HBL 2/3 ขอบฟ้าส่งงาน

7may2020

IMG_20200507_081015
IMG_20200507_084355
IMG_20200507_152309

8may2020

IMG_20200508_075949
2020-05-08_10-55-29
IMG_20200508_140318

12may2020

2020-05-12_02-31-08
2020-05-12_02-33-42

13may2020 มุมโปรดในบ้าน

IMG_20200513_134916
20200513103218_IMG_0289
IMG_20200513_133023
2020-05-14_11-12-36
IMG_20200513_145129

14may2020 มุมการทำงาน

95127
95128
IMG_20200513_140607

16may2020

2020-05-16_10-08-40

20may2020

IMG_20200520_090103

21may2020

2020-05-21_11-23-03

22may2020

34682
34681

ตัวอย่างการเรียน online

2020-05-08_10-55-29

โรงเรียนของขอบฟ้าเริ่มให้มีการเรียน online กันแล้ว โดยไม่รอเวลาเปิดเทอม เพราะอยากจะให้มีการเตรียมความพร้อมกันก่อน เพื่อให้เด็กมีความคุ้นเคยกับเครื่องมือที่ใช้เรียน และสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเอง จากวันเรียนปกติ 5 วันต่อสัปดาห์ พอปรับมาเป็น online โรงเรียนจัดตารางเป็น 6 วันต่อสัปดาห์ โดยในแต่ละวันจะมีการ online ครั้งละ 45 นาที เช้า 1 ครั้ง บ่าย 1 ครั้ง และระหว่างวันก็จะมีหลักสูตรประจำชั่วโมงให้ไปทำกันเอง แล้วมาสรุปผล มาเล่าให้ฟังในช่วง online โดยรวมก็คือเด็กยังใช้เวลากับโรงเรียน 8.00-16.00 น. เหมือนเดิม แต่เป็นการเรียนจากที่บ้าน หรือที่ทำงานพ่อแม่นั่นเอง

หมายเหตุ

กำหนดการเปิดเทอมก่อนมีโควิดจะเป็นวันที่ 18 พค 2563

กำหนดการที่รัฐบาลสั่งเลื่อนเปิดเทอมหลังโควิด คือเปิดวันที่ 1 กค 2563

โรงเรียนให้เริ่มเรียน online ตั้งแต่วันที่ 5 พค 2563

สิ่งที่อยากได้จากระบบ conference

IMG_20200408_112504

จากปัญหาการระบาดของไวรัส ทำให้โรงเรียนต้องเตรียมการสอนแบบทางไกล ในอดีตเรามีโรงเรียนทางไกล เรียนกับโทรทัศน์ ในที่สุด ปี พ.ศ. 2563 เราก็ได้ใช้ในการเรียนการสอนทุกระดับ ไม่เว้นแม้แต่ระดับประถม และบางแห่งอาจจะต้องสอนตั้งแต่อนุบาล

แต่การเรียนการสอนในยุคนี้จะทำผ่านอินเทอเน็ต ระบบ meeting online ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลัก ลูกผมก็เป็นเด็กประถมที่ต้องเตรียมการกับเทคโนโลยีพวกนี้ พ่อแม่ก็เตรียมอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ หูฟัง ลำโพง ไมโครโฟน กันเต็มที่ และเมื่อได้ทดลองเรียนไป 1 ครั้ง ลูกก็มีประสบการณ์การใช้งาน และได้ออกความเห็นไว้น่าฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราผู้ใหญ่ไม่มีวันเข้าใจเลย แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่า เด็กน้อยเขาคิดกันแบบนี้ และเราเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ทุกเสียงที่พูดหน้าคอมพิวเตอร์จะถูกส่งไปยังคุณครู นี่คือสิ่งที่เด็กทุกคนรู้ และรู้สึกว่ามันเป็นการรบกวนจิตใจเล็กๆ เด็กยังไม่รู้ว่ามีระบบปิดเสียงไมโครโฟนได้ สิ่งนี้สอนไม่ยาก ในที่สุดจะปิดเสียงเป็น แต่มันยังไม่ใช่จุดที่เด็กรู้สึกสบายใจ

สิ่งที่เด็กต้องการ ลูกผมให้ข้อมูลว่า เขาอยากได้วิธีการคุยกับเพื่อนที่ครูไม่ได้ยิน เขาอยากถามเพื่อนเบาๆ กระซิบเบาๆ เหมือนอยู่ในห้องเรียน แล้วครูไม่ได้ยิน ผมฟังแล้วอึ้งไปเลย และรู้สึกเลยว่านี่คือความเป็นห้องเรียนที่เด็กอยากให้มีอยู่ ผมอยากจะส่งความเห็นนี้ไปให้ผู้พัฒนาซอร์ฟแวร์จริงๆเลย ว่าน่าจะมีช่องทางพิเศษสำหรับส่งเสียงคุยระหว่างให้นักเรียนบางคนได้โดยที่เจ้าของวิชาหรือครูไม่รู้ ไม่ได้ยิน หรือ คนอื่นไม่ได้ยิน ให้ได้ยินกันสองคนเท่านั้น

จริงๆแล้วซอร์ฟแวร์การประชุมก็มีระบบ chat ให้คุยกันเป็นรายบุคคลได้ หรือแม้แต่เปิดโปรแกรม line เพื่อคุยส่วนตัวกับใครก็ได้ แต่เด็กไม่รู้จักลูกเล่นเหล่านี้ ไม่รู้จักวิธีใช้ line เพราะเขายังเด็กเกินไป เด็กเกินกว่าจะทำงานบนโปรแกรมหลายๆชนิดพร้อมกัน นักเรียนที่โตหน่อย หรือ เด็กมหาวิทยาลัย หรือคนทำงานคงสามารถสื่อสารหลายโปรแกรมหลายช่องทางได้ เพราะประสบการณ์การใช้เครื่องมือสูงกว่า แต่เด็กประถม1หมาดๆ ไม่รู้เรื่องพวกนี้

ผมรู้สึกดีใจที่ลูกสามารถสื่อสารสิ่งที่ต้องการได้อย่างตรงประเด็น กำลังอมยิ้มกับรายละเอียดที่เด็กสัมผัสกับเทคโนโลยี ขอให้ผู้ผลิตซอร์ฟแวร์ได้อ่านข้อความนี้ และช่วยทำสิ่งที่เด็กต้องการแล้วใส่มาในโปรแกรมด้วยนะครับ

ให้ลูกลองเล่น Brain Box

IMG_20200413_133119

เจ้าของเล่นชิ้นนี้อยู่ในบ้านผมมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็ได้รับบริจาคมาจากป้า เป็นของเล่นที่ยังไม่ได้แกะเลย ท่าทางจะเป็นของที่เล่นไม่ทันและลูกของป้าก็โตพ้นวัยไปเยอะแล้ว ของชิ้นนี้เลยตกเป็นมรดกมาให้ลูกผมเอง ขอบฟ้าเป็นเด็กโชคดีมากที่มีญาติเป็นนักช็อปปิ้ง

IMG_20200413_133125

Brain Box คือชื่อของเล่นชิ้นนี้ มันเป็นชุดของเล่นที่เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย มีสวิตซ์ มีตัวนำ มีหลอดไฟ มอเตอร์ ลำโพง วงจรสำเร็จรูปทำหน้าที่ได้หลายอย่าง มีเซ็นเซอร์แสง มีตัวต้านทาน มีคาปาซิเตอร์ มีสวิตซ์แปลกๆ คู่มือที่มากับกล่องบอกว่าสามารถต่อได้ 500 วงจร ในคู่มือจะมีวิธีเล่น มีวงจรไล่ไปทีละวงจร แต่ละวงจรมีรายละเอียดปลีกย่อย มีคำอธิบาย และมีสอนให้เปลี่ยนบางอย่างในแต่ละวงจรเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง

IMG_20200415_101155

ผมลองเล่นกับลูกไป 2 ชั่วโมง ก็พบว่า มันดึงความสนใจของเด็กได้ต่อเนื่องมาก มันให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กเจ็ดขวบได้จริง แต่ที่สะดุดใจเป็นการส่วนตัวก็คือ ของเล่นชุดนี้มันเหมือนเป็นแล็บทดลองวิชาไฟฟ้าสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีเลย หลักการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเป็นอย่างไรเราจะได้ทดลองสร้างวงจรจริงเพื่อดูผลการทำงานแต่ละอุปกรณ์ มันสร้างความเข้าใจให้กับเด็กวิศวะไฟฟ้าได้ง่ายดายมาก

ยกตัวอย่างสวิตซ์ก็ได้ ปกติสวิตซ์จะทำงานปล่อยไฟฟ้า หรือ ตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อเรากดสวิตซ์ให้ทำงาน ไฟจะไหลไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ได้เหมือนต่อสายไฟตรง เมื่อสวิตซ์ตัดการทำงาน ก็จะเหมือนตัดสายไฟ หลักการมีแค่นี้ เด็กเรียนวิชาไฟฟ้าก็เรียนแบบนี้ วิศวกรก็เรียนแบบนี้ แต่สวิตซ์ 3 ชนิด คือ 1 สวิตซ์กดติดปล่อยดับ กับ 2 สวิตซ์แม่เหล็กหรือ dry reed (ศัพท์นี้ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย)ชนิดโดนแม่เหล็กแล้วต่อวงจร เอาแม่เหล็กออกก็จะดับ กับ 3 สวิตซ์แบบซีเล็คเตอร์เลื่อนไปเปิด แล้วต้องเลื่อนกลับเพื่อปิด แค่ 3 อย่างนี้ก็ทำให้ทึ่งแล้ว เพราะในทางวิศวกรรม สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิด เมื่อทำงาน มันก็จะส่งไฟฟ้าผ่านไปยังอุปกรณ์ได้เหมือนกัน ในการออกแบบวงจรมันเหมือนกัน ในการวิเคราะห์วงจรบนกระดาษมันเหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติมันให้ผลไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ถ้าไม่อยู่หน้างานจริงไม่มีทางได้รู้ เด็กวิศวกรที่อยู่กับแบบเรียนแต่ไม่ลงมือทำชิ้นงานจริงจะไม่มีทางรู้เลยว่าสวิตซ์ทั้ง 3 แบบมันให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกสักหน่อย เราจะพบว่า สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิดนี้น่าจะมีความต้านทานที่หน้าสัมผัสไม่เท่ากัน มันทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านไปไม่เท่ากัน มีผลทำให้ อุปกรณ์ที่ต่อใช้งานทำงานไม่เท่ากัน ถ้าเราต่อวงจรด้วยหลอดไฟแสงสว่าง เราจะเห็นหลอดไฟสว่างทั้งหมด แต่ตาเราจะแยกแยะความสว่างที่ต่างกันเล็กน้อยไม่ได้ ดูด้วยตาเราจะบอกว่าหลอดไฟสว่างเท่ากันนั่นเอง แต่หากเราเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนใบพัดให้ลอยตัวขึ้น เราจะเห็นว่ามอเตอร์หมุนเร็วมากเหมือนกัน เพราะสายตาเราแยกไม่ออก แต่ใบพัดที่หมุนแรงจนเกิดแรงยกทำให้ลอยตัวขึ้นไป มันมีความแตกต่างกันว่าสวิตซ์แต่ละชนิดส่งใบพัดให้ลอยสูงไม่เท่ากัน การทดลองบอกเราว่า สวิตซ์เลื่อนเปิดและต้องเลื่อนกลับเพื่อปิดส่งใบพัดได้สูงที่สุด สวิตซ์กดติดปล่อยดับส่งใบพัดให้ลอยขึ้นไม่แน่นอน และสวิตซ์แม่เหล็ก ทำงานด้วยการแหย่แม่เหล็กเข้าไปใกล้ๆสวิตซ์เพื่อให้ต่อวงจรและเมื่อชักแม่เหล็กออกสวิตซ์จะตัดไฟ เจ้าระบบแม่เหล็กนี้ส่งใบพัดให้ลอยออกไปได้ต่ำที่สุด นี่คือผลความแตกต่างที่เกิดจากความต้านทานในหน้าสัมผัสสวิตซ์มีค่าไม่เท่ากัน แค่เด็กทดลองเล่นเราไม่ต้องลงลึกก็ได้ ของเล่นแนวนี้เหมาะที่จะให้เด็กเล่นเป็นพื้นฐาน เพื่อทำความรู้จักกับวงจรไฟฟ้า

โลกเราไม่ได้ต้องการแค่คนปลูกข้าวกับโปรแกรมเมอร์ เรายังต้องการวิศวกรเพื่อออกแบบระบบที่ทำงานได้ตรงวัตถุประสงค์ เรายังต้องการคนเข้าใจฮาร์ดแวร์ เรายังต้องการคนออกแบบที่รู้ถึงข้อจำกัดต่างๆของอุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้สอนกันยาก การมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาความรู้นี้ทำให้เราประหยัดเวลาได้มาก เพราะในรุ่นผม กว่าจะได้เรียนรู้ กว่าจะได้เข้าใจเหตุผลทางไฟฟ้าเหล่านี้ก็ต้องรอจนอายุยี่สิบกว่า ขณะที่เด็กเจ็ดขวบได้เรียนรู้และได้เริ่มสัมผัสกับมันแล้ว การจะต่อยอดไปให้เข้าใจมากขึ้นก็ทำได้รวดเร็ว โลกเราก้าวหน้าไปมาก เครื่องมือการเรียนรู้ก็พัฒนาไปมาก ผู้ใหญ่อย่างรุ่นผมก็คงต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพื่อให้เราสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกได้อย่างรู้เท่าทัน

โควิด19 กับการเรียนของเด็ก

ในที่สุดประเทศไทยก็เป็นเหยื่อโควิด19 ที่ระบาดจนธุรกิจห้างร้านต้องปิดตัวชั่วคราว มีคนลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นสิบล้านคน คำสั่งปิดห้าง โรงเรียน สถานศึกษา ที่ชุมชน ที่สาธารณะ ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านกาแฟ ห้ามคนนั่งกินที่ร้านทำให้ธุรกิจชะงักทั้งประเทศ ความอันตรายของไวรัสทำให้ไม่มีใครอยากออกไปอยู่ใกล้ชิดคนอื่น รัฐบาลขอร้องให้ทุกคนอย่ารวมตัวกัน อย่าอยู่ใกล้กัน ให้ทำ social distancing หรือห่างกันประมาณ 2 เมตรเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และคำสั่งปิดเริ่มต้นในเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ซึ่งผ่านมาเดือนเศษ เรายังไม่พบแสงสว่างว่าอะไรจะดีขึ้น แต่ความเสียหายก่อตัวสะสมมากมาย

