review yamaha PDX-11 ลำโพงยามาฮ่าน่าใช้

ลำโพงเสียงดีสักตัวหนึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากถ้าพิจารณาเรื่องราคาและฟังค์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก  ถ้าบอกว่าจะหาลำโพงเสียงดีงบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ แบบนี้เดินไปช๊อปที่ห้างหรูแบบคู่ละแสนคู่ละล้านไปเลยก็ได้  แต่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่มีปัญญาระดับนั้นหรอกครับ  แค่เจียดเงินมาซื้อเครื่องเสียงหนึ่งชุดด้วยเงินสักสามหมื่นหรือห้าหมื่นก็โดนค้อนแล้ว

ภาพลำโพงคู่หนึ่งในจินตนาการของคนทั่วไปจะเป็นลักษณะตู้สี่เหลี่ยม  เวลาซื้อมาใช้ต้องซื้อเป็นคู่หรือสองตัว  เวลาใช้งานต้องต่อกับเครื่องเสียงสักตัวหนึ่ง  คืออาจจะต่อกับเครื่องเล่นซีดีหรือดีวีดี แล้วมีแอมป์ในตัว ต่อสายลำโพงออกมายังลำโพง  รูปแบบที่ว่ามาเป็นภาพมาตรฐานที่เรามักจะได้เจอกับบ้านเรือนทั่วไป

ส่วนลำโพงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นก้อนเล็กๆสักคู่ หรือ เป็นชุด 2.1  คือมีลำโพงหลักสองตัวและมีซับวูฟเฟอร์อีก 1 ตัว  ลำโพงคู่หลักวางบนโต๊ะส่วนซับวูฟเฟอร์วางไว้ที่พื้น  ลำโพงแนวนี้มีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปถึงระดับหลักหมื่น  ถ้าพ้นจากลำโพงคอมฯไปแล้วก็จะเป็นลำโพงสำหรับโฮมเธียเตอร์ ราคาก็จะอยู่ในระดับหลักพันไปถึงหลายๆหมื่น

แต่คราวนี้ผมได้ไปเจอลำโพงตัวหนึ่งที่มีหน้าตาประหลาด ดูแล้วคงไม่ค่อยมีใครอยากได้สักเท่าไหร่  มันไม่ใช่ลำโพงแบบที่ว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด  แต่มันเป็นลำโพงที่ส่งเสียงเพลงได้ดีที่มาพร้อมฟังค์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายและมีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้น่าสนใจ  ผมเดินไปเจอในห้าง ทดลองฟังสักสองเพลงก็ตัดสินใจซื้อมาใช้ทันที  เป็นการเลือกซื้อลำโพงที่ใช้อารมณ์เป็นหลัก  เหตุผลเรื่องราคาเป็นเรื่องรอง  ซึ่งราคาค่าตัวมันก็ไม่ได้สูงเกินไปเสียด้วย

IMG_0479

ลำโพงตัวนี้เป็นของ yamaha ออกแบบมาเป็นลำโพงที่เลียนแบบหน้าตามาจากเครื่องเสียงระบบ PA หรือเครื่องเสียงสำหรับงานคอนเสิร์ตหรืองานกลางแจ้ง หรืองานวัดนั่นเอง  ดูผิวเผินมันเหมือนลำโพงสำหรับนักดนตรีเอาไว้ใช้บนเวที  แต่ว่าตัวจริงมันไม่ได้ใหญ่มาก คงเอาไปใช้ในเวทีคอนเสิร์ตจริงๆไม่ได้  และพลังเสียงก็ไม่ได้ดังระเบิดแบบเครื่องเสียงกลางแจ้ง  เป็นเพียงลำโพงที่เอาหน้าตาแบบกลางแจ้งมาใช้ แต่ฟังคฺ์ชั่นและคุณภาพมันตั้งใจให้ใช้ในบ้านมากกว่า

ลำโพงรุ่นนี้คือรุ่น  Yamaha PDX-11 ออกแบบมาเป็นลำโพงตู้เดี่ยว มีหูหิ้วเพื่อให้หิ้วย้ายไปย้ายมาได้สะดวก ไม่ต้องใช้สองมือเพื่ออุ้มประคองเหมือนเครื่องเสียงบ้านทั่วไป   ตัวลำโพงตั้งใจออกแบบมาให้ใช้กับ iPod เป็นหลักเพราะมีช่องเสียบ iPod Dock อยู่ด้านบน  สามารถใช้เป็นแท่นชาร์จไฟให้กับ iPod และ iPhone ได้ในตัว  ตอนใช้งานก็แค่เสียบไฟให้กับลำโพงแล้วเอา iPod มาวางบน Dock จากนั้นก็เลือกเปิดเพลงจากใน iPod ได้เลย  เสียงจะถูกขยายออกมาทางลำโพง  คุณภาพเสียงใช้ได้เลย

IMG_0482

ลักษณะทั่วไปของลำโพงตัวนี้คือ รับสัญญาณเสียงจาก iPod ผ่าน Dock ด้านบน สามารถรับสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่น MP3 อื่นๆได้อีกด้วยทางสายสัญญาณที่เสียบเข้าช่อง Aux อยู่ด้านหลังตัวลำโพง  ตัวลำโพงมีปุ่มเปิดปิด และมีปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียงมาด้วย แต่ไม่มีปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมใดๆเลย  ลูกเล่นอื่นๆที่มีมาให้อีกก็คือมันสามารถควบคุมการเล่นเพลงได้ด้วยรีโมทคอนโทรล  ถ้าเราใช้งานร่วมกับ iPod Touch หรือ iPhone เราสามารถใช้รีโมทสั่งการได้หลายคำสั่งมาก ไม่ว่าจะเป็นการข้ามเพลง ย้อนเพลง หรือการเลื่อนเมนูในหน้าจอเพื่อเปลี่ยน  playlist ได้เลย  และมันใส่ถ่านได้ด้วย ทำให้สามารถใช้งานแบบไม่ง้อปลั๊กไฟได้

IMG_0488

เสน่ห์ของลำโพงตัวนี้คือมันออกแบบมาเป็นตู้เดี่ยว เชิดหน้าเลีียนแบบเครื่องเสียงบนเวทีคอนเสิร์ต  มีหูหิ้วเป็นโลหะแข็งแรงมาก  สามารถหิ้วลำโพงไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องตัว  สะดวกสุดๆ  การใช้งานที่เรียบง่ายแค่เพียงเอา iPod ไปวางบน Dock บนตัวมันเท่านั้น  เสียงเพลงก็ถูกขยายออกมาให้ฟังทันที  ฟังในบ้านเพลินๆ อยากจะย้ายห้องก็หิ้วไปวางอีกห้องได้เลย  อยากฟังในสนามก็หิ้วไปวางได้เลย  เพราะ PDX-11 ใส่ถ่านขนาด AA ได้ 6 ก้อน  จะใช้ถ่านธรรมดา หรืออัลคาไลน์ หรือ ถ่านชาร์จแบบ Sanyo Eneloop ก็ได้ไม่มีปัญหา  ถ่าน 1 ชุดสามารถใช้งานต่อเนื่องได้เกิน 8 ชั่วโมง  ถ้านานๆจะหิ้วไปฟังเพลงแบบไม่เสียบปลั๊กสักที เผลอๆถ่าน 1 ชุดอาจจะใช้งานได้เป็นเดือน

IMG_0484

ด้านบนตัวลำโพงจะมีปุ่มเพียง 3 ปุ่ม คือปุ่ม  power เอาไว้เปิดเครื่องและปิดเครื่อง  อีกสองปุ่มคือปุ่มปรับระดับเสียง การมีปุ่มให้กดเพียงเล็กน้อยทำให้การใช้งานเป็นเรื่องง่าย  ไม่ต้องเล็ง ไม่ต้องหา  เมื่อคุณคุ้นเคยกับการใช้งานมันแล้ว  คุณสามารถกดสั่งการบนปุ่มได้อย่างรวดเร็ว  แทบไม่ต้องละสายตามามองเลย  การใช้งานกับ iPod หรือ iPhone ตัวลำโพงจะชาร์จไฟให้กับ iPod ด้วยเมื่อลำโพงถูกเสียบปลั๊ก  แต่ถ้าใช้พลังงานจากถ่าน ระบบชาร์จไฟเข้า  iPod จะไม่ทำงาน  ดังนั้น ใครจะใช้ลำโพงตัวนี้เป็นแท่นชาร์จต้องเสียบปลั๊กไฟเสมอ

IMG_0485

ด้านหลังลำโพงเป็นช่องเสียบสายสัญญาณ Aux เอาไว้ใช้กับเครื่องเล่นเพลงอื่นๆที่ไม่มีพอร์ตแบบ iPod สายสัญญาณที่แถมมากับลำโพงเป็นแบบ 3.5 มม. เส้นเล็กๆบางๆ  ข้างๆช่องเสียบสัญญาณ Aux จะเป็นช่องเสียบไฟแบบ 12VDC  ตัวลำโพงจะแถมอแด๊ปเตอร์แปลงไฟจาก 110-220 Volt เป็น DC 12V มาให้ด้วย  กำลังไฟที่ลำโพงระบุไว้ต้องการไฟเลี้ยง 12V 1.5a

IMG_0494
IMG_0495

คุณภาพการประกอบเครื่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก  ตัวลำโพงออกแบบมาแข็งแรง  ดูจะเน้นให้หิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ จะหยิบจะวางก็สบายใจได้ว่าไม่ทำให้ลำโพงหลุดมือหรือแตกหักเสียหายได้ง่ายๆ  ตระแกรงด้านหน้าลำโพงเป็นโลหะพ่นสีสวยงาม โลโก้ Yamaha ดูเด่นเป็นสง่า  ภายใต้ตะแกรงเป็นดอกลำโพงสองดอก  ดอกแรกเป็นวูฟเฟอร์คาดว่ามีขนาดประมาณ 4 นิ้ว พร้อมด้วยทวิตเตอร์อีก 1 ดอกขนาดไม่เกิน 1 นิ้ว

IMG_0496
IMG_0497

ลำโพงมีหน้าที่สร้างคลื่นเสียงโดยการขยับกรวยลำโพงเพื่อผลักอากาศ  การผลิตคลื่นเสียงเป็นเรื่องทางฟิสิกส์  การผลักอากาศให้เกิดเป็นความถี่ต่างๆต้องใช้พื้นที่หน้าตัดของลำโพงค่อนข้างมาก  การทำลำโพงที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลดลดขนาดให้เล็กลงได้ถ้ายังคงต้องการคณภาพที่ดีอยู่  ดังนั้นลำโพงที่ออกแบบมาให้มีคุณภาพเสียงที่ดีมักจะมีขนาดใหญ่โต  ลำโพงเล็กๆที่แถมมากับคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะไม่สามารถสร้างคลื่นเสียงความถี่ต่ำได้ในระดับที่เพียงพอต่อการฟังเพลงแบบไพเราะ   ดูจากรูปร่างของ PDX-11 ตัวนี้แล้วจะพบว่านอกจากหน้ากว้างตามขนาดดอกลำโพงแล้ว ยังมีความลึกของตัวตู้อีกที่ช่วยสร้างคลื่นความถี่ต่ำให้มีคุณภาพ  มั่นใจได้เลยว่า เจ้าลำโพงติดหูหิ้วขนาดอ้วนป้อมตัวนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นลำโพงเสียงดีตั้งแต่เกิด

การใช้งานกับ iPod ทั่วไปทำงานได้ดีไม่มีปัญหา  ถ้าใช้กับ iPod touch หรือ iPhone หรือ iPod nano จะสามารรถควบคุมการเล่นได้จากรีโมทคอนโทรล  แต่ถ้าเราใช้กับ iPod รุ่นเก่าๆ ตั้งแต่ iPod Video ย้อนลงไปถึงตัวที่เก่ากว่านั้น เราจะไม่สามารถใช้รีโมทเพื่อสั่งเล่นหรือข้ามเพลงได้  จะสั่งผ่านรีโมทได้แค่ระดับเสียง และเปิดปิดตัวลำโพงเท่านั้น

IMG_2053

การใช้งานลำโพงตัวนี้กับ iPod nano ดูจะเป็นสิ่งที่ลงตัวที่สุด  เพราะขนาดที่เล็กของ iPos nano ทำให้มันติดอยู่กับ Dock ได้อย่างแน่นหนา  สามารถหิ้วลำโพงพร้อม iPod nano ที่เสียบคาไว้ไปไหนต่อไหนได้โดยไม่หลุดจาก Dock มันดูเหมือนจะกลมกลืนเป็นระบบเดียวกันไปเลย

IMG_2059

ใครที่ชอบฟังรายการวิทยุ online ทั้งจากโปรแกรม Tune in หรือฟังจากเว็บ หรือ รายการเสียงอะไรก็ตามที่วิ่งมาทางอินเทอเน็ต  การใช้ลำโพงตัวนี้ร่วมกับ iPod Touch จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด  เพราะคุณสามารถเปิดฟังได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องพะวงเรื่องการชาร์จไฟให้กับ iPod Touch ของคุณเลย  แถมยังได้ฟังค์ชั่นอื่นๆมาอีกหลายอย่าง  ทั้งการสั่งการผ่านรีโมทคอนโทรล และการหิ้วไปไหนต่อไหนได้  สามารถใช้งานนอกสถานที่ได้ด้วยพลังงานจากถ่าย AA เพียง 6 ก้อน  และที่ถูกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ  เราสามารถใช้งานลำโพงตัวนี้ด้วยมือเพียงข้างเดียว  คือหยิบ  iPod ไปเสียบ แล้วก็กดเลือกฟังสิ่งที่ต้องการ  ใช้มือเดียวจริงๆ  ถ้าเป็นระบบอื่นๆที่เป็นลำโพงแยกชิ้น ไม่มี Dock ติดมาให้ เราต้องเสียบสายสัญญาณ Aux เราต้องเสียบสายขาร์จที่ ipod การถอดเสียบสายเหล่านี้ต้องใช้สองมือเท่านั้น  แล้วใช้งานสองมือแล้วมันยากเย็นตรงไหน  มันก็ไม่ยากหรอก  แต่ถ้าเราถือของอยู่ หรืออุ้มลูกอยู่  เหลือมือว่างแค่มือเดียว เรายังเปิดเพลงจาก  iPod ได้  นั่นเป็นสิ่งที่ผมค้นพบตอนที่อุ้มลูกครับ.

IMG_2052

ในส่วนของคุณภาพเสียง  จะบอกว่าลำโพงตัวนี้ให้เสียงเป็นกลางก็พอได้  มันมีน้ำเสียงเหมือนลำโพงบ้านทั่วไป  ไม่ได้มีวงจรชดเชยหรือปรับแต่งเสียงพิเศษมาช่วยใดๆเลย  ถ้าเราเคยฟังลำโพงอย่าง Bose companion2 ตัวนั้นจะเป็นลำโพงที่มีตัวประมวลผลมาช่วยเหลือ เสียงเบสลึกจากลำโพง Bose จะผ่านวงจรช่วยเหลือให้เกิดเสียงดังได้ราวกับเป็นลำโพงใหญ่  อาศัยระบบ DSP มาสร้างเสียงเบสให้กับระบบ  แต่กับ Yamaha pdx-11 จะเป็นคนละทางกัน  สัญญาณมายังไงมันขยายไปอย่างนั้น ไร้เทคโนโลยีใดๆ  ผลก็คือ ถ้าเราเปิดฟังในระดับที่เบา เราจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเบสต่ำสักเท่าไรนัก  เพราะว่าหูคนเราจะไม่ค่อยไวกับเสียงเบส  เราต้องเปิดระดับการฟังให้ดังได้ระดับที่เหมาะสม  น้ำหนักเสียงเบสจะมีปรากฏให้พอดีกับกลางและแหลม  ซึ่งเป็นลักษระเดียวกับลำโพงบ้านทั่วไป   หมายความว่าการฟังลำโพง  Yamaha ตัวนี้ ขอให้เปิดได้ดังถึงระดับหนึ่งเราจะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดจากมัน  และที่ระดับการฟังที่เหมาะสมตรงนี้มันทำให้ลำโพงนี้มีเสน่ห์น่าใช้อยู่พอตัว  มันสามารถทดแทนชุดเครื่องเสียงตามห้างทั่วไปได้โดยไม่ต้องสงสัย  เสียงกลางที่สุด เบสที่ลึกมากจะแสดงออกมาได้จนรู้สึกว่า ค่าตัวสี่พันกว่าบาท ไม่แพงเลย

แต่อย่าเอามันไปเทียบกับ Bose Soundlink ที่ออกแบบมาให้เป็นลำโพงเดี่ยวเน้นการพกพาเช่นเดียวกัน  เพราะ soundlink มันให้เทคโนโลยีที่สูงกว่า ดอกลำโพงมีสมรรถนะที่ดีกว่า คุณภาพเสียงดีกว่า  แบตเตอรี่ที่ฝั่งมาในลำโพงก็ให้พลังงานได้มากกว่า  และ มันราคาแพงกว่ากันสามเท่า  ดังนั้นอย่าเทียบกัน

รีวิว apple battery แบตเตอรี่น่าใช้

IMG_8271

แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ของ apple เป็นอุปกรณ์ที่ทำออกมาขายในปี คศ 2011 นี้ ในกล่องจะมีแบตเตอรี่ 6 ก้อน ที่ชาร์จแบบเสียบผนังอีก 1 ตัว สามารถชาร์จไฟได้ทีละสองก้อน apple โฆษณาเอาไว้ว่า ที่ชาร์จแบตรุ่นนี้มีความประหยัดไฟมากที่สุด คือเมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว มันจะเข้าสู่สภาพสแตนด์บายโดยระหว่างโหมดสแตนด์บายนี้จะกินไฟต่ำกว่าที่ชาร์จยี่ห้ออื่นขณะสแตนบายประมาณ 10 เท่า

IMG_8279


ที่ชาร์จของแอบเปิ้ลสามารถชาร์จแบตให้เต็มได้ในเวลา 5 ชั่วโมง ทั้งกล่องมีแบตให้ 6 ก้อนเป็นแผนการของ apple ที่ตั้งใจให้ใช้กับคีย์บอร์ดบลูทูธ และแมจิคเม้าส์ของ apple เอง เพราะคีย์บอดใช้แบตสองก้อน เม้าส์ใช้แบตสองก้อน apple ให้มา 6 ก้อนเพื่อให้ใช้งาน 4 และเสียบชาร์จไว้อีกสอง ถ้าอุปกรณ์ใดแบตหมดก็ถอดเปลี่ยนสองก้อนที่พร้อมมาใช้ เอาก้อนที่หมดไปเสียบชาร์จต่อได้เลย

IMG_8274

แบตเตอรี่ที่ให้มาเป็นชนิดที่คายความจุต่ำ สามารถชาร์จให้เต็มและเก็บไว้ได้นาน 1 ปีโดยที่แบตยังคงลดไม่เกิน 20เปอร์เซ็น แปลว่าชาร์จเต็มวันนี้ ภายใน 1 ปี หยิบมาใช้รับรองว่าใช้ได้ แบตไม่หมด แบตเตอรี่ที่ให้มาในกล่องเป็นรุ่นที่ชาร์จมาแล้วจากโรงงาน แกะกล่องก็จะใช้งานได้เลยทุกก้อน

