
ขอบฟ้า ไปเที่ยวภาคสนามกับที่โรงเรียนในวันจันทร์ที่ 4 ธค 2560 ที่ three little pigs farm โดยวันอาทิตย์ก่อนหน้าวันเดินทาง ขอบฟ้าบอกกับแม่ว่า ไม่อยากไป ดูแล้วไม่สนุก และบอกว่าที่นี่น้ำเยอะ ขอบฟ้ากลัวตกน้ำ

ขอบฟ้า ไปเที่ยวภาคสนามกับที่โรงเรียนในวันจันทร์ที่ 4 ธค 2560 ที่ three little pigs farm โดยวันอาทิตย์ก่อนหน้าวันเดินทาง ขอบฟ้าบอกกับแม่ว่า ไม่อยากไป ดูแล้วไม่สนุก และบอกว่าที่นี่น้ำเยอะ ขอบฟ้ากลัวตกน้ำ
สุดสัปดาห์เ้ป็นเวลาครอบครัวที่จะหากิจกรรมทำร่วมกัน การขับรถเดินทางไปเที่ยวสักที่หนึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้บ่อยๆ และเป็นการใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนานทั้งวัน ฟาร์มควายแห่งนี้อยู่ในความสนใจของแม่ลูกมาหลายสัปดาห์ สิ่งที่คาดหวังจากฟาร์มแห่งนี้คือประสบการณ์การปลูกต้นไม้ การทำพิซซ่า และการทำไอศครีม
มินิมูร่าห์ฟาร์ม เป็นฟาร์มควาย ข้อมูลของสถานที่เล่าประวัติไว้คร่าวๆ มีผลผลิตเป็นนมควาย มีการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ให้กับเด็กๆ เป็นความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตร อย่างการปลูกข้าว ปลูกต้นไม้ การทำอาหาร และมีสัตว์เลี้ยงให้เด็กดู
มินิมูร่า อยู่ที่ฉะเชิงเทรา เดินทางจากกรุงเทพประมาณ 1 ชม. ค้นหาใน gps หรือ google map ก็ไปได้ไม่ยาก เมื่อไปถึงแล้วก็พบว่า สถานที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีพื้นที่จอดรถกว้างขวาง และกิจกรรมที่รองรับนักท่องเที่ยวก็มีหลากหลาย
กรงเลี้ยงสัตว์เล็กๆน้อยๆ มีสัตว์อยู่ไม่มาก ให้ความเพลิดเพลินกับเด็กได้เป็นอย่างดี เหมือนเลี้ยงไว้รับแขก ให้พอดูเล่น ให้ป้อนอาหารได้บ้าง
แครอทสำหรับกระต่ายและกวาง
ให้นมด้วยเด็กๆตื่นเต้นมาก
มีส่วนที่เอาไว้เลี้ยงไส้เดือนด้วย เด็กๆกล้าจับ ผู้ใหญ่ไม่กล้า
ได้ปลูกต้นไม้ติดหน่อย กระถางระบายสี แล้วเอาต้นไม้กับดินมาลง มีเจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับการเตรียมดิน ได้ความรู้เล็กๆน้อยๆ ได้ใช้เวลาระบายสีกระถางอยู่เกือบสามสิบนาที ถ้าคนไม่เยอะก็นั่งแช่ระบายไปเรื่อยๆก็ได้
เวิร์คช็อปอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมก็คือการทำพิซซ่า โดยมีแป้งให้ปั้นให้คลึงเล่น พร้อมกับเครื่องสำหรับแต่งหน้าพิซซ่า เมื่อปั้นและแต่งเสร็จแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่เอาไปอบในเตาให้ เสร็จแล้วก็ใส่กล่องถือกลับบ้านได้เลย รสชาติออกมาก็อร่อยดี ทุกคนจะทำได้รสเดียวกันหมดเพราะวัตถุดิบถูกเตรียมมาเหมือนๆกัน
นี่เป็นกิจกรรมเดียวที่อยู่ในห้องแอร์ นั่นคือการหัดทำไอศครีม วัตถุดิบสี่อย่าง ผสมๆๆๆแล้วก็คนๆๆๆๆๆ ออกมากลายเป็นไอศครีม ดูแล้วก็ทำไม่ยาก
อีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ก็คือการทำนา ที่นี่มีแปลงปลูกข้าวให้ลองทำด้วย มีเจ้าหน้าที่อธิบายขั้นตอนการปลูกข้าวทั้งหมด และมีอุปกรณ์ให้ลองปลูกจริงๆ เด็กทุกคนที่ลงมือปลูกจะต้องลงไปย่ำในนาจริงๆ ซึ่งเป็นนาที่มีน้ำอยู่เต็มแปลง
การปลูกต้นกล้าจะใช้วิธีปักต้นกล้าลงไปในแปลงนา เด็กทุกคนที่ร่วมกิจกรรมนี้จะเลอะเทอะกันแทบทั้งตัว
เลอะเทอะแต่ก็สนุก สิ่งที่เด็กเมืองไม่เคยทำ เด็กกรุงเทพเห่อกันไปหัดปลูกข้าว ได้ความรู้ ได้ความสนุก
ขอบฟ้าสนุกกับการเดินเล่นในแปลงนา ปักต้นกล้าจนเลอะไปทั้งตัว มีล้มลงไปคลุกกับน้ำจนตัวมอมแมม
