การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกับการใช้แสงแฟลช

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มได้กลับมานิยมกันอีกครั้งในยุค พศ.2563 แต่การหวนกลับมาของฟิล์มครั้งนี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล แต่คนก็ยังเหนียวแน่นกับการถ่ายภาพแบบลองผิดลองถูก ถ่ายทุกม้วนลุ้นทุกเฟรม การใช้แฟลชกับกล้องฟิล์มก็ดูจะมีบางกลุ่มที่ชอบใช้ เพราะลักษณะภาพแตกต่างไปจากมือถือ แตกต่างไปจากภาพจากกล้องดิจิทัล บทความนี้จะแนะนำการใช้แฟลชในบางรูปแบบเปรียบเทียบให้ดูว่า ช่างภาพยุคโบราณใช้แฟลชด้วยแนวคิดอย่างไร และอาจจะไม่เหมือนยุคนี้ทั้งหมด แต่หลักการจะสามารถนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานภาพได้

000037

ภาพที่1 ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เปิดแฟลชด้วย โดยใช้โหมด P บนกล้อง SLR ของ canon ลักษณะภาพจะได้แสงแฟลชพอดีบนตัวแบบ และฉากหลังค่อนข้างดำมืด นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราเปิดโหมด P พร้อมด้วยเปิดใช้งานแสงแฟลช กล้องจะเลือกค่ารูรับแสง f4 และ ความไวชัตเตอร์เป็นค่าสูงๆประมาณ 1/60 วินาทีสำหรับที่แสงน้อย และอาจจะเลือกเป็น 1/125 วินาทีในที่แสงจัด กล้องจะคิดแทนเราว่าเราต้องการภาพไม่สั่น รูรับแสงน้อยเท่าที่เลนส์จะมีให้ได้ โดยฉากหลังจะมืดก็ไม่สนใจ เพราะตัวแบบจะได้รับแสงแฟลชที่เพียงพออยู่แล้ว ภาพจึงออกมาตามภาพคือตัวแบบได้แสงพอดี ส่วนฉากหลังจะดำเกือบมืดนั่นเอง

000038

ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ตั้งใจปรับกล้องอีกแบบหนึ่ง เลือกการตั้งค่าให้เป็นโหมด AV พร้อมเปิดแฟลช ในโหมด Av บนกล้อง canon เมื่อเลือกรูรับแสง f4 กล้องจะเลือกค่าสปีตชัตเตอร์ให้เป็นค่าที่วัดแสงฉากหลังได้พอดี ซึ่งสปีดอาจจะต่ำลง ภาพแนวนี้ถ้าเป็นในอาคารจะใช้ขาตั้งด้วยเพื่อป้องกันการสั่นไหว นั่นจึงทำให้ฉากหลังของภาพที่ 2 นี้ ดูสว่างขึ้นกว่าภาพที่ 1 ส่วนตัวแบบจะได้แสงสว่างจากแฟลชและแสงในอาคาร แต่แสงหลักๆที่ทำให้ตัวแบบสว่างก็คือแสงแฟลช โดยรวมก็คือ ภาพที่1และ2 ตัวแบบจะได้แสงจากแฟลชเป็นแสงหลักและเป็นค่าแสงแฟลชที่สว่างพอดีบนตัวแบบ แต่ฉากหลังจะต่างกันตามโหมด P และ Av ที่กล้องคิดไม่เหมือนกัน

000031

ภาพที่ 3 เป็นโหมด Av ที่ปิดแฟลช เป็นการวัดแสงพอดีทั้งภาพ ตัวแบบจะได้แสงพอดีจากการวัดแสงจริงๆในโหมดนี้ และฉากหลังหากโดนแสงภายนอกส่องเข้ามาพอๆกับแบบ เราก็จะได้ภาพแบบและฉากหลังที่สว่างเหมือนกัน นั่นคือแสงพอดีเหมือนกันตั้งแต่หน้าถึงหลัง สถานการณ์นี้ขาตั้งกล้องจำเป็นมาก เพราะการถ่ายภาพในอาคาร วัดแสงพอดี ด้วยฟิล์มความไวต่ำ ความไวชัตเตอร์จะต่ำมาก หากถือด้วยมือเปล่าภาพจะสั่นแน่นอน

การใช้แฟลชถ่ายภาพมีเทคนิคการคิดหลายชั้น ค่อยๆฝึกถ่ายไปทีละบทเรียนก็จะมีความเข้าใจทีละน้อย สะสมความรู้ไปเรื่อยๆเราก็จะมีเทคนิคที่หลากหลายไปใช้ออกแบบรูปถ่ายของเรา ช่างภาพที่ดีก็คือช่างภาพที่เข้าใจแสงและอุปกรณ์ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด ต้องค่อยๆเรียนกันไป

ตัวอย่างภาพจาก harman reusable camera เทียบกับวิดีโอจากกล้องอีกตัว

กล้องพลาสติกของ ilford รุ่น harman reusable camera เป็นกล้องราคาถูก ขายมาพร้อมฟิล์มขาวดำ แต่เราก็สามารถใช้ฟิล์มสีกับกล้องตัวนี้ได้ ผมใช้ฟิล์มฟูจิ c200 ใส่กล้องแล้วก็ถ่ายไปเรื่อยๆในหลายๆโอกาส และในภาพนี้ เป็นสนามเด็กเล่นที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ รังสิต ลูกวิ่งเล่นก็เลยหยิบกล้องมาถ่าย กล้องมีสปีดเดียวที่ไม่รู้ว่าค่าความเร็วชัตเตอร์เท่าไร แต่ก็เดาว่าประมาณ 1/125 วินาที ส่วนรูรับแสงประมาณ f10 การใช้กับฟิล์มความไว 200 ก็พอจะทำให้ได้ภาพที่พอดีกับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องอยู่ในสนาม เมื่อถ่ายภาพนิ่งเสร็จก็เอากล้อง actioncam ออกมาถ่ายเป็นคลิปเก็บไว้ด้วย พอได้ภาพจากทั้งสองกล้องแล้วเอามาดูเปรียบเทียบกัน ก็ได้เห็นว่า กล้องถ่ายภาพของ harman reusable camera ก็ทำงานได้มาตรฐานดี เพราะภาพได้สีสันใกล้เคียงกับกล้องวิดีโอ

000023

ในความเป็นจริง ภาพวิดีโอก็คือภาพนิ่งหลายๆภาพมาเรียงต่อกัน ภาพวิดีโอ 1 วินาที อาจจะมีภาพนิ่ง 25 ภาพ ดังนั้นภาพนิ่งจากฟิล์ม หรือ ภาพจากวิดีโอ ก็ควรจะมีลักษณะแสงที่มากน้อยเท่ากัน ถ้าทั้งสองระบบนั้นวัดแสงพอดีทั้งคู่

เมื่อนั่งดูไปนานๆ กลับนึกไปถึงว่า ถ้าเราไม่ใช้ฟิล์ม ไม่ใช้กล้องพลาสติก เปลี่ยนเป็นกล้องดิจิทัลสักตัว เราก็ได้ภาพเช่นกัน คนทั่วโลกก็เข้าสู่การถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือที่ออกมาในยุคปัจจุบันก็มีคุณภาพดีกว่ากล้องดิจิทัลราคาถูกๆ และเชื่อว่าก็คงดีกว่า actioncam เสียด้วย แปลกดีที่เราหลงใหลกับการถ่ายภาพด้วยฟิล์มบนกล้องพลาสติกที่มีคุณภาพของภาพพอๆกับกล้องดิจิทัลราคาถูก



รีวิวรวมกล้อง Toy Camera

กล้อง Toy Camera เป็นกล้องของเล่นชนิดหนึ่ง ส่วนมากทำจากพลาสติก เลนส์พลาสติก กลไกเรียบง่าย ไม่มีระบบวัดแสง ไม่มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ มักจะถูกใช้เป็นของแถมไปกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ บางตัวแถมมากับแชมพูหรือสบู่ อย่างเช่นกล้องโดฟ บางตัวเป็นกล้องใช้แล้วทิ้ง ทุกตัวจะมีลักษณะเฉพาะตัวบางอย่างทำให้มันมีความน่าใช้งานในแต่ละสถานการณ์ต่างกัน รีวิวแบบรวมกลุ่มครั้งนี้ก็จะพูดถึงแต่ละตัวอย่างคร่าวๆ ฟังแล้วก็พอจะได้ไอเดียว่าถ้าเราจะลองเล่นกล้องฟิล์ม เราจะเลือกซื้อตัวไหนมาใช้ดี เชิญคลิกชมวิดีโอด้านล่างสุดได้เลยครับ

