สคส ขนาด A4 หรือ A5 แล้วแต่จะชอบ ซื้อไปแจกลูกค้า ลูกค้าจะเอาไปติดบอร์ด สคส เป็นของหายาก สมัยนี้อาจจะไม่ค่อยแจกกันแล้ว ใครแจกก็จะได้พื้นที่โฆษณาบนกำแพงของบริษัท ใครสนใจสั่ง สคส ไปแจกลูกค้า เลือกภาพแล้วแจ้งมาทางอีเมลหรือ ใส่คอมเม้นท์ไว้ใต้โพสท์นี้

















































เวลาเราพูดถึงการทำอาร์ตเวิร์คเพื่อส่งโรงพิมพ์ เราจะนึกถึงไฟล์ดิจิทัลในคอมพิวเตอร์ ทำภาพหรือตัวหนังสือให้ได้อย่างที่ต้องการแล้วส่งทั้งไฟล์ที่ทำเสร็จไปให้โรงพิมพ์เลย และหลังจากนั้นเราก็คาดหวังว่าโรงพิมพ์จะพิมพ์งานได้เรียบร้อย ซึ่งนี่เป็นโลกอุดมคติ ทุกคนและโรงพิมพ์ก็อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ในความเป็นจริงโรงพิมพ์ไม่ได้ทำงานได้ราบลื่นแบบที่คิด เพราะข้อมูลที่ส่งจากนักออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์มักจะมาไม่ครบ ตั้งแต่ ไฟล์ภาพที่มาไม่ครบ บางครั้งมาครบก็ไฟล์คุณภาพต่ำ ความละเอียดน้อยเกินไปสำหรับงานพิมพ์ และที่มักเป็นปัญหาบ่อยครั้งคือ ตัวหนังสือเพี้ยน นักออกแบบมือสมัครเล่นส่วนมากจะเลือกใช้ตัวหนังสืออย่างอิสระ เพราะออกแบบเองจะเลือกใช้อะไรก็ได้ และมันก็ควรเป็นอย่างนั้น แต่ในตอนที่จะส่งไฟล์ให้โรงพิมพ์ก็มักจะลืมไปว่า ตัวหนังสือแปลกประหลาดหรือตัวหนังสือแสนสวยที่เราเลือก โรงพิมพ์อาจไม่มีตัวหนังสือแบบนี้อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงพิมพ์ก็ได้ เพราะตัวหนังสือแสนสวยมักเป็นตัวหนังสือที่ต้องเสียเงินซื้อ และบางครั้งตัวหนังสือแสนสวยก็เป็นสิ่งหายาก นักออกแบบไปหามาจากไหนก็ไม่รู้ โรงพิมพ์ไม่สามารถหาตัวหนังสือเหล่านั้นได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
นอกจากภาพที่มาไม่ครบ คุณภาพต่ำ และตัวหนังสือเพี้ยนแล้ว ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือ ไฟล์ไม่ได้ทำตัดตกมา ในวงการออกแบบสิ่งพิมพ์จะเรียกว่า breed ซึ่งโรงพิมพ์ระดับมืออาชีพจะต้องการไฟล์ที่ออกแบบมาพร้อม breed นั่นคือไฟล์งานมีตัดตกเรียบร้อย แต่นักออกแบบมือใหม่ส่วนมากไม่เคยรู้ว่าต้องมีตัดตก และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้มีตัดตก
คำว่าตัดตกคือสิ่งที่มีเอาไว้ตัดออกเมื่อตอนพิมพ์เสร็จ ยกตัวอย่างการทำงานนามบัตรจะได้เข้าใจ นามบัตรมาตรฐานจะมีขนาด 5.5x9cm ซึ่งเป็นขนาดที่ทุกคนรับรู้ และสมุดใส่นามบัตรก็ต้องใส่กระดาษชิ้นนี้ได้ ในการออกแบบนักออกแบบก็มักจะสร้างไฟล์ที่มีขนาด 5.5x9cm แล้วส่งให้โรงพิมพ์ ถามว่าโรงพิมพ์จัดพิมพ์ได้ไหม ตอบว่าได้ แต่จะตัดขอบให้สวยงามไม่ได้เลย เพราะการตัดกระดาษจะมีระยะการตัดที่ผิดพลาดได้ 0.1-0.5มม. ข้อมูลที่อยู่ในกระดาษใบนี้ก็อาจจะแหว่ง หรือ อะไรที่เคยถูกวางไว้ติดขอบกระดาษ เมื่อตัดออกมาก็อาจจะเห็นว่าไม่ติดขอบ อย่างนามบัตรที่มีรูปผลไม้ติดขอบซ้ายและขอบบน หากเราส่งภาพมะม่วงไม่เต็มลูกอย่างภาพบนไปให้โรงพิมพ์ โรงพิมพ์ก็จะพิมพ์มะม่วงไม่เต็มลูกออกมา แต่ตอนตัดขอบเป็นใบๆ มีโอกาสที่จะตัดแหว่งแล้วมีขอบขาวอยู่ด้านซ้ายของมะม่วง
ในโรงพิมพ์หากต้องงานขนาด 5.5x9cm เราจะพิมพ์มันในขนาด 6.1×9.6 cm แล้วตัดขอบออกด้านละ 3มม. นั่นก็หมายความว่าเราต้องออกแบบในโปรแกรมให้มีข้อมูลขนาด 6.1×9.cm ส่วนที่เกินไปจาก 5.5x9cm เราจะเรียกว่ามีตัดตก 3มม. หรือมี breed 3mm การตัดขอบออกเล็กน้อยเพื่อให้ได้งานตามที่ออกแบบเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการทำงานสิ่งพิมพ์ โปรแกรมออกแบบที่นักออกแบบคุ้นเคยอย่าง Adobe illurtrator หรือ Adobe indesign ก็จะต้องมีการตั้งค่า breed เพื่อการทำงานที่จะส่งไปพิมพ์ได้ตรงตามมาตรฐานของการพิมพ์ ภาพนามบัตรที่มีมะม่วงเต็มใบพร้อมเส้นสีดำที่เป็นตำแหน่งตัดกระดาษคือภาพที่มีตัดตก งานมีตัดตกจะทำให้การผลิตทำได้ตามที่ออกแบบไว้
ในยุคปัจจุบันโลกเรามีคนทำซอร์ฟแวร์พวกนี้ให้ง่ายขึ้น เรามีเว็บไซต์ canva.com ที่ช่วยออกแบบได้อย่างรวดเร็ว นักออกแบบมือใหม่สามารถทำงานกราฟิคทางอินเทอเน็ต ไม่ต้องซื้อโปรแกรมให้สิ้นเปลืองก็สามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ได้ และการใช้ canva ออกแบบนามบัตรก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโรงพิมพ์ได้รับงานอาร์ตเวิร์คนามบัตรที่ทำจาก canva หลายงาน และทุกงานที่ส่งมาจะไม่มีตัดตกเลย เพราะ canva ตั้งให้ไม่มีตัดตกเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งหากเราตั้งใจจะทำไฟล์เพื่อส่งพิมพ์ในโรงพิมพ์ เราจะต้องตั้งค่า canva ในหน้าเว็บให้มีการ export ไฟล์ดิจิทัลแบบมีตัดตกเพื่อส่งโรงพิมพ์ และอ๊อพชั่นนี้ canva ก็เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