มีฝรั่งช่างสงสัย ดูสเป็คแล้วเอาไปเทียบกับแบตเตอรี่ของซันโยรุ่น eneloop และพบว่ามันน่าจะเป็นแบตตัวเดียวกัน เพราะสเป็คเหมือนกันมากนั่นเอง โดยของซันโยจะระบุสเป็คไว้ที่ความจุ typ 2000 ma min 1900ma ใช้รหัสผลิตภัณฑ์ว่า HR-3UTG 1.2V ส่วน apple ใช้รหัส HR6 มีความจุ 1900ma

IMG_8275

แอมป์หลอดเสียงดี antique sound lab se84

พูดถึงเครื่องเสียงมักจะต้องมีเรื่องของแอมป์หลอดเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักเล่นเครื่องเสียงที่มีใจฝักใฝ่ในระดับที่เข้มข้น เครื่องขยายเสียงแบบหลอดเป็นเทคโนโลยีการขยายเสียงที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเรา มันถูกคิดค้นมาเมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบและถูกใช้งานข้ามศตวรรษมาสู่ศตวรรษที่ 21

เครื่องเสียงแบบหลอดสูญญากาศได้รับความนิยมอยู่เป็นพักๆ บางช่วงเวลาก็รุ่งโรจน์สุดกู่ บางช่วงเวลาก็ซบเซา ซึ่งเป็นจังหวะที่นักออกแบบหันไปสนใจเทคโนโลยีใหม่อย่างโซลิทสเตทหรือทรานซิสเตอร์ แต่ในที่สุดก็หมุนเวียนมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แม้ว่าเทคโนโลยีทางวิศวกรรมจะเจริญไปเพียงใดก็ตาม แต่หากว่าทฤษฎีการขยายเสียงยังคงใช้พื้นฐานแบบเดียวกับหลอดสูญญากาศ เครื่องเสียงหลอดก็ยังคงโดดเด่นและเป็นที่สุดของการฟังเพลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย

เครื่องเสียงหลอด หรือ แอมป์หลอด มีตั้งแต่ราคาถูกระดับไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงระดับเป็นล้านบาท และมันสร้างได้ง่ายมากจนได้รับความนิยมจากนักอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่นที่ต้องเคยทดลองสร้างกันอย่างน้อย 1 เครื่องหรือ 1 วงจร เสน่ห์ของมันก็คือ คุณภาพเสียงที่ได้ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามกำลังเงินที่จ่ายไป แอมป์หลอดหลักพันให้เสียงดีกว่าแอมป์หลอดหลักแสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แอมป์หลอดหลักหมื่นจะดีกว่าหลักล้านก็เป็นไปได้ เพราะคุณภาพไม่ได้แปรผันตามระดับราคา มันจึงเป็นเสน่ห์ของนักเล่นเครื่องเสียง เพราะทุกคนต่างก็มีโอกาสสัมผัสคุณภาพเสียงที่ดีมากในระดับราคาที่จ่ายไหว มันไม่เหมือนรถยนต์ เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูปที่ยิ่งแพงก็ยิ่งดี

แอมป์หลอดที่ผมมีอยู่ตัวนี้คือแอมป์หลอดยี่ห้อ antique sound lab รุ่น se84 เป็นแอมป์หลอดทำงานในระบบซิงเกิ้ลเอนด์ กำลังขับ 3.5 วัตต์ต่อข้าง ระบบซิงเกิ้ลเอนด์คือระบบการขยายเสียงที่ใกล้เคียงอุดมคติมากที่สุด สัญญาณไฟฟ้าตลอดลูกคลื่นถูกขยายด้วยวงจรเพียงวงจรเดียว (แต่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลเอนด์ซิงเกิ้ลสเตทนะครับ)

แอมป์หลอดตัวนี้ถูกขายครั้งแรกในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2540 ซึ่งในครั้งนั้นขายกันเพียงเครื่องละ 3250 บาท ผมซื้อแอมป์ตัวนี้ในงานแสดงเครื่องเสียงที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ จำไม่ได้ว่าซื้อกับผู้แทนจำหน่ายชื่ออะไร รู้แต่ว่าแอมป์หลอดตัวนี้ขายดีมาก เพราะว่าราคาถูกมากนั่นเอง เงินสามพันกว่าบาทในยุคนั้นทำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก เครื่องเสียงทั่วไปคุณภาพดีๆต้องจ่ายกันหมื่นกว่าบาท มินิคอมโปที่ขายตามห้างจายกันหมื่นกว่าบาท โทรทัศน์สีระดับหนึ่งหมื่นบาทจะได้เพียง 21 นิ้ว คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คยุคนั้นต้องจ่ายประมาณ 7 หมื่น คอมพิวเตอร์ประกอบเองต้องใช้เงินประมาณสามหมื่น

แอมป์หลอดตัวนี้ต่อแหล่งโปรแกรมได้แค่ 1 ชุด ขั้วต่อเป็นอาร์ซีเอชุบทอง ขั้วต่อสายลำโพงเป็นบานาน่าปลั๊กชุบทอง สวิตช์เปิดปิดเป็นแบบโยก ด้านหน้าเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียงแค่ปุ่มเดียว ขั้วต่อสายไฟเอซีเป็นแบบถอดได้ แอมป์หลอดตัวนี้ถูกออกแบบให้เป็นเพาเวอร์แอมป์ แต่ว่ามีการใส่วอลลุ่มเข้าไปเพื่อให้สามารถปรับระดับเสียงได้ มันจึงสามารถใช้งานกับเครื่องเล่นซีดีหรือแหล่งโปรแกรมต่างๆได้โดยตรงโดยไม่ต้องต่อผ่านปรีแอมป์

หลอดขยายเสียงมี 3 หลอด หลอดเล็กตรงกลางเป็นภาครับใช้หลอด 12AX7 ทำหน้าที่รับสัญญาณจากวอลลุ่มขยายสัญญาณเบื้องต้นในแบบคลาสเอแล้วส่งสัญญาณไฟฟ้าไปเข้าหลอดใหญ่ หลอดใหญ่ทำหน้าที่ขยายเสียงให้มีกำลังสูงขึ้น หลอดใหญ่นี้คือหลอด el84 ถูกออกแบบการใช้งานในโหมดซิงเกิ้ลเอนด์คลาสเอ ก้อนสีดำสามก้อนคือหม้อแปลง ก้อนทางซ้ายคือหม้อแปลงจ่ายไฟให้กับวงจรทั้งหมด หม้อแปลงส่วนกลางและขวาเป็นหม้อแปลงปรับอิมพีแดนซ์

เครื่องเสียงกำลัง 3.5 วัตต์จะฟังเพลงเพราะได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่คนที่รู้เรื่องทางไฟฟ้าก็คงจะไม่เข้าใจนัก สรุปได้สั้นๆเพียงว่าการฟังเพลงปกติในบ้าน กำลังเสียงเพียง 1 วัตต์ก็ค่อนข้างจะเสียงดังฟังชัดแล้ว การใช้เครื่องเสียงวัตต์ต่ำต้องใช้คู่กับลำโพงความไวสูง การเลือกลำโพงให้เหมาะสมกับแอมป์หลอดตัวนี้ก็เช่นเดียวกัน จะต้องเลือกลำโพงที่มีความไวสูงกว่าปกติ ลำโพงที่เหมาะกับมันควรจะมีความไวระดับ 90dB ขึ้นไป

ผมใช้งานแอมป์หลอดตัวนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บางช่วงเวลาก็ใช้ต่อกับเครื่องเล่นซีดี บางช่วงเวลาก็ต่อกับคอมพิวเตอร์ บางช่วงเวลาก็ต่อกับ ipod คุณภาพเสียงของแอมป์หลอดคลาสเอเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล ต้องได้ลองสัมผัสเองถึงจะเข้าใจ ทุกวันนี้ในเงินหลักพันบาทผมยังไม่พบว่ามีเครื่องเสียงตัวไหนเสียงดีกว่านี้ คุณงามความดีอาจไม่ได้เกิดจากแอมป์หลอดเพียงตัวเดียว แต่มันเกิดจากการเลือกใช้งานลำโพงด้วย ซึ่งลำโพงที่ผมเลือกใช้มันเหมาะเจาะและลงตัวกับแอมป์ตัวนี้พอดี เคยลองเปลี่ยนลำโพงอื่นๆเข้าไปบ้างเช่นกัน ลำโพงบางตัวทำให้แอมป์กลายเป็นของกระจอกไปเลยก็มี ดังนั้น ใครที่เล่นแอมป์หลอด ขอให้เลือกลำโพงให้เหมาะสม ถ้าเสียงยังไม่ดี ไม่ถูกใจ ควรได้ลองเปลี่ยนลำโพงดูก่อน นอกจากนี้ แอมป์หลอดยังเปิดโอกาสให้นักเล่นได้ทดลองเปลี่ยนหลอดด้วยเพื่อเปลี่ยนบุคลิกเสียง ซึ่งมันเป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่งที่ละลายเงินในกระเป๋าตลอดเวลาถ้าไม่หยุดค้นหา จบห้วนๆดีกว่า

ipod mini เครื่องเล่น mp3 ที่คลาสิคที่สุดรุ่นหนึ่ง

ipod ฮิตมากอยู่ช่วงปีหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆแปลงร่างกลายเป็น iphone และ ipod touch เจ้าอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีแป้นหมุนเลยไม่ได้เป็นพระเอกของวงการอีกต่อไป ipod รุ่นใหม่ๆกลายเป็นหน้าตาบอบบาง กระทัดรัด เล็กลงจนรู้สึกจะหยิบจับยาก วันนี้ผมได้เครื่อง ipod mini ตัวเดิมกลับมา หลังจากให้เพื่อนยืมไปเปิดเพลงให้ลูกฟังอยู่สองปี ตั้งแต่เมียเพื่อนตั้งท้องจนตอนนี้กำลังจะเลือกโรงเรียนอนุบาลแล้ว เพิ่งจะได้คืนมา

ipod mini ตัวนี้ผลิตออกมาขายในปี ค.ศ. 2005 ผมก็ซื้อมาใช้ในช่วงปีเดียวกัน ความจุในเครื่อง 4g เก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลงที่ความละเอียด 128kBit/s จอภาพสีขาวดำ ไฟหน้าจอสีขาว ไม่สามารถดูภาพ และวิดีโอได้ เป็น ipod ที่ถูกลดขนาดลงมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐาน จุดเด่นของมันก็คือมันใช้วัสดุคุณภาพดีสุดๆ คือตัวถังเป็นอลูมิเนียม ถ้าไม่บุบ มันจะไม่มีร่องรอยอะไรเลย แม้ว่าจะหยิบใส่กระเป๋า เสียดสีกับกางเกงหรือกระเป๋าต่างๆ หยิบวางบนโต๊ะ วางในรถก็ไม่มีปัญหา

ผมได้มีโอกาสใช้งาน ipod touch แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ ไม่ใช่ ipod touch ไม่ดี แต่เป็นเพราะการใช้งานในการฟังเพลงผมรู้สึกว่า ipod แบบมีแป้นสัมผัส click wheel (คลิกวีล)แบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่เหมาะกับการฟังเพลง เพราะหลายๆครั้งที่กำลังฟังเพลงอยู่ ผมอยากจะลดหรือเพิ่มระดับเสียง ผมก็แค่คลึงแป้นหมุนตามทิศทางที่ต้องการ มันก็ตอบสนองได้ดี สามารถเพ่ิมหรือลดระดับเสียงได้โดยไม่ต้องใช้สายตา แต่ถ้าเป็น ipod touch หรือ iphone การเพ่ิมลดระดับเสียงมันทำยากกว่าเดิม ถ้าจะเปลี่ยนระดับเสียงทางหน้าจอ จะต้องกดปุ่มด้านหน้า แล้วคลิกเลื่อนเพื่อปลดล็อคหน้าจอ และค่อยเอานิ้วจิ้มปุ่มสไลด์เพื่อเลื่อนระดับ หมายความว่า ผมไม่สามารถหลับตาเปลี่ยนระดับเสียงได้เลย

แล้วทำไมไม่กดปุ่มสองปุ่มที่อยู่ด้านข้าง iphone หรือ ipod touch ล่ะ นั่นสิ ผมมักจะลืมตำแหน่งปุ่มด้านข้างไปเสมอ และการใช้นิ้วกดปุ่มเพ่ิมลดเสียงด้านข้าง ผมต้องใช้มือกำตัวเครื่องไว้แล้วเอานิ้วโป้งกด ก็คือต้องหยิบตัวเครื่องขึ้นมาถือไว้ในท่าบังคับ และเอานิ้วกดลงไปตามปุ่มที่ต้องการ มันสั่งงานแบบไม่มองก็ได้ถ้าพยายาม แต่มันก็ต้องใช้ทั้งมืออยู่ดี ผมพอใจกับการใช้นิ้วคลึงเท่านั้น ยิ่งหากระหว่างฟังต้องการกดข้ามเพลง หรือย้อนกลับ คลิกวีลระบบแท้ๆของ ipod มันตอบสนองได้ทันที แต่ถ้าเป็นหน้าจอของ ipod touch หรือ iphone มันต้องกดปุ่ม home เพื่อกระตุ้นเครื่อง และเอานิ้วลากแถบล็อคหน้าจอเพื่อให้เริ่มรับคำสั่ง แล้วก็มองหาปุ่ม ข้ามเพลงและย้อนเพลง แล้วค่อยเล็งเพื่อกด แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันลำบากกว่ากัน คลิกวีลระบบดั้งเดิมมันไม่รบกวนสมาธิการทำงานและการขับรถ ipod touch และ iphone มันดีตอนเลือกเพลงเพราะมันเป็นหน้าจอละเอียด แบ่งรายการเพลงต่างๆให้เข้าถึงได้ง่าย แต่มันไม่ดีตอนฟัง เพราะมันกดเพื่อสั่งการยากกว่านั่นเอง

หลายครั้งที่ได้ยินว่าแบตเตอรี่ ipod เสื่อม ผมก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมเสื่อมเร็วจัง เพราะเครื่องที่ผมใช้ยังไม่เคยเปลี่ยนแบตเตอรี่เลย ถ้านับถึงวันนี้ มันก็ผ่านมา 6 ปีกว่าแล้วมันยังคงใช้งานได้ดี และการชาร์จแบตของผม 1 ครั้งสามารถใช้ฟังเพลงได้ประมาณ 6 ชม. หรือมากกว่า ซึ่งผมว่ามันค่อนข้างเยอะแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าตอนออกมาใหม่ๆมันรับประกันว่าฟังได้นานกี่ชั่วโมง แต่ 6 ชม.ของผมมันเพียงพอต่อการใช้งานในรถและก่อนนอนแล้ว

ความจุเพียง 4g ในวันนี้ดูเหมือนจะน้อยไป เพราะว่าคลังเพลงที่สะสมมาสิบปีมันมีหลายสิบจิ๊ก นี่ผมเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามเพลงมากเหมือนสมัยก่อน ถ้ายังคงฟังเพลงมากๆเหมือนเดิมผมน่าจะมีเพลงสะสมสัก 200g ซึ่ง ipod ตัวไหนก็ไ่ม่พอ การมีเพียง 4G ติดตัวออกจากบ้านก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ยังพอจะปรับตัวได้ เนื่องจาก ipod เป็นระบบการเลือกเพลงใส่ที่ฉลาด ผมสามารถเลือกเปลี่ยนเพลงที่บรรจุใน ipod ได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่คลิก แล้วก็รอเวลามันก็อปปี้เพลงชุดที่ต้องการลงไป หลายครั้งผมเลือกให้มันก็อปปี้เพียงเพลงที่ฟังบ่อยแค่ 25 เพลง ซึ่งโปรแกรม iTune ที่ทำหน้าที่นี้มันทำได้ดีไร้ที่ติ

การฟังเพลงมันต้องได้เครื่องเล่นที่ดีตอนฟังเพลง ไม่ใช่เครื่องที่ดีสำหรับการเล่นเน็ต หรือ ดูภาพ หรือดูวิดีโอ เพราะผมต้องการเน้นเรื่องฟังเพลง การพัฒนาการของ ipod มันมุ่งไปสู่ระบบอินเทอเน็ตและมัลติเมียเดีย จนผมรู้สึกว่าสักวันหนึ่งคลิกวีลอาจจะถูกเลิกใช้ไปในที่สุด หยุดนวัตกรรมไม่ได้ แต่สามารถเลือกใช้ของที่เคยมีได้ ipod mini ยังน่าใช้งานและน่ารักอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังซ่อมบำรุงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือ เพิ่มขนาดความจุด้วย compact flash การ์ด ขอแค่อย่าให้มันเสียก็พอแล้ว มันน่าจะคงกระพันไปอีกหลายปี

ทดสอบ ลำโพง Bose companion2

ในความทรงจำตอนวัยรุ่นตอนต้น มีรุ่นพี่กล่าวถึงลำโพง Bose ว่าเป็นลำโพงเสียงดี ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนใส่ขาสั้น เดินเล่นบ้านหม้อ อยากได้ลำโพงตัวใหญ่ขนาดโอบไม่รอบ ไม่มีความรู้ทางดนตรี และอิเล็คทรอนิกส์ ได้แต่จำว่า Bose แพง Bose ดี ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีเครื่องเสียงอีกมากมาย นอกจาก Sony Kenwood และ ธานินทร์

พอชีวิตเริ่มเกี่ยวกับข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องซื้อลำโพงมาติดคอมฯ ลำโพงที่เลือกซื้อมักจะเน้นตัวใหญ่ เน้นว่าขนาดใหญ่น่าจะเสียงดี ซึ่งมันก็ไม่ผิด ผมเคยเลือกลำโพงให้คนอื่นโดยการไปยืนฟังอยู่นานจนเมื่อยขา แล้วก็อุ้มกลับบ้านด้วยค่าตัวพันกว่าบาท แม้ว่าจะหาเงินได้มากกว่านั้น แต่ก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะจ่าย เพราะเสียงที่ได้จากลำโพงคอมฯเหล่านั้นไม่ค่อยดีแบบที่ต้องการ มันอาจจะเป็นเพราะว่าเรามีเงินน้อยเลยต้องเลือกอย่างระวัง และด้วยความจำกัดทางงบประมาณเราเลยได้แต่ทดลองฟังของราคาถูก ของแบรนด์เนม ยี่ห้อฝรั่งแทบไม่อยู่ในหัว เพราะว่า ของจีนมันบังตา ราคามันถูกกว่ากันหลายเท่าตัว

Bose ที่เป็นลำโพงบ้านก็เคยได้ฟังมาบ้าง ฟังจากบ้านเพื่อน ฟังจากร้าน เสียงของ Bose เหล่านั้นไม่ได้เป็นแบบบริสุทธิ์นิยม คือเสียงมันไม่สด เสียงมันไม่ใส ยิ่งลำโพงทรงลูกเต๋าที่มีซับวูฟเฟอร์แยกยิ่งรู้สึกว่าเสียงมันไม่กลมกลืน ตลอดเวลาหลายปีเลยไม่เคยได้สนใจเลย จนกระทั่งร้านขายคอมพิวเตอร์ของ apple ที่มีชื่อว่า istudio เกิดแพร่หลาย คอมพิวเตอร์แม็คอนทอชได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ไปไหนก็เห็นร้านขายแม็คทุกห้าง และอุปกรณ์เสริมต่างๆก็มีวางขายอยู่ในร้านอย่างเป็นระเบียบและสวยงามและมีปริมาณเยอะมาก หนึ่งในของเยอะๆเหล่านั้นก็มีลำโพง bose ด้วยเช่นกัน

