสูงไม่มากจึงสามารถเลือกใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชได้ ฟิล์ม 120ม้วนนี้ความไวน่าจะ iso 160 ใช้กับกล้อง yashica 635 ที่มีรูรับแสงกว้างสุด 3.5 คิดหยาบๆก็คำนวณกำลังแฟลชให้เหมือนใช้รูรับแสง f4 บนฟิล์ม iso100 ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน ก็เลยตั้งค่าแฟลชไปที่โหมด auto 2.8 เผื่อให้แฟลชเกินไว้ 1 สต๊อป การถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จะคำนวณแสงแฟลชผิดไป 1 สต๊อป เป็นเรื่องที่ยังพอใช้งานได้ เพราะภาพแฟลชพอดี กับแฟลชอันเดอร์นิดหน่อย ก็ให้ภาพที่ดีได้ แค่คนละอารมณ์


IMG_0257

IMG_0267
IMG_0261

แฟลช Vivitar Automatic 2700 ตัวนี้เป็นแฟลชราคาไม่แพง ให้ฟังค์ชั่นการทำงานที่พอใช้งานสำหรับนักถ่ายภาพระดับเริ่มต้นแต่อยากจริงจัง ใช้เรียนรู้การทำงานกับแฟลชได้ เราสามารถใช้แบบ manual คำนวณค่าการเปิดรูรับแสงเอง หรือ ใช้แบบ Autoตั้งค่ารูรับแสงตามตารางด้านหลังก็ได้ แฟลชตัวนี้ซื้อในยุคปี คศ 1998 ซึ่งถึงปัจจุบันนี้แฟลชตัวนี้เปิดไม่ติดแล้ว

ทดลองใช้แฟลชตัวเล็ก Canon 90EX

แฟลช 90EX เป็นแฟลชขนาดเล็กใส่ถ่าน AAA จำนวน 2 ก้อน กำลังไฟหรือ guide number น่าจะประมาณ 8 หรือ ต้องตั้งค่ารูรับแสงเท่ากับ F8 เมื่อถ่ายวัตถุ 1 เมตรที่ความไวแสง iso100 แฟลชตัวนี้เป็นตัวที่แถมมากับกล้อง Eos M รุ่นแรกที่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2014 ซึ่งในเวลานั้นกล้องรุ่นนี้คือกล้อง Mirrorless ตัวแรกของ Canon

20250412122055_IMG_3310

เทคโนโลยีการปล่อยแสงแฟลชของ Canon ก้าวล้ำไปมากตั้งแต่สมัยเป็นยุคฟิล์มแล้ว และเมื่อต่อยอดมาถึงยุคของกล้องดิจิทัล แฟลชที่มีให้ใช้ในกล้องรุ่นใหม่ก็มีความสามารถของแฟลชเพิ่มขึ้น และแฟลชแยกที่ต่อบนกล้องก็จะมีความสามารถสูงกว่าที่ติดมากับกล้องด้วย สำหรับ EX90 ตัวนี้แม้จะเป็นแฟลชตัวเล็ก เป็นตัวแถมมากับกล้อง แต่ก็มีความสามารถสูงน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น สามารถใช้ล๊อคความจำแสงแฟลชได้ หรือ Fe Lock ทำให้ยิงแฟลชด้วยปริมาณแสงที่แม่นยำ ซึ่งผู้ใช้งานต้องหัดใช้ให้เป็นถึงจะได้ความแม่นยำแบบที่ต้องการ

20250412122112_IMG_3311

ยังมีความสามารถในการสั่งการแบบไร้สายเพื่อควบคุมแฟลช Canon ตัวอื่นได้ด้วย ทำให้เราสามารถใช้ EX90 เป็นตัวมาสเตอร์เพื่อควบคุมแฟลช Canon ตัวอื่นที่ติดตั้งรอรับคำสั่งการทำงาน การใช้แฟลชไร้สายแบบมีตัวมาสเตอร์จะทำให้แฟลชในระบบทุกตัวมีความสามารถเหมือนกัน สามารถใช้ลูกเล่นของแฟลชได้เต็มระบบ

20250412102358_IMG_3306

ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้อง Eos 6d คู่กับเลนส์ 24-105F4L เปิดที่ f4 auto iso ไม่เปิดแฟลช

20250412102347_IMG_3305

ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้อง Eos 6d คู่กับเลนส์ 24-105F4L เปิดที่ f4 auto iso แล้วเปิดแฟลช 90ex

การใช้แฟลช 90EX บนกล้อง Eos 6d จะเป็นการใช้งานแฟลชในโหมด E-TTL เมื่อกดชัตเตอร์ ก่อนที่กล้องจะเปิดรับภาพ กล้องจะส่งแสงแฟลชออกไปเล็กน้อยแล้ววัดแสงสะท้อนที่วัดถุ กำลังไฟแฟลชจะถูกคำนวณปริมาณที่ต้องใช้จริงกับวัตถุนี้ จากนั้นกล้องจะปล่อยค่าแสงที่ถูกต้องออกไปในตอนรับภาพจริง ถ้าเราสังเกตุการยิงแฟลชเราจะเห็นว่าแฟลชมีการกระพริบหลายครั้งก่อนที่จะยิงแสงจริงออกไป

ระบบการวัดแสงแฟลชก่อนการยิงแฟลชจริงเป็นการวัดค่าปริมาณแสงแฟลช ซึ่งในระบบแฟลชที่ซับซ้อนทันสมัยจะมีการคิดแบบนี้ แต่ละค่ายแต่ละยี่ห้อจะมีหลักการทำงานคล้ายกัน Canonเรียกระบบนี้ว่า E-TTL ซึ่งภายหลังมีการอัพเกรดเป็น E-TTL2 ส่วนค่ายกล้องอื่นๆก็มีชื่อเรียกเฉพาะของตัวเอง