การส่งไฟล์ที่ออกแบบมาอย่างเรียบร้อย มีตัดตกสำหรับการผลิตในโรงพิมพ์จะช่วยให้เจ้าของงานได้งานที่มีคุณภาพ เพราะโรงพิมพ์ทุกแห่งอยากผลิตงานที่มีคุณภาพที่สุดอยู่แล้ว ลองดูศึกษาวิธีทำตัดตกในโปรแกรมที่เราใช้งานออกแบบสิ่งพิมพ์ดูนะครับ
ลูกค้าโรงพิมพ์ต้องการจะทำของชิ้นหนึ่งเป็นสินค้าที่ระลึก และออกแบบให้มีป้ายกระดาษเนื้อสวยชิ้นเล็กๆ เจาะรู ร้อยเชือกแล้วติดไว้กับสินค้า ก็เลยนำอาร์ตเวิร์คมาพิมพ์กับกระดาษเนื้อดี เป็นงานชิ้นเล็ก ผลิตจำนวนไม่มาก จะใช้กระดาษราคาสูงหน่อยก็ไม่ได้รู้สึกเปลืองมาก และเมื่องานเสร็จก็ดูดีน่าจับต้อง
กระดาษชิ้นนี้ใช้กระดาษเนื้อหนา ในทางโรงพิมพ์เราจะเรียกกระดาษเนื้อฟู กระดาษมี texture หรือผิวสัมผัสเป็นลักษณะเนื้อสากแต่ละเอียด ไม่ใช่ของคุณภาพต่ำ มีบางคนนำกระดาษตัวนี้ไปใช้กับงานวาดรูปสีน้ำ ส่วนงานพิมพ์ครั้งนี้ใช้วิธีพิมพ์ระบบดิจิทัล ลักษณะเด่นของงานพิมพ์ดิจิทัลในโรงพิมพ์ก็คือ ตัวงานจะพิมพ์แล้วไม่ต้องรอแห้ง เพราะหมึกระบบดิจิทัลแบบของเราจะแห้งตัวด้วยความร้อน เมื่อกระดาษไหลออกจากเครื่องคือแห้งสนิท และ
โดนน้ำก็ไม่เป็นไร หากเอาไปแช่น้ำหมึกก็จะไม่ละลาย เราจะไม่ต้องเคลือบผิวกระดาษด้วยแผ่นฟิล์มแบบเครื่องพิมพ์อิงค์เจ๊ท ทำให้เราสามารถโชว์เนื้อกระดาษได้
เจ้าของไอเดียนำไปติดกับผ้าชิ้นหนึ่งที่สวยมาก และจะใช้งานโดยการแจกเป็นของที่ระลึกให้กับลูกค้าของบริษัท กระดาษสวย ของสวย ถ่ายภาพสวย ทุกอย่างก็ลงตัว สร้างความรู้สึกสวยงามให้กับคนเห็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
วันนี้พี่คนหนึ่งที่ทำอาชีพนักบัญชี ได้ขอให้ช่วยออกแบบโลโก้บริษัทเพื่อใช้ในงานบรรยาย และออกแบบแบนเนอร์เพื่อใช้เป็นข้อมูลโปรโมชั่นเพื่อแสดงบนจอภาพ ก็เลยจัดการออกแบบและทำแบนเนอร์ออกมา
การออกแบบโลโก้ ออกแบบให้มีความหมายถึงการเก็บออม สำนักงานบัญชีที่ให้บริการลูกค้าแล้วจะทำให้ลูกค้ามีเงินเยอะขึ้น ก็เลยเลือกให้มีตัวเหรียญอยู่ในโลโก้ด้วย ส่วนสีก็เลือกค่าสีที่ดูสดใส และตั้งใจว่าจะใช้โลโก้นี้บนฉากสีขาว หรือบนกระดาษขาว เลยไม่อยากให้มีสีดำอยู่ในโลโก้ เพื่อไม่ใช้รู้สึกว่ามีคอนทราสต์แรงเกินไป
เมื่อได้โลโก้แล้วก็เอามาทำแบนเนอร์เพื่อใช้เป็นสื่อเพื่อเผยแพร่ ตั้งใจทำให้เป็นทรงจตุรัสเพื่อให้แสงผลในหน้าจอโทรศัพท์มือถือได้อย่างไม่ต้องระวังเรื่องแนวตั้งแนวนอน และยังใช้เผื่อโพสท์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วย บางระบบชอบให้ใช้ภาพจตุรัส ก็เลยออกมาเป็นทรงนี้
โปรโมชั่นที่ปล่อยไปในจอภาพ เมื่อถึงเวลาส่งมอบ ก็จะต้องมีวอยเชอร์หรือกระดาษให้ลูกค้าถือเอาไว้ แล้วก็นำกลับมาใช้บริการ จึงออกแบบต่อจากแบนเนอร์ให้เป็นทรงยาวขึ้นเพื่อให้จับถือและใส่ซองจดหมายได้ เลยออกมาเป็นกระดาษแนวตั้ง เนื้อกระดาษเป็นกระดาษนำเข้าเนื้อหนาพิเศษ หาซื้อไม่ได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป แต่โรงพิมพ์มีสต๊อคกระดาษตัวนี้เก็บไว้ทำการ์ดเชิญสำหรับเน้นความหรูหราอย่างการ์ดแต่งงาน และการ์ดโปรโมชั่นพิเศษ และเมื่อพิมพ์ออกมาแล้วก็เป็นไปตามที่คาด คือกระดาษสวย เนื้อหาข้อความตรงกับวัตถุประสงค์ของเจ้าของบริษัท ก็ถือว่าจบงาน
วันนี้เป็นอีกวันที่จบงานพิมพ์หนังสือที่ผมมีโอกาสได้ทำงานครบทุกขั้นตอนของการพิมพ์หนังสือเพื่อวางขาย ก่อนจะมาเป็นหนังสือเวอร์ชั่นนี้ทางโรงพิมพ์ก็ได้มีโอกาสพิมพ์เล่มก่อนหน้านี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่เป็นในรูปแบบของภาษาไทย และจัดวางขายในร้านหนังสือชั้นนำไปแล้ว เล่มนี้เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่ทำเป็นภาษาอังกฤษ
ต้นฉบับภาษาไทยถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ เราจัดวางอาร์ตเวิร์คเลียนแบบเล่มภาษาไทย พร้อมด้วยการออกแบบปกใหม่เพื่อให้ดูไม่ซ้ำกัน และการจัดจำหน่ายเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษก็จะจัดไปขายที่ร้านหนังสือ Asiabooks ซึ่งเป็นร้านหนังสือที่เน้นการขายหนังสือภาษาอังกฤษ หลังจากเปลี่ยนปก และทำรูปเล่มด้วยระบบดิจิทัลเพื่อตรวจสอบแล้ว เรายังทำการขอเลขทะเบียน isbn ให้กับลูกค้าด้วย เมื่อได้เลขประจำตัวหนังสือแล้ว เราก็เริ่มผลิตงาน และจบเป็นเล่มตามภาพที่เห็นนี้
ส่วนเนื้อหาภาษาอังกฤษเรายังได้เรียบเรียงใหม่ ปรับรูปแบบหน้าเสียใหม่ให้เป็นเวอร์ชั่นที่เหมาะกับการอ่านผ่านหน้าจออเล็คทรอนิกส์ เมื่อได้ต้นฉบับไฟล์ E-book ออกมาแล้วก็เตรียมส่งขายในระบบของ Amazon ไปด้วยเลย การแสดงผลในระบบ e-book จะเป็นการเรียงตัวหนังสือคอลัมภ์เดียว เพราเครื่ออ่านจะต้องสามารถปรับตัวหนังสือให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามที่คนอ่านต้องการ คล้ายกับการแสดงผลในหน้าเว็บที่ตัวหนังสสือจะถูกสั่งให้มีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ การเปลี่ยนขนาดตัวหนังสือได้ตามใจ ตัวข้อมูลจะต้อตัดคำใหม่ ปรับย่อหน้าใหม่ได้เสมอ ดังนั้นการเรียงหน้า การจัดหน้าจะต้องอยู่ในแบบคอลัมภ์เดียวนั่นเอง