คงเป็นผลมาจาก ipod ที่ได้รับความนิยม ร้านขายสินค้าของ apple เลยต้องขายลำโพงด้วย และลำโพง Bose ก็เป็นสินค้าที่มีราคาสูงที่สุดในร้านถ้าไม่นับสินค้า apple เอง ก็เลยมีโอกาสได้ลองฟังบ่อยๆในร้าน istudio เล่ามาซะยาวเลย เข้าเรื่องได้แล้ว


(รูปจากคนอื่น)

ลำโพง bose ที่ผลิตมาสำหรับการใช้งานกับคอมพิวเตอร์มีไม่มากรุ่น ระยะห้าปีหลังมานี้ Bose ค่อยๆสะสมความนิยม มีคนซื้อใช้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะคนที่เคยอยากได้ในอดีดหลายคนเริ่มแก่ขึ้น เร่ิมมีงานมีการทำ เร่ิมมีเงินซื้อ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น


(รูปจากคนอื่น)

Bose companion2 เป็นลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ มีหน้าตาออกแบบมาเป็นตู้ขนาดฝ่าเท้า (ใหญ่กว่าฝ่ามือ แต่ไม่ใหญ่มาก) หน้าลำโพงเป็นสโล๊ปเอียงขึ้น ถ้าวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์มันก็จะแหงนหน้าขึ้นสู่คนฟัง ถ้าใช้วางข้างโน้ตบุ๊คก็คงมีความลาดเอียงเท่ากับจอภาพ ด้านหน้าเป็นตะแกรงมีปุ่มหมุนปรับระดับเสียงเพียงปุ่มเดียว ปรับเสียงทุ้มแหลมไม่ได้ ใต้ปุ่มหมุนมีรูเสียบหูฟัง 1 ช่อง ด้านหลังเป็นช่องเสียบสัญญาณเสียงเข้า มีช่องรับ 2 คู่ หมายความว่ารับเสียงจากอุปกรณ์ได้สองตัว ไม่มีตัวเลือกว่าจะฟังอะไร ช่องไหนมีสัญญาณเสียงวิ่งเข้าไปก็ส่งเสียงได้หมด แปลว่า ถ้าต่อกับคอมพิวเตอร์สองตัวพร้อมกัน เปิดเสียงพร้อมกัน มันก็จะรวมเสียงแล้วส่งเสียงผสมกันออกมา เป็นหลักการเดียวกับมิกเซอร์ นอกจากนั้นก็มีช่องเสียบไฟตรง 12 โวลท์ และมีช่องต่อสายลำโพงข้างซ้ายอีกตัวหนึ่ง มีรูระบายเบสอยู่ 1 รู ซึ่งเป็นลักษณะของลำโพงตู้เปิด


(รูปจากคนอื่น)

รูปตัวอย่างนี้เป็นรูปจากที่อื่น  ตัวที่ผมได้มาช่องเสียบไฟเลี้ยงเขียนไว้ว่า 12V 1.8A   ส่วนตัวในภาพระบุไว้เพียง 1.2A

การที่ไม่มีปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมมันหมายความว่า Bose มั่นใจในตัวเองอย่างมากว่าเสียงจากลำโพงของเขาเป็นเสียงที่ดีแล้ว ขอแค่แหล่งโปรแกรมที่เอามาเล่นด้วยอย่าห่วยเกินไป มันถือว่าเป็นความสุดโต่งของการออกแบบเพาเวอร์แอมป์และลำโพงระดับหนึ่ง การออกแบบให้เป็นเช่นนี้ถือว่าเป็นดาบสองคม ถ้าแหล่งโปรแกรมที่เอามาใช้เล่นมันมีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงก็จะออกมาดี แต่ถ้าแหล่งโปรแกรมมันเสียงแย่ มันก็ออกมาแย่ยิ่งขึ้น

ลองฟัง Bose โดยใช้เครื่องเล่น DVD ต่อผ่านตัวแปลงสัญญาณเสียง D/A converter อีกตัวแล้วค่อยส่งไปให้ Bose ขยายเสียง เสียงที่ได้มีความใส สด มันเป็นบุคลิกของตัวแปลงสัญญาณ แล้วเกี่ยวอะไรกับ Bose ก็ต้องตอบว่าไม่เกี่ยว พล่ามไปให้เปลืองบรรทัดเล่นๆ แต่สิ่งที่ Bose companion2 ทำให้ก็คือ มันส่งเสียงตลอดย่านความถี่ออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เสียงเบสเป็นงานยากของลำโพงขนาดเล็ก Bose Companion 2 ใช้ดอกลำโพงขนาดเพียง 2.5 นิ้ว ดอกเดียวส่งเสียงตลอดย่าน ถึงจะดอกเล็กแต่ให้เสียงเบสได้ลึกเกินตัว เกินตัวไปมากจริงๆ หลับตาฟังแทบจะไม่เชื่อว่ามันออกมาจากลำโพงตัวแค่นี้ เสียงกลางมีความเด่นพอใช้ได้ เสียงสูงยังไม่ใสเท่ากับลำโพงบ้านทั่วไป แต่ก็ไม่ได้น้อยจนทึบ เรายังรู้สึกว่าเสียงฟาดสแนร์ เสียงฉาบ และ แฉ ยังมีความกังวานและมีประกายเสียง แม้ว่าจะไม่สด ไม่กระแทก ไม่รู้สึกมีความแข็งของโลหะแบบลำโพงบ้านราคาหลายหมื่น แต่มันก็มีให้ฟัง

Bose ใส่วงจรพิเศษเข้าไปในระบบลำโพงคู่นี้อย่างน้อยสองอย่าง จริงๆผมเชื่อว่าอาจจะมากกว่านี้ แต่ค้นหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เจอเพียงระบบ TrueSpace ที่ทำหน้าที่สร้างเสียงสังเคราะห์ระบบเสียงรอบทิศจากลำโพงเพียงสองตัว กับวงจรปรับโทนเสียงอัตโนมัติ การมีระบบ TrueSpace ผลก็คือทำให้เสียงมีบรรยากาศโอบล้อม คนฟังจะรู้สึกถึงความฉ่ำหวานและมีประกาย มันมีการเล่นเฟสเสียงที่ซับซ้อน การนั่งฟังห่างลำโพงเพียงแค่ไม่ถึงเมตรมันให้คุณภาพที่ดีที่สุด เพราะมันถูกออกแบบมาให้ทำงานบนโต๊ะ แต่หากถอยห่างออกมาเรื่อยๆ ในบางระยะเราจะได้ยินเสียงกลับเฟสของเสียงกลาง เสียงคนร้องจากที่เคยอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงจะมีอาการวูบไปอยู่ด้านขวาบ้างเป็นบางระยะที่เราทดสอบ แต่การนั่งฟังบนโต๊ะทำงานปกติจะไม่พบอาการนี้ แสดงว่า Bose ออกแบบลำโพงคู่นี้เอาไว้ให้นั่งฟังใกล้ๆ แต่ผมกลับขอบฟังจากระยะไกลๆมากกว่า คือใกล้ๆมันก็ได้คุณภาพแบบที่เขาออกแบบ ไกลๆมันก็ได้อีกแบบหนึ่ง เพราะผมไม่ได้สนใจเรื่องความถูกต้องของเสียงว่าจะต้องมีโฟกัสเที่ยงตรง นักร้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพง การฟังแบบแบล็คกราวน์มิวสิคหรือแบบเปิดทิ้งไว้ฟังไปด้วยทำงานอื่นไปด้วย เราไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องใช้สมาธิในการฟังจับผิด น้ำเสียงที่หวานกลมกล่อมชวนฟังขนาดนี้หาไม่ได้จากเครื่องเสียงบ้านราคาต่ำกว่าสองหมื่น

ระบบปรับโทนเสียงอัตโนมัติเป็นการปรับแต่งเสียงของแหล่งโปรแกรมต่างๆที่เอามาเปิดฟัง อาจจะเป็นเพลง Mp3 คุณภาพต่ำ การฟังเพลงต่างๆผ่านลำโพง Bose มันมีการปรับเสียงให้อัตโนมัติ เพลงแย่ เพลงดี พอเอามาเปิดมันก็เสียงดีเหมือนกันหมด บางเพลงที่ผมโหลดจากอินเทอเน็ตมาฟัง ฟังจาก Bose ไปเรื่อยๆก็ไม่ได้คิดอะไร พอลองเอาหูฟังมาเสียบฟังเพลงเดิม กลับรู้สึกว่ามันแห้งและทึบเหลือเกิน ผมเดาว่าไม่ใช่เพราะ Bose ทำช่องเสียบหูฟังไม่ดี แต่ระบบชดเชยเสียงหรือการปรับโทนเสียงอาจจะไม่ได้ทำงานในการเสียบหูฟัง เพราะ Bose น่าจะออกแบบวงจรพิเศษต่างๆมาให้ทำงานบนตัวลำโพงจริงๆ

การมีหน่วยประมวลผล ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ ลำโพงที่จะสามารถทำงานแบบนี้ได้ก็ต้องมีหน่วยประมวลผลในตัวเอง นั่นคือจะมีต้องมีวงจรอิเล็คทรอนิกส์มารับหน้าที่ประมวลผลนอกเหนือไปจากวงจรขยายเสียงปกติ หมายความว่าคุณภาพแบบนี้ เทคนิคแบบนี้จะอยู่ในลำโพงแบบ active เท่านั้น คือมีภาคขยายและมีวงจรประมวลผลในตัว มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ลำโพง Bose บางรุ่นที่ออกแบบเป็น sub+sat ไม่มีกำลังขยายเป็นลำโพงที่ยังเสียงไม่ดี เพราะให้ลูกค้าไปหาเพาเวอร์แอมป์ใช้เอง มันปราศจากเทคนิคและวงจรพิเศษมาช่วยเหลือ ลำโพงอย่าง acoustic mass เลยมีน้ำเสียงที่ยังขาดๆเกินๆไม่กลมกล่อมเหมือนลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่าง companion2 ตัวนี้

การมีหน่วยประมวลพิเศษเพื่อช่วยให้ลำโพงทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ไม่ได้มีแต่ข้อดีฝั่งเดียว มันมีข้อเสียตามมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ มันเสียเวลาไปกับการประมวลผลเล็กน้อย ทำให้เสียงมีอาการดีเลย์อย่างรู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าเสียงยืด แต่เป็นอาการมาช้าไปนิดหน่อย ถ้าเราต่อลำโพง Bose คู่กับลำโพงอื่นๆที่ส่งเสียงตรงๆไม่มีวงจรประมวลผลมาทำให้เสียเวลา เราจะได้ยินเสียงโน้ตเดียวกันสองครั้ง คือเสียงที่ได้ยินทันทีจากลำโพงตัวอื่นและตามมาด้วยเสียงจาก Bose เพราะมัวแต่ไปเสียเวลาประมวลผล มันเหมือนเป็นอาการเสียงก้องในห้องกระจก คือมีเสียงหลักกับเสียงที่สองวิ่งคู่กันตลอดเวลา ถ้าเราใช้ฟังเพลงอย่างเดียว ก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเอาไปใช้เล่นเกมส์จะมีปัญหาหรือไม่ ข้อเสียอีกประการก็คือมันเปิดดังไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องฟังเบาๆ มันเปิดดังให้พอดีในห้องได้ ให้อารมณ์การฟังเพลงได้ดี แต่มันยังเอาไปเปิดในงานปาร์ตี้ไม่ได้ มันเปิดดังเผื่อคนเป็นสิบคน หรือเปิดในที่โล่งแล้วยังไม่ดี เพราะความที่มันพยายามส่งเสียงเบสให้ได้เกินตัว ทำให้มันต้องใช้พลังงานเยอะ เหมือนกับว่าลำโพงทำงานหนักมาก ขณะที่ไฟเลี้ยงวงจรยังมีจำกัดเนื่องจากใช้ไฟเพียง 12 V 1.8 amp เท่ากับความดังประมาณไม่เกิน 21.6 วัตต์ หากคิดประสิทธิภาพระดับ 100% แต่ในความเป็นจริง วงจรขยายเสียงหากสามารถทำประสิทธิภาพได้สูงสัก 70% ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผมเดาว่า Bose ตัวนี้น่าจะมีประสิทธิภาพประมาณ 70% มากกว่าจะเป็นแค่ 25% แบบเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ทั่วไป การเปิดดังมากๆทำให้วงจรมีอาการคลิป คล้ายกับว่าลำโพงกำลังจะแตก มันเหมือนกับคุณเอารถซิตี้คามาวิ่งในเมืองได้อย่างสนุกสนาน แต่พอต้องออกต่างจังหวัด ต้องทำความเร็วสูงๆ มันสู้รถใหญ่ หรือรถกระบะไมไ่ด้ เพราะมันออกแบบการใช้งานมาคนละประเภทกัน

ประมาณสามวันวันละหลายชั่วโมงที่อยู่กับลำโพงคู่นี้ผมเริ่มรู้สึกว่า Bose น่าจะเป็นลำโพงที่เหมาะแก่การใช้งานระยะยาว การลงทุนที่สูงกว่าลำโพงคอมพิวเตอร์ทั่วไปมันเป็นเรื่องที่รู้สึกคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับคืนมา จ่ายแพงกว่าอีกหน่อย แต่ได้ของที่ใช้ได้ถูกใจและไม่ต้องขวนขวายหาตัวอื่นๆมาแทนมันเป็นสิ่งที่น่าลองทำ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินซ้ำซ้อน ผมเคยเสียเงินซื้อลำโพงมาหลายคู่ เพราะมัวแต่เลือกของถูก ยอมประณีประนอมกับบุคลิกเสียงบางอย่างเพราะว่าต้องดูตามงบประมาณ ผลก็คือมีลำโพงที่ไม่ค่อยได้ใช้อยู่ในบ้านเต็มไปหมด ถ้าซื้อ Bose ตั้งแต่ต้นอาจจะประหยัดกว่านี้

ลำโพง Bose ไม่ได้ให้เสียงที่ถูกต้องแม่นยำ เพราะมันมีการปรับแต่งใส่สีสันต่างๆเข้าไปจนฟังแล้วเคลิ้ม อย่าถามหาความจริงกับ Bose เพราะ ฺBose มันฉอเลาะ ตอแหล กว่าปกติ การเลือกใช้ Bose มันเหมือนเป็นรูปแบบชีวิต เป็นสไตล์หนึ่งๆ ถ้า Bose เป็นกาแฟ ก็จะเป็นกาแฟสตาร์บั๊คส์ คือกลมกล่อม เต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศ เข้าไปนั่งแล้วสั่งกินได้ไม่ผิดหวัง นั่งในร้านแล้วรู้สึกปลดปล่อย ไม่เครียด กาแฟทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่ม แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือความรู้สึกว่าการมีเวลาส่วนตัว มีโลกส่วนตัว มีความสบายส่วนตัว มีร้านอื่นที่ขายกาแฟเช่นกัน มีกาแฟราคาถูกกว่านี้ มีราคาแพงกว่านี้ แต่สตาร์บั๊คมีมากกว่านั้น บางคนจ่ายสิบกว่าบาทก็แลกกาแฟข้างถนนได้ แต่มันคนละอารมณ์ คนเรากินกาแฟไม่ใช่เพราะต้องการเพียงแค่คาเฟอีน อารมณ์กาแฟต่างหากที่ต้องการ

ถ้า Bose เป็นภาพถ่าย Bose คือภาพที่ได้จากฟิล์มสไลด์ fuji Velvia ซึ่งเป็นฟิล์มสไลด์ที่ให้สีสันสดจัดจ้านที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ภาพจากฟิล์มสไลด์ตัวนี้มีความอิ่มตัวของสีที่สูงมาก มีรายละเอียดสูงมาก และภาพในหนังสือ National Geographic ในยุคก่อนดิจิทัลจะครองเมืองจะเป็นภาพจากฟิล์มตัวนี้เป็นส่วนใหญ่

ถ้า Bose เป็นรถยนต์ มันอาจจะเป็น Honda CRV ที่เป็นรถอเนกประสงค์ ขับไปร่วมงานอะไรก็ได้ ไปงานหรูก็ได้ ไปงานบวชงานวัดก็ได้ สมรรถนะพอใช้ ไม่แรงไม่ลุยเท่าโฟวีลแท้ๆ ไม่คล่องตัวอย่างซิตี้คาร์ แต่ขับได้ทุกวัน ใช้ได้ทุกวัน ในเมือง หรือนอกเมือง ชีวิตบนตึกหรือท่องเที่ยวก็ได้หมด

ถ้า Bose เป็นอาหาร ผมคิดว่ามันเป็นข้าวผัด บางคนชอบกินข้าวขาว บางคนชอบกินข้าวกล้อง Bose เป็นข้าวที่ปรุงเสร็จแล้ว สามารถกินเปล่าๆ หรือ กินพร้อมกับก็ได้ มันมีรสชาด มีความหวานมัน

คิดถึง ipod คิดถึงความสุขในการฟังเพลง

IMG_9017

เครื่องเล่น mp3 เครื่องแรกที่ผมเคยได้ยินข่าวคราวก็คือเครื่องยี่ห้อ rio ผมจำสเป็คโดยละเอียดไม่ได้ และไม่เคยมีโอกาสได้ฟัง ในช่วงเวลาแรกเริ่มของ mp3 ผมฟังผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และไม่เคยรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มกับ mp3 เลย ทั้งๆที่ ณ เวลานั้นมีแผ่นรวมเพลง mp3 ขายอยู่แล้วมากมาย

อาจจะเป็นเพราะว่าการฟัง mp3 ในยุคแรกนั้นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก ทำให้ผมไม่สามารถพกพามันไปกับตัวได้  ปี 1998 ปีนั้นที่ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลก ผมยังคงไปซื้อเครื่องเล่นเทปแบบวอล์คแมนเครื่องใหม่หน้าตาสวยมาใช้งานอยู่เลย อัลบั้มเพลงที่ผมจำได้ว่าผมฟังจากเทปวอล์คแมนเครื่องนี้บ่อยที่สุดคืออัลบั้มของ pause ชุด mind ที่มีเพลงข้อความ เพลงความลับ ที่ยังคงเป็นเพลงน่าฟังอยู่ตลอดกาลของวงดนตรีวงนี้

mp3 ฮิตมากกับการใช้งานบนโต๊ะทำงาน เพราะเปิดด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมมีเพลง mp3 สะสมอยู่ในเวลานั้นหลายร้อยเพลง มีเพลงที่ชอบมากๆอยู่ประมาณ 100 เพลง และผมก็ไม่คิดว่าจะพกพามันไปฟังบนรถเมล์ หรือ ฟังตอนขับรถ เพราะไม่รู้จะขนเพลงเหล่านั้นทั้งร้อยเพลงไปได้อย่างไร ตอนนั้นลืมเครื่องเล่น mp3 แบบพกพาไปได้เลย เพราะเครื่องแพงมาก และหน่วยความจำที่มีอยู่ก็อยู่ที่ระดับประมาณ 16-32 เม็กกะไบต์ มันเก็บเพลงได้ไม่ถึง 10 เพลง ผมพกเครื่องเล่นเทปยังได้เพลงเยอะกว่า