สรุป

แฟลช Canon 90EX เป็นแฟลชตัวเล็ก น้้ำหนักเบา ใช้ถ่าน AAA 2 ก้อน เหมาะกับการพกพาติดกระเป๋ากล้อง สามารถนำไปใช้กับกล้องรุ่นโปรที่ไม่มีแฟลชในตัว ให้แสงแฟลชที่เพียงพอกับการถ่ายภาพระยะใกล้ และใช้รูรับแสงไม่แคบมาก ยิ่งใช้กับเลนส์ไวแสงยิ่งเหมาะ แฟลชมีความสามารถสูงสามารถใช้ลูกเล่น FE-Lock ได้ สามารถใช้เป็นตัวมาสเตอร์เพื่อควบคุมแฟลชไร้สายได้ EX90 เป็นของแถมจากกล้องรุ่นอื่นไม่ได้มีขายแยกเดี่ยว ถ้าจะหาซื้อต้องไปหามือสอง ราคาที่เคยรู้คือไม่ถึงหนึ่งพันบาท

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1440
dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1441

สองภาพรูปนักฟุตบอลกำลังกินข้าวกล่องนี้ ใช้กล้อง Eos 6d ติดเลนส์ Nikon Fisheye 16mm2.8 ผ่านอแด๊ปเตอร์ แล้วก็ติดแฟลช 90ex บนกล้อง แม้จะใช้เลนส์คนละค่าย แต่แฟลชก็ยังทำงานได้ ภาพแรกไม่เปิดแฟลช ภาพล่างเปิดแฟลชด้วย กล้องจะยังคงประมวลผลแฟลชและสั่งการควบคุมความแรงของแฟลชให้พอดีได้ถ้าระยะของวัตถุไม่ไกลเกินไป

20250412083625_IMG_3291
20250412083652_IMG_3292

ภาพดอกตูมบัวสวรรค์ เปรียบเทียบภาพบนปิดแฟลช ภาพล่างเปิดแฟลช ระยะห่างวัตถุถึงแฟลชประมาณ 1 เมตร

20250412083450_IMG_3286
20250412083458_IMG_3287

ภาพใบไม้บนพื้น ภาพบนปิดแฟลช ภาพล่างเปิดแฟลช ระยะห่างวัตถุถึงแฟลชประมาณ 1.5เมตร

ตัวอย่างการถ่ายภาพด้วยแฟลช

การใช้แสงแฟลชในการถ่ายภาพมีมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยของฟิล์มก็มีการใช้แฟลชกันอย่างแพร่หลาย กล้องถ่ายภาพเกือบทุกตัวมักจะมีแฟลชในตัวมาให้ด้วย ทั้งกล้องคอมแพ็คขนาดเล็ก และกล้อง SLR ระดับเริ่มต้นหรือเกือบจะโปรก็จะมีแฟลชในตัว โดยการถ่ายภาพด้วยแสงแฟลชถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาแสงไม่พอ อย่างเช่นการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ถ้าเราอยากถ่ายภาพคนในอาคารที่แสงสว่างไม่มาก การถ่ายภาพด้วยการเปิดแฟลชไปด้วยจะทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1439
ไม่ใช้แฟลช
dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1442
ใช้แฟลช

กล้องดิจิทัลที่ออกมาเพื่อทดแทนกล้องฟิล์มก็มีแฟลชในตัวมาให้ แต่ระยะหลังกล้องบางตัวก็เลิกใส่แฟลชมาให้แล้วด้วยเหตุผลว่า ความไวแสงหรือ iso ของกล้องดิจิทัลสูงขึ้นเรื่อยๆ ความไวแสงของกล้องดิจิทัลสูงกว่าฟิล์มถ่ายภาพไปไกลมาก เรียกได้ว่า กล้องถ่ายภาพในยุคปัจจุบันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีแฟลชอีกแล้ว นั่นทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลชกลายเป็นสิ่งที่หายาก และคนเริ่มไม่คุ้นเคย และสุดท้ายคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันใช้กล้องฟิล์มก็อาจจะไม่รู้วิธีการถ่ายภาพด้วยแฟลชแล้วด้วย แต่ก็ยังดีที่กล้องบางรุ่นก็ยังให้แฟลชมาให้ในตัว และมีการปรับค่าความสว่างของแฟลชให้พอดีแบบอัตโนมัติ ทำให้การเรียนรู้เรื่องแฟลชเริ่มไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป และแม้ไม่รู้เรื่องกล้องก็ยังใช้งานได้

แต่การใช้แฟลชเทียบกับการไม่ใช้ให้ลักษณะภาพต่างกัน ถ้าเรารู้หลักการสักหน่อยเราก็จะใช้แฟลชในภาพเพื่อปรับปรุงคุณภาพ สร้างลักษณะแสงที่ต้องการได้ เราจะได้ภาพที่ดีขึ้น

IMG_3854

ภาพที่หนึ่ง เป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง Eos M3 ติดเลนส์ Ef-m 22F2 ตั้งค่าให้กล้องปรับ iso อัตโนมัติ ยกกล้องเล็งแล้วถ่ายเลย ไม่เปิดแฟลช ได้ภาพที่เหมือนตาเห็น สภาพแสงในห้องเกิดจากไฟเพดานบางส่วนและไฟจากโคมไฟที่ส่องอยู่บนโต๊ะหนังสือ

IMG_3855

ภาพที่สอง ลองเปิดแฟลชให้กับภาพ ถ่ายภาพในมุมเดิม แต่เพิ่มเติมการเปิดแฟลชด้วย โหมดการถ่ายภาพแบบ P กล้องจะเลือกค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ และเมื่อเปิดแฟลชด้วยก็จะได้ภาพสว่างขึ้น อิทธิพลของแสงจากเพดานและโคมไฟบนโต๊ะดูจะไม่ค่อยมีผลแล้ว แสงสว่างในภาพเกือบทั้งหมดมาจากแสงแฟลชที่ยิ่งเข้าไปตอนถ่ายภาพนั่นเอง เราจะเห็นเสาด้านซ้ายที่ได้รับแสงแฟลชจนเห็นลายไม้