_MG_2878
IMG_1543
IMG_20200228_180152_1
IMG_20200228_180430
IMG_1529

เปรียบเทียบภาพจากกล้องDSLR Mirrorless และมือถือ

ภาพลูกกำลังนั่งหลับในที่นั่งประจำบนรถยนต์ ลูกผมโตมากับเบาะนั่งตัวนี้ ผมมีภาพหลายช่วงเวลาที่เขานั่งบนเบาะตัวนี้ หลายครั้งก็ใช้ภาพมุมนี้ในการถ่ายทดสอบ และก็มีวันหนึ่งที่เขานั่งหลับ ก็เลยหยิบกล้องทุกตัวที่อยู่ในรถมาถ่ายเก็บไว้

IMG_5790
canon eos m + 22f2 ถ่ายที่ f2
IMG_5497
canon eos 6d + 50f1.4 ถ่ายที่ f2
IMG_20190331_164455
Huawei P9
000046
Contax T3 + fuji c200 + frontier sp3000 scan

แต่ละภาพก็มีบุคลิกของตัวเอง ภาพจากมือถือ P9 ให้คุณภาพที่ดีอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่ออกมานานแล้ว ผมถือว่าเป็นมือถือรุ่นที่ปฏิวัติวงการถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์ได้รุนแรงมากที่สุดรุ่นหนึ่งเลย

ภาพจากกล้อง Harman Reusable Camera

IMG_20200228_180152_1
2020-03-07_12-55-29-01

ภาพจากการใช้กล้อง Harman Reusable Camera ใส่ฟิล์ม fuji c200 ซึ่งเป็นฟิล์มเน็กกาทีฟสี และทำการล้างอัดพร้อมสแกนภาพเสร็จสรรพ ได้เป็นภาพสีดูได้ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ภาพสีที่ได้ก็ไม่ค่อยสวยนัก เพราะกล้องที่ใช้เป็นกล้องคุณภาพต่ำ จุดประสงค์ของกล้องเป็นกล้องที่ใช้เพื่อทดแทนกล้องใช้แล้วทิ้ง เป็นกล้องพลาสติก เลนส์พลาสติก ผลิตขึ้นมาเพื่อการบันทึกภาพเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือเหตุการณ์เร่งด่วน

2020-03-07_12-55-42-01

แม้ว่าสีสันจะไม่ดี ความคมชัดก็แค่ระดับพอใช้ได้ แต่หากเรานำภาพมาปรับแต่งเป็นโทนขาวดำ แล้วเราปรับภาพอย่างเข้าใจ คือปรับด้วยประสบการณ์ว่า ภาพขาวดำที่ดีควรจะเป็นอย่างไร เราก็จะได้ภาพขาวดำดีๆออกมาได้เช่นกัน

การทำภาพเป็นขาวดำด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะมีวิธีการปรับที่ยืดหยุ่น เราสามารถได้ภาพแทบจะดังใจนึก โทนสีขาวสุด ดำสุด เราสามารถกำหนดได้ตามใจเรา ซึ่งการปรับเพื่อดูในหน้าจอคอมพิวเตอร์นี้บางทีผมว่า มันให้ภาพที่ดีกว่าการอัดขยายบนกระดาษขาวดำแล้วค่อยมาสแกนกระดาษเสียอีก เพราะแม้แต่การสแกนจากกระดาษขาวดำ เราก็ยังต้องปรับภาพอยู่ดี อย่างน้อยก็ปรับเรื่องความสว่างและคอนทราสต์ของภาพ

2020-03-07_12-55-02-01

ผมชอบภาพสีขาวดำที่ปรับจากภาพสี เพราะว่าข้อมูลสีที่เป็นสีธรรมชาติมันประกอบไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก มากกว่าภาพโทนขาวดำจากฟิล์มขาวดำแท้ๆด้วยซ้ำ นั่นทำให้เราได้การไล่ระดับสีเข้มอ่อนได้ละเอียดกว่าการสแกนฟิล์มขาวดำเป็น grayscale โดยตรง เพราะข้อมูล Grayscale จะมีความละเอียดเพียง 8bit เทียบเป็นระดับความเข้มสุดไปอ่อนสุดเท่ากับ 256 ระดับ เท่านั้น

2020-03-07_12-55-21-01

แต่ถ้าเราใช้ภาพสี jpg หรือ tif ที่เป็นสี RGB หรือภาพสแกนจากฟิล์มเน็กกาทีฟสี เราจะมีข้อมูลตั้งต้นเป็น RGB อย่างละ 8bit x 3 = 24bit คิดเป็นระดับความเข้มไล่ไปอ่อนได้ 16.7 ล้านระดับ เห็นไหมว่าแตกต่างกันมาก

2020-03-07_12-54-52-01

ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิกใช้ฟิล์มขาวดำ แต่แนะนำว่า การเล่นขาวดำจากฟิล์มเน็กกาทีฟสีแล้วดูแค่บนจอภาพไม่อัดลงกระดาษ เราสามารถได้คุณภาพงานขาวดำที่ดีได้เช่นกันจากหลักการที่อธิบายไป เรื่องศิลปะไม่มีผิดถูก ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น และอยากเสริมอีกนิดว่า ศิลปะ สะดวกแบบไหนก็ทำตามสะดวก เราก็จะได้งานเช่นกัน

2020-03-07_12-56-00-01

2020-02-19_04-23-13-02
2020-02-19_04-23-02-02
2020-02-19_04-22-53-01
2020-02-19_04-23-50-01

รีวิว กล้องคอมแพ็คฟิล์ม nikon L35AF

20200131162450_IMG_0410-01

ใครอยากฟังเป็นเสียง ผมทำเป็นคลิปไว้ใน youtube เลื่อนลงด้านล่างแล้วกดฟังได้เลยครับ

กล้องฟิล์มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงสามปีมานี้ ในงานโฟโต้แฟร์ของปลายปี คศ 2019 ที่เพิ่งผ่านไป ในงานมีมุมของกล้องฟิล์มมือสองที่มีผู้ขายมาออกร้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ต้องบันทึกไว้ก็คือ คนที่มาดูกล้องฟิล์มมือสองมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติงานโฟโต้แฟร์ในช่วงหลังที่มีแต่กล้องดิจิทัลจะมีคนเดินหลวมๆ ดูของสบาย จะมีบางบู๊ทเท่านั้นที่มีคนมุง 2-3 คนเพื่อดูสินค้า แต่กับมุมกล้องฟิล์มกลับมีผู้คนล้นหลาม ถึงขนาดที่คนดูมุงซ้อนกัน จะดูกล้องสักตัวต้องมุดต้องเอื้อมมือแทรกเข้าไปเพื่อขอกล้องตัวที่สนใจมาถือดู ความคึกคักระดับที่ไม่เคยเห็นเลยในงานโฟโต้แฟร์ การรุมดูอย่างบ้าคลั่งราวกับตลาดนัดยี่สิบบาทเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และที่น่าตกใจก็คือ ราคากล้องฟิล์มขึ้น…. มันเป็นไปได้จริงๆ

กล้องฟิล์มยอดฮิตในช่วงปีนี้จะเป็นกล้องคอมแพ็คเลนส์ฟิกซ์ทั้งสิ้น กล้องที่ได้รับความนิยมจากที่ตามอ่านตามเว็บและกลุ่มเฟสบุ๊คก็จะไม่พ้นกล้องฟิล์มไฮโซหรือกล้องคอมแพ็คเทพทั้งหลาย ที่ติดเป็นดาวค้างฟ้าก็เช่น contax t2, contax t3, leica minilux, nikon 35ti, olympus mju II, canon afm, yashica electro35, canon ql17, และ nikon L35AF ซึ่งตัวหลังนี้จะราคาค่อยข้างถูกกว่าทุกตัว และเป็นที่มาของรีวิวชิ้นนี้

กล้อง Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คฟิล์มระบบออโต้โฟกัสตัวแรกของค่าย nikon ออกวางขายในปี คศ 1983 ติดเลนส์ 35มม. รูรับแสง 2.8 มาให้เลย นับว่าเป็นเลนส์ไวแสงตัวหนึ่งของการถ่ายภาพ รูปร่างเหลี่ยมตามยุคสมัยของทศวรรษที่80 ดูบึกบึนแข็งแรงดี สเป็คเลนส์ที่ดีทำให้มันน่าสนใจมากเมื่อเราเจอกล้องที่สภาพดีและยังคงทำงานได้สมบูรณ์