หลายปีต่อมาผมได้ข่าวว่า apple ทำเครื่องเล่น mp3 ออกมาขายราคาประมาณสองหมื่นบาท ผมไม่สนใจเลยเนื่องจากไม่มีเงินซื้อ และไม่เคยคิดว่าจะต้องจ่ายเงินให้กับอุปกรณ์การฟังเพลงในราคาสูงขนาดนั้น แม้ว่าผมจะเป็นคนเล่นเครื่องเสียง และยินดีจ่ายให้กับเครื่องเสียงราคาหลายหมื่น แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องจ่ายให้กับเครื่องเล่น mp3 ในราคาแพงกว่าเครื่องเสียงบ้าน ผมปฏิเสธ mp3 มาตลอดทั้งในด้านคุณภาพ และราคา

ในบางวันที่ผมฟังเทปจากวอล์คแมน ผมก็อยากฟังวิทยุบ้าง ตอนนั้นก็ไปซื้อเครื่องรับวิทยุมาใช้ เป็นเครื่องรับวิทยุที่ราคาถูกๆ มันรับคลื่นได้แต่ไม่ชัด สุดท้ายก็ทนฟังไม่ได้ ผมก็เลยหันหลังให้กับรายการวิทยุไปนานแสนนาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็มีคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงกันต่อเนื่องห้าสิบนาทีเสียแล้ว ผมตกยุคไปหลายปีเลย

_MG_6408

แล้วผมก็ไปเพลิดเพลินอยู่กับการหัดถ่ายภาพ ผมแทบไม่ได้ฟังเพลงอย่างตั้งใจอีกเลย จนวันหนึ่งเพื่อนเอา ipod mini มาให้ลองฟัง ก่อนจะทดลองฟัง ผมก็ออกตัวกึ่งด่า กึ่งดูถูกไว้หลายอย่าง เพื่อนก็หวังดีบอกให้ผมฟังดูก่อน พอลองฟังสักสองเพลง ผมถามราคา เพื่อนบอกเจ็ดพันบาท ผมฝากซื้อทันที และมีเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ในที่นั้นก็ซื้อพร้อมผมอีกคนละเครื่อง ผมบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยี แต่เพลง mp3 ในเครื่องเล่น ipod มันเพราะมาก มันเหมือนคนที่ไม่ได้กินอาหารถูกปากมานาน พอเจอเมนูอร่อยเข้าไปกลายเป็นคนตะกละขึ้นมาเลย

ipod mini เป็นเครื่องเล่นเพลงติดตัวผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เครื่องเล่นเทปวอล์คแมนผมก็เก็บลืมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเช่นกัน และจนบัดนี้มันก็ไม่เคยทำงานอีกเลย คุณภาพเสียงของ ipod mini ทำให้ผมเริ่มหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หาประวัติของ ipod เลยทำให้เริ่สนใจเครื่องคอมพิวเตอร์ของ apple ไปพร้อมกัน แม้ว่าผมจะชอบ ipod แต่ผมก็ยังไม่คิดจะใช้คอมพิวเตอร์ของ apple เพราะว่าตอนนั้นผมมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ และเครื่องโน้ตบุ๊คส่วนตัวผมเป็น ibm หน้าตาดำๆถึกๆ มันเป็นโลกของ windows และ ibm และ โปรแกรม visual studio ของ microsoft

สิ่งที่ผมชอบใน ipod mini คือหน้าตาที่ดูคลาสิค และรูปร่างไม่ใหญ่โต ตัวถังเป็นอลูมิเนียมที่เป็นรอยยากมาก หน้าจอใช้ไฟเรืองแสงสีขาว มันเป็นความลงตัวที่ผมรู้สึกดี ความจุที่มี 4Gb สามารถเก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลง แน่นอนว่าผมมีเพลงสะสมจนเต็มความจุแล้ว ทุกวันนี้ยังไม่เจออุปกรณ์อะไรที่ดูน่าทนุถนอมขนาดนั้นเลย คุณภาพเสียงก็ดีถูกใจมาก โดยเฉพาะหูฟังที่มาพร้อมกับ ipod mini เป็นหูฟังที่มีบุคลิกที่เป็นกลาง คือมันราบเรียบ ฟังเสียงคนได้ชัดเจน มันสามารถฟังเพลงได้นานโดยที่ไม่รู้สึกล้า ไม่เลี่ยน มันแตกต่างไปจากหูฟังโซนี่ที่ฟังทีแรกจะรู้สึกว่าเพราะ มัน เสียงใส แต่ฟังนานๆหลายชั่วโมงแล้วทรมาน

เคยมีคนแย้งว่าทำไมถึงอยากจะฟังเพลงตั้งพันเพลง ipod ความจุเยอะเกินความจำเป็น ต้องจ่ายราคาแพงกว่าชาวบ้าน ipod ราคาเกือบหมื่น แต่ของคนอื่นขายกันสองพันบาท ความจุ 512mb ก็พอแล้ว หลายความเห็นออกมาแนวทางเดียวกันคือ ipod แพงเกินไป ผมก็รู้สึกว่าแพง แต่ผมก็พบว่าการที่ผมมีเพลงติดตัวไปสักหนึ่งพันเพลงผมก็ไม่ได้อยากฟังทุกเพลงหรอก แต่ว่าผมสามารถเลือกฟังเพลงอะไรก็ได้จากหนึ่งพันเพลง เลือกฟังได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับบ้านไปลบเพลงเก่าและก็อปปี้เพลงที่ต้องการลงไป แต่ละวันผมอาจจะฟังเพลงแค่สิบเพลง แต่มันก็ไม่สามารถจะบอกได้หรอกว่าสิบเพลงนั้นมีเพลงอะไรบ้าง การแบกเพลงใส่ ipod ไว้หนึ่งพันเพลงมันทำให้ผมสามารถเลือกเพลงที่อยากฟังได้ครบตามที่ต้องการ หรือเกือบครบทุกเพลง มันเป็นสิ่งที่เครื่องเล่นอื่นๆให้ไม่ได้

ตอนนั้น ipod ไม่มีคู่แข่งเลย ทั้งในแง่คุณภาพเสียงและความจุ มียี่ห้ออื่นๆพยายามจะทำขายก็ยังไม่มีจุดเด่นที่ดีกว่า มันเป็นเรื่องที่ช่วยไ่ม่ได้จริงๆที่จะไม่เปิดใจให้กับเครื่องเล่นยี่ห้ออื่นๆ เพราะเมื่อลองฟังก็รู้สึกว่ามันไม่ลงตัว เสียงยังไม่ถูกใจ แต่ผมก็ทดลองฟังตัวอื่นๆอยู่เรื่อยๆ แล้ววันดีคืนดีก็เจอกับเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ที่เสียงดีกว่าเดิม

IMG_9032

มันคือ ipod รุ่น shuffle รุ่นที่มีความจุเพียง 512 Mb หรือเก็บเพลงได้แค่ 120 เพลงเท่านั้น ผมเดินผ่านร้านขายเครื่องเสียง ก็แวะดูไปตามเรื่อง ถามพนักงานเรื่องคุณภาพเสียงของ ipod 3 ตัวที่วางเรียงกันอยู่ในร้าน พนักงานบอกว่า shuffle เสียงดีที่สุด ผมไม่เชื่อเลยขอลองฟังบ้าง ฟังเพลงเดียวกัน หูฟังเดียวกัน แล้ววันนั้นผมก็เสียเงิน ได้ shuffle กลับบ้านไปอีกตัว มันเป็นเครื่องเล่นที่ไม่มีหน้าจอ ก็อปปี้เพลงลงไปแล้วก็เปิดเล่นเลย หลายคนออกความเห็นว่าไร้สาระ เอา ipod ตัวใหญ่มาติดเทปบังหน้าจอไว้ก็เหมือนได้ใช้งาน shuffle แล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ผมรู้สีกว่า ipod shuffle ที่ไม่มีจอภาพมันมีดีกว่านั้น มันเป็นมากกว่านั้น แต่ก็อธิบายไม่ได้

การก็อปปี้เพลงลงไปในเครื่องเล่น ipod ต้องทำผ่านโปรแกรม iTune ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเปิดเพลงได้ทั่วไป สร้างรายการเพลงที่ชอบ รวมเพลงเป็นชุดๆได้ตามใจ ทุกเพลงที่อยู่ใน iTune กดปุ่มเดียวมันก็จะก๊อปปี้ทุกอย่างลงไปใน ipod แปลว่า บนเครื่องคอมพิวเตอร์เรามีเพลงอะไร จัดระเบียบจัดอัลบั้มรวมกันไว้อย่างไรมันก็มีอย่างนั้นใน ipod เช่นกัน และความพิเศษมากขึ้นอย่างหนึ่งก็คือมันบันทึกการเล่นเพลงต่างๆเอาไว้ เพลงไหนเล่นบ่อยที่สุดก็มีการนับไว้ และมันก็มีรายการเพลง top hit ให้เราอัตโนมัติ แปลว่า ในหลายๆพันเพลงจะมีเพลงที่เราฟังบ่อย 25 เพลงถูกจัดเป็น top hit ให้ และเราสามารถสั่งให้ ipod shuffle ก็อปปี้เพลง top hit เหล่านั้นลงได้ได้อัตโนมัติ

ipod shuffle ที่เก็บเพลงได้เพียงเล็กน้อยมีเพลงที่เราฟังบ่อยๆอยู่ในนั้น มันเป็นรูปแบบการเลือกเพลงที่”ไม่ผิดหวัง” เพราะว่าเราฟังบ่อยจริง มันแก้ปัญหาของคนลังเลได้อย่างดี เพราะเราคงเคยเจอปัญหาว่า มีเพลง มีแผ่น (เมื่อก่อนก็มีเทปด้วย) เยอะไปหมด จะเลือกเอาเพลงไหนไปฟังบนรถดี หรือจะเอาแผ่นเพลงไหนติดตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดดี เมื่อก่อนผมเคยขับรถไปต่างจังหวัดหลายวัน ผมขนแผ่นซีดีใส่ลังไปด้วยเกือบห้าสิบแผ่น มันเป็นเรื่องบ้าๆที่เคยทำ

พอรับ ipod เข้ามาในชีวิต ความบันเทิงแบบพกพาก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง จากการฟังเพลงแต่เพียงอย่างเดียวมันเริ่มมีความต้องการให้ ดูภาพได้ ดูวิดีโอได้ ซึ่งคนที่คิดแบบผมไม่ได้มีคนเดียว มันคิดแบบเดียวกันทั้งโลก และแล้ว ipod ก็มีรุ่น ipod photo ที่สามารถก็อปปี้ภาพลงไปดูได้ และแน่นอนว่าหน้าจอของ ipod กลายเป็นจอสีแล้ว หลังจากนั้นอีกไม่นาน ipod video ก็ตามมาติดๆ เป็นเครื่องเล่นแบบพกพาที่สามารถดูวิดีโอได้ด้วย ซึ่งในเวลานั้นเครื่องเล่นโนเนมจากจีนก็มีความสามารถในการเล่นวิดีโอออกมาก่อนแล้ว แต่วิดีโอในเครื่องโนเนมต่างๆเป็นวิดีโอที่คุณภาพต่ำ การแสดงผลยังไม่ประทับใจ และไม่สามารถต่อสายภาพออกมาเข้าเครื่องรับโทรทัศน์ได้ แต่ ipod video ทำได้ทุกอย่างที่บอกมา มันเป็นข้อได้เปรียบที่ ipod มีความจุเยอะ เลยสามารถเก็บข้อมูลวิดีโอที่มีขนาดใหญ๋ได้ คุณภาพของวิดีโอเลยดีกว่า

ความนิยมของ ipod ค่อยๆสะสมก่อตัวขึ้น จนกระทั่งแพร่หลายไปทั้งโลก สิ่งที่ชี้วัดได้ง่ายที่สุดก็คือมีอุปกรณ์เสริมต่างๆออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองผ้า ซองหนัง ซองพลาสติก ลำโพง เครื่องเสียง ทุกอย่างที่เอามาต่อพ่วงกับ ipod ได้จะถูกผลิตออกมาเต็มไปหมด แม้แต่เครื่องมีดโกนหนวดต่อกับ ipod ก็ยังมี เลเซอร์พอยเตอร์ก็มี มันไม่ได้เกี่ยวกับการฟังเพลงแต่ก็มีคนทำอุปกรณ์เสริมออกมา มันมากมายลามไปถึงกลุ่มแฟชั่น กระเป๋าหนังบางยี่ห้อมีช่องใส่ ipod แยกต่างหาก มันฮิตระเบิดเลย

scan-2012-minilux-jul-17

มาถึงปี ค.ศ. 2006  ipod พัฒนาไปมากกว่าเดิมหลายช่วงตัว มันกลายไปเป็น iphone เป็นเครื่องเล่นหน้าจอสัมผัส เล่นอินเทอเน็ตได้ มันมีกล้องในตัว มันเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ มันใส่โปรแกรมเพิ่มเพื่อทำงานอื่นๆได้อีกมากมาย มันไปไกลจนเกินกว่าจะเป็นเครื่องเล่นเพลงไปเสียแล้ว เราหยุดการพัฒนาไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ผมแอบคิดเล่นๆว่า ipod ชวนคนทั้งโลกให้หันมาฟังเพลง แต่ตอนนี้กำลังพาคนทั้งโลกออกจากเพลง ไปสู่สิ่งใหม่ที่สับสนวุ่นวาย ทั้งภาพ วิดีโอ อินเทอเน็ต มันน่าคิดเหมือนกันว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร เครื่องเล่นเพลงที่แท้จริงมันอาจจะหยุดอยู่ที่ ipod รุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบสัมผัสหน้าจอ อารมณ์คนฟังเพลงต้องการแค่นั้นจริงๆ ที่มากกว่านั้นและทุกอย่างที่อยู่ใน iphone มันมากเกินไปสำหรับคำว่าดนตรี

ทดสอบ macbook air 11นิ้ว

macbook air เป็นโน้ตบุ๊คของ apple ที่ออกมาหลายปีแล้ว ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่มีหน้าตาดูดีและรูปร่างที่เพรียวบางที่สุดในโลกรุ่นหนึ่ง ในครั้งแรกออกมาราคาแพงลิบริ่ว แต่ก็มีเทคโนโลยีที่ดีตามมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็นตัวถังแบบอะลูมิเนียมขึ้นรูปชิ้นเดียวทำให้มีความแข็งแรง การออกแบบที่แบนบางทำให้สามารถพกพาได้สะดวก การไม่มีช่องใส่ซีดีทำให้มีซอร์ฟแวร์แชร์ไดร์ฟซีดีจากเครื่องอื่นๆมายังเครื่อง macbook air ได้ โลกของอินเทอเน็ตแบบไร้สายเป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าเดิม

วันดีคืนดี macbook air กลับกลายมาเป็นโน้ตบุ๊คที่ราคาถูกที่สุดที่ apple เคยผลิตออกมา และขณะเดียวกันก็เป็นโน้ตบุ๊คที่มีน้ำหนักเบาที่สุดอีกต่างหาก โน้ตบุ๊คตัวเก่าของผมเป็น macbook pro จอ 15 นิ้ว เป็นโน้ตบุ๊คที่ตั้งใจซื้อมาเพื่อการทำงานโดยเฉพาะ และมันก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ มันทำได้ทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งควรจะทำได้ แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยขนาดตัวที่ใหญ่พอสมควร กระเป๋าโน้ตบุ๊คใบเก่าๆของผมหลายใบใช้กับ macbook pro ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาผมใช้โน้ตบุ๊คตัวเล็กมาตลอด เลยต้องหากระเป๋าใบใหม่ ใบที่ใหญ่พอจะใส่โน้ตบุ๊ค 15 นิ้วได้ ผลก็คือ กระเป๋าใหญ่และหนักมาก

ผมชอบโน้ตบุ๊คตัวเล็กมากกว่าตัวใหญ่ แต่โน้ตบุ๊คตัวเล็กๆอื่นๆที่เคยซื้อก็มีคุณภาพที่น้อยไปหน่อย บางตัวก็เล็กเกินไป บางตัวก็ช้าเหลือเกิน บางตัวก็ทั้งช้าและเล็ก เลยได้แต่รอว่า macbook air ลดราคาเมื่อไหร่จะได้ซื้อมาใช้แทนตัวเก่า

แล้วมันก็เป็นจริง macbook air หน้าจอ 11 นิ้ว มันเปิดตัวเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้ว และเมื่อวานนี้มันก็วางขายในประเทศไทย และวันนี้มันก็มาตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงานผมแล้วด้วยค่าตัว 34900 บาท

หน้าจอ 1366×768 พิกเซล ขนาดกว้าง 11.6 นิ้ว ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คจอเล็ก แต่ก็ไม่เล็กเกินไป มันยังให้ความละเอียดที่เพียงพอต่อการทำงาน ดีกว่าเน็ตบุ๊คราคาหมื่นกว่าบาทที่หน้าจอให้มาเพียง 1024×600 พิกเซล อย่าง acer one ที่ผมเคยอยากได้ แต่พอซื้อมือสองมาลองแล้วถึงจะรู้ว่าเน็ตบุ๊คมันช้าเกินไปสำหรับการทำงานในปัจจุบัน

macbook air รุ่น 11.6 นิ้วตัวนี้ใช้ซีพียู intel core2duo ความเร็ว 1.4Ghz ดูเหมือนจะน้อยไปเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบันที่ความเร็วซีพียูวิ่งกันอยู่ที่ระดับ 2-3GHz กันแล้ว แต่ก็มีการทดลองเปรียบเทียบในต่างประเทศแล้ว และพบว่า macbook air ไม่ได้ช้าไปกว่าตัวอื่นๆเลย ตัวเลขซีพียูไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสามารถทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ มันมีอย่างอื่นอีกที่ทำให้ macbook air มีความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือการเลือกใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบโซลิทสเตท หรือไม่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบแม่เหล็กอีกแล้ว เพราะความเร็วของโซลิทสเตทมันเร็วกว่าแม่เหล็กอยู่หลายเท่า แถมยังประหยัดพลังงานกว่าอีกด้วย ระยะเวลาที่ใช้งานได้ของ macbook air รุ่น 11 นิ้วนี้ อยู่ในระหว่าง 5-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานเพียงพอ

การเชื่อมต่อที่มีให้ จะมีช่องต่อจอภาพใช้ขั้วต่อแบบ mini display port ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ apple ช่องต่อ usb 2 ช่อง ซึ่งดูเหมือนจะน้อยไปหน่อย และช่องเสียบสายหูฟังเท่านั้น ไม่มี card reader และไม่มีช่องเสียบไมโครโฟน คีย์บอร์ดที่ให้มามีขนาดใหญ่โตเป็นปกติ ทำให้การวางมือเพื่อเตรียมพิมพ์ข้อความเป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถพิมพ์ตัวหนังสือได้สะดวก เพียงแต่รู้สึกว่า ปุ่มกดต่างๆมันมีระยะจมตัวค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตัวถังโน้ตบุ๊คมันบางมาก ทำให้ปุ่มกดมีระยะยุบตัวน้อยตามไปด้วย แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะปรับตัวไม่กี่นาทีก็สามารถพิมพ์ข้อความเร็วๆและยาวๆเหมือนรีวิวนี้ได้