ธุรกิจโรงพิมพ์
นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงอย่าง สตีเฟ่น ฮอบกิ้นส์ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าน่าจะเก่งกว่า ไอสไตล์ เคยให้สัมภาษณ์โดยสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีในโลกนี้ เขาถูกถามว่าเทคโนโลยี หรือ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ใดๆที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หรือ ยอดเยี่ยมที่สุดในความเห็นของเขา เขาตอบว่า เทคโนโลยีทางการพิมพ์ โดยให้เหตุผลว่า การพิมพ์ทำให้การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์สามารถจดบันทึกและเผยแพร่ และสามารถส่งต่อไปให้คนอื่นได้ ทำให้คนใหม่สามารถต่อยอดความรู้เดิม นำไปสู่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่ต่อเนื่อง
ครอบครัวของผมได้รับธุรกิจโรงพิมพ์มาแบบไม่ได้ตั้งใจ มีคนมาขอความช่วยเหลือทางการเงินจากพ่อ โดยการเสนอขายหุ้นในธุรกิจโรงพิมพ์ พ่อก็ใจดีจ่ายเงินช่วยแล้วถือหุ้น 50 เปอร์เซ็น สุดท้ายพอธุรกิจอยู่รอด ก็แยกทางกัน พ่อผมก็เลยซื้อหุ้นเอาไว้ทั้งหมด แล้วก็เริ่มธุรกิจโรงพิมพ์แบบไม่มีความรู้ทางการพิมพ์เลย
การทำธุรกิจโรงพิมพ์ด้วยระบบเถ้าแก่ และไม่มีพื้นฐานเป็นเรื่องยากมาก โรงพิมพ์จอมทองรับผลิตงานพิมพ์ตามสั่ง เครื่องจักรมีอะไรอยู่ เคยทำงานอะไรก็ทำไปอย่างนั้น ยุคแรกไม่ได้มีการวางแผนพัฒนา ไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมาช่วยลดต้นทุน แต่การทำแบบลูกทุ่งของพ่อ คือลุยทำไป เจอปัญหาก็ไปถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า พ่อก็ดิ้นรนจนอยู่ได้ และส่งลูกเรียนจนจบทุกคน เคล็ดลับการทำงานของพ่อก็คือ ทำงานทุกวัน ได้รับเงินทุกวัน ไม่มีเวลาไปใช้เงิน เอาเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตได้ มันทำให้โรงพิมพ์สามารถเพิ่มเครื่องจักรได้เท่าตัวในทุกห้าปี และรับงานได้เยอะขึ้น
โรงพิมพ์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เคยมีปัญหาเรื่องคนงานขโมยเงิน เคยมีปัญหาเรื่องการป่วยจนนอนโรงพยาบาลของพ่อ ทำให้แม่ต้องเข้ามาช่วยงาน จากระบบเถ้าแก่ก็กลายเป็นระบบเถ้าแก่กับเมีย ปัญหาไม่มีเงินหมุนเวียนจากการปล่อยเครดิตนานเกินไปเป็นปัญหาใหญ่ทำให้แม่พยายามแก้ไขเป็นสิ่งแรก เงินที่รอการเก็บก็ตามเก็บมาอย่างรัดกุม เราได้เคล็ดลับการทำงานเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้โรงพิมพ์พัฒนาได้เร็วขึ้นก็คือ ทำงานทุกวัน รับเงินทุกวัน และออมเงินทุกวัน โรงพิมพ์จอมทองไม่เคยมีหนี้สินอีกเลยตั้งแต่ช่วงสิบปีแรกที่เราเริ่มควบคุมเครดิตของลูกค้าให้เป็นไปตามกำหนด
ในช่วงเวลาตั้งแต่เด็กจนโต ผมสนใจเรื่องราวสารพัดเรื่อง อยากมีงานทำ อยากมีอาชีพ อยากมีความสนุกในการทำงาน มีคนเคยให้แนวคิดไว้ว่าถ้าคุณเจอสิ่งที่คุณชอบ คุณจะทำมันได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ถ้าคุณเจองานที่คุณชอบ คุณจะไม่ต้องอดทนทำงาน เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณชอบ ตอนประถมผมเคยอยากได้กล้องถ่ายรูปและยังคงสงสัยว่าทำไมถึงถ่ายรูปแล้วมีรูปอยู่บนฟิล์ม ก็เลยไปชวนให้พี่สาวหุ้นซื้อกล้องถ่ายภาพด้วยกัน แล้วตอนถ่ายเล่นก็ลองเปิดฝาหลังดู ฟิล์มสีน้ำตาลในกล้องที่ถ่ายไปแล้วน่าจะมีภาพอยู่บนฟิล์ม แต่ก็ไม่มี นึกขึ้นได้ว่า เขาต้องเอาฟิล์มไปล้างก่อน ผมก็เลยถอดฟิล์มไปล้าง เอาไปล้างในอ่างล้างจาน ฟิล์มก็ยังไม่มีภาพ นึกขึ้นได้อีกครั้งว่า เราน่าจะล้างด้วยน้ำร้อน ก็เลยต้มน้ำ แล้วเอามาราดบนแผ่นฟิล์มเลย ผลก็คือฟิล์มสีน้ำตาลค่อยๆเปลี่ยนสีไป จนกลายเป็นฟิล์มใส พลาสติกใสๆ สีน้ำตาลที่เคยมีมันหลุดละลายลงท่อน้ำไปแล้ว จบการล้างฟิล์ม ผมไม่ได้ภาพ และผมสรุปผลว่า ล้างฟิล์มเป็นเรื่องยาก ล้างฟิล์มด้วยน้ำเปล่าไม่ได้ ล้างฟิล์มด้วยน้ำร้อนก็ไม่ได้
ตอนตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนวิศวะ ด้วยความเชื่อว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในยุคของผมคนเก่งจะเลือกหมอกับวิศวะ ถ้าผมไม่ติดอย่างใดอย่างหนึ่งในสองชนิดนี้ แสดงว่าผมไม่เจ๋งจริง เป็นความคิดโง่ๆที่ไม่มีครูแนะแนวมาพูดคุยด้วย และแล้วผมก็ติดวิศวะ แล้วเราก็รู้ว่าโลกกว้าง คนเก่งมีอยู่เต็มไปหมด ผมเรียนสาขาระบบควบคุมและเครื่องมือวัด ซึ่งพูดไปหลายคนก็จะไม่เข้าใจชัดเจน ผมก็เป็นแบบนั้นในปีแรกที่เข้าไปเรียน ผมมักจะบอกทุกคนว่าผมเรียนอิเล็คทรอนิกส์เพื่อจะได้ไม่ต้องอธิบายต่อว่าระบบควบคุมคืออะไร เครื่องมือวัดทำไมต้องเรียน มันมีแค่ตราชั่งกับมิเตอร์รึเปล่า