สเป็คกล้องจากเว็บฝรั่งว่าไว้ตามนี้

  • Produced 1983 – ? Nippon Kogaku K. K., Japan
  • Film type 135 (35mm)
  • Picture size 24mm x 36mm
  • Weight 13.9oz with batteries (394g)
  • Lens Nikon Lens 35mm 1:2.8-? (5 element 4 group?)
  • Filter size 46mm
  • Focal range .8m-infinity (?)
  • Shutter Nikon
  • Shutter speeds ??
  • ASA 100-400*
  • Viewfinder bright frame finder with symbol distance scale
  • Exposure meter lens mounted CdS, +2 backlight compensation lever
  • Battery 2 x AA 1.5v
  • Pop-up flash (automatic when light levels drop out of range)
  • Self-timer
  • Autofocus
  • Auto film advance

จุดเด่นที่พบหลังจากได้ลองใช้ก็จะมีดังนี้

L35AF เป็นกล้องที่ใช้ถ่าน AA 2 ก้อน ซึ่งถือว่าเป็นถ่านราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายมาก เพราะกล้องตัวอื่นมักจะใช้ถ่านหายากบ้าง ราคาแพงบ้าง เช่น CR2 หรือ CR123 หรือ 2CR5 บางคนได้กล้องมาราคาสามร้อยบาท แต่ต้องซื้อถ่านเพื่อทดสอบราคาสามร้อยบาท ยังมีค่าฟิล์มค่าล้างอีกสำหรับทดสอบความสมบูรณ์ของกล้อง มันเป็นเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อยสำหรับกล้องที่ใช้ถ่านราคาแพง

000004

L35AF เป็นกล้องที่ใส่ฟิลเตอร์ได้ ขนาดฟิลเตอร์ 46 มม. ตรงนี้เจ๋งมาก เพราะว่ากล้องคอมแพ็คเทพทั้งหลายใส่ฟิลเตอร์ไม่ได้เลย การถ่ายภาพด้วยฟิล์มหากจะหวังผลปราณีตมากๆ ก็ควรจะมีฟิลเตอร์ที่ตอบสนองความต้องการของช่างภาพ เช่นจะถ่ายขาวดำก็อาจจะต้องใช้ฟิลเตอร์สีเหลือง จะถ่ายฟิล์มสไลด์หรือเน็กกาทีฟที่สีเที่ยงตรงก็ต้องมีการใส่ฟิลเตอร์แก้สี เนื่องจากฟิล์มไม่สามารถเปลี่ยนค่าไวท์บาลานซ์ได้แบบกล้องดิจิทัล เราจึงต้องใส่ฟิลเตอร์เพื่อเปลี่ยนสีของแสงที่วิ่งเข้าสู่ฟิล์มนั่นเอง

Screenshot 2020-02-20 23.17.15

L35AF ออกแบบช่องมองภาพมีสเกลโฟกัส มีเข็มชี้ว่าตอนนี้กำลังโฟกัสไปที่ระยะใด มีระยะ4 ตำแหน่งบอกเรา คือ โฟกัสใกล้ๆเข็มจะชี้ที่ภาพคน1คน ถ้าโฟกัสระยะห่างออกมาประมาณ 2-3 เมตรเข็มก็จะชี้ที่ภาพคน2คน ถ้าโฟกัสไกลอีกหน่อยเข็มก็จะชีที่ภาพสามคน และถ้าโฟกัสไกลมากเข็มจะชี้ที่ภาพภูเขา ระบบออโต้โฟกัสที่แสดงผลเป็นเข็มชี้แบบนี้ช่วยให้เรามั่นใจมากยิ่งขึ้นว่ากล้องทำงานไม่ผิดพลาด และคนใช้งานก็จะโฟกัสไม่พลาด เช่นถ้าเรากำลังถ่ายคนครึ่งตัว เมื่อกดปุ่มถ่ายลงไปครึ่งหนึ่งกล้องจะทำการโฟกัส และเข็มชี้โฟกัสจะชี้ไปตามระยะที่มันทำงานคือชี้ภาพ1คน แต่ถ้ามันบังเอิญไปชี้ที่รูปภูเขา แสดงว่าเราโฟกัสพลาดไม่โดนคน ไปโฟกัสฉากหลัง ภาพก็จะออกมาเป็นคนเบลอ ภูเขาหรือวิวด้านหลังชัด

000010

L35AF เป็น เป็นกล้องที่ตั้งค่า iso ได้เอง กล้องตัวนี้ไม่มีระบบอ่าน DX code เราจะต้องตั้งค่า iso ที่ด้านบนของเลนส์ให้ตรงกับฟิล์มที่เราใช้ แม้จะดูไม่สะดวก แต่มันเจ๋งมากหากเราใช้ฟิล์มประหลาดที่ไม่ได้มาพร้อม DX code ที่ถูกต้อง อย่างเช่น ฟิล์มโหลดชนิดต่างๆ ยุคนี้เรามีฟิล์มประหลาดที่มาแบ่งขายใส่กลักเก่า กลักเก่าจะมี DX code ที่ไม่ตรงกับฟิล์มประหลาดเหล่านี้ หากเราใช้ฟิล์มประหลาด เราต้องใช้กล้องที่ตั้งความไวแสงได้เอง

000009

L35AF มีปุ่มชดเชยแสง +2EV ปุ่มนี้เป็นปุ่มที่ช่วยให้เรื่องวัดแสงเป็นเรื่องง่ายขึ้น ปกติหากเราจะถ่ายภาพแบบปราณีต เวลาถ่ายภาพย้อนแสง กล้องจะวัดแสงผิด หากเราถือกล้องโปร เราก็ควรจะไปตั้งค่าการชดเชยแสงให้กับกล้องก่อนถ่ายภาพจริง ถ้าย้อนแสงเราจำเป็นต้องชดเชยไปทาง + 1 หรือ +2 แล้วแต่ความสว่างของด้านหลัง แต่ในกล้องคอมแพ็คตัวนี้ไม่ต้องคิดเยอะ เขาระบุมาเลยว่า ถ้าถ่ายย้อนแสงให้กดปุ่มพิเศษปุ่มนี้ด้วย มันคือปุ่มชดเชยแสงนั่นเอง

Nikon L35AF +2ev

นักถ่ายภาพมือใหม่บางคนไม่รู้ว่าปุ่มนี้ใช้ทำอะไร แต่ถ้าเคยฝึกฝนการถ่ายภาพอย่างจริงจังจะเข้าใจว่า การมีปุ่มชดเชยแบบสำเร็จรูแบบนี้เป็นสิ่งที่เจ๋งมาก ภาพตัวอย่างดูจากภาพลูกผมนั่งอยู่ในเบาะรถยนต์ แสงสว่างด้านนอกรถยนต์รวมถึงด้านหลังรถเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพย้อนแสง หากเราถ่ายไปตรงๆ ภาพจะมีความมืดที่ตัวนายแบบ แต่หากเรารู้ว่าย้อนแสงและต้องการชดเชยแสงให้มีแสงมากขึ้น เรากดปุ่มชดเชยแสงค้างไว้แล้วโฟกัสภาพถ่ายใหม่เลย กล้องจะรับแสงนานขึ้น ความสว่างจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 สต๊อป นั่นเพียงพอที่จะทำให้เด็กในภาพมีหน้าขาวดขึ้น ภาพดูสว่างขึ้น และรวมถึงฉากหลังก็จะสว่างขึ้นด้วย

2020-02-19_07-55-32

ภาพสะพายกระติกน้ำผมถ่ายที่บริเวณจุดจอดรถรับส่งนักเรียน ผมให้ลูกไปยืนห่างออกไปประมาณสองเมตรแล้วถ่ายภาพแรก แล้วจากนั้นก็กดปุ่มชดเชยแสงค้างไว้แล้วถ่ายภาพซ้ำอีกครั้ง ภาพที่สองจะมีความสว่างบนตัวแบบมากขึ้นทันที จุดนี้เป็นจุดเด่นที่เจ๋งมากๆและหาไม่ได้จากกล้องในปัจจุบัน