สิ่งที่ประทับใจทันทีก็คือระยะเวลาเปิดเครื่องทำได้ภายใน 15 วินาทีเท่านั้น แตกต่างจากเครื่องตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊คตัวเก่าที่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบแม่เหล็กอย่างไม่เห็นฝุ่น เดี๋ยวนี้ผมเล่นอินเทอเน็ตผ่านตัวต่อสัญญาณแบบ 3g ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาประเภทหนึ่ง มันมีหน้าตาคล้ายโทรศัพท์ มันมีปุ่มกดเพื่อเปิดเครื่อง กดเพื่อรับสัญญาณไวเลสแลน และกดปุ่มเพื่อต่อสัญญาณกับเครือข่ายโทรศัพท์ 3g ซึ่งไอ้เจ้าตัวต่อสัญญาณตัวนี้ หรือ เรียกย่อๆว่า mifi มันเปิดตัวเองและเข้าสู่โหมดพร้อมทำงาน ใช้เวลานานกว่า macbookair เสียอีก ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์อื่นมันช้า แต่เป็นเพราะ macbook air มันเร็วมาก

ใช้เล่นเน็ตไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองชั่วโมง ความเร็วของ macbook air ไม่ตกเลย การเปิดอ่านข้อมูลในอินเทอเน็ตหลายๆหน้าต่าง สลับแต่ละหน้าไปมา อ่านแล้วคลิก อ่านแล้วคลิกไปเรื่อยๆ มันราบลื่น ไม่หน่วง เวลาเปิดโปรแกรมต่างๆใช้เวลาโหลดน้อยลง พอโหลดเสร็จแล้วการเปลี่ยนโปรแกรมไปมาระหว่างสองถึงสามโปรแกรมทำได้เร็วมาก เร็วกว่าการทำงานในอดีตที่ผ่านมาทั้งชีวิตเลย ความดีความชอบครั้งนี้เป็นเพราะการใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบโซลิทสเตท ซึ่งมันคงเป็นอนาคตที่ทุกอุปกรณ์ทุกเครื่องมือจะต้องเข้าไปสู่ระบบเดียวกัน

การไม่มีฮาร์ดดิสก์แบบจานแม่เหล็ก ทำให้ไม่ต้องมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ทำให้ไม่เปลืองพลังงาน ลดการสึกหรอ อายุการใช้งานจะยาวนานยิ่งกว่าเดิม และชั่วโมงการทำงานด้วยแบตเตอรี่ก็จะนานขึ้น ความร้อนที่เกิดจาก macbook air ค่อนข้างน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เพราะ macbook pro ตัวเก่าของผมมันร้อนมากจนไม่อยากจับเลย การอุ้มโน้ตบุ๊คทำงานบนตักเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะมันร้อนจนน่าจะเอาไปรีดผ้าได้ แต่กับ macbook air ตัวใหม่นี้ เอามือจับที่ใต้เครื่องตอนที่ใช้งานไปสองชั่วโมง มันแค่อุ่นๆ

น้ำหนักตัว 1.06 กิโลกรัม เวลาหยิบขึ้นมาใช้งานนับว่าเป็นความรู้สึกที่ดี เพราะมันเบา ทำให้ไม่รู้สึกเกี่ยงที่จะหยิบมาเปิดดูข้อมูลต่างๆ คือลดความรู้สึกลำบากลงไปได้เยอะ สิ่งที่น่าชื่นชมอีกประการหนึ่งก็คือ เวลาเอาโน้ตบุ๊ควางบนโต๊ะ เราสามารถมือเพียงข้างเดียวยกฝาเพื่อกางหน้าจอขึ้น ความหนืดของบานพับฝืดกำลังพอดี ไม่ได้ฝืดแน่นจนยกฝาแล้วคีย์บอร์ดด้านล่างก็ติดขึ้นมาด้วย เพราะโน้ตบุ๊คเกือบทุกตัวที่เคยใช้มา ต้องใช้สองมือเพื่อกางหน้าจอทั้งสิ้น คือมือนึงจับฝา มือนึงจับฐาน แล้วก็กางให้มันแยกกัน macbook air มันออกแบบบานพับได้ดี ดีมาตั้งแต่รุ่นแรกเสียด้วยซ้ำ

หลังจากได้มาสองวัน ก็ทะยอยลงโปรแกรมเพื่อทำงาน แล้วก็ทดสอบเปิดไฟล์อาร์ตเวิร์คต่างๆ ปกติ เวลาลูกค้าส่งไฟล์อาร์ตเวิร์คมาให้พิมพ์ ก็ต้องเปิดมาตรวจสอบ ปรับขนาด แล้วก็ save ออกไปเป็น pdf เพื่อเอาไฟล์ pdf ไปทำดิจิทัลปรู๊ฟ ผมลองกับงานตัวเดิมของลูกค้ารายหนึ่ง ผมเคยต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที สำหรับการเปิด ตั้งขนาด และ save ใหม่อีกครั้ง แต่บน macbook air ตัว 11 นิ้วนี้ ผมใช้เวลาประมาณ 1 นาทีก็ทำเสร็จแล้ว ถือว่าเป็นความเร็วที่น่าทึ่งมาก มันตอกย้ำชัดเจนว่า ความเร็วของหน่วยประมวลผล หรือ ซีพียู ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความเร็วของทั้งระบบ ทุกอย่างต้องมีความเร็วที่สอดคล้องกันมันถึงจะพาให้ทั้งระบบเร็วขึ้นได้ แปลเป็นภาษาชาวบ้านอีกทีก็ต้องบอกว่า ทีมเวิร์คที่ดี ทำให้ผลงานดี ความเร็วของเมนบอร์ด แรม ตัวเก็บข้อมูล ยิ่งเร็วทันกัน ระบบโดยรวมก็ยิ่งเร็วตามกันไป

การเตรียมเครื่องเพื่อใช้กับงานสิ่งพิมพ์และภาพถ่ายจะต้องมีการคาลิเบรตจอภาพด้วย ผมมีเครื่องมือสำหรับคาลิเบรตอยู่ มันคือ X-rite รุ่น i1 ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สิ่งที่พบก็คือผมไม่สามารถแขวนอุปกรณ์ตัวนี้บนหน้าจอ macbook air 11 นิ้วได้ เพราะจอมันเล็ก ความสูงของจอไม่เพียงพอ สุดท้ายก็เลยต้องวางนอน ปล่อยให้ macbook air นอนอ้าซ่าแบบในภาพเพื่อทำการคาลิเบลต ผลการคาลิเบลตก็ผ่านไปได้ด้วยดี ภาพก่อนทำ และหลังทำมีความแตกต่างกัน ภาพที่มากับตัวเครื่องจะมีความดำมากกว่าเล็กน้อย ส่วนภาพที่ผ่านการคาลิเบรตแล้วจะลดความดำลง คือเปิดให้เห็นรายละเอียดในส่วน shadow หรือ เงามืดได้มากขึ้น แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบเป็นหน่วยการรับแสง f-stop ผมคิดว่ามันเหมือนภาพสว่างขึ้นประมาณ 1/3 stop

สรุปสั้นสำหรับการทดสอบ macbook air หน้าจอ 11 นิ้วตัวนี้
มันสอบผ่านในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน เพราะมันทำงานหลายๆอย่างได้เร็วขึ้น
มันสอบผ่านในเรื่องของความเบา เพราะมันเบาเกือบจะที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คหน้าจอ 11 นิ้วตัวอื่น
มันสอบผ่านเรื่องความสวยงาม
มันสอบผ่านเรื่องราคา เพราะมันเป็นโน้ตบุ๊คของ apple ที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
มันสอบผ่านเรื่องแบตเตอรี่ เพราะมันทำงานไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ยิ่งรุ่นที่เป็นจอ 13 นิ้ว จะให้แบตมากกว่านี้อีก

รีวิวเก้าอี้ aeron chair ของ herman miller เก้าอี้เพื่อคนนั่งนาน

ช่วงห้าปีหลังมานี้ผมมีปัญหากับอาการปวดหลัง บางครั้งปวดรุนแรงถึงกับงอตัวไม่ได้ ตอนที่ปวดมากๆ ไม่สามารถออกแรงพยุงตัวเองออกจากรถยนต์ได้เลย เพราะท่าลุกออกจากรถยนต์มันใช้กล้ามเนื้อหลังเป็นหลัก อาการปวดหลังจะเป็นอยู่นานๆที แต่มันก็เป็นบ่อยจนผมจำ จำว่าผมเป็นคนมีหลังไม่แข็งแรง

เคยไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นกระดูกทับเส้นประสาท แฟนบอกกระดูกสันหลังของผมอาจจะคด แอบคิดไปเองว่าท่านั่งทำงานของผมคงมีปัญหา คงต้องพยายามเปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่งทำงาน เพื่อให้สภาพหลังและก้นดีขึ้น

aeron1

แล้วก็ได้มารู้จักเก้าอี้ยี่ห้อ herman miller ซึ่งยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้ออะไรมาจากไหนผมก็ไม่เคยรู้ ถ้าบอกว่ารถเบนซ์ รองเท้าไนกี้ กล้องนิคอน แบบนี้ก็พอจะรู้จัก แต่ยี่ห้อเก้าอี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจ เมื่อหลายปีก่อนผมเคยได้งานพิมพ์ชิ้นหนึ่ง เป็นของบริษัท herman miller ซึ่งขายเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะเก้าอี้ในรูปแบบต่างๆ ลักษณะของสิ่งพิมพ์ที่เขาสั่งพิมพ์กับผมนั้นเป็นงานออกแบบสิ่งพิมพ์ที่เรียบง่ายและสร้างสรรค์ ไม่เหมือนใบปลิวของสินค้าอื่นทั่วไปที่แจกกันดาดดื่นไม่มีราคา สิ่งพิมพ์ชุดนั้นทำให้ผมอยากรู้ราคา และพอรู้แล้วก็ทำใจลืมไปเสียทันที เพราะมันเป็นเก้าอี้ที่แพงเหลือเกิน แพงในแบบที่ผมไม่คิดว่าผมจะอยากได้มัน

และเมื่อไม่นานมานี้ อาการปวดหลังก็กลับมาอีกครั้ง ประจวบกับในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งมีการพูดคุยกันเรื่องเก้าอี้ที่สามารถช่วยแก้อาการปวดหลังได้ ผมก็เลยสนใจและลองหาข้อมูลดู เก้าอี้ที่ว่านี้ชื่อ Aeron Chair เป็นของ Herman miller และมีการรวมตัวกันซื้อของสมาชิกเว็บบอร์ดด้วยเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลง

aeron2

สมัยทำงานใหม่ๆ ผมทำงานในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ เป็นงานที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานเป็นหลัก จะเกิดงานก็ต่อเมื่อนั่งหน้าจอคอมฯเท่านั้น ในตอนนั้นก่อนจะนั่งเขียนโปรแกรมในแต่ละวัน ผมจะจัดที่ทาง จัดโต๊ะทำงาน เตรียมขนม ของกิน กาแฟ สมุด กระดาษ แก้วน้ำ และเก้าอี้อย่างพร้อมเพียง เพื่อให้สมาธิอยู่กับงานเต็มที่ นอกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ดีๆสักตัวแล้ว สิ่งที่อยากได้คู่กันถ้าเลือกได้ก็คือเก้าอี้ที่ถูกใจ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเก้าอี้ดีๆมันมีราคาเท่าไหร่ และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีธุรกิจขายเก้าอี้ดีๆอยู่ในโลกนี้ด้วย เพราะความคิดในวัยนั้นคิดว่า ที่รองก้น มีพนักพิง ก็พอแล้ว

ในเว็บบอร์ดตกลงรวมตัวกันไปซื้อเก้าอี้ ผมยกมือเป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็แวะไปที่โชว์รูม ซึ่งเป็นโชว์รูมที่ผมเคยขนสิ่งพิมพ์ไปส่ง ที่เดิม เวลาเปลี่ยน วัยวุฒิเปลี่ยน ผมแก่ขึ้น และมีความอยากจะลงทุนกับสิ่งที่เรียกว่าสุขภาพมากขึ้น ก็เลยซื้อกลับมา 1 ตัว และวันนี้มันก็มาส่งแล้ว ผมนั่งทำงานและพิมพ์ข้อความนี้บนเก้าอี้ตัวใหม่นี้

จากเอกสารที่หาอ่านในอินเทอเน็ต Aeron เป็นเก้าอี้ที่ออกแบบโดยสถาปนิก เพื่อสถาปนิก และมีงานวิจัยรองรับอยู่หลายสิบชิ้น ยิ่งหาก็ยิ่งเจอแต่คำแนะนำให้ใช้ ยิ่งเจอแต่คำชมว่า aeron chair เป็นเก้าอี้ที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งทำงาน เป็น the wish list ของโปรแกรมเมอร์และคนนั่งโต๊ะทำงานเกือบทั่วโลก และยังได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมอีกหลายรางวัล เป็นเก้าอี้แห่งทศวรรษกันไปนั่น

นอกจากคำสรรเสริญเยินยอแล้ว ยังมีข้อมูลอื่นๆที่ประกอบการตัดสินใจให้ผมอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามัน “เจ๋ง” เช่น การรับประกัน 12 ปี ซื้อก่อนแต่งงาน สามารถใช้งานได้ยาวนานจนลูกโต ถ้าลูกอยู่ ม.1 ก็จะใช้ได้จนเรียนจบปริญญาโท มันคงเป็น 12 ปีที่ไม่ต้องมองหาเก้าอี้ใหม่ และผมก็หวังว่าเมื่อพ้น 12 ปีไปแล้วมันก็ยังคงใช้งานได้ดี และถ้าเสียก็คงซ่อมไม่แพงเกินไป มันน่าจะอยู่กับผมจนลืม นอกจากการรับประกันที่ยาวนานแล้ว ยังมีงานโฆษณาออกมาให้ดู เขาเอาเก้าอี้ไปเล่นฮ็อกกี้ เพื่อโชว์ว่าเก้าอี้แข็งแรง ล้อหมุนทนทาน แต่ผมถามพนักงานขายแล้ว เขาบอกว่า ถ้าเอาไปเล่นฮอกกี้แล้วเก้าอี้แตก หรือหัก คงไม่รับประกัน เพราะเป็นการใช้งานผิดประเภท โฆษณาเล่นฮ็อกกี้เป็นโฆษณาส่งเสริมการขายว่าเก้าอี้มันแข็งแรง แต่ไม่ได้อยากให้ลูกค้าเอาไปเล่นจริงๆ

รูปถ่าย0071

เก้าอี้มาส่งแล้ว วางเข้าไปในคอกทำงาน ผมซื้อสีดำเพราะราคาถูกกว่าสีโครเมี่ยม และได้ลองให้แม่นั่งเล่นแล้ว แม่ก็ยิ้มและบอกว่านั่งสบายดี สมราคา

รูปถ่าย0072

แม่ผมเป็นคนโคตรประหยัด ทีแรกที่ผมบอกว่าผมซื้อเก้าอี้ตัวละสี่หมื่นก็กลัวว่าแม่จะด่าเอา แต่กลับกลายเป็นแม่เห็นด้วย โชคดีจริงๆ

การใช้งาน

Aeron chair มี 3 ขนาด เราต้องสั่งซื้อให้ถูกขนาดที่เหมาะกับตัวเรา วิธีการเลือกขนาดก็คือ ไปทดลองนั่งที่โชว์รูม ลองทั้ง 3 ขนาด แล้วก็ค่อยตัดสินใจ   การนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่เกินไป มันก็จะไม่โอบรอบตัวเรา การซัพพอร์ตต่างๆที่จะช่วยให้เรารู้สึกสบายขึ้นก็จะไม่ได้ผล  หากนั่งตัวเล็กเกินไปก็จะแคบและอึดอัด

เมื่อได้ขนาดที่ต้องการแล้ว เราก็ใช้งานมันเลย  เก้าอี้ตัวนี้ทำอะไรกับเรา  ตอนนั่งอยู่บนตัว aeron chair เป็นความรู้สึกว่าเรากำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ  เราไม่รู้สึกว่าตัวเรามีน้ำหนัก  หลัง ก้น ไม่ได้รู้สึกว่าต้องออกแรงแบกน้ำหนักตัว  มันทำให้เรานั่งนานๆได้โดยไม่เมื่อย   ผ้ารองนั่งและส่วนรองหลังที่เป็นตาข่ายชนิดพิเศษ ช่วยระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี  การนั่งนานๆจะไม่มีเหงื่อที่ก้นเลย  ทั้งก้นและหลังจะยังคงแห้ง ไม่หงุดหงิด   เทียบกับการนั่งรถยนต์ทางไกล  ต่อให้เราเปิดแอร์ในรถเย็นแค่ไหน แต่ถ้าเรานั่งรถไปสัก 2 ชั่วโมง หลังจะร้อน ก้นจะร้อน เพราะเบาะนั่งในรถยนต์มันระบายความร้อนไม่ดีนั่นเอง ซึ่ง aeron chair ทำได้ดีกว่าอย่างเหนือชั้น

นั่งทำงาน หรือ นั่งเล่นเว็บ ยาวๆสัก 3 ชั่วโมง ผมไม่รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด  จะเป็นสายตาเสียอีกที่มองจอคอมนานๆแล้วรู้สึกไม่ดี  เก้าอี้ตัวนี้เป็นตัวช่วยให้เราโฟกัสอยู่กับงานได้นานยิ่งขึ้น  นานมากอย่างที่เราคาดไม่ถึง  ผมไม่แปลกใจเลยที่มันมาจากสถาปนิก  อาชีพที่ต้องนั่งทำงานยาวๆ  ในวันทำงานผมก็อยู่กับเก้าอี้ตัวนี้ตลอดแทบทั้งวัน  มีลุกเดินออกไปตรวจงานบ้าง แต่ก็กลับมานั่งได้สบายใจ  ในวันหยุดที่ไม่ได้ออกไปไหน  ผมก็มานั่งฟังเพลงบนเก้าอี้ตัวนี้  แม้ว่าจะเป็นเก้าอี้ทำงาน แต่มันก็ใช้นั่งฟังเพลงได้   จะฟังจากลำโพงหน้าคอมพิวเตอร์  หรือ หูฟัง ก็ยังคงใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้ได้นานจนจบไปหลายเพลง

การนั่งเก้าอี้อย่าง aeron chair จะทำให้เราเคยชินกับคุณภาพและการออกแบบเพื่อรองรับสรีระ  เราจะเข้าใจคำว่า ergonomic ได้อย่างถ่องแท้   หลังจากใช้ไปหลายปีผมย้อนกลับมาเขียนอัพเดทข้อมูลอีกครั้ง ผมยังคงปลาบปลื้มกับการใช้เวลาบนเก้าอี้ตัวนี้อยู่  แถมตาข่ายผ้าที่ขึงตึงตั้งแต่วันแรกจนวันที่ผ่านมาแปดปี มันก็ยังคงตึงเหมือนเดิม  เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่มันไม่เก่า ไม่ย้วยเลย