IMG_20200408_112524

โรงเรียนโดนสั่งปิด ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กนักเรียน และไม่เห็นวี่แววว่าจะเปิดเทอมได้ตามปกติ วันนี้รัฐบาลมีประกาศเลื่อนวันเปิดเทอมออกไป จากที่เคยเปิดกลางเดือน พ.ค. มาตลอดหลายสิบปี ก็เลื่อนไปเปิดวันที่ 1 กค. 2563 มันมีความหมายว่าเราอาจจะไม่ได้เปิดเทอมกันจริงๆถ้าสถานการณ์การระบาดของไวรัสยังไม่หายไป

การทำงานของผู้ใหญ่ปรับเปลี่ยนมาเป็น Work From Home หรือทำงานที่บ้าน คนหลายแสนคนที่ยังมีงานทำต้องทำงานจากที่บ้าน ทำงานผ่านอินเทอเน็ต และเด็กนักเรียนก็มีแนวโน้มว่าจะต้อง Learn From Home เช่นกัน มีโรงเรียนนานาชาติบางแห่งยังไม่ปิดเทอม ก็ปรับเปลี่ยนไปสอนผ่านอินเทอเน็ต เพราะรัฐบาลสั่งห้ามเข้าโรงเรียน ครูอนุบาลจนถึงครูมหาวิทยาลัยห้ามเข้าโรงเรียน การเรียนการสอนที่ค้างคาไว้ก็ต้องไปเรียนผ่านอินเทอเน็ตทั้งหมด แม้แต่โรงเรียนกวดวิชาที่โดนสั่งปิดชั่วคราวก็ต้องปรับตัว ลูกผมก็มีเรียนภาษาอังกฤษค้างอยู่ โรงเรียนสอนก็เลยให้ทดลองเรียนผ่านอินเทอเน็ตดู

ทุกคนใหม่กับการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ครูผู้สอนก็พูดจาเสียงดังทำให้เสียงที่นักเรียนได้ยินก็แตกพล่า บางคำฟังไม่รู้เรื่อง เด็กเล็กหลายคนก็ไม่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ ใช้เม้าส์และคีย์บอร์ดยังไม่เป็นเลย แต่ทุกคนก็ต้องเริ่มต้นกับการเรียนออนไลน์ ข้อดีของการเรียนออนไลน์ก็คือ พ่อแม่ได้เห็น ได้รู้ว่าครูสอนอะไร สอนอย่างไร เพราะสามารถนั่งดูเด็กเรียนได้ตลอดเวลา ส่วนข้อเสียของการเรียนออนไลน์ก็คือ พ่อแม่ต้องมานั่งดูด้วยเพื่อคอยแก้ไขปัญหาการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เด็กบางคนยังไม่เข้าใจ ยังไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ และหากพ่อแม่ต้องทำงานหลัก จะเอาเวลาไหนมาเฝ้าเด็กตลอดเวลาที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ปัญหานี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เราคงต้องเรียนรู้และรับมือกันไปวันต่อวันก่อน

2020-04-12_12-31-21

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากคือ ระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ เพราะเดิมทีโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ในห้องทำงานก็เป็นของสำหรับผู้ใหญ่ ให้เด็กมาใช้ก็จะไม่พอดี เก้าอี้ตัวใหญ่ เด็กนั่งแล้วขาลอย ทำให้ขึ้นนั่งลำบาก ส่วนโต๊ะก็สูงเกินไป ความสูงของเบาะเก้าอี้ก็ออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ พอเด็กมานั่งก็ไม่พอดี จะหาหนังสือมากองรวมกันแล้วเอาไปใช้รองนั่งเพื่อให้สูงขึ้นก็ดูเป็นอันตรายกับคนนั่ง

ขอบฟ้าอ่านหนังสือ

12มิถุนายน2562
13ตุลาคม2562
13พฤศจิกายน2562

เที่ยวแก่งกระจาน กางเต๊นท์นอนที่แค้มป์บ้านกร่าง

ผมกับภรรยาพาลูกเที่ยวรอบนี้ เราพาลูกไปนอนเต๊นท์กันที่แค้มป์บ้านกร่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

IMG_20191216_102608

แก่งกระจานผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยเด็กที่เคยได้มาเที่ยวก็แวะมาเที่ยวเขื่อนแก่งกระจานหลังจากที่เที่ยวทะเลชะอำเสร็จแล้ว ส่วนสมัยเรียนหนังสือชั้นมัธยมโรงเรียนก็มีพาไปค่ายนอนพักริมทะเลชะอำแล้วขากลับแวะมาเที่ยวเขื่อนแก่งกระจาน ตอนทำงานเองแล้วนัดกับเพื่อนมาหัดถ่ายรูปทะเลหัวหิน ขากลับก็แวะเที่ยวเขื่อนแก่งกระจาน ตลอดชีวิตที่มีเวลาเหลือเฟือตอนนั้นรู้จักแค่เพียงว่า แก่งกระจานคือเขื่อน รู้แค่นั้นเอง

เพื่อนในกลุ่มถ่ายรูปอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นนักเดินทาง ชอบเที่ยวป่าก็เคยเล่าให้ฟังว่า ที่แก่งกระจานไม่ได้มีแค่เขื่อน มีผีเสื้อให้ดูเป็นล้านตัวแบบที่ไม่มีที่ไหนในประเทศ มีพะเนินทุ่งที่ต้องใช้รถโฟวิลเข้าไปเท่านั้น มีทะเลหมอกด้วย ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้เลย หลังจากที่ได้ข้อมูลใหม่ก็เลยตั้งใจว่าถ้าลูกโตพอจะพาลูกไปบ้าง และจะไปกางเต๊นท์นอนด้วย เพื่อให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆทั้งพ่อแม่ลูกเลย

20191214125507_IMG_0007
แวะกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารวิโรจน์ ้ ร้านหน้าเขื่อน มีวิวเขื่อนให้ดู

เราเริ่มต้นตอนเช้าที่ย่านบางขุนนนท์ ใช้เส้นทางบรมราชชนนีไปทางพุทธมณฑลสาย4 แล้วไปออกมหาชัย ไปต่อที่ถนนพระราม2 และไปเรื่อยๆตามทาง ไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษม ขับไปถึงจังหวัดเพชรบุรี เลี้ยวขวาเพื่อเลี้ยวเข้า อำเภอท่ายาง แล้วขับตามป้ายแก่งกระจาน สุดท้ายเรามาถึงเขื่อนแก่งกระจาน บริเวณที่ทำการอุทยาน หาข้าวมื้อกลางวันกินแถวนี้ แล้วก็ขับรถต่อไปยัง แค้มป์บ้านกร่างซึ่งเป็นจุดที่เราจะกางเต๊นท์ รอบนี้ผมยังไม่ไปพะเนินทุ่ง เพราะไม่มีรถโฟวิล ผมขับรถฮอนด้าฟรีด ไม่เหมาะจะลุยไปตามทางป่าหรือทาง offroad

20191214144707_IMG_0042
IMG_20191214_221659

เราถึงแค้มป์บ้านกร่างประมาณบ่ายสองโมง ที่ทางเข้าเราจ่ายค่าธรรมเนียมค่าบริการต่างๆ แล้วเจ้าหน้าที่จะให้กรอกแบบฟอร์มใบหนึ่งสำหรับคนที่จะมากางเต๊นท์ แบบฟอร์มนี้ระบุชื่อและจำนวนคน จากนั้นเมื่อเราเข้าไปถึงที่ทำการหน้าแค้มป์เราก็ไปยื่นแบบฟอร์มให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่คงเก็บแบบฟอร์มเอาไว้เพื่อคอยเช็คจำนวนคนว่ามาสามแล้วกลับสาม ออกไปครบคนไหม น่าจะเป็นจุดประสงค์เรื่องความปลอดภัย เพราะอุทยานแห่งชาติก็คือป่านั่นเอง ระหว่างทางที่ขับไปก็ผ่านถนนสวยๆ ผ่านอุโมงค์ต้นไม้ เราแวะถ่ายรูปกันอยู่สองจุด มีป้ายบอกตลอดทางให้ระวังสัตว์และระวังเรื่องทางชัน การขับรถขึ้นเขาต้องใช้เกียร์รถยนต์ให้เป็น ต้องรู้จักใช้เกียร์ต่ำในการขับขึ้นทางชัน รถเก๋งสามารถผ่านไปได้ไม่ยาก แต่ต้องเข้าใจการเปลี่ยนเกียร์เล็กน้อย