IMG_0408

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มในยุคปัจจุบัน จะมีความนิยมใช้ฟิล์มสีหรือเน็กกาทีฟ โดยเมื่อถ่ายเสร็จแล้วจะส่งไปล้างและทำการสแกนภาพด้วย มีผู้ให้บริการล้างฟิล์มพร้อมสแกนจำนวนมาก มีทั้งร้านเก่าแก่ที่ยังคงดำเนินงานอยู่ และอีกเกินครึ่งเป็นร้านใหม่ เมื่อได้ภาพสแกนมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเอาไปโพสท์โชว์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ภาพสแกนจาก nikon L35AF ชุดนี้ได้ภาพมา 37 ภาพ มี 36 ภาพที่โฟกัสเข้าตามที่ตั้งใจไว้หมดเลย ส่วน 1 ภาพที่ไม่ชัดก็เป็นภาพที่หันกล้องมาถ่ายเซลฟี่ตัวผมเอง ซึ่งคาดว่าโฟกัสพลาดเพราะระยะใกล้เกินไป กล้องยุคเก่ามักจะมีระยะโฟกัสใกล้สุดที่มากกว่ากล้องสมัยใหม่ ระยะแขนที่เซลฟี่ตัวเองก็เลยอยู่ในระยะที่กล้องโฟกัสไม่ได้

ข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากถ่ายภาพให้ดูดี เราควรจะยืนใกล้เหตุการณ์ทีจะถ่ายเพื่อให้วัตถุหรือคนเป็นจุดเด่นที่สุดในภาพ การใช้กล้องคอมแพ็คมักจะให้ภาพไม่แม่นยำเท่ากล้อง SLR การจัดองค์ประกอบที่ซับซ้อน การเล่นเส้นนำสายตา การจัดภาพที่จุดตัดเก้าช่อง ทฤษฎีองค์ประกอบภาพต่างๆอาจทำได้ไม่ชัดนัก สิ่งที่ทำได้คือเน้นให้จุดเด่นเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในภาพ ภาพลักษณะนี้มักจะดูดี

สรุป

Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คฟิล์มคุณภาพดี ให้ภาพที่คมชัด วัดแสงแม่นมาก สามารถโฟกัสวัตถุได้แม่นยำ คุณภาพของภาพที่ล้างแล้วสแกนขึ้นมาดูสูสีกับกล้องเทพอย่าง contax t3 ถ้าไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพด้วยตัวเองก็อาจแยกไม่ออกว่าภาพไหนจาก nikon ภาพไหนมาจาก contax ถือว่าเป็นกล้องราคาย่อมเยาที่ให้คุณภาพทัดเทียบกับกล้องแพง ข้อเสียอย่างเดียวของกล้องตัวนี้คือ แฟลชจะเด้งอัตโนมัติเมื่อมีแสงน้อย ทำให้เราไม่สามารถสั่งปิดแฟลชได้ด้วยตัวเอง ทำให้การถ่ายภาพบางสถานการณ์อาจจะไม่เป็นไปดังที่ใจคิด และการไม่มีลูกเล่นระดับ advance อย่างโหมด Av Tv หรือการโฟกัสแบบโซนรวมถึงปรับเป็นแมน่วลโฟกัสไม่ได้ก็อาจจะทำให้ใช้งานไม่ตอบสนองต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เรามี แต่มันก็เป็นกล้องที่ออกแบบมาให้พกง่ายถ่ายง่าย ไม่ได้ออกแบบมาให้มือโปรใช้ ดังนั้นข้อจำกัดต่างๆก็ไม่อาจบอกว่าเป็นข้อเสียได้

Nikon L35AF Contax T3 Leica minilux
แถมภาพเปรียบเทียบให้ สามภาพนี้ มาจากกล้อง nikon L35AF Contax T3 และ Leica minilux ใช้ฟิล์ม Fuji c200 เหมือนกัน และล้างอัดพร้อมสแกนฟิล์มร้านเดิมตลอด ทุกภาพต่างกันที่ช่วงเวลาที่ถ่ายเท่านั้น
2020-02-20_11-01-59
แถมภาพเปรียบเทียบกับกล้องดิจิทัล ภาพบนถ่ายด้วย eos m + เลนส์ 22f2 ส่วนภาพล่างเป็นภาพจาก nikon L35AF เอาภาพมาต่อกัน พยายามปรับขนาดให้ตัวเด็กดูใหญ่เท่ากัน

แถมให้อีกนิด L35AF ตอนสั่งกรอฟิล์มกลับเมื่อถ่ายหมดม้วน กล้องจะหมุนฟิล์มย้อนกลับแบบเหลือหางให้ มันดีสำหรับคนที่จะล้างฟิล์มด้วยตัวเอง เพราะจะได้ไม่เสียเวลาดึงหางฟิล์มเอง แต่มันเป็นข้อเสียเมื่อจะต้องส่งฟิล์มไปให้ร้านทำการล้างให้ เพราะฟิล์มที่เหลือหางจะดูเหมือนฟิล์มใหม่ยังไม่ได้ถ่าย หากเราเผลอวางไว้ใกล้กับฟิล์มใหม่ หรือเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วลืมว่าถ่ายไปแล้วหรือยัง เราจะแยกไม่ออกเลยว่าฟิล์มม้วนนี้ใช้ถ่ายไปแล้วหรือยัง

IMG_20210308_194010
IMG_4855

First Travelling Telescope

solar-system-439046_960_720

ท่องเที่ยวแบบมีกล้องดูดาวติดไปด้วย พร้อมกับสอนให้เด็กได้รู้จักโลก ดาวเคราะห์และมีโอกาสได้ดูดาวผ่านกล้องดูดาว ถ้าได้เห็นดาวเคราะห์บางดวงด้วยตาตัวเองน่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้ นับหนึ่งกันกับทริปนี้

2019-11-01_04-57-29

เพื่อให้ทริปเที่ยวและดูดาวครั้งนี้มีอะไรติดหัว และติดมือกลับไปด้วย เราก็ทำสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ มีสติ๊กเกอร์รูปดวงดาวต่างๆ พร้อมด้วยสติ๊กเกอร์ขาวเอาไว้ให้ระบายสีเล่น และพบว่าเด็กทุกคนยกมืออยากได้ บางคนอยากได้มากกว่า 1 เล่มเสียด้วย

น่าเสียดายที่ช่วงเวลาหัวค่ำมีเมฆปกคลุมเยอะจนไม่เห็นดาวพฤหัสและดาวเสาร์ วงโคจรของดาวสองดวงนี้ในเดือนพฤศจิกายนจะดูได้ตอนหัวค่ำ และพอดึกมากๆดาวก็จะเคลื่อนต่ำลงจนพ้นเส้นขอบฟ้าไป ส่วนดวงจันทร์ก็มีเมฆบังโดยส่วนใหญ่ มีบางเวลาที่ดวงจันทร์โผล่มาให้เห็นบ้างเล็กน้อย ส่วนดาวพฤหัสที่จะมีความสว่างที่สุดในท้องฟ้าก็โผล่มาให้ถ่ายรูปเล่นช่วงหัวค่ำแค่ไม่กี่นาที แล้วก็โดนเมฆบังแทบตลอดเวลา

IMG_0374

ตอนเกือบเที่ยงคืน เมฆเริ่มหายไป ดาวเต็มฟ้าก็มาให้เราดู มีดาวที่เรารู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างเต็มไปหมด ปิดไฟบ้านพักแล้วก็มองกันให้สบายตา ดาวที่มองหาได้ง่ายบนท้องฟ้าคือดาวเหนือ การหาดาวเหนือโดยที่เราไม่รู้มาก่อนว่าทิศเหนืออยู่ด้านไหน เราจะต้องหาดาวรูปตัว M หรือ กลุ่มดาวค้างคาว และ จินตนาการลากเส้นบางเส้นจากจุดหักมุมของตัว M แล้วลากเส้นสมมุตในใจ อ่านแค่นี้ไม่มีใครเข้าใจ แต่ถ้าเราไปชี้ให้ดูที่ท้องฟ้าจริงๆ ก็จะพบว่าไม่ซับซ้อน สุดท้ายเราจะได้เส้นทีวิ่งไปแตะดาวสว่างดวงหนึ่ง ดาวดวงนั้นคือดาวเหนือ

IMG_0383

ใครอยากดูดาวในช่วงหน้าหนาว ลองติดตามข้อมูลของหอดูดาวแห่งชาติได้ เพราะกิจกรรมดูดาวจะนิยมจัดกันในช่วงนี้ซึ่งน่าจะมีทุกสัปดาห์เลย หรือมาร่วมทริปกับพวกเรา เราจะนำกล้องดูดาวและความรู้มาเสิร์ฟให้ถึงหน้าที่พักเลย