มีนักเล่นเครื่องเสียงบางคนก็ใช้เก้าอี้แบบนี้ในห้องฟัง  แม้ว่าห้องฟังจะเหมาะกับโซฟา หรือเหมาะกับเก้าอี้ที่เตี้ยกว่าเก้าอี้ทำงาน  แต่หากจะต้องใช้เวลาในห้องฟังหลายชั่วโมง  จะนั่งดูหนังนานๆสัก สองชั่วโมงไม่ลุก  ผมจะใช้ตัวนี้แน่นอน  เก้าอี้ทรงอื่น รูปแบบอื่นแม้จะดูนั่งสบาย เอนหลังสบาย และดูนุ่มนวลดูดวิญญาณแค่ไหน แต่ถ้านั่งนานๆจะเจอปัญหาเรื่องความเมื่อยล้าและร้อนแทบทั้งสิ้น

เก้าอี้นี้เหมาะกับใคร

เหมาะกับสถาปนิก  เพราะเก้าอี้ตัวนี้ออกแบบโดยสถาปนิก

เหมาะกับโปรแกรมเมอร์  เพราะโปรแกรมเมอร์ที่สมาธิดี ไม่ลุกจากเก้าอี้จะได้โค้ดที่ไหลมาเทมา

เหมาะกับนั่งเล่นเครื่องเสียง  เพราะการนั่งฟังเพลงนานๆแบบไม่เมื่อยทำให้เราได้อรรถรสย์ของการฟังเต็มที่

เหมาะกับคนชอบอ่านหนังสือนานๆ

เหมาะกับคนปวดหลังเรื้อรัง  ผมลองแล้วผมหายปวดหลังไปยาวนานมาก นานจนลืมไปเลย

ขอบคุณ herman miller ที่ผลิตเก้าอี้ดีๆออกมาขาย  ขอบคุณนักออกแบบ

ภาพตอนท้ายนี้แถมให้ ถ่ายภาพเปรียบเทียบเมื่อเวลาผ่านไป 11 ปี

IMG_20211203_140525

ลำโพงสำหรับการพกพา เสียงดีและไฮเทค Altec lansing imt525

ท่าทางผมจะเป็นคนบ้าลำโพงเอามากๆ เวลาเจอลำโพงที่เสียงดีก็มักจะดีใจและถ้ามีเงินในกระเป๋าก็แทบจะซื้อเก็บไว้เสมอ ตั้งแต่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง(เกือบยี่สิบปี) ผมก็ทะยอยมีลำโพงในครอบครองมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเฉลี่ยอาจจะไม่ถึงปีละคู่ แต่มันก็เยอะพอที่จะทำให้สมาชิกในบ้านเริ่มมองอย่างเอือมระอา

ครั้งหนึ่งสมัยเขียนบล็อกใหม่ๆผมเคยแนะนำลำโพงพกพาเสียงดีมากไว้ตัวหนึ่ง มันมีรูปทรงเป็นกระบอก มาวันนี้ ผมกำลังจะรีวิวลำโพงสำหรับพกพาตัวใหม่ ที่ผมถูกใจมากกว่า ทั้งในแง่คุณภาพเสียงซึ่งเป็นประเด็นหลัก และในแง่ความสะดวกในการพกพาซึ่งเป็นประเด็นลำดับสอง ลำโพงที่กำลังจะพูดถึงนี้ทำให้ลำโพงคู่เก่า(กระบอก)กลายเป็นลำโพงเสียงไม่ดีไปเลย เป็นอาการได้ใหม่ลืมเก่าอย่างสิ้นเชิง

ลำโพงคู่ที่ว่านี้ก็คือ Altec lansing imt525 ซึ่งเป็นลำโพงแบบแบนบาง นอกจากจะเอาไว้ต่อกับคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่น mp3 ทั่วไปแล้ว ยังมีการรับสัญญาณเสียงอ่านระบบ Bluetooth อีกด้วย ซึ่งมันทำหน้าที่เป็น Handfree ไปได้ในตัว สามารถใช้คุยโทรศัพท์ได้เลย หน้ากล่องยังมีรูปโทรศัพท์มือถือโชว์อยู่อีกต่างหาก ทำนองว่าเน้นการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

เปิดภายในออกมาก็จะมีอุปกรณ์ต่างๆมาอยู่จำนวนหนึ่ง ประกอบไปด้วยตัวลำโพง หม้อแปลงไฟ 9 โวลท์ สายสัญญาณ mini3.5 to mini3.5 ถุงผ้า และคู่มือ ซึ่งผมค่อนข้างตื่่นเต้นกับถุงผ้าเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่ซื้อลำโพงมาหลายชนิด ไม่เคยได้แถมถุงผ้ากับเขาเลย

ตัวลำโพงเป็นทรงแบนบาง ปุ่มควบคุมอยู่ด้านบน มีช่องวงกลมเหมือนรูขนาดเล็กเป็นไมโครโฟนเพื่อรับสัญญาณเสียงพูดซึ่งจะใช้ตอนคุยโทรศัพท์ ช่องเสียบหม้อแปลงไฟอยู่ด้านหลัง ระบุไว้ว่าต้องใช้แรงดัน 9V 1600ma ช่องเสียบสายสัญญาณเสียง line-in อยู่ด้านหลัง สามารถใส่ถ่าน AA ได้ 6 ก้อน หมายความว่ามันถูกออกแบบมาให้พกพาจริงๆ ดอกลำโพงคู่ matched pair ขนาด 2 นิ้ว ขนาดน่ะผมเชื่อ แต่ matched pair อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ

ที่ด้านหลังมีจุดที่กดเพื่อให้ขาตั้งเด้งออกมา เมื่อกางขาตั้งแล้วมันจะวางบนโต๊ะได้สวยงาม มุมเอียงหน้าขึ้นเล็กน้อย จะวางบนหัวเตียงก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ผมคิดว่าผมอาจจะเอาไปวางไว้ในรถยนต์ของผมเอง เพราะเครื่องเสียงที่แถมมากับรถคุณภาพค่อนข้างต่ำ ซึ่งถ้าเอาไปใช้ในรถจริงๆก็จะได้ประโยชน์จากการโทรศัพท์ด้วย เพราะจะใช้งานเป็นแบบ Handfree ได้เลย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการขับรถไปคุยโทรศัพท์ไปด้วยอย่างยิ่ง

แต่ผมก็คงไม่เอาไปไว้ในรถจริงๆหรอก เพราะว่ามันพกง่าย และผมก็มักจะพับเก็บและขนลำโพงตัวนี้ไปพร้อมกับกระเป๋าโน้ตบุ๊ค เพราะความหนาของมันเท่ากับโน้ตบุ๊คขนาดมาตราฐานทั่วไป การพกพาใส่กระเป๋าไปพร้อมโน้ตบุ๊คจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ทันที ไม่ต้องหากระเป๋าโน้ตบุ๊คใบใหม่ และพอมันอยู่ในกระเป๋าโน้ตบุ๊คแล้ว ผมก็ขี้เกียจหยิบมาวางไว้หน้ารถนั่นเอง

พกพาง่ายแล้วคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร เสียงของมันมีจุดเด่นที่เสียงกลาง มีความคมชัดของเสียงร้องค่อนข้างมาก เสียงคนกับเสียงกีต้าร์เป็นเสียงถนัดของลำโพงตัวนี้เลย ความใสก็มีอยู่ค่อนข้างดี ลำโพงราคาถูกทั่วไปมักจะส่งเสียงได้ เปิดดังได้ แต่เสียงจะไม่ค่อยใส ความใสที่ว่านี้เป็นความใสที่ทำให้น้ำเสียงมีประกาย มีน้ำมีนวล ด้วยความบางของลำโพงทำให้การส่งเสียงเบสจะต้องอาศัยเทคโนโลยีมาช่วยอยู่บ้าง นั่นคือลำโพงนี้มีระบบ SRS Tru-bass ซึ่งเป็นวงจรเพิ่มเสียงเบสให้มากขึ้น มันเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาช่วยลำโพงเล็กให้ส่งเสียงทุ้มได้มากขึ้น มันเป็นการประมวลผล DSP แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้คนฟังได้ยินเสียงเบสที่เกินตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากลำโพงตัวเล็ก แต่เสียงเบสที่ผ่าน DSP ของลำโพงตัวนี้ก็ทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะข้อจำกัดทางกายภาพที่อยากจะให้ลำโพงมันเล็กและบาง ทำให้เสียงเบสที่พยายามใช้ DSP ช่วยแล้วก็ยังน้อยไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เท่าที่ได้ยินก็ถือว่า Altec lansing ทำได้ตามที่โม้ไว้ว่า speaker phone ก็ทำแบบเสียงดีได้

การที่ลำโพงนี้สามารถใช้เป็น Handfree ได้ด้วย หมายความว่ามันจะต้องออกแบบมาให้สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง ไมโครโฟนรับเสียงที่อยู่ติดกับลำโพงส่งเสียงจะต้องมีการออกแบบไม่ให้มีเสียงหอน หรือ ฟี้ดแบ็ค ซึ่ง imt525 ก็ทำได้ดีน่าชื่นชม เหตุที่ทำได้ก็เพราะเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า echo-canceling ผมสามารถรับสายระหว่างฟังเพลงได้ และคุยธุระจนจบโดยที่ไม่ได้รู้สีกเหมือนใช้ handfree ในมือถือเลย สามารถคุยกันรู้เรื่อง พูดแทรกกันก็ค่อนข้างได้ยินชัด ไม่ใช่เสียงหายเหมือนสื่อสารทางเดียว

ปุ่มกดจำนวนมากที่ด้านบนลำโพงทำหน้าที่เป็นปุ่มควบคุมการเล่นเพลง เพราะลำโพงตัวนี้เป็น Speaker Bluetooth ที่สนับสนุนโปรโตคอล A2DP หรือการส่งเสียงผ่าน Bluetooth และยังสามารถควบคุมการเล่นได้ด้วย จะหยุด จะเปลี่ยนเพลงทำได้ที่ฝั่งลำโพงเลย โดยในการทดสอบกับโทรศัพท์ผมใช้โทรศัพท์ Samsung รุ่น Monte เมื่อทำการ paired กันเรียบร้อยแล้ว ผมเปิดโปรแกรมเล่นเพลงในมือถือแล้วเลือกรายการเพลงที่ต้องการ กด play บนมือถือปุ๊ป เพลงก็ไปดังที่ลำโพงทันที และพอไปกดเปลี่ยนเพลงที่ลำโพงโดยการกด next มันก็เปลี่ยนเพลงจริงๆ หน้าจอมือถือก็แสดงรายชื่อเพลงใหม่ที่กำลังเล่นทันทีเช่นกัน แบบนี้ก็ถือว่าสะดวกดี ผมรู้สึกว่ามันเหมาะกับการนำโทรศัพท์ที่มี Bluetooth A2DP มาใช้เป็นเครื่องเล่น MP3 แทน iPod ไปเสียเลย ยิ่งถ้าเป็นมือถือรุ่นใหม่ๆที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเข้าไปได้ยิ่งทำให้ลำโพงตัวนี้น่าใช้งานมากยิ่งขึ้น

พอลองกับมือถือเสร็จแล้วก็เอามาลองกับโน้ตบุ๊คบ้าง โน้ตบุ๊คที่มี ฺBluetooth ก็สามารถใช้งานกับลำโพงนี้ได้ ผมลองทั้งเครื่อง macintosh รุ่น macbook pro และลองกับเครื่องที่เป็น windows อย่าง acer aspire1 ก็ทำงานได้ดี สามารถเปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ให้ไปออกที่ imt525 ได้อย่างไม่ยากเย็น คุณภาพเสียงก็ไม่แตกต่างไปจากการเล่นกับโทรศัพท์มือถือ

เอา imt525 ไปลองกับ iPodtouch Gen2 ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ว่า iPod Touch รุ่นนี้มี Bluetooth เช่นกัน แต่ใช้งานได้แค่ส่งสัญญาณเสียงเท่านั้น ไม่สามารถใช้สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอื่นๆได้ เมื่อเชื่อมต่อกับ ipod touch แล้ว เสียงต่างๆของ iPod Touch ก็จะมาออกที่ลำโพง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง หรือฟังเพลง ทุกเสียงจะวิ่งเข้าลำโพงทั้งหมด นับว่าสะดวกมาก มีข้อจำกัดอย่างเดียวที่ iPod Touch Gen2 ยังทำไม่ได้ก็คือ มันยังไม่รองรับระบบ A2DP ทำให้กดเปลี่ยนเพลงที่ลำโพงแล้วเสียงเพลงยังไม่เปลี่ยน

ผมใช้งานลำโพงตัวนี้มาประมาณ 1 เดือน ถือว่าคุณภาพถูกใจ การพกพาก็เป็นเรื่องง่าย ราคาก็ไม่แพงเกินไป ที่บอกว่าไม่แพงก็เพราะผมซื้อมาในราคา 2490 บาท ที่ร้าน iStudio สาขาเซ็นทรัลพระรามสาม หลังจากที่ซื้อกลับมาแล้วก็มาหาข้อมูลเพิ่มก็พบว่ามันเคยมีราคาอยู่ที่ระดับ 7-8 พันบาทกันเลย ก็ทำให้หลงดีใจว่าได้ของถูกอยู่หลายวัน แล้ววันดีคืนดีผมก็เห็นลำโพงตัวนี้อยู่ในร้านขายของร้านหนึ่ง เขาติดราคาไว้ที่พันกว่าบาท ผมเห็นแล้วก็รู้สึกมืนๆเล็กน้อย เสียดายที่ไม่เห็นราคานี้ก่อนจะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะเกินจำเป็น แต่คิดอีกที ถ้ามันถูกๆแค่พันกว่าบาท ผมอาจจะไม่ได้สนใจที่จะหามาฟังก็เป็นไปได้

ทดสอบเครื่องเสียง q box

สัปดาห์ที่แล้วมีพนักงานขายของร้้านเครื่องเสียงร้านหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่าทางร้านจะมีการจัดงานขายแบบเคลียร์แลนซ์ คือลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นขึ้นไป ผมเลยถามกลับไปว่า มีอะไรถูกมากๆ หรือลดเยอะๆไหม ทางร้านเลยให้เข้าไปดูในเว็บ ก็เห็นอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่เรียกว่า q box ซึ่งเป็นตัวปรับเสียงชนิดหนึ่ง เคยมีราคาขายอยู่ที่ 2900 บาท ตอนนี้เอามาลดเหลือ 590 บาท

ผมเลยโทรคุยกับเพื่อนเพื่อเล่าให้ฟังว่ามีเครื่องเสียงลดราคาเยอะดี ดูมันน่าสนใจ และเชียร์ว่าให้ซื้อ q box เก็บไว้ เพราะเท่าที่อ่านตามเน็ท และรีวิวทดสอบในหนังสือบางเล่ม ก็ได้รับความเห็นคล้ายๆกันคือเป็นตัวช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงให้ดีขึ้น ทำให้ระบบเสียงที่มีอยู่มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างคุ้มค่า เหมาะกับชุดเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ที่อยากจะได้คุณภาพการฟังเพลงที่ใกล้เคียงเครื่องเล่นซีดีระดับสูงๆกับเขาบ้าง เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า เครื่องเสียงสำหรับดูหนังจะฟังเพลงไม่ได้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เครื่องเล่นดีวีดีจะยุคไหนๆ ก็ให้เสียงได้แย่อย่างรับไม่ได้จริงๆ นักทดสอบหลายค่าย จากหลายสำนักพิมพ์ก็ได้ทดสอบ q box แล้วสรุปคร่าวๆไว้ว่ามันสามารถช่วยให้เครื่องเล่นดีวีดี หรือ เครื่องเล่นซีดีราคาถูก มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างมาก สามารถรับรู้ได้ทันที ราคาเครื่องเล่นดีวีดีรวมกับ q box ถือว่าไม่มาก แต่ได้คุณภาพที่สามารถสู้กับเครื่องเล่นซีดีที่มีราคาสูงหลายเท่าตัวได้เลย เว่อร์มากๆ

ตั้งแต่มี iPod ผมก็เลิกฟังเพลงจากเครื่องเล่นดีวีดีไปเลย เพราะคุณภาพเสียงมันต่างกันจริงๆ ผมมีเครื่องเล่นดีวีดีเอาไว้ดูหนังแค่บางเรื่อง การฟังเพลงส่วนใหญ่จะใช้ iPod หรือเปิดตรงกับคอมพิวเตอร์เลย และเสียงจากคอมพิวเตอร์ก็ต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียงอีกที

หลังจากยุให้เพื่อนซื้อ q box ไปแล้ว ผมก็ฝากซื้อด้วย 2 ตัว เพราะเห็นว่าราคาถูกดี และถ้ามันคุณภาพดีก็ถือว่าได้ของดีในราคาถูก จริงๆ ผมไม่ได้ต้องการเครื่องเสียงชิ้นนี้เลย แต่เห็นว่า ตัวถัง และขั้วต่อ และวงจรจ่ายไฟของเครื่องเสียงตัวนี้มันมีราคาเกินค่าตัวไปเยอะ ลดราคาเหลือ 590 บาท แค่ผมซื้อมาถอดชิ้นส่วนออก เอาตัวถังกับภาคจ่ายไฟไว้ใช้งานก็คุ้มแล้ว และผมมีโครงการจะทำเครื่องเสียงไว้ใช้เองอยู่แล้วด้วย ดังนั้นการสะสมอุปกรณ์ชิ้นนี้เอาไว้ดัดแปลงเป็นสิ่งที่อยู่ในดุลยพินิจ

เมื่อได้ q box มาอยู่ในมือแล้ว ผมเปิดดูข้างในให้หายสงสัย แล้วก็พบว่า มันเป็นสิ่งที่ผมคาดไว้จริงๆ สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ ไม่รู้ว่าข้างในใช้ ic เบอร์อะไร รู้แต่ว่า มันเป็นวงจรขยายและทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็นวงจรที่นักออกแบบเครื่องเสียงจะต้อง”คิด”ที่จะใช้อยู่แล้ว สิ่งที่ถือว่าผู้ออกแบบ q box มีความตั้งใจก็คือ การเลือกใช้วงจรจ่ายไฟที่มีการใช้ capacitor ค่อนข้างเยอะชิ้นเพื่อเพิ่มความไวในการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเลือกติดตั้งขั้วต่อและวงจรหลักไว้ใกล้ๆกันเพื่อลดระยะทางเดินของสัญญาณให้สั้นที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องของความปราณีตประการเดียวที่มองเห็น แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่อยากสัมผัสคือ ศิลปะการออกแบบ หรือชั้นเชิง หรือ แนวคิดที่แหวกแนว ซึ่งผมสรุปเองว่า ผมมองไม่เห็น จริงๆผมไม่ควรจะคาดหวังว่าจะได้เห็นนวัตกรรมใดๆจากเครื่องเสียงราคาแค่หลักพันบาท