ผมสนใจเครื่องเสียง การเรียนวิศวะสาขานี้ทำให้ผมกระตือรือล้นที่จะเรียนในบางวิชา เพราะบางวิชาเหล่านั้นจะทำให้ผมสามารถออกแบบและสร้างเครื่องเสียงใช้เอง นั่นเป็นแรงจูงใจเดียวที่ทำให้ผมเรียนจนจบ ตอนปีสี่ที่นักศึกษาวิศวะต้องทำโปรเจ๊คเพื่อจบ มีการจับกลุ่มกันทำสามคนต่อหนึ่งโปรเจ๊ค ห้องผมมี28 คน หารสามแล้วเหลือเศษหนึ่ง ผมยกมือขออาจารย์ทำคนเดียวเลย โดยผมให้เหตุผลกับอาจารย์ว่า ผมอยากรู้ว่าจะทำคนเดียวได้ไหม สามคนก็ทำกันหืดขึ้นคอ ถ้าทำคนเดียวได้ ผมคงภูมิใจมาก ผมอยากให้คนจำว่าผมไม่เหมือนคนอื่น ผลก็คือเพื่อนส่งงานจบกันก่อนกำหนดเล็กน้อยและมีเวลาไปเที่ยวเล่นที่ต่างจังหวัดกันทั้งห้อง แต่ผมจบงานช้ากว่าคนอื่นไปสองสัปดาห์ ทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวยกกลุ่มในทริปสุดท้ายก่อนออกจากมหาวิทยาลัย และไม่มีใครพูดถึงโปรเจ๊คอีกเลย และผมไม่ได้ดังหรือถูกพูดถึงอีกเลยเช่นกัน
มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ผมจบช้า เรื่องตัวงานไม่ได้มีปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ ผมทำเล่มวิทยานิพนธ์ด้วยหน้าตาของนิตยสาร ไม่ได้เป็นรูปเล่มมาตรฐานบัณฑิตวิทยาลัย ไม่ได้ใช้ฟ้อนต์อังสนาตามระเบียบ ไม่ได้เว้นวรรคขึ้นหน้าใหม่แบบมาตรฐานของมหาวิทยาลัย ไม่ได้กั้นหน้าซ้ายและกั้นหน้าขวาตามกฏ ไม่ได้เรียงลำดับชื่อรูปภาพ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมจบช้าและไม่ได้เที่ยวกับเพื่อน เพราะต้องมานั่งทำรูปแบบวิทยานิพนธ์ให้ถูกกติกาของมหาวิทยาลัย
ตอนเรียนวิศวะ ผมสนใจแต่เรื่องการทำเครื่องเสียง ไม่ได้สนใจคอมพิวเตอร์เลย และวิชาเขียนโปรแกรมที่มีในคณะวิศวะก็เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจ ผมสอบได้คะแนนต่ำสุดในมหาวิทยาลัย ซึ่งผมเผลอคิดไปว่าผมคงโง่เรื่องเขียนโปรแกรม จนกระทั่งวันที่ผมเรียนจบผมได้งานทำเป็นโปรแกมเมอร์ เขียนซอร์ฟแวร์ระบบตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ มีระบบฝากข้อความ มีระบบฐานข้อมูลที่ต้องเก็บวอยซ์เมลของคลิปเสียงของคนนับพันคน ผมสามารถเขียนโปรแกรมเป็นอาชีพได้เพราะมีเจ้านายใจดี อธิบายว่าการเขียนโปรแกรมคืออะไร อธิบายโครงสร้างและวิธีคิดของคอมพิวเตอร์มันเป็นอย่างไร แค่การอธิบายภาพรวมไม่นาน ผมก็เข้าใจและสามารถพัฒนาโปรแกรมต่างๆได้เอง และในอีกไม่กี่เดือนต่อมาซอร์ฟแวร์ที่เขียนขึ้นมาก็ทำเงินเลี้ยงบริษัทได้ นี่เป็นเรื่องที่สองที่ผมเรียนรู้ว่าโลกเรามีอาจารย์มากมาย แต่ทุกคนไม่ได้มีความสามารถในการสอน
ผมกลับมาหัดล้างฟิล์มอีกครั้งตอนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย และได้เริ่มหัดถ่ายรูปอีกครั้ง ครั้งนี้ตั้งใจจะล้างฟิล์มและอัดภาพให้เป็น และผมก็ใช้เวลาประมาณสองปีที่หัดถ่ายภาพ และมีความสามารถพอที่จะรับงานถ่ายภาพได้ เมื่อถ่ายภาพมาถึงจุดหนึ่งผมเริ่มอยากเรียนต่อเพื่อให้ผมถ่ายภาพได้ดียิ่งขึ้น ผมก็เลยไปเรียนคณะวิทยาศาสตร์ของจุฬาฯ ในหลักสูตรปริญญาโท ชื่อคณะ เทคโนโลยีทางภาพ หรือ imaging technology
ทีนี่เรียนเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการพิมพ์ ซึ่งระบบการพิมพ์ก็เป็นระบบการสร้างภาพชนิดหนึ่งและเป็นพระเอกของคณะนี้ด้วยซ้ำ ความฝันที่จะเรียนถ่ายภาพของผมหยุดลงชั่วคราวเพราะนักศึกษาที่เรียนคณะนี้ไม่ได้ซีเรียสกับการถ่ายภาพ ผลงานภาพถ่ายของกลุ่มนักเรียนไม่ได้เน้นไปที่ความสวยงามในแบบที่ผมชอบ ในขณะที่นักศึกษานิเทศฯ และสถาปัตย์ฯถ่ายภาพได้ถูกใจกว่า ซึ่งผมพบว่าในคณะนี้ไม่ได้สอนให้ถ่ายภาพสวยชวนฝัน แต่สอนให้เข้าใจขั้นตอนการเกิดภาพ เน้นเรื่องการผลิตภาพให้ได้คุณภาพ เน้นการทำซ้ำให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิม ผมเลยเลือกที่จะไปหาที่เรียนเกี่ยวกับถ่ายภาพจากที่อื่น เลยไปเรียนที่โรงเรียนสารพัดช่าง ในหลักสูตรตอนเย็นวันละสามชั่วโมง เป็นคอร์สระยะสั้น 150 ชั่วโมง ค่าเล่าเรียนชั่วโมงละ 1 บาท ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพขาวดำ การล้างอัดภาพขาวดำอย่างเต็มระบบจากโรงเรียนสารพัดช่าง แต่ผมก็เรียนจุฬาฯจนจบและได้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์ต่างๆ เป็นความรู้แบบที่เถ้าแก่โรงพิมพ์ไม่เคยได้รับ และไม่มีทางรู้เลยถ้าไม่เดินเข้ามหาวิทยาลัย ผมใช้เวลาช่วงนี้หัดล้างอัดภาพขาวดำ หัดถ่ายภาพ หัดวิจารณ์ภาพจากอาจารย์ที่สารพัดช่าง และเรียนรู้เกี่ยวกับการพิมพ์ระบบต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์กับอาจารย์ที่จุฬาฯ