20191214160435_IMG_0068
เต๊นท์พ่อแม่ลูกที่ได้รับความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยวข้างๆกัน

ขั้นตอนการกางเต๊นท์เองก็เป็นเรื่องมึนงงสำหรับคนไม่เคยทำ ผมเคยกางเต๊นท์เองเมื่อปีก่อน เป็นเต๊นท์ที่ยืมมาจากเพื่อน รอบนี้ก็ยืมเพื่อนเหมือนเดิม เพราะในอดีตไม่เคยเที่ยวแบบกางเต๊นท์ ส่วนใหญ่ผมจะเที่ยวแบบนอนสบายมากกว่า พ่อแม่ลูกกางเต๊นท์กันช้ามาก จนกลุ่มที่กางเต๊นท์อยู่ข้างๆมาช่วย ทำให้เสร็จเร็วขึ้น และเต๊นท์ของเราก็กางสำเร็จ จัดของวางของพร้อมที่จะทำอาหารเย็นแล้ว

20191214163953_IMG_0142
ลานกางเต๊นท์ติดกับจุดจอดรถ ขนของสะดวกมาก

ในแค้มป์บ้านกร่างเป็นจุดกางเต๊นท์ที่มีลานจอดรถไม่ห่างจากลานกางเต๊นท์ และมีลำธารอยู่ข้างที่กางเต๊นท์เลย ทางไปลำธารจะมีโป่งดินที่มีผีเสื้อมาเกาะเยอะมาก ในเวลาฤดูร้อนจะมีผีเสื้อมหาศาล สวนหน้าหนาวอากาศเย็นผีเสื้อแทบไม่มีเลย ที่เห็นด้วยตาน่าจะไม่ถึง 100 ตัว และผีเสื้อตัวใหญ่ๆสีสวยๆก็ไม่มีให้เห็นเลย

20191214161251_IMG_0085
ลำธารเย็นๆ กับแสงแดดตอนสี่โมง เป็นช่วงเวลาแสงสวยที่สุดของวันนี้เลย

แม่กับลูกเดินเล่นน้ำในลำธาร อากาศเย็นมากสำหรับช่วงเวลาที่เราเลือกมาเที่ยวที่แค้มป์แห่งนี้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมากรุงเทพก็อากาศเย็นมาก เย็นจนเหมือนไปเดินเที่ยวญี่ปุ่น อุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงเทพ 7 วันที่ผ่านมา กลางวัน 25องศา ตอนเช้ามืด 17องศา ส่วนที่แค้มป์บ้านกร่าง ก็เย็นกว่ากรุงเทพ ตอนกลางคืนน่าจะประมาณ 15 องศา

20191214161856_IMG_0124
แดดสี่โมงเย็นกับลำธาร และแนวต้นไม้ด้านหลังที่รับแสงพอดี

เรารีบอาบน้ำกันก่อนจะค่ำ เพื่อไม่ให้อากาศเย็นเกินไป เพราะแค่นี้ก็เย็นมากแล้ว ลูกผมใจแข็งมากสามารถอาบน้ำได้ตลอดรอดฝั่ง ตอนผมอาบเองเพิ่งจะรู้ว่าน้ำเย็นแค่ไหน ตอนยังไม่โดนน้ำเราก็หนาวกันอยู่แล้ว ยิ่งโดนน้ำยิ่งหนาว ทีแรกนึกว่าจะเหมือนกรุงเทพเหมือนตอนอยู่บ้านที่ว่าเวลาอาบน้ำเย็น ถ้าเราโดนน้ำต่อเนื่องสักพักร่างกายเราจะทนความเย็นได้และจะอาบน้ำได้ไม่รู้สึกหนาว แต่ที่แค้มป์นี้ตรงกันข้าม น้ำเย็นมาก โดนเมื่อไหร่ก็หนาวเมื่อนั้น พอหยุดอาบก็จะหนาวน้อยลง ไม่มีคำว่าร่างกายชิน สรุปว่าอาบให้จบเร็วแล้วรีบเช็ดตัวรีบใส่เสื้อผ้าจะได้ไม่หนาวมาก

20191214175620_IMG_0165

อาหารเย็นวันนี้เราเตรียมเตาแก๊สปิ๊กนิกเอาไว้ มีของสดและมาม่าติดมาทำกินกัน สอนลูกต้มน้ำ ต้มมาม่า ใส่ลูกชิ้น ใส่ปูอัด ใส่สิ่งที่อยากกิน มีลูกชิ้นปิ้งด้วย ทุกอย่างอร่อยและสนุก อาจจะเป็นเพราะหิวด้วย อาจจะเป็นเพราะทำเองด้วย พวกเรานั่งกินนั่งคุยนั่งเล่นกันถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก มันเป็นเวลาคุณภาพจริงๆ

20191214180605_IMG_0175
20191214180613_IMG_0176
กินอย่างสบายอารมณ์ เด็กที่ซนเป็นลิงสามารถนั่งนิ่งๆได้ เดาว่ากำลังสบายใจสุดๆ

เด็กที่ซนมากอย่างขอบฟ้า ชอบเล่น ชอบออกกำลัง หยิบจับสิ่งของรวดเร็วและไม่ระวัง แต่ก็มีเวลานั่งนิ่งๆดูวิวต้นไม้ อากาศเย็นสบาย ใส่เสื้อผ้าอบอุ่น กินไปจนหมดชาม เป็นชั่วโมงที่พ่อกับแม่ดีใจมากที่ประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์ที่ลูกชอบ จากการสอบถาม ขอบฟ้าชอบลำธาร ชอบป่า ชอบอากาศเย็น จบจากมื้อเย็นเราเก็บล้างและเข้าเต๊นท์เล่นเกมส์เศรษฐีกันอีกเป็นชั่วโมง จนค่ำๆอากาศเย็นลงเรื่อยๆ เราเตรียมถุงนอนมาคนละใบ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้นอนขดในถุงนอนได้ตลอดคืน

20191214191956_IMG_0181
IMG_20191215_024807
อากาศเย็นมาก ดูอุณหภูมิจากมือถือที่แสดงค่าของพื้นที่นี้ประมาณ 18องศาตอนเข้านอน ส่วนกลางดีกไม่ได้ดูแล้วแต่หนาวมากยิ่งกว่าตอนเข้านอนเยอะ
20191214184846_IMG_0180
เต๊นท์ที่พร้อมจะนอน ไฟในเต๊นท์เป็นตะเกียง LEDที่แขวนไว้ในเต๊นท์