รีวิวเป็นเสียง leica minilux

กล้อง leica minilux ผมใช้มานานหลายปีแล้ว ลองเอามาเล่าเป็นเสียงบ้าง แง่มุมที่พูดถึงจะเป็นเนื้อหาที่เพิ่มเติมไปจากรีวิวปกติที่เคยเขียนไว้ เช่น ภาพขาวดำจาก minilux การสแกนภาพจากฟิล์มสีของร้านล้างฟิล์ม ความทนทาน อาการเสียประจำรุ่น เชิญฟังได้ครับ หลังจากฟังแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อด้านล่างนี้

ภาพที่ชอบที่สุดจากกล้อง leica minilux คือภาพวันแรกเกิดของลูกผมเอง ก่อนจะได้ถ่ายภาพนี้ผมก็เตรียมตัวมาล่วงหน้าหลายเดือน การเตรียมตัวก็คือ เอาฟิล์มขาวดำมาทดลองถ่ายและล้างฟิล์มออกมาดู ยังมีขั้นตอนการโหลดฟิล์มเข้าแท๊งค์ล้างฟิล์มด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เสี่ยงต่อความเสียหายที่สุด เพราะหากโหลดฟิล์มติดขัด ฟิล์มไม่เรียงตัวในตะแกรงอย่างเป็นระเบียบ ฟิล์มก็จะทำปฏิกิริยากับสารเคมีไม่ทั่วถึง ภาพก็จะเสียนั่นเอง การซ้อมยังรวมถึงการทดลองผสมน้ำยา ทดลองล้างที่อุณหภูมิตามสเป็ค เพื่อดูผลของฟิล์มว่าผ่านการล้างแล้วเป็นอย่างไร และอีกส่วนที่ต้องทำก็คือเตรียมกล้องให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเพราะกล้องเก่าแล้ว เช็คสภาพก่อนจะถ่ายจริงก็เป็นเรื่องที่ควรทำ ฟิล์มขาวดำผมเลือกใช้ยี่ห้อตลาดราคาไม่แพง ด้วยเหตุผลว่า มันยังมีขายในช่วงเวลานั้นและเคยใช้ฟิล์มตัวนี้กับน้ำยาล้างฟิล์มตัวที่คุ้นเคย และภาพที่ออกมาก็สร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ดี และในตอนที่ถ่ายภาพในเหตุการณ์จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ซ้อมไว้

IMG_9465
ภาพอัดลงกระดาษขาวดำ

หลังจากไปยืนเป็นพยานตอนลูกเกิด ไปรอถ่ายภาพพ่อแม่ลูกในห้องคลอดเสร็จแล้ว ก็ออกมาที่ห้องพัก คุณหมอจะพาลูกมาให้เริ่มดูดนมแม่ และเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้เห็นหน้าลูกชัดๆ และสามารถถ่ายรูปได้ตามใจด้วย ผมเข็นเตียงเด็กไปอยู่ใกล้ๆหน้าต่างเพื่อให้แสงสว่างมากเพียงพอที่จะถ่ายภาพได้ ยกกล้อง minilux ตั้งค่าที่ตัวกล้องเป็นการถ่ายแบบเลือกรูรับแสงเอง ผมตั้งรูรับแสงของกล้องไว้ที่ 2.4 แล้วก็โฟกัสสิ่งที่ต้องการแล้วถ่ายภาพเลย หลังจากถ่ายไป ประมาณ 2 สัปดาห์ ผมว่างพอจะล้างฟิล์ม ก็ทำการล้างในแบบที่เคยซ้อมไว้ ได้ฟิล์มที่มีภาพบันทึกสมบูรณ์แบบ คุณภาพการล้างเป็นไปตามมาตรฐาน เราสามารถใช้ฟิล์มนี้ไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มก็ทำได้สวยงาม ทดลองสแกนด้วยการถ่ายภาพผ่านกล้องดิจิทัลก็ทำได้ และ การอัดภาพลงกระดาษขาวดำโดยตรงก็ได้ดังภาพที่เห็น

ไฟล์สแกนดูบนจอ

ภาพขาวดำบนกระดาษขาวดำแท้ๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก ระบบการแสดงภาพบนจอทุกชนิดไม่สามารถให้คุณภาพได้เหมือนกระดาษ ไม่ว่าเราจะพยายามสแกนฟิล์มให้ได้ไฟล์ที่มีคุณภาพอย่างไร ภาพที่ได้ก็ไม่เหมือนภาพบนกระดาษอัดภาพแท้ๆที่ผ่านการฉายแสงด้วยวิธีดั้งเดิม ผมเอาไฟล์ดิจิทัลที่สแกนฟิล์มไปทดลองพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ต่างๆก็ไม่ได้คุณภาพแบบที่กระดาษขาวดำให้ได้ ผมลองทั้งเครื่องดิจิทัลปริ๊นท์ระดับโปรดักชั่นของโรงพิมพ์ราคาเครื่องเป็นล้าน หรือ เครื่องพิมพ์ภาพถ่ายของ canon ที่เป็นระบบการพิมพ์แบบ dye-sublimation ซึ่งเป็นการผลิตภาพที่ให้คุณภาพสีจากไฟล์ดิจิทัลที่สูงที่สุดของเทคโนโลยีทางการพิมพ์แล้ว ความรู้สึกตรงนี้ต้องเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะเข้าใจ มันเหมือนการมองโลกผ่านกระจก มันมีอารมณ์ร่วมมากกว่ามองผ่านจอทีวี แล้วชีวิตเราดีขึ้นไหมจากการถ่ายภาพ ล้างฟิล์ม อัดภาพเอง ก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก เราแค่หาความสุขจากการถ่ายภาพให้ครบวงจรเท่านั้นเอง

กล้องฟิล์ม canon eos33

IMG_5395

กล้องฟิล์มของ canon eos33 เป็นกล้องระดับกลางของค่าย  ในยุคที่กล้องรุ่นสูงสุด ไฮเทคสุดของกล้องฟิล์มยุคสุดท้ายคือกล้อง eos3 ที่เป็นเกรดโปร  มีรุ่นกลางเป็น eos33 eos30 และมีรุ่นเล็กเป็น eos300 ซึ่งเป็นแนวทางของ canon ที่ตัวเลขประจำรุ่นสูงจะใช้เลขตัวเดียว  ส่วนรุ่นเล็กจะเป็นเลข 3 หลัก

กล้องยุคสุดท้ายของฟิล์มผมจะวัดจากกล้องที่รองรับระบบแฟลช e-ttl ที่เป็นระบบแฟลชไฮเทคมาก  เป็นระบบแฟลชของ canon ที่พัฒนาจนทำให้ช่างภาพกล้องฟิล์มสามารถควบคุมแสงแฟลชได้ดังใจยิ่งกว่าแฟลชแมน่วลเสียอีก  หากเราศึกษาทำความเข้าใจระบบแฟลชไฮเทคของ canon จนใช้งานได้เป็น  มันจะให้ความแม่นยำของแสงแฟลชระดับจับวาง  เกือบจะแม่นจำเท่ากับการวัดด้วยมิเตอร์วัดแสงแฟลชเลย

eos33 เป็นกล้องที่ผมซื้อมาใช้เพื่อรับงานถ่ายภาพรับจ้าง โปรคนอื่นใช้ eos1  eos3 ส่วนผมใช้ eos33 เนื่องจากไม่สามารถลงทุนกับบอดี้ได้หนักเท่ากับมืออาชีพ  เพราะผมแค่หาเงินเติมน้ำมัน หาเงินเที่ยวเท่านั้น  แต่มันก็อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเข้ามา มันทำเงินให้ผมตั้งแต่วันแรกเลย  และในตอนที่เริ่มใช้ดิจิทัล eos33 ก็ถูกวางเก็บไว้ เก็บลืมไปเลย  จนหลายปีผ่านมา หยิบออกมาเล่นดู ก็พบกว่ายางเหนียวทั้งตัว  และด้วยความหงุดหงิด  ก็เลยหาอะไรมาเช็ดให้ยางหายเหนียว  ทิชชูอยู่ใกล้ตัวก็เลยใช้ทิชชู่เช็ด  เช็ดไปเช็ดมาเศษขาวๆของทิชชู่ก็ติดอยู่กับบอดี้ตั้งแต่วันนั้น