IMG_3860

ภาพที่สาม เป็นภาพที่ยิงแฟลชเช่นกัน แต่เปลี่ยนจากที่แฟลชยิงแสงออกไปตรงๆ ก็เอามือปรับให้ตัวปล่อยแสงแฟลชเงยขึ้น เพื่อให้แสงแฟลชไปกระทบกับเพดานแล้วสะท้อนกลับมายังส่วนที่ต้องการ เราเรียกเทคนิคการยิงแฟลชใส่เพดานว่าการเบ๊าซ์ หรือ bounce สิ่งที่ต้องควบคุมในเทคนิคการ bounce คือ เพดานต้องเป็นสีขาว แสงแฟลชที่สะท้อนกลับมาจะเป็นแสงขาวและความสว่างไม่ถูกลดทอนมากเกินไป ถ้าเป็นเพดานสีเข้ม หรือ เป็นไม้ แสงสะท้อนจากเพดานไม้ก็จะกลายเป็นสีอมเหลืองแทน ผลของการ bouce คือ ภาพจะสว่างขึ้น ได้แสงสว่างจากเพดานที่ดูนุ่มนวลขึ้น ภาพตัวอย่างดูสวยขึ้นมากกว่าการยิงแฟลชออกไปตรงๆ และดีกว่าไม่มีแฟลชเลย แต่การ bounce จะต้องใช้กำลังแฟลชสูงขึ้นมาก ถ้าเป็นแฟลชติดกล้องตัวเล็กๆก็อาจจะกำลังไฟไม่พอ ยิ่งเพดานสูงกำลังไฟก็จะยิ่งไม่พอเช่นกัน

การถ่ายภาพด้วยแฟลชจะช่วยให้ภาพเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้นดีขึ้น หรืออาจจะทำให้แย่ลงก็เป็นไปได้ ช่างภาพมือระดับอาชีพบางคนจะฝึกฝนการใช้แฟลชจนเข้าใจ สามารถควบคุมแสงแฟลชเพื่อสร้างสรรค์ภาพให้ได้ตามจินตนาการ

good lesson lighting เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการจัดแสงในการถ่ายวิดีโอ

Screenshot 2567-10-19 at 12.38.02
Screenshot 2567-10-19 at 12.37.35

mic setup for sony zv-1f

เปรียบเทียบภาพถ่ายที่ใช้แฟลช

การถ่ายภาพเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเก็บไว้เป็นภาพ ใช้หลักการปล่อยให้แสงผ่านเลนส์ไปตกยังตัวรับภาพแล้วก็บันทึกปริมาณแสงเอาไว้ สมัยโบราณการถ่ายภาพจะต้องทำตอนมีแสงเพียงพอหรือตอนที่มีแสงสว่างก็คือมีแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนการถ่ายภาพตอนกลางคืนหรือถ่ายภาพในที่ร่มเราก็เพิ่มอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งขึ้นมาคือ มีไฟส่องสว่างให้กับเหตุการณ์ กล้องถ่ายภาพนิ่งจะรับภาพในเวลาสั้นๆ แสงสว่างที่ฉายไปก็ฉายไปในเวลาสั้นเช่นกันเพื่อประหยัดพลังงาน แสงที่ฉายออกไปเพียงครู่เดียวเลยเรียกว่าแฟลช หรือเป็นไฟกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอต่อการบันทึกภาพ

การถ่ายภาพด้วยแฟลชเป็นการแก้ปัญหาแสงไม่พอเพื่อให้บันทึกภาพได้ ต่อมาก็เริ่มมีการใช้แฟลชเพื่อช่วยสร้างสรรค์ภาพให้แตกต่างไปจากเดิมได้ด้วย ช่างภาพจะเริ่มมีทางเลือกว่าจะใช้แฟลชในภาพหรือไม่ กล้องบางตัวมีแฟลชในตัวสามารถเลือกใช้หรือไม่ไม่ใช้ได้ กล้องระดับมืออาชีพไม่นิยมใส่แฟลชไว้กับตัวกล้อง แต่จะมีช่องให้ต่อแฟลชเพิ่ม

การใช้ กับ การไม่ใช้แฟลช ให้ผลกับภาพไม่เหมือนกัน ช่างภาพควรจะรเรียนรู้และทดลองใช้แฟลชให้เข้าใจ แล้วจากนั้นเมื่อเจอกับเหตุการณ์ต่างๆก็ค่อยตัดสินใจว่าจะใช่แฟลชหรือไม่ เพราะบางครั้งมีแฟลชก็ทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น บางภาพไม่มีแฟลชก็อาจจะสวยกว่า ทุกการตัดสินใจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง เราต้องตัดสินใจเองว่าอยากได้ลักษณะภาพแบบใด

ภาพถ่ายแบบไม่ใช้แฟลช ภาพแรกคือถ่ายภาพไม่เปิดแฟลช กล้อ eos m โหมด P เลนส์ 18-55mm

IMG_0131

ภาพที่สองเป็นการถ่ายภาพเปิดแฟลช ใช้แฟลช ex90 ติดบนหัวกล้อง eos m เลนส์ 18-55mm

IMG_0132

ภาพโต๊ะหนังสือและเด็กนั่งอยู่นั้น จะเห็นว่าแสงแฟลชจะทำให้ตัวเด็กสว่าง พื้นที่ที่โดนแสงแฟลชเพียงพอจะเห็นภาพเห็นรายละเอียด ไม่ได้เป็นเงาดำ หลายคนก็มักจะบอกว่า ใช้แฟลชเพื่อเปิดเงา หรือ บางคนก็จะบอกว่าใช้แฟลชเพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดๆ ส่วนที่อยู่ห่างออกไปที่ขอบภาพหรือหลังห้องด้านซ้ายมือ เป็นจุดที่แสงแฟลขไปไม่ถึง เพราะแสงแฟลชเมื่อส่องกลางภาพจนสว่างเพียงพอแล้ว กล้องจะตัดการทำงานของแฟลช ทำให้ปริมาณแสงที่ไปยังขอบภาพหรือด้านหลังห้องนั้นแทบจะไม่มีผลต่อภาพเลย ภาพใช้แฟลชและไม่ใช้แฟลช ส่วนที่อยู่ห่างออกไปมากๆจึงไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น