ภาพเต๊นท์ตอนใกล้ๆค่ำ สภาพจริงๆคือแสงกำลังจะหมด มองด้วยตาทุกอย่างกำลังจะสีดำ มีเพียงแสงจากเต๊นท์และตะเกียงจากเต๊นท์อื่นๆ ผมตั้งกล้องบนก้อนหิน ปรับจุดโฟกัสไว้ที่เต๊นท์ ตั้งให้กล้องวัดแสงอันเดอร์ 1 สต๊อปเพื่อให้โทนภาพสีเข้ม แต่ยังไม่มืดดำจนไม่เห็นรายละเอียด ถ่ายภาพกลางคืนต้องพยายามทำให้รายละเอียดฉากหลังยังมีอยู่ หากดำเกินไปภาพจะดูขาดบรรยากาศ ตอนกลางดึกผมปลุกลูกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ กลางดึกนี้หนาวสุดๆ ถ้าให้เดาน่าะสัก 15องศา

20191215073936_IMG_0185

เช้าวันใหม่กับอากาศเย็น 18องศา เราออกไปเดินเล่นที่ลำธารอีกครั้ง ลำธารใกล้ๆตอนเช้าไม่มีคนเลย ขอบฟ้าอยากไปดูน้ำ เราก็ไปนั่งเล่นถ่ายรูปเล่นกัน มีนกตัวใหญ่ๆเกาะอยู่ให้มอง แสงแดดเริ่มส่อง ต้นไม้ใบไม้เริ่มแสดงสีสันของตัวเองบรรยากาศตอนเช้าดีสุดๆ

IMG_20191215_210919
IMG_20191215_184837
20191215081214_IMG_0230
20191215080252_IMG_0218

ตอนเช้าในลานกางเต๊นท์มีแต่กาแฟและควันจากเตาไฟจางๆ ควันลอยขึ้นไปโดนแสงแดดที่ส่องทะลุใบไม้ลงมาเกิดเป็นภาพแสงยามเช้าที่ดูเหือนภาพวาดในนิทาน ช่างภาพที่มีกล้องอยู่ในมือก็เก็บภาพมาตามสัญชาตญาณ แสงแบบนี้นี่เองที่ต้องมีอยู่ในภาพยามเช้า

20191215082223_IMG_0248

แสงเช้าที่ส่องผ่านใบไม้ มองไปทางไหนก็มีมุมน่าสนใจให้ถ่ายภาพ การถ่ายภาพธรรมชาติเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะเราคาดเดาไม่ได้ว่าเราจะเห็นอะไรสวยบ้าง คนที่ถ่ายภาพชีวิตลูกมายาวนานหลายปี ไม่ค่อยมีเวลามองธรรมชาติอย่างผมก็รู้สึกดีกับสิ่งที่เห็นในอุทยาน ฟ้าใส แดดสวย ต้นไม้มีชีวิตชีวา ป่าเราสมบูรณ์และน่าหวงแหนมาก

IMG_20191215_185505

หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วเราก็ทะยอยเก็บเต๊นท์ ขอบฟ้าช่วยเก็บเต๊นท์อย่างตั้งใจ ความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วม ตั้งแต่การยกของ จัดเต๊นท์ ทำอาหาร จนถึงเก็บทุกอย่างเป็นนิสัยการเดินทางท่องเที่ยวที่ดี มีนกกระยางแวะมารอกินอาหารเหลือๆจากเต๊นท์ต่างๆ ขอบฟ้าวิ่งไล่จับอยู่นานเลย

20191215102828_IMG_0276

ขอบฟ้าขอกล้องไปถ่ายเล่น ขอบฟ้าอยากได้ภาพนกมาก แต่ก็ไม่สามารถถ่ายได้อย่างถูกใจ ผมอธิบายให้ลูกฟังว่าการถ่ายภาพนกเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยถ่าย และแม้ว่าจะเคยหัดถ่ายแล้วก็ต้องใจเย็นด้วย ยิ่งเราใจร้อนวิ่งตามนกเราจะไม่ได้ภาพเลย ขอบฟ้ายังไม่เข้าใจ ผมเลยเล่าให้ฟังว่าผมเคยถ่ายมาแล้ว เดี๋ยวจะพาไปถ่ายภาพนกที่บางปู ที่นั่นมีนกเยอะและมีให้ขอบฟ้าหัดถ่ายอย่างเหลือเฟือ

IMG_20191215_103645
IMG_20191215_194313

เราออกเดินทางจากแค้มป์บ้านกร่างประมาณ 11 โมง และขับรถกลับไปที่เขื่อนเพื่อไปเที่ยวที่สันเขื่อน บนเขื่อนแก่งกระจานจะมีสันเขื่อนให้ขับรถขึ้นไปได้ และเราสามารถชมวิวและถ่ายรูปได้ตามใจ เขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และใช้ผลิตไฟฟ้าด้วย เราถ่ายรูปกันสักพักก็ลงมากินมื้อเที่ยง แล้วเดินทางกลับกรุงเทพ

IMG_20191215_115153
IMG_20191215_203449
IMG_20191215_203435

บันทึกการเดินทางด้วยรถยนต์ด้วย ผมเติมน้ำมันที่ปั๊มแถวบ้าน แล้วตั้งระยะทางเป็น 0 เมื่อมาถึงจุดจอดรถที่แค้มป์บ้านกร่าง หลักกิโลในหน้าจอแสดงผลไว้ที่ 228.3 กิโลเมตร และเมื่อขับรถกลับมากรุงเทพจอดรถในบ้าน หลักกิโลเมตรแสดงตัวเลข 452.9 กิโลเมตร ระยะทางขาไป กับขากลับ เกือบจะเท่ากันเลย รถฮอนด้าฟรีด เติมน้ำมัน e20 อัตราสิ้นเปลืองหน้าจอแจ้งไว้ 13.6 กิโลเมตรต่อลิตร

ภาพถ่ายครึ่งตัว

การถ่ายภาพคนให้ดูแปลกตา เราจำเป็นต้องมีเทคนิคการถ่ายภาพที่แตกต่างไปจากภาพทั่วไป ซึ่งรวมไปถึงการจัดแสงให้ตรงกับสิ่งที่ใจคิดด้วย

ในห้องนอนปกติ แสงสว่างในห้องรวมถึงโคมไฟ ทุกอย่างส่องสว่างทำให้เห็นรายละเอียดของห้องตามที่ตาเห็น ภาพเด็กในห้องนอนเมื่อถ่ายโดยไม่คิดถึงผลพิเศษ เพียงเราวัดแสงพอดีในภาพ เลือกรูรับแสงกว้างเพื่อให้ฉากหลังเบลอ เลือกสปีดชัตเตอร์ที่สูงพอให้มือกดถ่ายแล้วภาพไม่สั่น เลือก iso ของกล้องให้สูงเพียงพอจะทำให้สปีดในการถ่ายภาพสูง ทั้งหมดให้ภาพที่ดูชัด สว่าง และเห็นเกือบทุกอย่างในห้อง

20191203204520_IMG_9964

หลังจากถ่ายภาพแรกเสร็จแล้ว ก็สังเกตุว่า ผนังห้องด้านหลังได้รับแสงน้อยกว่าตำแหน่งที่เด็กยืน ทำให้ความสว่างของตัวแบบมีค่าสูงกว่าฉากหลังหลายสต๊อป นั่นหมายถึง ถ้าเราถ่ายภาพให้แก้มเด็กรับแสงพอดี ด้านหลังจะมืดจนเกือบดำ และถ้าเราปิดไฟกลางห้องให้ห้องมืดลง ด้านหลังจะดำสนิทไปเลย เหลือแต่เพียงตัวเด็กเท่านั้นที่ปรากฏในภาพ