ก่อนผมเรียนจบปริญญาโทผมก็เริ่มงานโรงพิมพ์เต็มตัว พ่อผมมีเหตุต้องนอนโรงพยาบาลนานสองเดือน เถ้าแก่ป่วยโรงงานก็แทบเจ๊ง ผมเร่ิมงานโรงพิมพ์แบบทันทีทันใด รับช่วงต่อแบบไม่คาดฝัน ซึ่งเมื่อวานนี้ยังขับรถไปเที่ยวถ่ายรูปอยู่เลย ผมเรียนจบโทช้ากว่าปกติ เพราะต้องทำงานเต็มตัว และ ผมมีปัญหากับการทำเล่มเอกสารอีกแล้ว คือวิทยานิพนธ์เขาไม่ยอมให้ผมพิมพ์รูปแบบตามใจ ผมจบโทด้วยโปรเจ๊คการบีบอัดข้อมูลให้เล็กลงเพื่อใช้เก็บไฟล์ภาพที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตแม่พิมพ์ ถ้าเรียกให้หรูหรา ก็ต้องบอกว่า ผมเป็นเจ้าของระบบการบีบอัดข้อมูลชนิดหนึ่ง ที่เป็นการบีบอัดแบบ lossless compression มันช่วยให้อุตสาหกรรมการพิมพ์สามารถพัฒนาไปต่อไปได้ในอีกหลายอย่างถ้ามีคนนำไปต่อยอด
โรงพิมพ์จอมทองพัฒนาหลายอย่างขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่วิธีการคิดราคาที่สมเหตุสมผล การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การเก็บข้อมูลลูกค้าที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ดีขึ้น ราคาถูกลง มีเครื่องพิมพ์ดิจิทัลเข้ามาให้ใช้ โรงพิมพ์ยุคใหม่ต้องมีระบบปรู๊ฟสีก่อนพิมพ์จริง ความแม่นยำของสีต้องถูกต้องมากกว่าระบบลองผิดลองถูก โรงพิมพ์ขยายธุรกิจได้ด้วยเงินออม เราไม่มีหนี้สินกับธนาคาร เราไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้ใคร และเราลงทุนกับเครื่องพิมพ์ดิจิทัลขนาดย่อมๆแต่ราคาเท่ารถเบนซ์ ขณะที่เจ้าของยังขับรถญี่ปุ่นอยู่
โรงพิมพ์ในมุมมองของผมนั้น เป็นที่รวมของความรู้หลากหลายที่ผมสะสมมา ผมชอบอ่านหนังสือ ชอบหนังสือที่มีภาพสวย ผมก็มีโอกาสได้ผลิตสิ่งพิมพ์เอง ผมชอบถ่ายภาพ ภาพสวยๆในโบรชัวร์ผมก็มีส่วนร่วมกับมัน บางงานผมถ่ายภาพด้วยตัวเอง ผมเคยทำงานกับฐานข้อมูล เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ โรงพิมพ์จึงมีงานพิมพ์ชนิดพิเศษตัวหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนข้อมูลของงานพิมพ์ได้โดยที่ไม่ต้องทำเพลทใหม่ นั่นคือการพิมพ์ดิจิทัลที่ใช้ข้อมูลจากในคอมพิวเตอร์มาเป็นข้อมูลหลักที่แตกต่างกันในแต่ละใบ เราเรียกการพิมพ์ฐานข้อมูลนี้ว่าเป็นงาน Variable data printing
งานพิมพ์ที่อาศัยฐานข้อมูลที่เราพบบ่อยก็คือ บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ในบิลแต่ละใบจะมีรายชื่อเจ้าของบ้านที่ไม่เหมือนกัน มีที่อยู่แตกต่างกัน มีตัวเลขที่ต้องจ่ายไม่เท่ากัน บ้าน 1 ล้านหลัง ก็มีบิล 1 ล้านใบที่มีชื่อไม่ซ้ำ นั่นคืองานพิมพ์ฐานข้อมูลที่เราพบได้ในทุกวัน ทุกบ้าน ทุกคนเคยจับมาแล้ว โรงพิมพ์ของผมก็มีความสามารถในการผลิตงานเหล่านี้เช่นกัน แต่เราทำในรูปแบบของใบปลิว การ์ดเชิญ การ์ดโปรโมชั่น ของขวัญ ปฏิทิน โปสการ์ด ซึ่งสิ่งพิมพ์เหล่านี้เรามักจะไม่ค่อยเจอว่ามีการพิมพ์ชื่อและข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนลงไป เพราะมันเป็นสิ่งใหม่กับวงการพิมพ์ในประเทศไทย
มีโปรแกรมเมอร์มากมายที่ทำงานกับฐานข้อมูลได้ มีเถ้าแก่โรงพิมพ์มากมายที่รับงานใบปลิว งานสคส งานการ์ดเชิญ แต่ไม่เคยมีโรงพิมพ์ที่มีคนสองคนนี้อยู่ในที่เดียวกัน มีโรงพิมพ์ที่สามารถพิมพ์งานดาต้าเบสได้ไม่กี่คนในประเทศนี้ คนนึงก็กำลังพิมพ์บิลค่าน้ำอยู่ คนนึงก็กำลังพิมพ์บิลค่าไฟอยู่ อีกคนก็กำลังพิมพ์บิลค่าโทรศัพท์อยู่ ทุกคนมีงานใหญ่อยู่ในมือแล้ว แต่ไม่มีใครทำพิมพ์ สคส บัตรอวยพร ใบปลิว การ์ดเชิญ หรือใบโปรโมชั่นที่ระบุชื่อและคัสต้อมข้อมูลเลย โรงพิมพ์ของผมสามารถรองรับงานที่กล่าวมา แล้วทำไมต้องเป็นโรงพิมพ์จอมทอง ที่อื่นทำได้ไหม ไปหาคนที่พิมพ์บิลค่าไฟเลยดีไหม เราสามารถไปหาเขาได้ แต่เขาจะพิมพ์ให้หรือเปล่า บางครั้งโรงพิมพ์ทำคุกกี้มาแจกโดยที่ฉลากพิมพ์ชื่อผู้รับไว้แตกต่างกัน เราทำแค่แจกสมาชิก ถ้าเราอยากได้งานแบบนี้ คนที่ทำบิลค่าน้ำ บิลค่าไฟ เขาไม่รับงานแนวนี้ แล้วมีโรงพิมพ์ไหนทำแบบนี้ได้บ้าง ถ้าหาเจอโทรบอกผมด้วย

นอกจากงานพิมพ์ที่อาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยแล้ว เรายังมีงานพิมพ์ที่กำลังสูญหายอยู่อีกตัวหนึ่งด้วย นั่นคืองานพิมพ์ letterpress ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการพิมพ์ตัวแรกที่เกิดขึ้นในโลก เครื่องพิมพ์เครื่องแรกถูกคิดค้นด้วยคนชื่อโยฮันเนิส กูเทินแบร์ค เป็นคนเยอรมัน งานพิมพ์ชิ้นแรกของโลกในระดับอุตสาหกรรมคืองานพิมพ์คัมภีร์ไบเบิ้ล งานพิมพ์ letterpress คือการเอาวัสดุแข็งมาแกะสลักเป็นตัวหนังสือที่เราต้องการเราจะเรียกว่าแม่พิมพ์ แล้วก็เอาหมึกมาทาบนแม่พิมพ์ แล้วก็เอากระดาษมาสัมผัสกับหมึกบนแม่พิมพ์ มันคือเทคนิคเดียวกับตรายางที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน งานพิมพ์ letterpress จะให้สีที่เข้มเท่ากันทั้งหน้า ไม่สามารถทำสีเข้มสีอ่อนในบล๊อกเดียวกันได้ ไม่สามารถพิมพ์ภาพเหมือนจริง หรือภาพถ่ายได้ งานพิมพ์ letterpress เสื่อมความนิยมไปแล้วตั้งแต่โลกเรามีเครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ท 4 สี งานอ๊อพเซ็ทคืองานที่มีภาพจริงสวยงาม หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ใบปลิวแจกหน้าห้าง งานพิมพ์ 99 เปอร์เซ็นที่เราเห็นเป็นงานอ๊อพเซ็ททั้งสิ้น