IMG_0144

IMG_0145

ภาพเด็กนั่งในรถ เป็นการใช้แฟลชเพื่อส่องสว่างระยะใกล้ ผลของแฟลชทำให้เห็นรายละเอียดในเงามืด เห็นรายละเอียดของเบา ซึ่งปกติส่วนที่โดนแสงจะสว่างพอดีในภาพถ่าย แต่ส่วนที่อยู่ในเงาจะเป็นสีดำไม่มีรายละเอียด แฟลชที่ยิงออกไปจะไปส่องสว่างเงาเหล่านี้ และเก้าออี้อยู่ใกล้ๆกับวัตถุหลักหรืออยู่ใกล้กับจุดที่แฟลชทำงานถึง จึงได้รับแสงแฟลชเพียงพอ

เทคนิคการใช้แฟลชมีหลายอย่าง ถ้าให้เขียนทั้งหมดมันจะเป็นตำราถ่ายภาพเนื้อหาเยอะมาก หากบอกเป็นหัวข้อสั้นๆแล้วเอาไปขยายผลต่อเองก็จะได้ประมาณนี้

1 การใช้แฟลชโดยไม่สนใจแสงภายนอก

2 การใช้แฟลชร่วมกับแสงภายนอก

3 การใช้แฟลชมากกว่า 1 ตัว

4 แฟลชที่ให้แสงแข็งกับแสงนุ่ม

5 แฟลชแมน่วล

6 แฟลช ทีทีแอล

7 แฟลช ทีทีแอลแบบแอ๊ดวานซ์

8 แฟลชกับแผ่นสะท้อนแสง

9 แฟลชกับร่มสะท้อนแสง

10 แฟลชกับร่มทะลุ

11 แฟลชมีสาย

12 แฟลชไร้สาย

13 การชดเชยแสงแฟลช

14 อุณหภูมิสีของแฟลช

ที่เขียนออกมา 14 แนวทาง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้แฟลช ซึ่งตอนที่ใช้งานจริงเราอาจจะใช้สองแนวทางร่วมกันก็ได้ หรืออาจจะหลายแนวทางร่วมกัน หมายความว่า เรามีความน่าจะเป็นที่ต้องคิดต้องเลือกนับร้อยวิธีการใช้แฟลช เช่นการใช้แฟลชแมน่วลร่วมกับร่มสะท้อน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เกิดจาก 2 แนวทาง

บางสถานการณ์เราอาจจะใช้แฟลชแมน่วล ร่วมกับแผ่นสะท้อนแสง เพื่อถ่ายภาพร่วมกับแสงภายนอก โดยแฟลชจะเป็นแบบไร้สาย และต้องเลือกอุณหภุมิสีด้วย แค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดอีกเยอะ

เทคนิคการใช้แฟลชเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดจำนวนมาก คู่มืออธิบายการใช้งานแฟลชจะเยอะและหนากว่าคู่มือการใช้งานกล้อง เราอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องแฟลชยาวนานกว่าเรื่องอื่นในวิชาถ่ายภาพ ถ้ามีเวลาเราควรศึกษาอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีเวลา ปล่อยมันผ่านไปแล้วบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่าเราไม่ชอบใช้แฟลช


การจัดแสงถ่ายรูปแบบประหยัด

IMG_20190615_171816

การถ่ายภาพสินค้าประเภทเครื่องสำอางค์หรือของที่เป็นขวด เป็นตลับแล้วอยากให้ดูแพง ก็ต้องอาศัยการจัดแสงนิดหน่อย ซึ่งเคล็ดลับการจัดแสงไม่ได้ซับซ้อน แสงที่สวยคือแสงธรรมชาติ ถ้าเราสามารถใช้แสงธรรมชาติมาเป็นแสงหลักในภาพได้เราก็ควรทำ

เลือกแสงหน้าต่างที่ส่องลอดเข้ามาในห้องครัว อาศัยผ้าผืนนึงปูเป็นฉากหลังและผนังด้านหลัง จัดผ้าเข้ามุมให้เป็นมุมฉากกับพื้นและผนัง เอาสินค้าวางบนผ้า แล้วก็ให้แสงหลักคือแสงที่ส่องมาจากด้านบน

แสงเข้าจากด้านบนจะทำให้แสงที่ส่องเข้าด้านหน้าดูน้อยเกินไป เลยต้องมีตัวช่วยสะท้อนแสงอีกตัวส่องแสงสะท้อนด้านบนเข้าไปที่ด้านหน้า ถ้าเราใช้แผ่นสะท้อนแสงสีขาว นุ่มๆ ผิวด้านๆ เราจะได้แสงนุ่มเคลียร์ แต่ในภาพนี้ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะ เลยเลือกใช้ฝาหม้อที่เป็นอลูมิเนียมมีพื้นผิวเป็นลอนๆไม่เรียบมาช่วยสะท้อนแสง คาดหวังให้แสงสะท้อนมีลักษณะเป็นหย่อมๆดวงๆไม่สม่ำเสมอ เพื่อส่องตัวผลิตภัณฑ์ให้ดูแวววาว ผลก็คือแสงสะท้อนจากตัวสะท้อนโลหะให้แสงมีความนุ่มและแข็งในบางส่วน ผสมกันลงตัวพอดี เป็นแนวทางที่น่าสนใจมากสำหรับการจัดแสง