20191203204637_IMG_9966

ก็เลยจัดการถ่ายภาพแนวนอนเอาไว้ ให้เห็นว่า ด้านหลังดำไปแล้ว ส่วนตัวเด็กได้รับแสงแค่พอเห็นแก้ม ครึ่งหน้าด้านซ้ายโดนแสงจากโคมไฟจะเห็นรายละเอียด ครึ่งหน้าด้านขวาไม่โดนแสงโคมไฟก็จะกลายเป็นเงาดำ ตัวโคมไฟและเสาโคมไฟก็ติดมาในภาพด้วย เจตนาเก็บไว้ในภาพเพื่อให้เห็นว่าแสงสว่างมาจากไหน ตำแหน่งการวางเป็นอย่างไร

49166063408_698d38f6d2_o

และในขั้นตอนต่อไปก็คือการลบโคมไฟออกจากภาพ เพื่อให้พื้นฉากหลังเป็นสีดำทั้งภาพ กลายเป็นภาพถ่ายที่สมบูรณ์ สามารถนำไปอัดภาพ หรือ คร็อปใส่กรอบภาพได้ เป็นภาพถ่ายบุคคลแนวหนึ่ง ในวงการถ่ายภาพเรียกการจัดแสงแบบนี้ว่า โลว์คีย์ หรือ low key คือภาพที่มีความสว่างน้อย แต่ไม่ใช่ภาพอันเดอร์หรือรับแสงไม่พอ

2019-12-04_03-53-59

ตอนถ่ายผมบอกลูกว่า เดี๋ยวขอให้ลูกยืนใกล้ๆโคมไฟนะครับ พ่อจะถ่ายภาพครึ่งหน้า ให้ครึ่งหน้าโดนแสง อีกครึ่งหน้าจะมืดๆ แล้วเราจะเห็นภาพครึ่งตัวของจริง และเมื่อตัดวัตถุต่างๆในภาพให้หายไปแล้ว ก็แปลงเป็นสีขาวดำซะเลย ก็จะได้ภาพแนวลึกลับเท่ห์ๆมาดู ภาพแนวนี้บางครั้งเราก็เห็นว่าถูกนำไปใช้ในโปสเตอร์หนัง หรือไม่ก็เป็นภาพขึ้นปกนิตยสาร เพราะมันเป็นอารมณ์การถ่ายภาพที่ดูมีวัตถุประสงค์ ไม่ดาดดื่น และดูมีความตั้งใจจะนำเสนอ เป็นงานศิลปะที่ใส่ความคิดก่อนลงมือทำ

ทากาวซ่อมหนังสือปกหลุด

หนังสือที่ทำขายกันตามร้านค้า อย่างหนังสือแม็กกาซีน และหนังสือนิทาน ส่วนใหญ่จะมีการทำเล่มหรือเย็บเล่มด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ การไสกาว และการเย็บแม็กซ์ หากเราไม่เห็นแม็กซ์ นั่นก็น่าจะเป็นการไสกาว

หากหนังสือพังจากการที่ปกหลุด เนื้อในหนังสือหลุดออกจากกัน นั่นก็เป็นเพราะกาวอาจจะเสื่อม หรือ ติดไม่แน่นตั้งแต่ต้น รวมไปถึงการใช้งานที่ยาวนานก็ทำให้หนังสือโทรมและง่ายต่อการหลุดเป็นแผ่นๆ อาการปกหลุดของหนังสือไสกาวสามารถแก้ด้วยการทากาวเข้าไปใหม่แล้วติดปกเข้ากับกาว

กาวที่ใช้ในโรงพิมพ์เป็นกาวทำจากยาง กาวชนิดนี้จะเป็นเม็ดและเมื่อใช้งานจะถูกทำให้ร้อนทำให้กาวเม็ดละลายกลายเป็นของเหลว และกาวเหลวๆก็จะถูกทาไปบนสันหนังสือ เมื่อมันถูกติดกับกระดาษ และกาวถูกทำให้เย็นลงมันก็จะติดแน่น

หนังสือที่ปกหลุดเราก็สามารถซ่อมได้ด้วยการทากาวร้อนๆไปบนสันหนังสือ เพื่อให้กาวร้อนไปละลายกาวตัวเก่าที่ติดอยู่กับสันหนังสือให้ร้อนเหมือนกัน ความร้อนจะหลอมกาวใหม่กับกาวเก่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน และเราก็ติดปกลงไปบนกาว เมื่อกาวแห้งหนังสือก็จะกลับมามีปกที่แข็งแรงเหมือนหนังสือใหม่

เพิ่มเติมวิธีเข้าเล่มหนังสือแบบไสกาวโดยเครื่องไสกาว เราจะพิมพ์ปกเป็นแผ่นแยกเอาไว้ ส่วนเนื้อในหนังสือจะตัดปลิวเป็นแผ่นๆ แล้วเรียงหน้าให้ครบเล่ม จากนั้้นจะวางปกไว้บนเครื่องโดยเอาส่วนกลางที่จะติดกาววางไว้ตามแนวเคลื่อนที่ของเครื่อง เนื้อในของหนังสือจะวางไว้ด้านซ้ายของเครื่อง จะมีเหล็กบีบเนื้อในให้ทุกหน้าเรียงชิดติดกัน แล้วเหล็กที่หนีบนี้จะเคลื่อนที่พาเนื้อในไปวิ่งผ่านมีดไสด้านล่าง กระดาษจะโดนไสเป็นรอยขรุขระ แล้วเล่มกระดาษจะไปผ่านกาวเหลวเป็นลำดับถัดไป กาวจะติดไปบนสันของเนื้อใน แล้วเครื่องก็จะไปปล่อยเนื้อในบนปกที่วางรอไว้ จากนั้นจะมีเหล็กบีบด้านล่าง จะบีบเฉพาะบริเวณสัน ทำให้กาวกระจายตัวติดกับปก แรงบีบที่สันจะทำให้สันหนังสือขึ้นเป็นสันสี่เหลี่ยม เมื่อกาวแห้งเราก็เอาไปตัดขอบหนังสือให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการเข้าเล่มแบบไสกาว

พาลูกเที่ยวเขาใหญ่ ดูดาว 2nov2019

ทริปเขาใหญ่ถูกตั้งขึ้นในวงสนทนาของกลุ่มพ่อแม่ที่ลูกเรียนห้องเดียวกัน คุยกันว่าอยากพาลูกเที่ยวร่วมกัน โดยการเที่ยวครั้งนี้เป็นหนึ่งในหลายๆครั้งของกลุ่ม แต่ครั้งนี้จะเป็นการยกโขยงไปอุทยานแห่งชาติกันเป็นครั้งแรก

พูดถึงเขาใหญ่ เราก็จะนึกถึงอากาศเย็นๆ และ การเดินป่า นั่งรถดูสัตว์ตอนกลางคืน นี่คือสามอย่างที่คาดหวัง และมีโปรแกรมเสริมเกี่ยวกับการดูดาว ซึ่งผมเองก็เป็นคนที่อาสาพาเด็กดูดาว ด้วยเหตุผลที่ผมเคยตั้งกล้องดูดาวให้ลูกดู และพ่อแม่ท่านอื่นๆในกลุ่มก็สนใจอยากดูดาวด้วย

IMG_0277

ต่างคนต่างบ้านต่างออกกันจากกรุงเทพและไปพบกันจุดแรกที่ร้านอาหารที่ทางเข้าเขาใหญ่ พ่อแม่ลูกจากประมาณ 10บ้าน มารวมตัวกัน ความฮาและความวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้น กว่าเด็กๆจะกินกันเต็มมื้อ ได้สารอาหารเพียงพอ ใช้เวลากันเป็นชั่วโมง พ่อแม่ที่ไปด้วยบางบ้านก็ต้องตามกินของเหลือของลูกด้วย