งาน letterpress กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มของคนทำการ์ดแต่งงาน มันสามารถพิมพ์บนกระดาษหนาได้ มันให้น้ำหนักกดทับที่จมลึก หรือ นูนป่องออกมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่งานอ๊อพเซ็ท และงานพิมพ์ดิจิทัลให้ไม่ได้ งานกระดาษหนาเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่มีผู้ผลิตงานแบบนี้น้อยลงเรื่อยๆ ในประเทศไทยถ้าคุณจะทำงานพิมพ์การ์ดเชิญระบบ letterpress เมื่อคุณเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอเน็ต กูเกิ้ลหน้าแรกจะให้คำตอบกับคุณว่าคุณมีทางเลือกให้ติดต่อแค่ไม่กี่บรรทัด หนึ่งในหลายบรรทัดจะพบ thailetterpress ที่นี่คือโรงพิมพ์ของผมเอง โรงพิมพ์เรามีเครื่องพิมพ์ letterpress ที่ยังทำงานได้ ช่างพิมพ์มีประสบการณ์การทำงานแนวนี้มาอย่างยาวนาน และเราชอบทำงานสวยแปลกตาอย่าง letterpress ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าโลกเราจะพัฒนาไปสู่โซเชียลเน็ตเวิร์คกันแล้ว หนังสือพิมพ์ นิตยสารทะยอยปิดตัว แต่สิ่งพิมพ์ยังคงมีอยู่และค่อยๆขยายตัวในบางอุตสาหกรรม อย่างเช่น ในกลุ่มแพ็คเกจจิ้ง สินค้ายังต้องการกล่อง คู่มือ ในกลุ่มอาหารและการท่องเที่ยว เรายังต้องการสติ๊กเกอร์หรือฉลากติดบนกล่องอาหารหรือซองบรรจุอาหาร ในกลุ่มหนังสือเรียน นักเรียนยังต้องใช้ตำรา หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเราก็มีคนอ่านเพิ่มขึ้น รายชื่อหนังสือในทำเนียบของร้านขายหนังสือก็เพิ่มขึ้น มีนักอ่านเพิ่มขึ้น มีนักเขียนเพิ่มขึ้น สินค้าราคาสูงทั้งหลายต่างก็ต้องการใบปลิวหรือแค็ตตาล๊อค เพราะคนที่จะซื้อของราคาสูงเหล่านั้นย่อมเป็นคนที่ถือโบรชัวร์อยู่ในมือ เพราะคงไม่มีใครซื้อรถยนต์โดยไม่หยิบเอกสารแค็ตตาล๊อคมาอ่าน หรือ คงไม่มีใครซื้อรถด้วยการกดสั่งผ่านระบบมาเก็ตเพลสในเว็บช็อปปิ้งต่างๆ สิ่งพิมพ์ยังคงมีบทบาทและหน้าที่ โรงพิมพ์ก็ต้องปรับตัวทำงานในรูปแบบที่ตลาดต้องการ
วันนี้มีลูกค้าที่ได้รับการแนะนำจากลูกค้าเก่ามาท่านหนึ่ง โทรคุยกันเรื่องการไสกาวหนังสือความหนาประมาณ 500 หน้า ลูกค้าไปถ่ายเอกสารหรือพิมพ์เป็นงานกระดาษ A4 ความหนา 80g แต่ว่าร้านนั้นไม่สามารถเข้าเล่มงานที่มีความหนาประมาณ 3.5cm ได้ ซึ่งความหนาระดับนี้ควรจะต้องทำเป็นงานไสกาวเท่านั้น และการทำงานไสกาวก็จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรเฉพาะทาง
ทางโรงพิมพ์มีเครื่องไสกาวที่สามารถทำงานได้ความหนาระดับ 5cm ซึ่งโรงพิมพ์ก็ยังไม่เคยได้ลองทำงานที่หนาระดับนี้ แต่กับงานลูกค้าท่านนี้ 3.5cm เราก็คิดว่าน่าจะทำได้ แต่ก่อนจะยืนยันว่ารับงานทางโรงพิมพ์ก็ทดลองทำด้วยการใช้เสษกระดาษมาลองเข้าเล่มดู โดยกะประมาณความหนาของเศษกระดาษให้ใกล้เคียงงานจริง จากนั้นก็ทดลองไสกาวดู และเมื่อพบว่าทำได้ ก็แจ้งกับลูกค้า ลูกค้าก็ยืนยันให้ทำได้เลย
เครื่องจักรที่เราใช้ก็ดูได้จากในคลิปวิดีโอได้เลย ผลการทำงานก็ประสบความสำเร็จ ลูกค้าให้ทางโรงพิมพ์ด้วยพิมพ์ปกให้ด้วย เรารับไฟล์งานปกหนังสือจากลูกค้า จากนั้นปรับแต่งให้ปกมีความหนาของสันหนังสือเท่ากับเนื้องานตัวจริงด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เริ่มทำงาน
หนังสือที่ไสกาวเสร็จแล้ว รอเวลาแห้งตัวสัก 3 ชม. แล้วก็ทดลองถือแบบในคลิปดู พบกว่า หนังสือมีความแข็งแรง และไม่หลุดร่อน ก็ถือว่าจบงานได้เรียบร้อย
ก่อนจะเริ่มอ่าน เปิดเพลงแรกนี้ไว้เลย แล้วค่อยๆอ่าน เพื่ออรรถรสครับ
วันหนึ่ง
มีข้อความมาทางโปรแกรม line ติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามเรื่องการพิมพ์การ์ดแต่งงานด้วยระบบ letterpress ซึ่งผมก็รับข้อมูลแล้วคำนวณราคาแจ้งกลับไป การ์ดของเจ้าสาวท่านนี้จำนวนน้อย แต่เราก็รับทำ เพราะว่าเราชอบทำการ์ดแต่งงาน การได้เห็นการ์ดที่ออกแบบสวย และได้ทำมันออกมาอย่างตั้งใจเป็นสิ่งที่ช่วยให้โรงพิมพ์ของเราพัฒนา
การ์ดคุณไหมเป็นการ์ดที่เลือกพิมพ์ด้วยส่วนที่เป็นหมึกพิมพ์ 1 สี และฟอยล์สีทองอีก 1 สี โดยหมึกพิมพ์ทางเจ้าภาพเลือกสีจากสมุดสีแพนโทน และเลือกฟอยล์สีทองเข้มจากตัวอย่างที่เรามีในโรงพิมพ์ ส่วนกระดาษก็จะเป็นกระดาษชานอ้อยสีขาว ซึ่งเราก็ใช้งานบ่อยกับหลายๆงาน เมื่อเลือกทุกอย่างลงตัว เราก็พิมพ์ตัวอย่างด้วยระบบดิจิทัลออกมาเป็นตัวอย่างที่เป็นขนาดเท่าจริงแล้วให้คุณไหมได้ลองจับถือดู ดูขนาดเมื่อถือขนาดจริง ดูขนาดตัวหนังสือที่พิมพ์ออกมาแล้วใหญ่หรือเล็กแค่ไหน เมื่อเห็นภาพจริงทั้งหมดแล้วก็ตกลงเริ่มพิมพ์