เราไม่กล้าบอกหรอกว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุด เพราะว่าการถ่ายภาพแบบเน้นความเร็วและความง่ายเราก็พยายามทำในเวลาและทรัพยากรจำกัด ถ้าจะเข้าสตูดิโอถ่ายภาพจริงจังมันก็อาจจะดีกว่านี้มาก แต่เวลาและงบประมาณอาจจะจบกันที่เป็นหมื่นบาท หรือ หลายหมื่นบาท ซึ่งคงไม่คุ้มค่ากับสินค้าราคาไม่แพงและไม่ได้มีขายจำนวนมากแบบสินค้าขึ้นห้างแค่มันดีกว่าไม่พยายาม เราก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว เห็นภาพเห็นแนวทางแบบนี้เราก็เท่ากับได้เรียนรู้ด้วยว่าแสงแนวนี้ต้องใช้อุปกรณ์อย่างไรและเลือกใช้สถานการณ์แสงอย่างไร

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกับการใช้แสงแฟลช

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มได้กลับมานิยมกันอีกครั้งในยุค พศ.2563 แต่การหวนกลับมาของฟิล์มครั้งนี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล แต่คนก็ยังเหนียวแน่นกับการถ่ายภาพแบบลองผิดลองถูก ถ่ายทุกม้วนลุ้นทุกเฟรม การใช้แฟลชกับกล้องฟิล์มก็ดูจะมีบางกลุ่มที่ชอบใช้ เพราะลักษณะภาพแตกต่างไปจากมือถือ แตกต่างไปจากภาพจากกล้องดิจิทัล บทความนี้จะแนะนำการใช้แฟลชในบางรูปแบบเปรียบเทียบให้ดูว่า ช่างภาพยุคโบราณใช้แฟลชด้วยแนวคิดอย่างไร และอาจจะไม่เหมือนยุคนี้ทั้งหมด แต่หลักการจะสามารถนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานภาพได้

000037

ภาพที่1 ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เปิดแฟลชด้วย โดยใช้โหมด P บนกล้อง SLR ของ canon ลักษณะภาพจะได้แสงแฟลชพอดีบนตัวแบบ และฉากหลังค่อนข้างดำมืด นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราเปิดโหมด P พร้อมด้วยเปิดใช้งานแสงแฟลช กล้องจะเลือกค่ารูรับแสง f4 และ ความไวชัตเตอร์เป็นค่าสูงๆประมาณ 1/60 วินาทีสำหรับที่แสงน้อย และอาจจะเลือกเป็น 1/125 วินาทีในที่แสงจัด กล้องจะคิดแทนเราว่าเราต้องการภาพไม่สั่น รูรับแสงน้อยเท่าที่เลนส์จะมีให้ได้ โดยฉากหลังจะมืดก็ไม่สนใจ เพราะตัวแบบจะได้รับแสงแฟลชที่เพียงพออยู่แล้ว ภาพจึงออกมาตามภาพคือตัวแบบได้แสงพอดี ส่วนฉากหลังจะดำเกือบมืดนั่นเอง

000038

ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ตั้งใจปรับกล้องอีกแบบหนึ่ง เลือกการตั้งค่าให้เป็นโหมด AV พร้อมเปิดแฟลช ในโหมด Av บนกล้อง canon เมื่อเลือกรูรับแสง f4 กล้องจะเลือกค่าสปีตชัตเตอร์ให้เป็นค่าที่วัดแสงฉากหลังได้พอดี ซึ่งสปีดอาจจะต่ำลง ภาพแนวนี้ถ้าเป็นในอาคารจะใช้ขาตั้งด้วยเพื่อป้องกันการสั่นไหว นั่นจึงทำให้ฉากหลังของภาพที่ 2 นี้ ดูสว่างขึ้นกว่าภาพที่ 1 ส่วนตัวแบบจะได้แสงสว่างจากแฟลชและแสงในอาคาร แต่แสงหลักๆที่ทำให้ตัวแบบสว่างก็คือแสงแฟลช โดยรวมก็คือ ภาพที่1และ2 ตัวแบบจะได้แสงจากแฟลชเป็นแสงหลักและเป็นค่าแสงแฟลชที่สว่างพอดีบนตัวแบบ แต่ฉากหลังจะต่างกันตามโหมด P และ Av ที่กล้องคิดไม่เหมือนกัน

000031

ภาพที่ 3 เป็นโหมด Av ที่ปิดแฟลช เป็นการวัดแสงพอดีทั้งภาพ ตัวแบบจะได้แสงพอดีจากการวัดแสงจริงๆในโหมดนี้ และฉากหลังหากโดนแสงภายนอกส่องเข้ามาพอๆกับแบบ เราก็จะได้ภาพแบบและฉากหลังที่สว่างเหมือนกัน นั่นคือแสงพอดีเหมือนกันตั้งแต่หน้าถึงหลัง สถานการณ์นี้ขาตั้งกล้องจำเป็นมาก เพราะการถ่ายภาพในอาคาร วัดแสงพอดี ด้วยฟิล์มความไวต่ำ ความไวชัตเตอร์จะต่ำมาก หากถือด้วยมือเปล่าภาพจะสั่นแน่นอน

การใช้แฟลชถ่ายภาพมีเทคนิคการคิดหลายชั้น ค่อยๆฝึกถ่ายไปทีละบทเรียนก็จะมีความเข้าใจทีละน้อย สะสมความรู้ไปเรื่อยๆเราก็จะมีเทคนิคที่หลากหลายไปใช้ออกแบบรูปถ่ายของเรา ช่างภาพที่ดีก็คือช่างภาพที่เข้าใจแสงและอุปกรณ์ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด ต้องค่อยๆเรียนกันไป

รวมเทคนิคการจัดไฟถ่ายสินค้า

koibox-IMG_8010dpp
koibox-IMG_8017dpp

แหวนกับถุงผ้าสีชมพู ถ่ายภาพให้ดูเป็นของพรีเมี่ยม ดูเป็นแค็ตตาลีอคขายของ ก็จัดการวางแหวนไว้บนถุงผ้า เพื่อให้แหวนอยู่บนพื้นสีชมพู กล่องถ่ายภาพเป็นฉากขาว พื้นขาว ถ้าถ่ายแหวนเดี่ยวๆอาจจะไม่โดดเด่นมาก ก็เลยลองวางบนผ้า แล้วก็ได้ภาพน่าสนใจ กล่องกระดาษเจาะรูด้านข้าง ติดกระดาษขาวช่วยกรองแสง ใช้ไฟแฟลชส่องจากด้านข้างดวงเดียว ได้ภาพแสงนุ่มถูกใจ