ที่เขาใหญ่แต่ละบ้านขับรถเข้าอุทยาน เราจะไปพักที่บ้านพักที่จองกันไว้ รถผมมีผู้ใหญ่สองคน เด็กสองคน เสียค่าเข้าอุทยาน 170 บาท ผมเพิ่งเคยขับรถเข้าอุทยานเขาใหญ่เป็นครั้งแรก เส้นทางจากจุดจ่ายเงินค่าผ่านทางไปถึงที่ทำการเป็นเส้นทางที่ขับขึ้นเขา และมีทางเลี้ยวที่หักศอกหักมุมพอสมควร มีจุดที่เป็นทางขึ้นเขาชันๆด้วย รถผมฮอนด้าฟรีดก็พอจะแบกคน 4 คนขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็น ผมเคยดูรายการใน youtube มา บางช่องรายการเคยพูดถึงทางขึ้นเขาใหญ่ว่า เป็นทางขึ้นที่ยากสำหรับรถกำลังต่ำ และรถตู้บางคันที่บรรทุกหนักเกินไปจะทำให้ขึ้นยาก แต่ผมก็ผ่านมาได้ด้วยดี ไม่ถึงกับต้องลุ้น

เราเดินป่าหลังที่ทำการอุทยานเป็นกิจกรรมแรก เส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นนี้ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชม. เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทากเป็นๆ และเป็นครั้งแรกของขอบฟ้าเหมือนกัน เพิ่งรู้ว่าทากมันเคลื่อนที่ยังไง และมันเกาะเราได้แน่นหนาสะบัดไม่ออกจริงๆ แถมยังมุดผ่านรองเท้าผ้าใบเข้าไปถึงเท้าเราได้ด้วย

บ้านพักในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีหลายหลัง พวกเราจองบ้านได้ 4 หลัง ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ ในบ้านมีห้องนอนเพียงพอสำหรับทุกครอบครัว สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ บ้านพักมีวิวที่ยอดเยี่ยมมาก อากาศที่เย็นสบาย กับวิวที่สวยงาม และการดูแลบ้านที่สะอาดเรียบร้อย น้ำไฟพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย นับเป็นที่พักที่ดีกว่าห้องในโรงแรมหรูเสียอีก เพราะป่าจริงๆเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรทดแทนได้ สวนดอกไม้ สวนหย่อม สวนหิน สวนน้ำตก ล้วนแต่เป็นของปลอมเมื่อเทียบกับป่าในอุทยานแห่งชาติ

IMG_0411

ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ผมก็ลังเลอยู่นานว่าจะเอาเครื่องเสียงและลำโพงที่ชอบมาด้วย ซึ่งมันก็จะเป็นลำโพงตัวใหญ่ แต่สุดท้ายก็เลือกเอาแค่ตัวเล็กมา เพราะคิดว่า เรามาอยู่กับธรรมชาติ เราก็ไม่ควรเอาเครื่องเสียงอลังการมาใช้ เลยเลือกเพียงเครื่องเล่นเพลงและลำโพงตัวเล็กที่เสียงดีถูกใจอีกตัวหนึ่งเท่านั้น และเพลงในทริปนี้ผมก็เปิดเพลงของ norah jones เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอัลบั้มเพลงที่เข้ากับบรรยากาศป่าเย็นๆที่มีกาแฟร้อนๆก็ไม่พ้นต้องเป็นชุด come away with me ซึ่เป็นอัลบั้มเพลงชุดแรกของศิลปินคนนี้

IMG_0381

ตอนกลางคืนเมื่อเมฆสลายตัว ท้องฟ้าก็มีดาวเต็มไปหมด มีดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเต็มฟ้า บางกลุ่มก็เป็นกระจุกที่ดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นในหนังสือ ชื่อดาวมีอะไรบ้างจำไม่ได้ รู้แค่ว่า มองแล้วเพลินตาดี ดาวบนฟ้าเกือบทั้งหมดจะเป็นดาวฤกษ์ มีเพียงดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเท่านั้นที่เป็นดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง และดาวทั้งฟ้าจะมีตำแหน่งที่ตายตัว มีเพียงแค่โลกเราหมุนหนีดาวต่างๆไปเรื่อยๆ แผนที่ดาวที่เป็นแผ่นกลมๆที่เราได้รับแจกจากท้องฟ้าจำลองก็จะมีตำแหน่งของดาวฤกษ์เท่านั้น ไม่มีตำแหน่งของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ นั่นเป็นเพราะ ตำแหน่งของดาวเคราะห์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่วนดาวฤกษ์ที่มีอยู่เต็มฟ้าแทบจะไม่เปลี่ยนตำแหน่งเลย และคงไม่เปลี่ยนตำแหน่งไปอีกเป็นล้านๆปี

PANO_20191103_062535

เขาใหญ่มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ ท้องฟ้าสวย อากาศดี ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาวอากาศเย็นจะยิ่งรู้สึกดียิ่งขึ้น ให้เวลาเด็กได้นั่งดูธรรมชาติ หัดวาดรูปวิวทิวทัศน์ ลงสีน้ำสบายใจ ท้องฟ้า ต้นไม้ ภูเขา ค่อยๆวาดออกมา ถ้าเราไม่มีป่า เด็กรุ่นต่อไปจะไม่มีจินตนาการเรื่องธรรมชาติเลย ภาพจำหรือภาพจริงจะไม่มีติดหัวเด็กรุ่นหลัง เราไม่ควรปล่อยให้ป่าไม้ถูกทำลาย

IMG_0316
IMG_0373

เราตั้งกล้องดูดาวเพื่อให้เด็กๆได้ดูดาวด้วยตาตัวเอง เมื่อเมฆไม่บัง ดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในช่วงเวลาหัวค่ำที่พอดูได้ในเดือนพฤศจิกายนก็จะมี ดาวพฤหัสที่ดูได้ช่วงหัวค่ำ และ ดาวเสาร์ที่จะอยู่ให้เราดูถึงเกือบเทียงคืน การได้ดูดาวสองดวงนี้เราจะได้เห็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของดาวสองดวง ดาวพฤหัสจะมีดวงจันทร์โคจรรอบดาว เราอาจจะได้เห็นจุดสว่างเล็กๆรอบดาวพฤหัส 4 จุด ส่วนดาวเสาร์ก็เป็นดาวที่มีวงแหวน แค่เราได้เห็นด้วยตาตัวเองเราก็จะยิ่งมั่นใจในวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งที่เราเห็นจะเหมือนสิ่งที่กาลิเลโอเห็นเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว การสังเกตการณ์บนท้องฟ้าและอวกาศพาให้โลกเราพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ความสะดวกสบายในเทคโนโลยีต่างๆมาจากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงๆจัง และดาวเคราะห์สองดวงที่เราจะส่องกันก็น่าสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆได้บ้าง