ผมต่อเครื่องเสียง q box เพื่อทดลองใช้งาน เริ่มจากใช้เครื่องเล่นดีวีดียี่ห้ออะไรผมก็ลืมไปแล้ว เป็นเครื่องเล่นดีวีดีที่ผมได้มาเมื่อปีที่แล้ว มันมีช่องต่อสาย HDMI ด้วย แต่ผมไม่ได้ใช้ช่องนี้ เพราะผมไม่มีทีวีเป็นของตัวเอง ที่ใช้งานหลักคือเอาไว้เปิดเพลง ซึ่งจริงๆก็ไม่ค่อยได้เปิด ก่อนจะหยิบมาใช้งานผมต้องเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดฝุ่นก่อนหลายรอบ สัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นดีวีดีผมต่อเข้ากับ q box และสัญญาณออกจาก q box ต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียง ซึ่งผมใช้อินทิเกรตแอมป์ VCL รุ่น the legend ปัจจุบันยี่ห้อนี้ตายไปแล้ว ลำโพงที่ใช้เป็นของ MRZ ซึ่งเป็นลำโพงเซอร์ราวด์ ตัวเล็กๆราคาไม่แพง คุณภาพของลำโพงเป็นอย่างไรผมยังระบุไม่ได้เพราะใช้ลำโพงตัวนี้ไม่บ่อย แต่การทดสอบครั้งนี้ ผมตั้งใจหาความแตกต่างของการใช้ และไม่ใช้ q box เท่านั้น คุณภาพของลำโพงจึงไม่เป็นปัญหาในการทดสอบ

สายสัญญาณและสายลำโพงเป็นเกรดธรรมดา เป็นสายจำพวกที่หยิบแถมไม่มีค่าตัว ต่ออุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จก็เริ่มฟังแผ่นซีดี เลือกกดปุ่ม bypass ที่ด้านหลัง q box เพื่อให้สัญญาณวิ่งตรงเข้าแอมป์ เสียงที่ได้ก็จะเป็นเสียงจริงของระบบ จะดีจะแย่ก็เป็นผลของระบบเสียงทั้งหมด เมื่อฟังจนรู้แล้วว่าเสียงเป็นอย่างไร ก็กดปุ่ม bypass ให้เด้งออก เพื่อให้สัญญาณเสียงผ่าน q box ตามเจตนาของมัน เสียงที่ได้ยินผมรู้สึกว่ามันดังขึ้นเล็กน้อย ทำให้ได้ยินเสียงเล็กๆน้อยๆมากขึ้น เสียงดัง แต่เสียงไม่เปลี่ยน ไม่เห็นดีขึ้นเลย ผ่านไปสามสิบนาที ผมอยากจะสรุปไว้เลยว่า q box ไม่คุ้ม คุณภาพเสียงยังไม่ดีขึ้นอย่างที่คิด มันแค่เสียงดังขึ้นเท่านั้น แต่มันอาจจะใช้เวลาทดสอบสั้นเกินไปก็ได้ ถ้าจะให้ชัวร์ต้องใช้งานไปสักหลายๆชั่วโมงแล้วค่อยทดสอบจริงจังอีกครั้ง

หลังจากกดปุ่ม bypass ใช้ และ ไม่ใช้สลับไปมาอยู่หลายเที่ยว ผมก็รู้สึกว่า q box ทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีเท่าที่ข่าวลือเขาว่าไว้ คุณภาพเสียงของมันยังไม่สามารถใช้คำว่าไพเราะขึ้นได้เลย จบการทดสอบเที่ยวนี้ ผมนั่งคิดอยู่สักพัก แล้วก็ตัดสินใจ เดินไปหยิบเครื่องแปลงสัญญาณ D/A มาต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี โดยเอาสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องเล่นดีวีดีมาต่อเข้ากับตัวแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาลอกหรือ D/a ซึ่งเป็นสินค้าของ California Audio Lab รุ่น Gamma เครื่องแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาลอกตัวนี้เป็นเครื่องรุ่นราคาถูกย่อมเยา สมัยออกใหม่ๆราคาหมื่นกว่าบาท แต่ผมซื้อมือสองตอนที่มันมีอายุสิบปี ซึ่งซื้อมาได้ในราคาสองพันห้าร้อยบาท สัญญาณขาออกจาก Gamma ต่อตรงเข้าอินทิเกรตแอมป์ the legend ตัวเดิม ลำโพง MRZ คู่เดิม

เสียงที่ผ่าน Gamma มีความสด และ ใสมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีเสียงกลางที่เด่นและเป็นตัวเป็นตน มีไดนามิค มีแรงประทะ มีจังหวะจะโคนที่กระชับ ที่มีน้ำหนักเสียงที่หนักและเบาผสมกันอย่างพอดี เหมือนภาพถ่ายที่วัดแสงพอดี ไม่มืดจนดำ หรือ สว่างจนขาวโพลน เสียงไม่ทึบ ไม่อึดอัด และไม่บาง ส่วนเสียงที่ผ่าน q box กลับเป็นตรงกันข้าม คุณภาพเสียงไม่ดีขึ้น แทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างการใช้และไม่ใช้ q box เลย เสียงที่จืดชืดอย่างไร ผ่าน q box ก็ยังเป็นแบบนั้น แบบนี้ต้องเรียกว่า q box ไม่ได้ผลถึงจะถูกต้อง

มาคิดอีกทีหนึ่ง q box อาจจะเป็นปรีแอมป์ที่คุณภาพดีมากก็ได้ คือเป็นปรีแอมป์ที่ส่งผ่านสัญญาณเสียงได้อย่างเที่ยงตรง ไม่เปลี่ยนคุณภาพเสียง ถ้าเรามีปรีแอมป์แบบนี้เพื่อใช้งานน่าจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงอุดมคติ หากติดวอลลุ่มเข้าไป เพิ่มซีเล็คเตอร์เข้าไป มันก็คือปรีแอมป์ทันที

ทำไม q box ถึงไม่ได้ผลกับระบบเสียงของผม ทั้งๆที่คนอื่นเขาทดสอบกันแล้วบอกว่ามันดีขึ้น ถ้าจะวิเคราะห์ในแง่ของอิเล็คทรอนิกส์ q box เป็นอุปกรณ์ประเภท matching impedance หรือ เป็นตัวที่ปรับสภาพความต้านทานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ลดผลความไม่ match หรือความเข้ากันไม่ได้ ลดให้มันน้อยลง หรือลดให้มันไม่เป็นปัญหา ระบบที่มีปัญหากับ impedance matching เลยได้อานิสงค์นี้ ระบบเสียงของผมโดยดั้งเดิมไม่มีปัญหาเรื่อง impedance matching ที่ว่า เพราะเครื่องเล่นดีวีดีมีความต้านทานขาออกเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เครื่องเสียงผม the legend มีความต้านทานขาเข้าที่สูงกว่ามาก น่าจะสูงถึง 50k หรือ 100k เสียด้วยซ้ำ เนื่องเป็นวงจรที่ใช้ op-amp และถ้าผมต้องออกแบบ op-amp ผมก็จะออกแบบความต้านทานขาเข้าให้อยู่ในระดับ 50k หรือ 100k แน่นอน พอเครื่องเสียงของผมมีความต้านทานขาเข้าที่สูง จะเอาเครื่องเล่นแบบไหนมาต่อร่วมกันก็จะไม่มีผลความต้านทานไม่ match นั่นเอง เครื่องที่มีปัญหาความต้านทานขาเข้าต่ำเกินไป อาจจะเป็นเครื่องหลอดสูญญากาศ ซึ่งบางครั้งมีความต้านทานต่ำในระดับไม่ถึง 10k ได้ q box มาช่วยปรับความต้านทานก็ทำให้ปัญหามันลดลง มันเลยแสดงผลดีให้ได้ยิน

สรุปว่า ถ้ามีเครื่องเสียงใช้งานปกติอยู่แล้ว การอัพเกรดคุณภาพเสียงด้วย q box อาจจะไม่ให้ผลที่เด่นชัดถ้าระบบเดิมไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าอยากจะปรับปรุงคุณภาพเสียงจริงๆ ลงทุนเพิ่มตัวแปลงสัญญาณ ดิจิทัลเป็นอนาลอกสักตัวไปเลยดีกว่า อย่าง Gamma นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน สามารถเพิ่มคุณภาพเสียงของเครื่องเล่นดีวีดีราคาพันกว่าบาทได้อย่างดี เห็นผลชัดเจน และไม่รู้สึกเสียดายเงิน

ทดสอบ q box แต่ค้นพบว่า D to A อย่าง Gamma นี่มันเป็นของดีคุ้มราคาจริงๆ และลำโพง MRZ ที่เป็นลำโพงเซอร์ราวด์ มีคุณภาพเสียงดีอย่างน่าประหลาดใจ ราคาค่าตัวลำโพงเซอร์ราวด์รวมกับลำโพงเซ็นเตอร์ที่ขายรวมกัน 3 ตู้เขาขายผมเพียง 2700 บาท นับว่าเป็นลำโพงวางหิ้งที่ถูกที่สุดอีกคู่หนึ่งที่เสียงดีน่าใช้

จริงๆแล้วยังมีเหตุผลอีกมากที่ต้องอธิบายว่าทำไมเสียง DVD + D/A gamma ถึงดีกว่า DVD + q box แต่มันจะยาวเกินไป ไว้โอกาสหน้าค่อยโม้เพิ่มเติมดีกว่า

บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1

บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1

teac r1 review

IMG_9000

“ทดลองใช้ วิทยุเสียงดี TEAC R1”

นานมาแล้วผมเคยพยายามมองหาลำโพงชุดหนึ่งเพื่อนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องเล่น iPod ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการเสียบหูฟังตลอดเวลา เนื่องจาก iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงชนิด Mp3 ที่มีคุณภาพดีมาก หลายคนที่เคยปฏิเสธการฟังเพลงจากไฟล์ Mp3 กลับหันมาเลือกใช้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงประจำตัว อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่กลืนน้ำลายตัวเอง เคยสบประมาทและดูถูก Mp3 ไปต่างๆนานา แต่สุดท้ายก็หันมาลงทุนกับอุปกรณ์กลุ่มไฮเทคโนโลยีอย่างลุ่มหลงไม่รู้ตัว

เมื่อได้ ipod มาใช้ก็เลยอยากให้มันส่งเสียงได้ พยายามมองหาลำโพงมาหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นลำโพงเล็กๆย่อมๆซึ่งผมซื้อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ตัว แต่ละตัวถูกคาดหวังว่าจะเป็นลำโพงสุดรัก พกพาไปฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา บางตัวรูปร่างเป็นทรงกลม บางตัวเป็นทรงกระบอก บางตัวเป็นลูกบาศก์ บางตัวใส่กระเป๋าโน้ตบุ๊คได้ บางตัวไม่อยากจะหิ้วขึ้นรถเลยก็มี นอกจากลำโพงขนาดย่อมเหล่านี้ ผมยังหาลำโพงคู่ใหญ่ๆมาใช้กับอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้ในบ้านอีกด้วย ลงทุนซื้อ Docking สำหรับวาง iPod ติดแท่นเอาไว้ แล้วต่อสายสัญญาณเสียงมาเข้าแอมป์ เวลาฟังเพลงผ่านอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้งานประจำจะได้คุณภาพเสียงที่ดี ซึ่งความดีมันต้องยกให้ทั้งสองส่วน คือเครื่องเล่นเพลงให้คุณภาพที่ดี และระบบขยายเสียงก็ให้คุณภาพที่ดี แต่มันก็ขนาดใหญ่เกินกว่าจะพกพา หรือใช้งานไม่สะดวกสักเท่าไร การจะมองหาลำโพงเล็กๆพกพาได้หิ้วไปมาใช้งานแทนอินทิเกรตและชุดลำโพงในบ้านจึงเป็นเครื่องเพ้อฝันจริงๆ เพราะลำโพงเล็กแต่เสียงดีหายากมาก

วันหนึ่งผมไปเดินเล่นแถวบ้านหม้อ แวะไปร้านขายอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์รายใหญ่ ในร้านนั้นมีเครื่องเสียงหลายประเภทวางขายอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเสียง PA มีตั้งแต่ลำโพงยักษ์แอมป์ใหญ่ๆ ไล่ไปจนถึงไมโครโฟนขนาดต่างๆ มีอยู่มุมหนึ่งขายเครื่องเสียงบ้าน ผมเหลือบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาดีอยู่ตัวหนึ่ง มันคือเครื่องรับวิทยุยี่ห้อ TEAC รุ่น R1 ซึ่งลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดสามารถจับด้วยมือเดียวและยกขึ้นมาได้ มันเป็นเครื่องรับวิทยุที่สามารถต่อสัญญาณเสียงเข้าทางช่อง Aux ได้ ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเอามาลองใช้งานคู่กับ iPod เสียหน่อย แม้ว่าจะมีวิทยุมาด้วยในตัวแต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้ส่วนที่เป็นเครื่องรับวิทยุ

ยืนฟังรายการวิทยุจาก TEAC R1อยู่ในร้านสักพักหนึ่งผมก็รู้สึกว่าเครื่องนี้เสียงดี มันให้เสียงเบสได้ค่อนข้างลึก และดััง เสียงกลางชัดมาก เสียงแหลมก็มีประกาย คือฟังโดยรวมแล้วผมคิดว่ามันเสียงดี น่าใช้ แต่ ณ วันนั้นผมยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่ายังไม่มั่นใจในหลายๆประเด็น อย่างเช่น เปิดดังได้ไหม เสียงแตกไหม ถ้าเอามาต่อช่อง Aux มันจะเสียงดีรึเปล่า ดูท่าทางมันมีลำโพงแค่ตัวเดียวแล้วมันรับคลื่นวิทยุเป็นสเตอริโอรึเปล่า วงจรขยายเสียงข้างในเป็นแบบสเตอริโอหรือโมโน ถ้าเอามาเสียบใช้เป็นแอมป์หูฟังมันจะเป็นโมโนหรือสเตอริโอ ความสงสัยเหล่านี้ไม่รู้จะหาคำตอบได้จากที่ไหน

ผมลองเข้า internet ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไม่พบ ไม่มีใครพูดถึงการใช้งานโดยละเอียดเลย มีแต่บอกว่ามันรับวิทยุได้ ต่อ Aux ได้ ส่งเสียงได้ มีแบตเตอรี่ในตัว ราคาขายเท่าไร ซึ่่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ต่อผมเลย ในช่วงนั้นเลยยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ผมซื้อลำโพงเล็กๆมาหลายตัว แต่ละตัวจะมีข้อดีที่ผมรับรู้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ไม่ค่อยประทับใจ TEAC R1 ก็ดูจะคล้ายกับตัวอื่นๆที่เคยลอง เลยยังไม่ซื้อ
เวลาผ่านไปนานจนผมลืมไปแล้ว วันหนึ่งผมสังเกตุที่บ้านพบว่าแม่ผมชอบฟังรายการวิทยุ และวิทยุที่แม่ใช้ก็เป็นวิทยุแบบแถม หรือแจกฟรีตามงานปีใหม่ มันส่งเสียงได้ รับคลื่นได้ แต่จะปรับเปลี่ยนคลื่นแต่ละทียากเย็นเหลือเกิน บิดไปนิดเดียวกระโดดข้ามไปหลายคลื่น ไม่สามารถรับคลื่นได้ชัดๆเลยแม้แต่สถานีเดียว แม่ผมก็เลยฟังคลื่นวิทยุอยู่คลื่นเดียวเพราะไม่กล้าบิดเปลี่ยนไปช่องอื่นเนื่องจากกลัวว่าจะบิดกลับมาไม่เจอคลื่นเดิม ผมเลยให้ของขวัญแม่ด้วยการไปซื้อ TEAC R1 ตัวนี้มาให้ใช้แทน เลยถือโอกาสทดสอบการใช้งานในรูปแบบต่างๆเพื่อให้หายสงสัย และเพื่อให้เป็นข้อมูลการทดสอบสำหรับนักเล่นท่านอื่นๆที่กำลังสนใจเครื่องเล่นลักษณะนี้

IMG_9009

TEAC R1 เป็นเครื่องรับวิทยุที่มีลำโพงในตัว สามารถรับคลื่น FM และ AM ได้ ใช้พลังงานจากหม้อแปลง 12 โวลท์ และมีแบตเตอรี่ในตัวสามารถชาร์จไฟขณะใช้งานได้ ถ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จะใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง สามารถต่อสัญญาณขาเข้าจากแหล่งโปรแกรมอื่นๆได้ทางช่อง Aux มีวงจรขยายในตัว สามารถเปิดใช้งานได้ค่อนข้างดังในห้องทำงานทั่วไป หรือในห้องนอนก็กำลังเหมาะสม

IMG_9004

ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่มอยู่ 4 ปุ่มดังนี้ ซ้ายสุดเป็นปุ่มเปิดปิดและทำหน้าที่เลือกรับคลื่น FM AM และ เลือกฟังช่องสัญญาณขาเข้า Aux ปุ่มที่สองจากซ้ายเป็นปุ่มปรับเสียง Bass ถ้าบิดไว้ที่ตำแหน่งตรงกลางจะมีคลิกหยุดเป็นตำแหน่ง Flat ส่วนปุ่มที่สามเป็นปุ่มปรับเสียงสูงหรือ Treble มีตำแหน่งกลางเป็น Flat เช่นกัน ปุ่มสุดท้ายหรือทางขวาเป็นปุ่มกลมขนาดใหญ่ที่สุดทำหน้าที่ปรับความดังของเสียง ใต้ปุ่มซ้ายจะมีหลอดไฟแสดงสถานะการทำงาน ตอนเปิดจะติดสว่างเป็นหลอดไฟสีน้ำเงิน ตอนปิดถ้าเสียบหม้อแปลงไฟไว้แล้วเครื่องกำลังทำการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่อยู่หลอดไฟดวงนี้จะกระพริบตลอดเวลา และจะดับไปเองเมื่อแบตเตอรี่เต็ม

IMG_9006

ด้านหลังมีช่องสำหรับเสียบสายต่างๆ และมีช่องระบายอากาศสำหรับลำโพงภายในด้วย นั่นก็หมายความว่าเครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นลำโพงชนิดตู้เปิด เดาว่าภายในใช้ดอกลำโพงดอกเดียวทำงานเป็นแบบ Full range คือส่งเสียงทุกย่านความถี่ด้วยดอกลำโพงเพียงดอกเดียว อาศัยช่องระบายอากาศเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในย่านเสียงเบส ตรงกลางเครื่องด้านหลังเป็นช่องเสียบสายอากาศ ซึ่งมีแถมมาให้ในกล่องด้วย

IMG_9027

ถัดลงมาเป็นช่องต่อสัญญาณขาเข้า Aux in ซึ่งแถมสาย mini 3.5mm สองหัวมาให้ด้วยเช่นกัน ช่องถัดลงมาเป็นช่องเสียบหูฟัง สามารถใช้งานกับหูฟังทั่วไปได้ หมายความว่าเราสามารถใช้เครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นแอมป์ขยายสัญญาณเสียงให้กับหูฟังที่เราต้องการได้ ช่องด้านล่างสุดเป็นช่องเสียบหม้อแปลงไฟ หม้อแปลงที่แถมมาให้เป็นแบบแปลงไฟ 220v แปลงเป็น 12V คิดว่าถ้านำ TEAC R1 ไปเสียบกับไฟในรถยนต์ก็คงสะดวกดีเพราะแรงดันไฟตรงกัน ด้านขวาเหนือช่องระบายอากาศเป็นเสาอากาศแบบชัก การชักเสาอากาศยืดขึ้นมาจะช่วยให้รับคลื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีผลมากในการใช้งานที่อยู่ในตึกอาคารต่างๆ ซึ่งคลื่นวิทยุจะรับค่อนข้างยาก เสาชักในตัวทำงานได้ดีเยี่ยม แทบไม่พลาดการรับคลื่นเลย จะมีเพียงบางสถานีเท่านั้นที่เสียงค่อนข้างเบา หรือมีการทับซ้อนกันบ้างเนื่องจากคลื่นวิทยุชุมชนในกรุงเทพค่อนข้างจะถี่ พาลเบียดคลื่นหลักไปบ้างก็มี