Banana in lighting box
จัดไฟถ่ายกล้วย lighting banana

การใช้กล่องไฟเหมาะกับการถ่ายภาพสินค้า นอกจากกล่องกระดาษแบบ DIY แล้ว เรายังสามารถหากล่องพลาสติกขาวขุ่นมาใช้แทนได้ด้วย และเมื่อเจอถังขยะที่ขายอยู่ในห้าง ดูแล้วน่าจะเอามาใช้ได้ ก็เลยซื้อมาลอง แล้วก็กลายเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพไปอีกชิ้น กล่องไฟจากถังขยะ จัดไฟให้ส่องลงด้านบนกล่อง แล้วแสงในกล่องก็จะนุ่มนวล สามารถใช้ถ่ายสินค้าต่างๆได้เลย

24oct2011 test white box-IMG_8015
24oct2011 test white box-IMG_8031

กล่องถังขยะขาวขุ่นยังคงใช้งานเป็นกล่องไฟสำหรับถ่ายสินค้าอยู่เป็นระยะ มีอะไรอยากถ่ายเพื่อขาย หรือเพื่อถ่ายเล่นสวยๆ ก็จัดวางในกล่อง ไฟส่องด้านบนกล่อง แล้วก็จับภาพให้เห็นเฉพาะสินค้า เราก็จะได้ภาพถ่ายสินค้าคุณภาพสูง สีสันถูกต้อง

IMG_0016
IMG_0012

กล้องโพลารอยด์วางไว้ในกล่องไฟสีขาว กล่องตัวเดิมที่ใช้งานมาหลายๆครั้ง การจัดวางแสงไฟที่วางด้านนอก เราจะส่องเข้าด้านข้าง หรือส่องเข้าด้านบนของกล่องก็ได้ หรือ วางเฉียงเพื่อให้ไฟส่องได้ทั้งด้านบนและด้านข้างกล่องไฟ เราก็จะได้แสงภายในที่ แตกต่างไปจากงานตัวเก่า เพดานกล่องโดนแสงไฟ ด้านซ้ายกล่องก็โดนแสงไฟ ภายในกล่องก็จะเหมือนเราจตัดไฟสองดวง เหมือนแสงสว่างจะมาจากด้านข้างและด้านบน

IMG_b0218packaging
IMG_b0220packaging

กล่องไฟดัดแปลง ติดกระดาษด้านบน ด้านซ้าย ด้านขวา ตอนใช้งานกับถ้วยกาแฟเราก็ให้แสงแฟลชยิงเข้าด้านข้างกล่อง ไฟมาจากด้านเฉียงๆ แฟลชจะวิ่งไปโดนเพดานกล่อง และด้านซ้ายของกล่อง ชุดไฟแบบเคลื่อนที่เร็วราคาประหยัด ยกไปถ่ายที่ไหนก็ได้

IMG_0034
IMG_0037

กล่องไฟชิ้นเดิม นำมาใช้ถ่ายเครื่องเสียงหน้าตาโบราณ เราวางกล่องในห้องสีแดง มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ ไปแฟลชที่ส่องไปยังกล่องกระดาษ เราควรจะจัดไฟให้ใกล้กล่องสักหน่อย เพราะถ้าไฟอยู่ห่างจากกล่อง แสงไฟที่กระจายออกจากแฟลช จะวิ่งไปสะท้อนผนังห้องสีแดง จะมีไฟสีแดงเกิดขึ้นกับภาพของเรา แสงไฟสีแดงจะส่งผลต่อภาพสินค้าได้เช่นกัน ดังนั้น เราต้องจัดวางไฟแฟลชให้ใกล้กล่องที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เพื่อให้ผลของสีแดงเข้ากล่องให้น้อยที่สุดนั่นเอง

IMG_1542
IMG_1538

กล่องไฟถ่ายสินค้ารุ่นทำเอง ยังคงทำงานของมันไปเรื่อยๆ ในบางครั้งเราก็เบื่อกับฉากสีขาว พื้นสีขาว หากเราอยากเปลี่ยนสี เราก็แค่เอากระดาษสีมาวางในกล่อง วางลาดจากพื้นกล่องขึ้นไปทางด้านผนังด้านหลัง เราก็จะได้ฉากสีดำสำหรับถ่ายภาพสินค้า สินค้าบางชนิดอยู่บนฉากดำจะดูสวยและเหมาะกับงานมากกว่าฉากสีขาว ไม่ว่าเราอยากได้ฉากสีอะไร เราก็เปลี่ยนได้ตามใจแค่ซื้อกระดาษสีที่ต้องการมาวางเท่านั้น

จัดแสงถ่ายของด้วยแสงหน้าต่างและแผ่นสะท้อนแสง

การถ่ายภาพสิ่งของให้ได้ภาพตรงกับใจคิด หรือให้ได้ภาพที่ตรงวัตถุปรสงค์เราควรต้องรู้เทคนิคการจัดแสงเล็กน้อย ภาพแสงเข้าด้านเดียวจะทำให้วัตถุมีเงาเกิดขึ้นในภาพ ภาพที่ถ่ายออกมาจะเห็นเงาเข้มชัดเจน ภาพตัวอย่างด้านล่างนี้แสงเข้าด้านบน จะทำให้มีเงาที่ด้านล่างของภาพ หากเราชอบเงาก็ดีไป หากเราไม่ชอบเงา เราก็ต้องหาวิธีทำให้เงาหายไป