เราใช้เวลาเตรียมแม่พิมพ์ทั้งสองชิ้นประมาณ 7 วัน เพราะขั้นตอนการทำแม่พิมพ์จะใช้เวลานานเกือบจะที่สุดของการพิมพ์ letterpress เมื่อได้แม่พิมพ์มาแล้วเราก็ทะยอยพิมพ์หมึกด้วยสีเทาอมเขียวตามค่าสีแพนโทนที่เลือกเสียก่อน ซึ่งการผสมสีตามสีแพนโทนค่อนข้างจะต้องใช้เวลาพอสมควร สีเขียวขี้ม้าเข้มๆแนวนี้ผสมยากกว่าที่คิด เราผสมครั้งแรกได้สีที่ไม่ใกล้เคียงเลย ช่างพิมพ์ต้องล้างสีทิ้งแล้วผสมใหม่อีกรอบ โดยรอบสองนี้ทำได้ใกล้เคียงมาก เพื่อตรวจด้วยสายตาแล้วแทบจะตรงเป๊ะกับในเล่มแพนโทน ขั้นตอนนี้พิมพ์การ์ดไม่กี่ใบ เราใช้เวลากับเครื่องพิมพ์และขั้นตอนการผสมสีรวมๆกันเกือบ 6 ชั่วโมง จะเรียกว่าเกือบเต็มวันก็ได้
เมื่อทำสีแรกจบแล้วเราก็วางการ์ดตากไว้อย่างนั้น 1 วันเต็มๆเพื่อให้หมึกแห้งตัวสนิท เพราะขั้นตอนต่อไปคือการพิมพ์ด้วยฟอยล์สีทอง การพิมพ์ด้วยเทคนิคของฟอยล์จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่ต้องใช้มือจับการ์ด ดังนั้นการ์ดต้องแห้งสนิทเพื่อไม่ให้เกิดการเปื้อนนั่นเอง เมื่อทำจบครบทุกชั้นตอนแล้วเราก็จะได้การ์ดตรงกับที่ออกแบบไว้ ซึ่งการ์ดตัวนี้ออกแบบมาแบบเรียบง่ายแต่ดูสวย ตัวหนังสือไม่มากเกินไป ทำให้การ์ดสวยงามมาก
เราถ่ายคลิปวิดีโอตอนพิมพ์การ์ดเอาไว้ด้วยซึ่งแต่ละขั้นตอนก็ไม่ได้ซับซ้อน การที่มีเครื่องพิมพ์ทุกตัวอยู่ในโรงงานทำให้เราควบคุมคุณภาพและเวลาได้ตามที่ต้องการ ปัญหาอะไรที่อาจจะเจอเราก็จะได้เจอและแก้ปัญหาได้ทันที หลังจากที่ส่งมอบการ์ดให้กับเจ้าภาพเรียบร้อยแล้วทางโรงพิมพ์ก็ขออนุญาตถ่ายรูปชิ้นงานเพื่อนำมาเขียนลงในเว็บด้วย และทางเจ้าภาพก็ยินดี ขอบคุณคุณไหมที่มาใช้บริการของเราครับ
โรงพิมพ์ของผมซื้อเครื่องพิมพ์อ๊อพเซ็ท 4 สี มือสองเข้ามาใช้งานตั้งแต่ช่วงปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยมีภัยน้ำท่วมใหญ่ และเป็นปีที่พ่อผมเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในช่วงปลายปี พ่อผมมีโอกาสได้เห็นเครื่องพิมพ์ 4 สี วางอยู่ในโรงพิมพ์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นความสำเร็จของคนปากกัดตีนถีบคนนึงที่ดิ้นรนทำมาหากินและสร้างครอบครัว ส่งลูกเรียนจบและมีอาชีพทิ้งไว้ให้ลูกหลาน
เครื่องพิมพ์ไฮเดลเบิร์ก เป็นเครื่องพิมพ์มือสอง ผมไม่รู้ประวัติของเครื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่มันมาตั้งในโรงพิมพ์ในตอนที่มิเตอร์บนเครื่องชีไปไป 47327770 รอบ ซึ่งผมถ่ายภาพนี้ไว้ในวันที่ 16ธันวาคม2554
เวลาเลยผ่านมาเหมือนไม่นาน รู้ตัวอีกทีก็ครบ 10 ปี มันเป็น 10 ปีที่มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เรามีช่วงเวลาที่ทำงานไม่ทัน งานล้นมือ เรามีช่วงเวลาที่งานซบเซา บางวันต้องปิดเครื่อง ปิดไฟโรงงาน และในช่วงที่มีโควิดระบาดหนักๆ ช่างพิมพ์หลายคนในโรงพิมพ์ก็ต้องหยุดงานเพราะติดเชื้อ โรงพิมพ์ทำงานต่อไม่ได้ งานบางงานต้องไปขอให้โรงพิมพ์อื่นช่วยเหลือช่วยพิมพ์ให้
วันที่ครบ 10 ปี คือ 16ธันวาคม2564 ผมถ่ายภาพนี้เก็บไว้อีกครั้ง
มิเตอร์ขึ้นเลข 77740023 ซึ่งพอนำมาคิดหักลบกับตัวเลขเริ่มต้นแล้ว ก็จะได้
77740023 – 47327770 = 30412253 หรือประมาณ 30 ล้านรอบ
ตัวเลข 30 ล้านรอบนี้บอกอะไรเราบ้าง
ถ้านับงานกระดาษใบปลิว A4 พิมพ์ 2 หน้า เราจะพิมพ์งานนี้ไปแล้ว 60 ล้านใบ ผมก็ไม่รู้ว่ามันมากหรือน้อย เครื่องพิมพ์เครื่องนี้ทำเงินให้เราเกินค่าตัวของมัน แม้ว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์จะเป็นดาวร่วงในมุมมองของนักบริหารและนักการตลาด แต่เราก็ยังคงต้องทำอาชีพนี้อยู่ และปรับเปลี่ยนงานพิมพ์ไปพิมพ์สิ่งที่ผู้คนยังต้องใช้งาน หนังสือพิมพ์ไม่มีคนซื้อแล้ว เราก็ไม่ต้องพิมพ์ นิตยสารขายไม่ได้แล้วเราก็ไม่ต้องพิมพ์ ซึ่งสองอย่างนั้นก็ไม่เคยเป็นงานของโรงพิมพ์เราอยู่แล้ว แต่ประเทศเรายังต้องการกล่องใส่อาหาร กล่องใส่ขนม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ ยังต้องการโบรชัวร์ ยังต้องมีเอกสาร คู่มือผลิตภัณฑ์ ยังต้องมีหนังสือให้ความรู้ พ็อกเก็ตบุ๊ค นิยาย การ์ตูน หนังสือเรียน ยังมีสติ๊กเกอร์อีกหลายชนิดสำหรับติดกล่อง ติดขวด ติดตามสินค้าและกล่องต่างๆ