วันนี้ความนิยมกล้องฟิล์มค่อยๆเพิ่มขึ้น  กล้องมือสองที่ราคาร่วงติดดิน กล้อง SLR ที่เคยขายทิ้งกันหลักร้อยบาทก็ค่อยๆราคาแข็งขึ้น จนขึ้นมาอยู่ระดับหลายพันบาท   วันนี้เลยหยิบออกมาตรวจอีกครั้ง และทดลองใส่เลนส์เพื่อลองใช้งานดู  ผลก็คือใช้งานได้ดี  ระบบไฟฟ้ายังทำงานครบถ้วนเหมือนเดิม หน้าจอดิจิทัลที่แสดงสถานะก็ทำงานทุกส่วน ทุกค่าสามารถแสดงผลได้

คาดว่าจะได้นำไปใช้ถ่ายภาพอีกครั้งในเร็วๆนี้

ตอนนี้ขอหาภาพเก่าๆที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มตัวนี้มาแปะไว้ดูเล่นก่อน

neg-place-img203

neg-place-img395

neg-sanamluang-img343

slide-img105

neg-fruit-img017-resize

neg-fruit-img018

slide-img673

รีวิว canon eos 6d + 70-200 f2.8

กล้อง canon eos 6d อยู่กับผมมาหลายปี ผมแทบไม่เคยเขียนรีวิวเกี่ยวกับกล้องตัวนี้เลย หาสาเหตุไม่ได้เลยว่าทำไมถึงไม่มีการเขียนรีวิวกล้องตัวนี้ ทำไมถึงลืมที่จะพูดถึงกล้องตัวนี้ ทั้งๆที่มันเป็นกล้องที่ช่วยให้ผมสนุกกับการถ่ายภาพและใช้หาเงินได้ในบางโอกาสที่ว่างไปรับงาน

IMG_0074

ทุกครั้งที่หยิบ eos 6d ออกมาผมจะใช้มันอย่างมั่นใจ มันเป็นกล้อง fullframe ที่มีเซ็นเซอร์รับภาพเท่ากับฟิล์มถ่ายภาพ 135 ซึ่งเป็นความคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยที่หัดถ่ายและรับจ้างถ่ายภาพด้วยฟิล์ม การฝึกฝนเรื่องการวัดแสง การจัดองค์ประกอบภาพด้วยเลนส์ระบบเดิมตั้งแต่สมัยใช้ฟิล์ม ทำให้การใช้กล้อง DSLR ในมือเป็นไปอย่างราบลื่นไร้รอยต่อ ก่อนจะเป็น eos 6d ต้องย้อนไปถึงตอนที่ได้กล้อง eos 5d มาครั้งแรก ผมไม่ได้อ่านคู่มือ ไม่ได้รู้ข้อมูลทางเทคนิคเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้แม้แต่ว่ากล้องมีจุดโฟกัสกี่จุด และมีขนาดภาพเท่าไหร่ และมาถึง eos 6d ก็ทำเหมือนกันคือ ได้มาก็ใช้เลย ไม่ได้รู้สเป็ค ไม่ได้สนใจตัวเลขใดๆ รู้แค่ว่า กล้องตั้ง iso ยังไง และใส่เลนส์เดิมออกไปถ่ายเลย

IMG_0065

กล้องตัวนี้ถูกใช้งานมานานหลายปี และแบตเตอรี่ก้อนแรก ก้อนเดิมยังคงอยู่และใช้งานอยู่ก้อนเดียว ตอนที่ได้กล้องมาใหม่ๆ ผมถือ eos 6d ไปรับจ้างถ่ายภาพงานแต่งงานคู่กับกล้อง eos 5d ในใจก็คิดว่ามันเหมือนกัน ก็โฟกัสถ่ายภาพไปเรื่อยๆ แต่พอใช้คู่กันจริงๆก็พบความจริงที่ว่า eos 6d ให้ภาพสวยกว่า ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้สุดยอดมาก ในห้องโถงของโรงแรมแสงน้อยๆ eos 6d ถ่ายภาพได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ iso กล้องขึ้นสูงได้โดยภาพยังดูดีอยู่ รวมกับเลนส์ 24-105 f4 is ที่มีระบบกันสั่น ทำให้กล้องยังคงทำงานได้ต่อเนื่อง สปีดชัตเตอร์ต่ำไปบ้างก็ยังมี is ช่วยไว้ ในงานแต่งงานที่เป็นงานแรกของ eos 6d กล้องถ่ายภาพไปประมาณ เกือบ 1000 ภาพ และแบตยังไม่หมด ปลาบปลื้มมากๆ กล้องมีคุณภาพสูงและใช้พลังงานน้อยอย่างเหลือเชื่อ จบจากวันรับงาน ผมก็ขาย eos 5d ทิ้งทันทีเลย เพราะมั่นใจว่า eos 6d ตัวเดียวก็รับงานแต่งงานได้ 6 ชั่วโมงสบายๆ

IMG_0019

eos 6d อยู่กับผม ใช้งานร่วมกับ 24-105f4L และ 70-200f2.8 มาตลอด มีเลนส์ 85f1.8 และ macro100 เข้ามาเพิ่มอีก ทำให้มันทำงานได้ในทุกสถานการณ์ ทุกงาน และมันก็ถ่ายภาพในงานแต่งงานที่ต้องถ่ายภาพหลายร้อยภาพได้อย่างไม่บกพร่อง และในการถ่ายเล่นในชีวิตประจำวันมันก็ทำหน้าที่ของกล้องได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ ผมนึกไม่ออกว่าจะติดขัดเรื่องอะไรกับ eos 6d

IMG_7446

การถ่ายภาพชีวิตคนสักคนหนึ่งด้วยเลนส์ 70-200 f2.8 เป็นแนวทางที่ได้ภาพที่ดีสุดยอดในความคิดผม กล้องและเลนส์ชุดนี้ให้ภาพได้สวยชวนฝัน แม้ว่าจะถ่ายเป็น jpg ก็ยังเป็นภาพที่ดี ผมถ่ายด้วย raw น้อยมาก เพราะลำพังเพียง jpg ที่ออกจากกล้องก็เพียงพอต่อความรู้สึกแล้ว โฟกัสชัดที่คนแล้วปล่อยฉากหลังให้เบลอ ผมใช้รูรับแสง f2.8 เสมอเมื่อใช้เลนส์ตัวนี้ คุณภาพเลนส์ L เป็นของคุณภาพสูงลิบ และให้ภาพที่ดีจนผมไม่เคยสนใจจะใช้เลนส์ฟิกส์เลย ยกเว้นแต่บางเวลาที่อยากพกของเบาหน่อยเท่านั้น

IMG_0067

เวลาไปเจอสถานการณ์บางอย่างที่รู้สึกว่าต้องได้ภาพที่ประทับใจกลับไปสักภาพให้ได้ ก็จะหยิบเลนส์ 70-200 f2.8 ตัวนี้มาติดกับกล้อง eos 6d แล้วก็ปล่อยให้เหตุการณ์สวยๆผ่านหน้ากล้อง แล้วก็กดชัตเตอร์ ภาพสวยในจังหวะสุดยอดก็อยู่ในความทรงจำ และอยู่ในเมมโมรี่ และสุดท้ายก็อยู่ในเว็บ อยู่ในที่เก็บภาพ online ลูกชายผมเป็นนายแบบประจำกล้องมาตั้งแต่เกิด และทุกครั้งที่อยากได้ภาพดีสุดๆ ก็จะใช้กล้องและเลนส์คู่นี้ ซึ่งไม่เคยผิดหวังเลย

IMG_0033

รูรับแสง f2.8 เป็นรูรับแสงที่ให้ภาพสวยมาก สวยจนไม่อยากให้แสงหมดเลย สภาพแสงที่แดดไม่แรงเกินไป หรือไม่น้อยเกินไป ทำให้กล้องสามารถใช้ความไวชัตเตอร์ที่สูงเพียงพอจะหยุดการเคลื่อนไหวของแบบได้ และภาพ action สวยๆ จากสระว่ายน้ำก็โผล่มาให้เราดู กล้องกับเลนส์ก็เก็บภาพได้สมบูรณ์แบบ ผมเข้าใจช่างภาพกีฬาเลยว่าเลนส์ติดกล้องของพวกเขาจะเป็น 70-200 แน่นอน