IMG_0527
ภาพที่1

เงาที่อยุ่ด้านล่างของภาพเกิดจากแสงเข้าจากด้านบน ซี่งหากเราต้องการแก้ไขให้เงาดำหายไปหรือมีน้อยที่สุด เราก็จำเป็นต้องจัดแสงให้มีแสงจากด้านล่างส่องเข้าไป วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ เอากระดาษขาวหรือแผ่นสะท้อนแสงมาวางด้านล่าง เพื่อให้กระดาษช่วยสะท้อนแสงกลับเข้าไปโดนวัตถุนั่นเอง

IMG_0523
ภาพที่2

ภาพที่ 2 เป็นภาพอีกมุมหนึ่งที่ถ่ายเบื้องหลังให้เห็นว่าวัตถุโดนแสงอย่างไร โดยวัตถุในภาพนี้จะมีแสงเข้ามาจากทางด้านซ้ายของภาพ และหากเราอยากจะเพิ่มแสงเข้าไปเพื่อลดเงาดำ เราก็จัดการวางกระดาษสะท้อนแสงใบหนึ่ง

IMG_0522
ภาพที่ 3

เมื่อเราวางกระดาษขาวพับครึ่งเพื่อให้กระดาษตั้งอยู่กับพื้นได้ กระดาษจะรวมแสงที่วิ่งเข้าไปแล้วสะท้อนกลับไปโดนวัตถุ ซึ่งก็จะเป็นการลบเงาดำลงไปได้ ดูภาพที่3เป็นตัวอย่างการวางกระดาษช่วยสะท้อนแสง

IMG_0526
ภาพที่ 4

แสงหน้าต่างหรือแสงประตูมีความนุ่มนวลของแสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพสินค้าหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่มาก การใช้แผ่นสะท้อนแสงหรือกระดาษขาวช่วยลบเงาเป็นเทคนิคง่ายๆที่ทำได้เลยแทบไม่มีต้นทุน ไม่ว่าเราจะถ่ายสินค้าด้วยกล้องตัวใหญ่ หรือถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ เทคนนิคการจัดแสงเป็นสิ่งที่เราควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณภาพงานถ่ายภาพของเรา

การใช้แฟลชเพื่อปรับปรุงภาพให้สมบูรณ์ขึ้น

การถ่ายภาพด้วยแสงแฟลชเป็นยาขมของช่างภาพฟิล์มมานาน  เพราะแสงแฟลชมักจะทำให้ภาพดูไม่เป็นธรรมชาติ  และการปล่อยแสงแฟลชก็ควบคุมยาก  ถ้าหากเราไม่มีข้อมูลทางเทคนิคของอุปกรณ์ทุกชิ้น ไม่รู้กำลังไฟแฟลชที่แท้จริงของแฟลช และไม่รู้วิธีคำนวณค่ารูรับแสงที่จะใช้กับแฟลช เราก็แทบจะไม่ได้ภาพที่ดีจากแฟลชเลย  เทคโนโลยีของแฟลชจึงถูกพัฒนาไปไกลมาก ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อให้กล้องและแฟลชทำงานร่วมกันและให้ค่าแสงแฟลชที่เหมาะสมกับภาพได้ดีที่สุด

 

แต่ยุคสมัยของกล้องดิจิทัลทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลชเป็นเรื่องง่ายขึ้น  เพราะเราจะเห็นภาพหลังถ่าย  ภาพที่ใช้แฟลชแล้วมีความสมบูรณ์ขึ้นเราก็สามารถเห็นได้ทันที  ถ้ามีเวลาเราก็สามารถทดลองใช้แฟลชกับสิ่งที่เราถ่ายได้  หากสวยถูกใจก็เอาไปใช้งาน  หากไม่สวยก็แค่ลบภาพทิ้ง

ตัวอย่างตอนนี้จะให้ดูภาพอาหารในจาน  ภาพนี้ผมถ่ายที่โต๊ะอาหารที่บ้าน สภาพแสงในบ้านก็จะได้รับความสว่างจากแสงไฟเพดานเท่านั้น   กล้องและเลนส์ที่ใช้ถ่ายภาพนี้คือ canon eos 6d และเลนส์ canon 50f1.4   เปิดโหมด P กล้องจะเลือกรูรับแสงและสปีดชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ

IMG_5304

 

เมื่อเห็นภาพแล้วก็ลองติดแฟลชเข้าไป  ใช้แฟลช รุ่น 90ex ที่แถมมากับกล้อง eos m  แฟลชตัวนี้เป็นแฟลชตัวเล็ก ใช้ถ่าน AAA 2 ก้อน   ปล่อยให้กล้องและแฟลชสื่อสารกันเองเพื่อถ่ายภาพนี้  โฟกัสแล้วกดถ่ายในโหมด P เหมือนเดิม  ก็ได้ภาพด้านล่างนี้

 

IMG_5305

 

แสงแฟลชช่วยให้เงาในจานอาหารหายไป  เป็นเงาที่เกิดจากแสงไฟหลายดวงในบ้านแล้วทำให้เกิดเงาพาดไปพาดมาในจาน  ภาพก็จะดูสมบูรณ์ขึ้น  คนถ่ายภาพจะรู้ได้เองว่าชอบแบบไหน

 

การรู้จักเทคนิคการใช้แฟลชทำให้เราสามารถสร้างงานที่หลากหลายได้  มีทางเลือกในการแก้ปัญหาได้มากขึ้น  บางโจทย์ บางงาน อาจต้องการภาพแค่รายละเอียดชัดเจน ไม่ต้องการเงามืดที่พาดผ่านวัตถุ หรือแม้แต่การถ่ายคนแล้วหน้าผ่องสว่างขึ้น  รู้แล้วค่อยเลือกใช้ หรือ เลือกไม่ใช้ ย่อมดีกว่าไม่รู้

การใช้แฟลชในบ้านเพดานสูง

บางครั้งการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยเราก็อาจจะต้องใช้แฟลชช่วย  แม้ว่ากล้องรุ่นใหม่จะสามารถตั้งค่า iso ได้สูงลิบอยู่แล้ว  เพราะแสงแฟลชจะให้สีสันของภาพออกมาสดใสกว่าการถ่ายภาพด้วย iso สูงแต่เพียงอย่างเดียว