IMG_9012

ด้านหลังซ้ายเป็นช่องใส่แบตเตอรี่ ต้องใช้ไขควงเพื่อเปิดฝาครอบออก ภายในเป็นแบตเตอรี่แรงดัน 7.2 โวลท์ ขนาดความจุ 1200 มิลลิแอมป์

มาทดลองฟังกันเลยดีกว่า ผมเสียบหม้อแปลงแล้วเปิดเครื่องให้รับคลื่น FM หมุนหาคลื่นไปเรื่อยๆ ลูกบิดหน้าเครื่องทำหน้าที่หมุนหาคลื่น ลูกบิดนี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นระบบกลไกที่มีการทดรอบเพื่อให้หมุนได้กว้างขึ้น กล่าวคือวงแหวนหน้าเครื่องวงเล็กที่ทำหน้าที่ให้มือจับจะต้องหมุนด้วยรอบที่มากกว่าเพื่อให้วงแหวนอีกวงซึ่งมีตัวเลข 88-108MHz ขยับไปทีละนิด ซึ่งจากการวัดคร่าวๆ ผมต้องหมุนลูกบิดไปประมาณ 2 รอบเต็มๆ ถึงจะทำให้ตัวเลขคลื่น FM ขยับจาก 88 ไปเป็น 108 Mhz หรือวงใหญ่หมุนไปครึ่งรอบเท่านั้น การออกแบบเช่นนี้ทำให้การหมุนหาคลื่นทำได้ง่ายขึ้น แต่ละสถานีที่อยู่ติดกันจะมีระยะหมุนค่อนข้างมาก ทำให้ปรับคลื่นได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

IMG_9001

เสียงรายการวิทยุที่ได้รับค่อนข้างชัดเจนมาก ยิ่งเป็นคลื่นวิทยุชุมชนที่สถานีส่งอยู่ใกล้บ้านผมยิ่งชัดเจน ชัดขนาดที่ว่าผมต้องหยุดฟังเลย แม้จะเป็นแค่เสียงพูดก็ตาม ฟังเพลงสตริงตามคลื่นยอดฮิตต่างๆก็ให้เสียงที่ชัด มีเสียงเบสที่แน่นและคม เสียงกลางชัด เสียงแหลมก็มีไม่ตกหล่นแถมยังเป็นประกาย เสียงเบสค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ ดูเหมือนลักษณะลำโพงตู้เปิดจะถูกจูนเสียงให้มีเสียงเบสเยอะเป็นพิเศษ การเปิดฟังเพียงเบาๆจะให้เสียงที่มีน้ำหนักพอดี แต่ถ้าเปิดให้ดังขึ้นมากสักหน่อยจะรู้สึกว่าเสียงเบสเยอะเกินไป การฟังตลอดการทดสอบนี้จะปรับเสียงไว้ที่ flat ซึ่งก็ให้น้ำเสียงที่ดีน่าฟังเพียงพอแล้ว สรุปคร่าวๆในส่วนของวิทยุได้เลยว่า เครื่องเสียงตัวนี้รับวิทยุได้ชัด ให้เสียงเพลงได้น่าฟังมาก เสียงกลางชัดมาก

IMG_9015

ผมลองเสียบหูฟังเข้ากับช่องด้านหลัง เพื่อทดลองฟังในแบบสเตอริโอ เนื่องจากมันมีลำโพงแค่ดอกเดียว ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นเครื่องเล่นแบบโมโน แต่พอลองฟังผ่านหูฟังแล้วก็พบว่า R1 เป็นสเตอริโอ มันรับคลื่นและขยายเสียงเป็นสเตอริโอ อันนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ หายสงสัย และคิดเลยต่อไปว่ามันสามารถใช้งานเป็นเครื่องรับวิทยุสำหรับห้องฟังเพลงได้เลย โดยการต่อสัญญาณจากช่องเสียบหูฟังเข้ากับอินทิเกรตแอมป์หรือชุดเครื่องเสียงชุดหลักของห้องฟัง ซึ่งมันมีราคาค่าตัวต่ำมากเมื่อเทียบกับเครื่องเสียงแยกชิ้นอื่นๆ

IMG_9022

มาลองฟังแบบต่อกับ iPod ดีกว่า ผมต่อ iPod Shuffle สลับกับ iPod Video เข้าทางช่อง Aux โดยสายที่แถมมากับเครื่อง เพลงที่อยู่ใน iPod เป็นเพลงที่ก๊อปปี้มาจากคนอื่นบ้าง ริบแผ่นแท้ต่างๆเอาไว้บ้าง เสียงเข้าไปฟังแล้วก็รู้สึกดี เสียงที่ได้ยินค่อนข้างชัดเจน เสียงเบสเยอะเพียงพอ น่าฟังมาก ความคมชัดและความกระฉับกระเฉงเป็นจุดเด่นที่มีให้รับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ไดนามิคเร้นจ์ที่จะแจ้ง เสียงเครื่องเคาะก็มีความแข็ง คม มาพร้อมกับเสียงเบสที่ติดตามได้ ผมลองกับเพลงที่หลากหลายเพื่อจะได้รู้แนวว่า TEAC R1 มีคุณภาพระดับใด เพลงป๊อปทั่วไปทำได้ยอดเยี่ยม ไม่มีจุดให้ติ สิ่งหนึ่งที่ผมยอมรับและไม่คิดว่ามันเป็นจุดด้อยก็คือ ถ้าเปิดเสียงดังมันจะเสียงแตก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องเสียงระดับเล็กๆ ยิ่งใช้ไฟเลี้ยงระดับต่ำและใช้ลำโพงขนาดเล็ก ยิ่งไม่ควรคาดหวังว่ามันจะเสียงแน่นแม้จะเปิดลั่นบ้าน ระดับเสียงที่ฟังทดสอบก็อยู่ในระดับนั่งฟังในห้อง ไม่ได้ไปเปิดแข่งกับใคร ฟังกับเพลงร๊อคก็ได้เสียงกลองที่ชัดมาก ผมเลือกวง dreamtheater มาใช้ทดสอบ เพราะผมชอบวงนี้เป็นการส่วนตัว ชอบเพราะแนวเพลงแปลกดี และฝีมือนักดนตรีอยู่ในระดับไม่ใช่คน แม้จะดูเหมือนพูดเกินจริง แต่ผมก็คิดว่าหาคนเล่นได้แบบนี้ยาก กลองที่เล่นได้ระห่ำสุดๆจากอัลบั้ม awake ซึ่งออกมาเกินสิบปีแล้ว เสียงกระเดื่อง เสียงทอม เสียงสแนร์ เสียงแฉ ฉาบ ทุกเสียงได้ยินครบถ้วนและติดตามได้ทุกเม็ด ความฉับไวเป็นจุดเด่นของ R1 อย่างไม่ต้องสงสัย เลยไปถึงเสียงกีต้าร์ที่เล่นได้ดุดันสะใจ เสียงเบสที่ฟังออกแทบทุกเม็ด ผมคิดว่านักดนตรีสามารถใช้ R1 เพื่อแกะเพลงได้แน่นอน จบจากร๊อคผมลองกับเพลงแจ๊สนุ่มๆของน้องนอร่าโจนส์ซึ่งมีจุดเด่นที่เพลงนุ่มนวล เสียงร้องชัด เบสอัดได้ดีมาก ผมได้ยินเสียงเบสไล่ไปทีละโน๊ต นุ่มและคม คือนุ่มแบบไม่เบลอ หัวโน้ต หางโน้ต เกิดขึ้นแล้วจบลงแบบมีระยะของตัวเองที่พอดิบพอดี แต่เพลงของนอร่าโจนส์จะสร้างปัญหาให้กับ R1 ได้ง่ายๆถ้าเปิดดัง เพราะว่าลำโพงของ R1 ถูกออกแบบให้ไวต่อเสียงเบส เพื่อชดเชยกับรายการวิทยุที่อาจจะส่งเสียงเบสมาได้ไม่ค่อยเยอะนัก พอฟังเพลงแจ๊สที่มีเบสเด่นๆ จะรู้สึกว่ามีอาการกระพือเล็กน้อย จำเป็นต้องลดระดับเสียงลงไปให้น้อยกว่าปกติที่ฟังเพลงป๊อปและร๊อคทั่วไป แต่เชื่อเถอะว่า เบส และ กลางของ R1 มันเพราะจริงๆ

IMG_9002

นอกจากนี้ผมลองฟังแจ๊สที่เน้นเสียงร้องกับกีต้าร์อะคูสติก ผมว่ามันลงตัวกับ R1 มากที่สุดเลย อัลบั้มของ Snow rose ซึ่งเธอเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่เพลงที่เธอเอามาร้องใหม่ ทำใหม่ โดยร้องคู่กับกีต้าร์แค่ตัวเดียวมันหวานซึ้งและน่าฟังมาก เสียงร้องที่เป็นจุดเด่นก็ทำได้ดีไม่สงสัย เสียงกีต้าร์อะคูสติกให้ความรู้สึกว่านักดนตรีเล่นเก่งดี และมั่นใจในการเล่นเสียด้วย เสียงตีคอร์ทและเล่นเป็นโน๊ตสลับกันออกมาแบบว่า เหมือนจริงมาก แม้ว่ามันจะใช้ลำโพงดอกเดียว ก็ยังรู้สึกว่าเพราะดี

แบตเตอรี่ในตัวสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลานี้ผมไม่ได้เป็นคนทดสอบเอง แต่มันเกิดจาก ผมดึงปลั๊กไฟออกจาก R1 ตอนเก้าโมงเช้า แล้วก็ปล่อยให้แม่ฟังเพลงใช้งานไปตลอดวัน จนตอนเย็นกลับมาบ้าน แม่บอกว่า วิทยุเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆก็ดับไป ผมถามว่าดับไปตอนไหน แม่บอกประมาณสี่โมงเย็น ผมก็เลยได้คำตอบว่า แบตเตอรี่มันใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง

IMG_9039

ผมคิดว่า TEAC R1 เป็นตัวแทนของลำโพงไฮไฟหรือลำโพงเสียงดีได้อย่างไม่ขัดเขิน เสียงที่ดีจากเครื่องเสียงคุณภาพดีเป็นยังไง ผมคิดว่ามันเป็นเสียงแบบนี้แหละครับ ปกติแม่ผมจะเป็นแม่บ้านที่ใช้เงินค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยกล้าซื้อของอะไรแพงๆ และวิทยุที่แม่เคยใช้มาตลอดชีวิตก็เป็นของถูกๆ คุณภาพแย่ ถึงแย่มาก วิทยุเครื่องนี้ถือว่าเป็นเครื่องที่แพงที่สุดที่แม่เคยใช้มา แต่มันน่าภูมิใจอย่างหนึ่งตรงที่ มีวันหนึ่งแม่คุยกับผมแล้วเล่าให้ฟังว่า วิทยุตัวนี้มันเสียงดีนะ ฟังเพลงอะไรก็เพราะ เพิ่งรู้ว่าแต่ละเพลงมันมีเสียงกลอง เสียงกุ๊งกิ๊ง เดี๋ยวก็มีเสียงโน้นเสียงนี้โผล่มาในเพลง ฟังได้เพลินไปเลย เมื่อก่อนเวลาเปิดฟัง จะรู้แต่ว่าสถานีเขาพูด เขาเปิดเพลง แต่ไม่เคยรู้ว่าในเพลงมันมีเสียงอะไรบ้าง เพราะมันแบนๆฟังไม่ค่อยออก ผมฟังแล้วก็อมยิ้มเลย นานๆทีแม่ของคนเล่นเครื่องเสียงจะเห็นดีเห็นงามด้วยว่าเครื่องเสียงที่เสียงดีมันเป็นยังไง แม้ว่าค่าตัวของวิทยุเครื่องนี้จะไม่มาก บางทีสายสัญญาณยี่ห้อดังยังแพงกว่าหลายเท่า แต่ค่าตัวที่ย่อมเยาก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นดนตรีมันลดน้อยลง ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าต้องการอะไร ต้องการเสพเครื่องหรือเสพดนตรี ของขวัญวันแม่ปีนี้ผมจ่ายน้อยลงกว่าปีที่แล้วเยอะ แต่ว่ามันสร้างความสุขใจได้ทั้งคนให้และคนรับ และที่สำคัญแม่ได้ใช้งานทุกวัน

วิทยุตั้งโต๊ะหน้าตาดี เสียงดี TEAC R-1

เครื่องเสียงคุณภาพดีเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก แต่การจะให้คุณภาพดีอยู่คู่กับรูปร่างหน้าตาที่ดี ใช้งานง่ายนั้นค่อนข้างยาก สังเกตุได้ว่านักเล่นเครื่องเสียงระดับบ้าบิ่นจะมีห้องฟังแยกต่างหาก เป็นห้องเอาไว้ปลีกวิเวก เลิกคบคน

ผมเคยหาลำโพงที่เอาไว้ฟังเพลงจาก ipod ซึ่งหาไปหามาก็ได้เป็นลำโพงตัวใหญ่ทุกที เลยได้เป็นลำโพงพร้อมเครื่องขยายเสียงแบบต้องตั้งอยู่กับที่ พกพาไม่ได้ ครั้นจะหาแบบพกพาก็ได้แบบอันเล็กๆ ยัดใส่กระเป๋าโน๊ตบุ๊คได้ แต่ก็ใช้งานยากนิดหน่อย

ช่วงนี้เป็นวันแม่ เลยจะหาของขวัญให้แม่ และรู้ว่าแม่ชอบฟังรายการวิทยุ ดังนั้นเครื่องเสียงที่ผมเคยมีอยู่ทั้งหมดนั้น “สอบตก” เพราะฟังวิทยุไม่ได้ แม่ไม่ได้ต้องการเครื่องเสียงคุณภาพสุดยอด ไม่ได้ต้องการเครื่องเสียงที่ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ได้ต้องการเครื่องเสียงเล็กๆพกพาได้ แม่ต้องการแค่วิทยุเครื่องหนึ่ง และผมก็เคยพิจารณาเครื่องเสียงอยู่ตัวหนึ่งที่จะเอามาใช้ฟังเพลงจาก ipod แต่ที่ไม่ซื้อในคราวนั้นเพราะว่ามันมีวิทยุ และผมไม่ต้องการวิทยุ

ก็ในเมื่อคนใช้งานไม่ใช่ผม ผมก็เลยคิดว่า เครื่องที่เคยเล็งไว้น่าจะเหมาะกับแม่ สุดท้ายก็ไปซื้อมาให้แม่เป็นของขวัญ และแน่นอนที่สุดก็ืคือ ผมทดลองฟัง และทดลองใช้งานด้วยตัวเองด้วย เลยมีข้อมูลมาบันทึกเอาไว้ เผื่อให้คนอื่นๆที่กำลังสนใจหาเครื่องเสียงลักษณะนี้ได้รู้ข้อมูลที่น่าสนใจของเครื่อง จะได้รู้ว่าเหมาะ หรือ ไม่เหมาะกับตัวเอง

TEAC R-1 เป็นวิทยุที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัว ถอดเปลี่ยนได้ มีหม้อแปลง 12V แถมมาให้ด้วย มีสายรับ FM และสายสัญญาณต่อกับเครื่องเล่น MP3 ให้อีก 1 เส้น ตัวเครื่องเสาอากาศแบบชักในตัว ซึ่งสามารถรับคลื่นได้ชัดมากอยู่แล้ว ผมยังนึกไม่ออกว่าเสาอากาศแบบเป็นสายต่อเพ่ิมจะเอาไว้ใช้งานรับคลื่นประเภทไหนอีก แต่ให้มาก็คงดีกว่าไม่มี

การปรับคลื่นวิทยุเป็นแบบมือหมุน แต่ว่าตัวแกนหมุนมีการทดรอบให้ปรับได้ละเอียดมาก และมันก็ให้ความกว้างพอสมควร คือแต่ละสถานีที่อยู่ติดกันจะมีระยะหมุนที่มากพอที่จะแยกคลื่นแต่ละสถานีได้ขาดออกจากกันได้ ไม่เหมือนของถูกๆไม่กี่ร้อยบาทที่ทุกคลื่นอยู่เบียดกันจนบางครั้งได้ยินเสียงทีละสองคลื่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็คลื่นหายไปหมด ใช้ฟังได้จริงแค่ไม่ถึงห้าสถานี แต่ TEAC R-1 ฟังได้ทุกคลื่นจริงๆ แถมชัดมากอีกด้วย

เห็นมีลำโพงแค่ตัวเดียวแต่จริงๆ TEAC R-1 รับสัญญาณวิทยุเป็นสเตอริโอ ถ้าเอาหูฟังมาเสียบช่องด้านหลังเครื่องเราจะได้ยินในหูฟังทันทีว่ามันเป็นเสียงแบบสเตอริโอ และหมายความว่าตัวขยายเสียงภายในทำงานแบบสเตอริโอด้วยเช่นกัน แบบนี้ถือว่าได้เครื่องที่ใช้งานได้อเนกประสงค์จริงๆ เพราะมีนักเล่นบางส่วนที่สรรหาเครื่องขยายเสียงมาใช้กับ ipod เพื่อให้มันขยายเสียงเพิ่มขึ้นสำหรับการใช้งานกับหูฟังที่ต้องการพลังที่เยอะกว่าพลังที่ได้จาก ipod (งงไหม) ซึ่งหลายคนจะเรียกการขยายแบบนี้ว่า Headphone amp หรือ เครื่องขยายเสียงสำหรับหูฟังนั่นเอง

IMG_1712

เราสามารถนำเครื่องเล่น MP3 มาต่อเข้ากับ TEAC R-1 ได้ทางช่องต่อ Aux เพียงบิดสวิตซ์บนเครื่องไปที่ Aux เราก็ฟังเพลงได้เพลินๆ คุณภาพเสียงดีกว่าลำโพงคอมพิวเตอร์ทั่วไปแน่นอน แต่อย่าเอาไปเทียบกับ BOSE ลำโพงคอมฯที่ราคาแพงเท่ากับเครื่องเสียงบ้าน เพราะ BOSE ตัวนั้นเสียงดีกว่าจริง แต่ค่าตัวมันต้องจ่ายสองหมื่นกว่า ฉะนั้น อย่าเทียบเลย

สิ่งที่ดีมากจาก TEAC R-1 คือมันเสียงดี เกิดเป็นเครื่องเสียงก็ต้องเสียงดี ถึงจะไม่เสียชาติเกิด เครื่องเล่นเครื่องนี้เสียงดีจริงๆ แม้ไม่ได้ดีมากแบบที่จะทิ้งของเก่าที่มีอยู่ทั้งบ้าน แต่มันก็เป็นตัวแทนของเครื่องเสียงคุณภาพดีได้อย่างไม่ต้องเอาปี๊ปคลุมหัว ถ้าซื้อของแพงกว่านี้แล้วเสียงยังไม่ดีเท่านี้ ก็ไม่ต้องซื้อดีกว่า