IMG_0214

ภาพ portrait ครึ่งตัวเป็นของง่ายของคู่หูกล้องและเลนส์ชุดนี้ แถมยังคงจัดองค์ประกอบด้วยการซูมได้อีกทำให้เลือกคร็อบตัวแบบได้ตามใจ ภาพหน้าชัด หลังเบลอที่สวยๆมักจะมาจากการถ่ายภาพครึ่งตัวที่ให้ตัวคนชัดเป๊ะและฉากหลังไกลๆออกไปเบลอจนละลายดูนุ่มนวล และหากแสงไม่ได้มีแดดแรงๆ ฉากหลังจะยิ่งสวยกว่าแดดจัด

fisherman2-IMG_8257

การถ่ายภาพด้วยเลนส์เทเลซูมจะให้ภาพสวยยิ่งขึ้นหากเราถือเลนส์ให้อยู่ในระดับเดียวกับสิ่งที่เราจะถ่าย หลายครั้งที่ผมต้องลงไปนั่งหรือนอนถ่ายภาพ อย่างภาพคู่แม่ลูกที่ชายหาด ผมก็นอนถ่ายอยู่เหมือนกับแบบ เพราะการถือเลนส์ให้ขนานแนวพื้น ประคองหน้าเลนส์ชี้ไปที่แบบจะทำให้ได้ภาพสวยที่สุด สวยมากกว่าการถือกล้องในท่ายืนแล้วก้มถ่าย และฉากหลังที่นุ่มเบลอในสภาพแสงที่ไม่มีแดดแรงๆก็ให้ภาพสวยน่ามอง

IMG_0149.JPG

จังหวะการถ่ายภาพที่จับรอยยิ้มของเด็กได้ทันตามใจนึก มาจากกล้องและเลนส์ที่ทำงานได้ทันกับความคิดมาจากกล้องและเลนส์ที่ประสิทธิภาพสูง จะเรียกว่ากล้องโปร เลนส์โปรก็ได้ สภาพแสงตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับไป แสงสุดท้ายที่ยังมีเล็กน้อยหากเป็นกล้องยุคปี 2005 อย่าง eos5d เราอาจได้ภาพที่ไม่สวยเท่านี้ เพราะความไวชัตเตอร์ไม่สูงมาก เนื่องจาก iso ของกล้องเก่ายังไม่สูงนั่นเอง กล้อง eos 6d เป็นกล้องยุคใหม่ที่พัฒนาตัวรับภาพให้มีคุณภาพสูง แม้จะดัน iso ขึ้นสูงมากระดับ 3200 หรือ 6400 ก็ยังให้ภาพที่ดีได้ รวมกับเลนส์ f2.8 ก็ทำให้สภาพแสงยากๆกลายเป็นเรื่องง่าย

IMG_0169.JPG
leona-prewedding-dpp1-IMG_6286

ผมเคยไปรับงานถ่ายภาพครอบครัว พ่อแม่ลูก เดินเล่นที่สวนลุม ถ่ายภาพกันประมาณ 2 ชม. ตั้งแต่สภาพแสงดีๆ จนถึงแสงเกือบสุดท้ายของวัน งานถ่ายภาพจบแล้ว ผมกับแบบกำลังจะเดินแยกกันไป เราเดินผ่านทางเดินที่มีช่องว่างพอให้แสงอาทิตย์สีทองเข้มๆส่องทะลุเข้าไป ผมเดินไปดักรอให้แบบเดินผ่าน แล้วให้สัญญาณว่าให้เขาเดินช้าๆกันตรงจุดที่แสงส่อง พ่อแม่และลูกทั้งสองรู้งาน เพราะคุ้นเคยกับช่างภาพแล้ว ก็เดินผ่านแบบช้าๆ ปล่อยให้ช่างภาพเก็บภาพ แสงสุดท้าย เลนส์ 2.8 กล้อง eos 6d จบงานนี้ด้วยภาพสุดท้ายที่ผมชอบที่สุด ชอบยิ่งกว่าภาพที่ตั้งใจโพสท์ท่า ผมชอบภาพนี้จนอยากจะเป็นคนในภาพเสียเองเลย

กล้อง eos 6d เป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบในยุคของมัน และยังคงน่าใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อะไรที่ตามองเห็นกล้อง eos 6d ก็เก็บภาพได้ตามที่เห็นจริงๆ ยิ่งรวมกับเลนส์ telezoom คุณภาพสูงอย่าง 70-200 f2.8 L ยิ่งทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายและสนุก และคาดหวังผลลัพธ์เป็นภาพสวยๆ ข้อเสียเพียงข้อเดียวที่มีอยู่ในคู่หูชุดนี้ก็คือมันหนักมาก เป็นภาระในการพกพาจริงๆ คนที่จะสะพายชุดนี้รับจ้างทำงานต้องแข็งแรงมาก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเหนื่อยแบกไปจนจบงาน เพราะเมื่อเห็นภาพที่ได้ เราก็จะหายเหนื่อยได้เอง

รวมภาพที่ประทับใจที่ถ่ายด้วยเลนส์ตัวนี้

IMG_20191208_072805
dpp-rugby-8sep2019-IMG_0056

IMG_0114.JPG

IMG_0133.JPG

IMG_0366

IMG_0513

รีวิวกล้อง kodak easyshare c140 ในวันที่มันกลายเป็นของโบราณไร้ราคา

กล้องตัวนี้เป็นกล้องดิจิทัลคอมแพ็ค ตัวเล็ก ผมตั้งใจซื้อเพื่อใช้พกพา ใช้สารพัดประโยชน์ ปกติก็มีกล้อง DSLR ใช้อยู่แล้ว แต่ก็อยากมีกล้องตัวเล็กอีกสักตัวที่เอาไว้พกติดตัวตลอดเวลา และกล้องตัวนี้ต้องราคาไม่แพง หายก็ไม่เสียดาย ใช้หน่วยความจำเป็นแบบ SD card และต้องใช้ถ่าน AA เท่านั้น เนื่องจากเบื่อหน่ายกับกล้องที่ใช้แบตเตอรี่เฉพาะยี่ห้อของตัวเอง เพราะเมื่อแบตเสื่อมจะต้องเสียเงินซื้อแบตอีกเกือบพันบาท มันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงทีเดียวเมื่อเทียบกับราคากล้อง

วันนี้ผ่านมาเกือบสิบปี กล้องตัวนี้ยังคงอยู่ ก็เลยย้อนนึกถึงวันแรกที่ซื้อมันมา และก็ถือโอกาสเขียนรีวิวให้กับเจ้าตัวเล็กสักหน่อย เพราะกล้องรุ่นนี้อยู่กับผมมาอย่างยาวนาน และ มันก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่ถึงทุกวันนี้ และมันได้รับใช้ลูกของผมด้วย ปีนี้ลูกผมอายุ 6 ขวบ และได้ใช้กล้องตัวนี้ออกไปเที่ยวกันเต็มทริป พ่อกับแม่มีรูปคู่กันจากกล้องคอมแพ็คตัวนี้ด้วย

IMG_20141226_214855

กล้อง kodak c140 มีสัญลักษณ์ Youtube บนตัวกล้องด้วย เจตนาให้ถ่ายวิดีโอแล้วอัพโหลดเข้าสู่ youtube ได้ง่ายๆ ผมจำได้ลางเลือกนว่า มีซอร์ฟแวร์ของกล้องแถมมาด้วย และซอร์ฟแวร์แถมมีคำสั่งพื้นฐานในการก็อปปี้ภาพลงคอมพิวเตอร์ รวมถึงเลือกไฟล์วิดีโอเพื่อส่งเข้าสู่ youtube แต่ในการใช้งานตลอดหลายปี ผมไม่เคยใช้ซอร์ฟแวร์แถมตัวนี้เลย เพราะใช้วิธีถอดแผ่นหน่วยความจำมาก็อปปี้ลงเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก

IMG_8296

ขนาดกล้องเล็กใส่กระเป๋ากางเกงได้พอดี ผมมีโอกาสเจอ accessory น่าใช้ชิ้นหนึ่งคือ ฝาขวดน้ำที่มีหัวบอลเอาไว้ติดกล้องถ่ายรูป ก็เอามาลองติดใช้งานเล่นๆ จะเห็นว่ากล้องขนาดเล็กมาก