 

IMG_0292

ภาพที่1  สภาพแสงจริงภายในบ้าน

 

ภาพที่ 1 เป็นสภาพแสงที่มองเห็นจริงๆในบ้าน  แม้ว่าจะเปิดไฟในบ้านหมดทุกดวงแล้ว ความสว่างที่กล้องจะรับภาพก็ไม่ได้มากเลย  สถานการณ์แบบนี้ หากเป็นยุคของฟิล์มที่เรามีฟิล์มแค่ความไว 800 ภาพก็จะเกรนแตก และสปีดของภาพจะต่ำมากจนไม่สามารถจับภาพคนได้คมชัด  แต่กล้องดิจิทัลสมัยใหม่ ตั้งค่า iso ภาพนี้ไว้ที่ 3200  เราได้สปีดชัตเตอร์ที่ 1/60  รูรับแสง f4 ให้ภาพที่พอดูได้  แต่ไม่สวย

 

การถ่ายภาพสถานการณ์นี้ให้สมบูรณ์ขึ้นก็ต้องใช้แฟลช  จะทำให้เราสามารถเรียกสีสันจากสิ่งต่างๆในภาพออกมาได้ดียิ่งขึ้น  แต่การยิงแฟลชเข้าไปตรงๆเราก็มีโอกาสที่จะได้ภาพไม่สวย  การยิงแฟลชให้ดูแสงสวยนุ่มนวลมักจะต้องใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลช (Bounce)  มันคือเทคนิคการยิงแสงแฟลชไปชนเพดานสีขาว หรือกำแพงสีขาว แล้วให้แสงสะท้อนจากเพดานกลับมาโดนตัวแบบนั่นเอง

 

บ้านนี้เพดานไม่ใช่สีขาวด้วย  แถมยังอยู่สูงลิบ แฟลชที่ติดอยู่กับกล้องไม่มีทางวิ่งไปถึงแล้วสะท้อนกลับมาได้ในปริมาณที่เพียงพอจะถ่ายภาพ  ดูจากสิ่งแวดล้อมในบ้านแล้ว เห็นเพดานขาวอยู่เล็กน้อยในบริเวณชั้นลอย  เล็งด้วยสายตาแล้ว แสงสะท้อนเพดานส่วนนี้สามารถวิ่งลงมาถึงตัวคนได้  ก็เลยจัดการใช้แฟลชกับเพดานชิ้นนี้

 

IMG_0293

ภาพที่2  เพดานบางส่วนที่เป็นสีขาว

 

จัดการแยกแฟลชออกจากกล้อง  ใช้ตัวส่งสัญญาณแฟลชไร้สายหรือ trigger ติดแฟลช nikon sb26 แล้วนำไปวางบนพื้นชั้นลอย  เล็งให้แสงแฟลชยิงแล้วกระทบเพดาน  แสงสะท้อนจากเพดานจะวิ่งลงมาถึงชั้น 1 ได้  ตั้งค่ากำลังไฟในการยิงแฟลชไว้ที่ 1/2 ของไฟเต็มกำลัง  เพราะเจตนาจะให้สามารถยิงแฟลชได้ 2 ครั้งโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟหลายวินาที  เมื่อวางตำแหน่งได้ที่แล้วก็ลองถ่ายทดสอบ  ค่าแสงลงตัวพอดี ใช้สปีดชัตเตอร์และรูรับแสงและ iso เท่าเดิม  คุณภาพแสงออกมาตามภาพที่2

 

ดูจากภาพพรีวิวที่หน้าจอของกล้อง  ดู histogram ของภาพนี้แล้วพบว่าส่วนกราฟกระจายตัวเต็มย่าน  ถือว่ามีคุณภาพใช้ได้แล้วก็เลยใช้ค่าแสงระดับนี้ถ่ายเหตุการณ์ที่ต้องการ  ก็ได้ภาพที่มีสีสันดีกว่าเดิม

IMG_0283

ภาพที่3  ถ่ายด้วยค่าแสงที่ต้องการ

 

บริเวณโซฟาเป็นบริเวณที่ถ่ายภาพด้วยค่าแสงที่เรากำหนดไว้ได้พอดี  แต่พอจะถ่ายภาพมุมอื่นที่อยู่หน้าบ้าน  ระยะทางของเปียโนที่วางอยู่หน้าบ้านห่างจากจุดสะท้อนแสงแฟลชมากกว่าโซฟา ทำให้ค่าแสงที่ตกลงบนเปียโนน้อยลง เราเปลี่ยนรูรับแสงให้กว้างขึ้นไม่ได้แล้วเพราะเลนส์มีรูรับแสงแค่ f4 ส่วนกำลังไฟแฟลชเราก็ไม่อยากเพิ่มเป็น 1:1 หรือเต็มกำลัง  เพราะไม่อยากเดินขึ้นไปเปลี่ยน  และไม่อยากรอให้แฟลชชาร์จไฟจนเต็มแล้วค่อยยิง  เลยเปลี่ยน iso ในกล้องให้มากขึ้น จาก iso6400 ไปเป็น iso12800 ก็จะทำให้ตำแหน่งเปียโนดูสว่างขึ้นจนพอดี  เพราะหากไม่เพิ่ม  iso ภาพจะมืดลงมาก เห็นได้ชัดเลยว่าแสงไม่พอ

 

IMG_0311

ภาพที่ 4 เปียโนที่เพิ่มค่า isoในกล้องเป็น iso12800

 

 

 

เทคนิคการถ่ายภาพด้วยแฟลชมีวิธีการมากมายให้เรียนรู้ แฟลชเก่าๆสักตัว กับตัวส่งสัญญาณไร้สายก็ทำให้เรามีเรื่องให้เล่นอีกมาก  ยุคของกล้องดิจิทัลจะสนุกกับแฟลชได้เต็มที่เพราะทดลองแล้วเห็นภาพทันที ไม่ต้องไปลุ้น ไม่ต้องถ่ายเผื่อแบบการใช้ฟิล์ม