หัดทำข่าวที่ kidzania

เวิร์คช็อปหนึ่งที่น่าสนใจใน Kidzania ซึ่งเป็นสนามเด็กเล่นระดับหรูหราของคนเมืองก็คือ การทำงานสำนักข่าว หรือสำนักพิมพ์ โลกของสิ่งพิมพ์เมื่อ 20ปีที่แล้วเป็นยุครุ่งเรืองของธุรกิจสิ่งพิมพ์ โรงพิมพ์และสำนักพิมพ์เฟื่องฟูมาก สำนักข่าวเป็นอาชีพที่เท่ห์และสนุก ช่วงวัยรุ่นของผมที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการสอบเอนทรานซ์ คณะ นิเทศศาสตร์ และ วารสารศาสตร์ คือหัวแถวของนักเรียนที่ต้องการมีอาชีพในวงการสื่อมวลชน เด็กที่เรียนคณะนี้จะต้องฝึกฝนถ่ายรูปด้วย เพราะเพื่อนผมที่เรียนอยู่วารสารฯเขาถ่ายรูปเก่ง และมีอาชีพรับจ้างถ่ายภาพด้วย โดยเฉพาะงานรับปริญญาที่บัณฑิตที่จบการศึกษาต่างก็ใช้เงินกับการถ่ายภาพจำนวนมากเกือบเท่าเงินเดือนเดือนแรก ส่วนผม สนใจงานสื่อและงานถ่ายภาพเหมือนกัน แต่ผมเรียนวิศวะ

สิ่งพิมพ์ตัวแรกที่ผมเคยทำคืองานทำป้ายโปสเตอร์ของโรงเรียน ผมทำในสมัยเรียนมัธยมปลาย ยุคนั้นที่เราต้องใช้การตัดแปะตัวหนังสือลงบนกระดาษใบใหญ่ๆ ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้เหมือนปัจจุบัน เพราะคอมพิวเตอร์ที่พอจะทำงานสิ่งพิมพ์ได้จะมีราคาแพงกว่ารถยนต์ คนออกแบบจะต้องแนบภาพถ่ายไปกับกระดาษอาร์ตเวิร์ค แล้วบอกโรงพิมพ์ว่า เอาภาพวางในช่องนี้ แล้วโรงพิมพ์ก็จะจัดการเอาภาพไปแยกสี ทำเป็นเพลทสำหรับพิมพ์ในโรงพิมพ์ พอได้โปสเตอร์ออกมาเป็นกระดาษก็ถือว่าจบขั้นตอนการทำสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งผมก็คิดไปเองว่านี่แหละคือส่วนหนึ่งในอาชีพสื่อสารมวลชน

ผ่านมายุคอินเทอเน็ต สื่อสิ่งพิมพ์เปลี่ยนรูปแบบ โรงพิมพ์ของสำนักข่าวปิดตัวไปตามๆกัน หนังสือพิมพ์ขายไม่ออก จากที่เคยมีหนังสือพิมพ์นับสิบยี่ห้อบนแผงหนังสือก็เหลือแค่2-3 รายเท่านั้น และแผงหนังสือก็หายไปจากข้างถนนแล้วด้วย ยี่สิบปีที่แล้วหากผมต้องการซื้อหนังสือพิมพ์ 1 เล่ม ภายใน 10 นาที ไม่ว่าจะนั่งรถ หรือ เดิน ผมจะสามารถไปถึงแผงหนังสือใกล้บ้านแล้วซื้อหนังสือพิมพ์ได้แน่ๆ แต่ปัจจุบันนี้ ให้นึกว่าต้องไปซื้อที่ไหนก็นึกไม่ออกแล้ว แต่สิ่งที่ไม่หายไปไหนคือ นักสื่อสารมวลชนที่ยังคงต้องผลิตรายการ หรือผลิตเนื้อหาอยู่ แต่ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษมากเหมือนเดิม สำนักข่าวบางแห่งทำแต่เนื้อหาให้อ่าน online เท่านั้น

การที่เด็กคนหนึ่งจะได้ฝึกทำหนังสือพิมพ์จริงๆเป็นเรื่องยาก แต่เวิร์คช็อบเล็กๆในแหล่งการเรียนรู้อย่าง Kidzania กลับมีเวทีให้ลองทำ เด็กรุ่นนี้น่าอิจฉาที่มีพื้นที่ให้ลองเล่น แถมไม่ใช่การลองแบบที่มีแต่เปลือกแบบการเล่นเป็นพนักงานดับเพลิง นั่งรถเหมือนสวนสนุกไปดับไฟปลอมๆ แต่การทำข่าวเป็นขั้นตอนจริงเลย คนออกแบบกิจกรรมนี้น่านับถือ

จากการชะเง้อมอง และ เดินตามไปดูว่าเด็กต้องทำอะไรบ้างก็เล่าได้คร่าวๆว่า พี่เลี้ยงที่นำกิจกรรมนี้จะให้เด็กได้ทำข่าว 1 ชิ้น เป็นเรื่องอะไรก็ได้ ต้องมีการตั้งประเด็นขึ้นมาว่าจะทำข่าวเรื่องอะไร ต้องจดคำถามออกมาก่อนว่าจะถามอะไรบ้าง และก็ให้ไปถ่ายรูป ไปสัมภาษณ์ นำภาพที่ได้มาวางในหน้าหนังสือพิมพ์ ข้อมูลสัมภาษณ์ต้องจดกลับมา แล้วนำข้อมูลมาเขียนประกอบภาพ

กิจกรรมนี้ไม่ได้เป็นแค่การได้เล่นกล้องถ่ายภาพ และพิมพ์ภาพจากเครื่องพิมพ์ แต่ต้องมีการจดสรุปคำถาม จดคำตอบ เรียบเรียงเป็นข้อความประกอบภาพ มันเป็นการฝึกฝนที่ครบถ้วนดี และไม่ยากเกินไปสำหรับเด็ก เมื่องานครบถ้วน พี่เลี้ยงก็จะพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ หน้าตาเหมือนหนังสือพิมพ์ ข้อมูลที่เด็กเลือกทำจะอยู่ในกระดาษใบนี้ ดูสวยงามและน่าสนุก

กิจกรรมนีใช้เวลาประมาณ 20 นาที เหมาะสำหรับเด็ก 6 ขวบขึ้นไปที่พอจะอ่านหนังสือออกบ้าง แต่ถึงอ่านและพิมพ์ข้อความเองไม่ได้ ก็เชื่อว่าพี่เลี้ยงจะทำส่วนนี้ให้ สิ่งสำคัญก็คือการได้คิดเลือกเนื้อหาเองว่าจะทำอะไร และต้องฝึกตั้งคำถามด้วย ผมคิดว่าถ้าเด็กที่โตสักหน่อยและอ่านออกเขียนได้จะได้ประโยชน์เต็มที่ ได้รู้ว่าอาชีพนักข่าวต้องทำอะไรบ้าง แม้จะเป็นแค่เรื่องเล่นๆ แต่มันก็จำลองมากจากของจริง

แม้ว่าค่าเข้า Kidzania จะแพง อาหารในนั้นก็แสนจะแพง ไม่สามารถเอาน้ำและอาหารจากข้างนอกเข้าไปได้ และ ค่าจอดรถที่พาราก้อนก็แพงมากเนื่องจากต้องจอดนาน เพราะมาตั้งแต่เช้าตอนห้างเปิด เล่นจนคุ้มแล้วออกมาฟ้าก็มืดแล้ว บิลจอดรถบอกเวลาว่าผมจอดรถไป 10 ชั่วโมง 26 นาที ทุกอย่างแพง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่จ่ายไหว สิ่งที่ได้นอกจากความสนุกของเด็กแล้ว ยังได้โอกาสในการฝึกฝนและสัมผัสกับอาชีพได้มากกว่าจินตนาการ แต่ถามว่าให้ไปบ่อยๆเอาไหม ไม่เอาครับ เพราะกิจกรรมบางอย่างมันเล่นครั้งเดียวก็พอรู้ ไม่จำเป็นต้องซ้ำ