100_0002

นี่คือภาพที่ทดลองกล้องในวันที่ซื้อออกจากร้าน ผมซื้อกล้องตัวนี้ที่งานโฟโต้แฟร์ปี 2009 ซึ่งผ่านมาถึงวันนี้ มันกำลังจะอายุครบ 10 ปีพอดี

100_1470
100_1320
100_1135
100_1212
100_0991

คุณภาพของภาพออกมาก็ถือว่าพอใช้งานได้ ในยุคที่มือถือยังถ่ายภาพไม่สวยนัก กล้องคอมแพ็คตัวเล็กสักตัวก็ให้ภาพที่ดีกว่ามือถือทุกตัวในท้องตลาด และมันก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้นหลายปี ต้องรอจนถึงช่วงที่ iphone 4 วางตลาด มือถือกับกล้องคอมแพ็คก็มีคุณภาพสูสีกัน และตั้งแต่ iphone5 เป็นต้นไป คุณภาพของมือถือก็เริ่มแซงกล้องคอมแพ็คเล็กๆไปแล้ว จนทำให้จุดจบของกล้องคอมแพ็คราคาถูกก็มาถึงในเวลาไม่นาน

100_0478
100_0520

ผมใช้ c140 ติดตัวไปดูคอนเสิร์ตที่เขาใหญ่ ภาพงานตอนกลางคืนก็พอยอมรับได้ ถ่ายติด และให้ภาพที่ดูรู้เรื่อง เหตุที่ใช้กล้องตัวเล็กก็เพราะอยากจะใช้เวลากับบรรยากาศและเสียงเพลง ไม่ได้อยากจะเป็นช่างภาพที่คิดแต่เรื่องภาพสวย เพลงเพราะๆ อากาศเย็นสบายเป็นสิ่งที่ผ่อนคลาย ก็เลยเลือกกล้องตัวเล็กไปแทน DSLR แล้วก็ใช้มันตลอดงาน

100_0589
100_0613

ภาพตอนกลางวันเป็นของง่ายของกล้องถ่ายรูปแทบทุกตัว ถ้าอากาศดี ท้องฟ้าสดใส แดดออกชัดเจน ภาพก็จะสวยเสมอไม่ว่าจะถ่ายด้วยกล้องอะไร

100_0663
100_0670
100_0719

แผงขายผลไม้ข้างถนนก็เต็มไปด้วยสีสรร การหยิบกล้องตัวเล็กออกมาถ่ายก็ทำได้ง่าย เร็ว และดูไม่เอิกเริก แม่ค้าไม่ไล่ ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อของจากร้านเขา รูปผลไม้กองกันเต็มร้านก็ลองถ่ายใกล้ๆให้ดูเป็นงานลวดลายหรือ texture ภาพพุทราก็ดูสวยดี องุ่นสีม่วงก็มีสีสรรที่ใกล้เคียงกับตาเห็น จบงานเที่ยวคอนเสิร์ตด้วยกล้องตัวเล็กๆ ราคาไม่แพง หายก็ไม่เสียดาย

ต่อไปนี้เป็นภาพที่ลูกเป็นผู้ถ่าย บางภาพก็สวย บางภาพก็เบลอ

100_3775
100_3734
143_2190

ลดน้ำหนักง่ายๆแบบคนขี้เกียจ ตอนที่4 เตรียมของ

เรามาเริ่มต้นกันดีกว่า เวลาที่เหมาะที่สุดที่จะเริ่มลดน้ำหนักก็คือ เวลากินข้าวมื้อถัดไป เราสามารถเริ่มต้นการลดน้ำหนักได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย แต่เรามีสิ่งของบางอย่างที่ควรเตรียมเอาไว้เพื่อให้การลดน้ำหนักของเราเป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผล เราควรจะมีสิ่งต่อไปนี้

2017-03-06_06-00-11

1 เครื่องชั่งน้ำหนัก จะเป็นเครื่องชั่งระบบเข็มหรือระบบดิจิทัลก็ได้ แต่แนะนำให้ใช้ระบบดิจิทัล โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปซื้อเครื่องชั่งราคาแพง เราจะใช้เครื่องชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักประจำวันเท่านั้น ซึ่งเครื่องชั่งที่มีขายทั่วไปก็ทำงานได้อย่างดี ส่วนเครื่องชั่งราคาแพง เครื่องชั่งไฮเทค เครื่องชั่งที่เชื่อมต่อกับ application ในมือถือก็แล้วแต่ศรัทธา แต่สำหรับผม ผมไม่ใช้ครับ มันเกินความจำเป็น และราคามันก็ไม่ถูก ส่วนเครื่องชั่งระดับหลายพันที่วัดค่ามวลกระดูกได้ แสดงผลค่า BMI ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครับ เพราะเราจะลดน้ำหนักเท่านั้น ตัวเลขอื่นๆเป็นตัวเลขรบกวนจิตใจ แต่ถ้ามีเครื่องชั่งไฮเอนด์อยู่แล้วก็ใช้ได้ครับ ไม่ผิด

Watch Smart watch Calories นับก้าว

2 อุปกรณ์นับก้าว จะเป็นตัวนับในรูปแบบของสายรัดข้อมือ หรือ นาฬิกาไฮเทคอย่าง smartwatch ก็ได้ เลือกได้ตามกำลังเงิน ผมใช้ ipod nano รุ่นที่มีระบบนับก้าวแล้วซื้อสายข้อมือมาติดตัวมันเพื่อให้มันกลายเป็นนาฬิกา และตั้งให้นับก้าวตั้งแต่ตื่นนอนไปจนหมดวัน เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์สายรัดข้อมือราคาหลักร้อยให้ใช้ ก็น่าซื้อใช้เช่นกัน เราขอให้เป็นตัวที่สามารถนับก้าวและแสดงค่าแคลอรี่ที่เราเผาผลาญจากการเดินไปได้ก็พอ แล้วพวกโปรแกรมนับก้าวในโทรศัพท์มือถือล่ะ ใช้แทนได้ไหม ก็ขอบอกว่าไม่ได้ครับ เพราะมือถือไม่ได้ติดตัวเราไปตลอดเวลา ในระหว่างวันเราอาจวางมันไว้เฉยๆบนโต๊ะ ผู้ชายอาจจะมีมือถือติดตัวไปเกือบทั้งวัน แต่ผู้หญิงไม่มีใครหนีบมือถือไว้กับตัวตลอดเวลา

IMG_0879

3 กล้องถ่ายรูป เราใช้โทรศัพท์มือถือแทนได้ เดี๋ยวนี้มือถือถ่ายรูปได้หมดแล้ว เราจะใช้ถ่ายภาพตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักในแต่ละวัน ใครไม่ถนัดถ่ายรูป จะใช้จดในสมุดก็ได้ ไม่ว่ากัน หากใครเลือกใช้การจด กล้องถ่ายรูปก็ไม่จำเป็น

IMG_0275

4 ขวดน้ำ ใส่น้ำเปล่า หรือกระติกน้ำ สิ่งนี้จำเป็นมาก ไม่มีไม่ได้ จะเป็นขวดน้ำพลาสติกที่กินแล้วเอามาเติมใช้ซ้ำก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย ขอขวดขนาดประมาณ 600cc อย่าเล็กกว่านี้ อย่าใหญ่ระดับขวดลิตร เพราะเราจะพกขวดน้ำ ขวดนี้ควรอยู่ใกล้มือและมีน้ำเต็มตลอดเวลา

IMG_0284

5 กล่องข้าว กล่องพลาสติก เอาไว้ใส่ของที่กินเหลืออีกครึ่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้กินมือต่อไป ข้อนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีจะเจ๋งและช่วยเราประหยัดเงินได้

IMG_b0218packaging

6 แก้วใส่กาแฟร้อน สำหรับคนชอบกาแฟ กาแฟร้อนจะอยู่กับเราในโต๊ะทำงาน โต๊ะกินข้าว และบนรถ ข้อนี้ไม่บังคับ มีก็ดีกว่าไม่มี แต่คนชอบกาแฟยังไงก็น่าจะมี ไม่ใช่เรื่องยาก

IMG_0186

7 หนังสติ๊ก เอาไว้รัดถุง รัดขนมถุงที่ฉีกแล้ว ได้ใช้แน่นอน รับรอง

ในขั้นตอนต่างๆที่เราจะลดน้ำหนัก เราจะพบเจอกับหลายเหตุการณ์ อุปกรณ์เหล่านี้จะมีบทบาทมากบ้างน้อยบ้าง แต่ได้ใช้ทุกชิ้น