เทคโนโลยีทางการพิมพ์ของโลกเราเริ่มต้นจากการเรียงพิมพ์ด้วยตัวหนังสือโลหะ จาก letterpress สู่การพิมพ์ offset และเป็นระบบดิจิทัลในปัจจุบัน ที่น่าทึ่งก็คือ ทุกเทคโนโลยียังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีของใหม่ที่ไปทำลายของเก่า ในโรงพิมพ์เรายังมี letterpress ที่ขาดไม่ได้ ยังมี offset ที่เป็นกำลังหลักของวงการพิมพ์ และมีดิจิทัลสำหรับงานเร่งด่วนและพิมพ์ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปทุกใบได้ ทุกเทคนิคการพิมพ์ในปัจจุบันยังคงมีบทบาทอยู่ วงการพิมพ์ไม่ได้ล่มสลาย การปรับตัวของผู้บริโภคทำให้ความจำเป็นในการใช้สิ่งพิมพ์เปลี่ยนรูปแบบไป สิ่งที่แน่นอนก็คือ ไม่มีใครซื้อขนมที่ไม่มีแพ็คเกจห่อหุ้ม ไม่มีใครซื้อยากินเป็นเม็ด ทุกคนต้องการของกินที่อยู่ในหีบห่อหรือในกล่อง ไม่ใช่แค่ของกิน แต่ของขายในห้างในมาเก็ตเพลสก็ต้องการหีบห่อและเอกสารประกอบทั้งนั้น โลกเรายังต้องมีสิ่งพิมพ์

Qr code ได้รับความนิยมในการใช้งานอย่างมากในยุค 5g ทั้งระบบการเงิน ระบบการบอกตำแหน่ง และการใช้งานอเนกประสงค์ หาเราบันทึกข้อมูล contact ที่มีรายละเอียด ชื่อ เบอร์โทร อีเมล เป็น qr code แล้ว เราก็สามารถนำไปวางไว้ในนามบัตรได้ และผู้ที่รับนามบัตรไปก็สามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเบล็ตสแกน ข้อมูลก็จะแสดงขึ้นมา และสามารถเลือกยันทึกลงโทรศัพท์ได้เลย
หลังจากที่ได้เขียนบล๊อกแห่งนี้มาประมาณสิบปี มีบทความหลากหลายชนิด ก็เลือกบางอย่างมารวมเป็นเป็นเล่ม แล้วลองจัดวางออกแบบให้เป็นหนังสือ เนื้อหาที่เลือกมาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอวกาศและดวงดาว เป็นการรวมเรื่องมาใส่หนังสือทันทีเลย ยังไม่ได้ปรับแต่ง หรือดัดแปลงสิ่งที่เขียน เพราะอยากรู้ว่า เนื้อหาเกี่ยวกับดวงดาวที่เคยเขียนนั้นจะเยอะพอไหมสำหรับการรวมเล่มเป็นหนังสือ
เมื่อลองพิมพ์เป็นเล่มออกมาก็ได้หนังสือความหนาประมาณ 65หน้า โดยมีรูปประกอบอยู่บ้าง ด้วยความที่มีเครื่องพิมพ์ดิจิทัลใช้งานอยู่ การพิมพ์หนังสือแค่เพียง 1 เล่มเพื่อทำเป็นตัวอย่างก็เป็นเรื่องง่าย แถมยังมีเครื่องไสกาวอีกด้วย ทำให้หนังสือแบบพ็อกเก็ตบุ๊คเข้าเล่มไสสันทากาวแบบนิตยสารก็ทำได้ไม่ยากเลย
ลองเอาหนังสือให้ลูกอ่าน ลูกก็อ่านแล้วยิ้มๆ บางตอนเป็นเนื้อหาที่พ่อคุยกับลูกในตอนที่เขาอายุสัก 6 ขวบ พอมาอ่านตอน 9 ขวบ บางตอนก็ทำให้เขาหันหน้าขึ้นมายิ้ม แล้วถามกลับมาว่า วันนั้นพ่อหลอกเขาเหรอ ผมก็บอกเปล่า บางเรื่องตอนนั้นต้องเล่าแบบนั้น งานเขียนต้องเลือกเขียนสิ่งที่น่าอ่าน งานเล่าต้องเล่าสิ่งที่น่าฟัง มารยาของช่างภาพก็ต้องทำให้ภาพสวย มารยาของนักเขียนก็ต้องชักจูงให้คล้อยตาม บรรยายให้เห็นภาพ งานหนังสือเป็นงานศิลปะการเล่าเรื่อง
เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้วผมได้รับการติดต่อให้จัดพิมพ์หนังสือเพื่อใช้วางขายในร้านหนังสือ และบางส่วนแบ่งไว้แจกในงานสัมมนา นักธุรกิจท่านนี้เป็นคนที่มีความสามารถทางด้านการพูดและการสื่อสาร มีผลงานความสำเร็จในอาชีพของตัวเองระดับสูงสุดในสายงาน และผมก็ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลการผลิตและจัดส่งไปวางขายในร้านหนังสือชั้นนำ
หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค พิมพ์ 4 สี เนื้อหาประมาณเกือบสองร้อยหน้า เมื่อได้ต้นฉบับมาแล้วทางโรงพิมพ์ก็จะทำเล่มตัวอย่างด้วยระบบดิจิทัลออกมาเพื่อตรวจสอบว่าหนังสือทั้งหมดเมื่อพิมพ์บนกระดาษจริงจะหนาสักเท่าใด เพื่อจะได้ปรับขนาดของปกเผื่อความหนาของสันปกให้พอดีกัน และเมื่อตรวจเล่มตัวอย่างดิจิทัลแล้วก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิมพ์จริง
การพิมพ์หนังสือ 4 สีทั้งเล่มระบบอ๊อพเซ็ท จะใช้เวลาค่อนข้างมากสำหรับเครื่องพิมพ์ขนาดที่เรามี ดังนั้นต้องจัดคิวงานของลูกค้าท่านอื่นๆให้ดี รีบโยกคิวงานสั้นทั้งหลายมาอัดให้จบเร็วที่สุด เพื่อเคลียร์คิวเครื่องพิมพ์ให้พร้อมทำงานหนังสือต่อเนื่องหลายๆวัน งานที่พิมพ์เสร็จเราก็ทะยอยจัดส่งบางส่วนให้ลูกค้า เพราะจะใช้แจกในงานสัมมนาต่างๆ ส่วนหนังสือกองใหญ่ที่เหลือก็จะเป็นส่วนที่จะจัดส่งให้กับสายส่งร้านหนังสือ ซึ่งเราเลือกใช้บริการจัดจำหน่ายของบริษัทอัมรินทร์ปริ๊นติ้ง ซึ่งจะวางขายตามร้านหนังสือหลายยี่ห้อ และ ร้านหนังสือนายอินทร์
หลังจากจัดส่งไปสักหลายสัปดาห์ ประเทศไทยก็มีประกาศล็อคดาวน์ ห้างปิด ร้านอาหารปิด กว่าจะได้เห็นว่าหนังสือถูกจัดวางบนชั้นวางในร้านหนังสือก็ผ่านไปเกือบสองเดือน พอรู้ว่าหนังสือมีการขายแล้ว มียอดขายติดอันดับแล้วในร้านหนังสือบางแห่งบางยี่ห้อ ก็ทำให้เรารู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำหนังสือเล่มนี้ สำหรับโรงพิมพ์อื่นอาจจะเคยชิน ทำประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับโรงพิมพ์ของผมเองนับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ท้าทายมาก และผลของการทำงานจนเสร็จสิ้นก็ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