และเมื่อได้ปลูกข้าวแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เล่นในพื้นที่นี้ก็คือ การเล่นสไลเดอร์โคลน ใครเล่นก็มอม สไลด์ลงมาในน้ำ ทั้งตัวและหัวจะจมมิดไปเลย ดูอันตรายเหมือนกัน กลัวจะติดเชื้อในสมองเหมือนนักร้องคนนึงที่เคยเป็นข่าวขับรถตกคูน้ำ แล้วก็ไปนอนป่วยอยู่พักนึง แล้วก็ติดเชื้อในสมอง กลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เป็นปีก่อนจะเสียชีวิต หวังว่าเด็กๆจะไม่เป็นไร
ขอจบด้วยประวัติของสถานที่แห่งนี้ครับ
ผมสอนลูกว่า จะทำอะไร ถ้าทำบ่อยๆ หัดทำซ้ำๆ จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆกิจกรรมที่ขอบฟ้าชอบทำ ผมพยายามสอนเรื่องความพยายาม ผลลัพธ์แม้ไม่ดี แต่มันทำให้เราก้าวเข้าใกล้จุดที่ดี ในวันที่ขอบฟ้าชอบรถซุปเปอร์คาร์และเริ่มอยากวาดรูปซุปเปอร์คาร์ให้สวย ผมก็สอนว่า ถ้าขอบฟ้าวาดครบ 100 ครั้ง จะวาดได้สวยมาก ขอบฟ้าถามว่า แล้วถ้า 99 ครั้งล่ะ จะเป็นยังไง ผมตอบว่า ก็เกือบสวย ขอบฟ้าถามใหม่ว่า แล้วถ้า 50 ครั้งล่ะ ผมก็ตอบว่า ก็ไปครึ่งทางแล้ว ยังไงก็ต้องสวยกว่าการวาดรอบแรกแน่นอน
ขอบฟ้าอยากวาดรูปสวย และวันนี้ ขอบฟ้าพยายามวาดไปห้าครั้ง ผมก็เลยให้ขอบฟ้าเขียนเลขกำกับไว้ที่ภาพด้วยว่า เป็นการวาดครั้งที่เท่าไหร่ ผมแอบลุ้นในใจว่า ขอให้ขอบฟ้าพยายามให้ครบ 100 ครั้งให้ได้ จะได้เป็นบทพิสูจน์ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ครบ10ครั้งแล้ว
ความชอบในเรื่องรถซุปเปอร์คาร์มีผลทำให้แม้แต่การวาดรูปในชั่วโมงเรียนขอบฟ้าก็ยังวาดโชว์รูมรถยนต์ และผลงานที่ทำเองที่โรงเรียนก็มีรายละเอียดที่ครบถ้วน แม้ว่าสัดส่วนภาพจะเพี้ยนไปบ้าง แต่รายละเอียดที่ควรจะมีเพื่อชี้บ่งว่าภาพนี้คือรถรุ่นอะไร ขอบฟ้าก็จดจำและพยายามวาดออกมาให้ได้มากที่สุด
ที่เซเว่น มุมของเล่นเด็ก ขอบฟ้ากำลังหยิบกระสอบทรายและนวมต่อยมวย
ขอบฟ้า : โพลี่ ซื้อให้หน่อยครับ
พ่อ : ขอบฟ้าอยากได้เหรอครับ
ขอบฟ้า : ใช่ รอยอยากได้
พ่อ : แต่ตอนนี้ขอบฟ้าชอบเล่นฟุตบอลนะ แล้วเมสซี่ก็ไม่ต่อยมวยหรอก (พ่อไม่อยากให้ซื้อเพราะรู้ว่าจะเห่อเล่นแค่ 15 นาทีแล้วก็วางยาว)
ขอบฟ้า : (ทำท่าคิด)
พ่อ : ขอบฟ้าเคยเห็นเมสซี่ต่อยมวยเหรอ (ยิงคำถามชี้นำเลยกะให้เห็นด้วยแล้ววางและเลิกสนใจ)
ขอบฟ้า : แต่รอยเคยเห็นชลาตันต่อยมวยนะ
พ่อ : (ขำ ขำ ฮามาก แต่เก็บอาการ) อ๋อ…… พ่อว่าเราไปซื้อเยลลี่ดีกว่า เปลี่ยนเรื่องคุยซะเลย
การถ่ายภาพสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะรูปลูกที่เราถ่ายภาพกันแทบจะทุกโอกาส หากมีโอกาสได้ถ่ายในสถานที่แห่งเดิม เราก็น่าจะเล่นสนุกกันด้วยการถ่ายภาพย้อนร้อย ตามคอนเส็บ “ที่เก่าเวลาเปลี่ยน” เพื่อให้เห็นพัฒนาการการเติบโต ซึ่งภาพแนวนี้จะน่าดูอย่างมาก เพราะได้เห็นความน่ารักของเด็กและเห็นการเติบโตจริงๆ และวัยเด็กเป็นวัยที่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายรวดเร็วมาก เวลาเพียง1 ปี จะมีความแตกต่างของร่างกายชัดเจน ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ยังคงดูเหมือนเดิมแม้จะเวลาผ่านไปหลายปี
ภาพแรกนี้ถ่ายที่อารีย์การ์เด้น เป็นพื้นที่กลางเมืองแห่งหนึ่งที่นานๆจะแวะไปสักที การแวะไปก็พกกล้องถ่ายรูปไปเดินเล่นด้วย ภาพทางซ้ายมือถ่ายเมื่อตอนขอบฟ้าอายุ 1 ขวบ ถ่ายด้วยกล้อง canon eos 6d เลนส์ 24-105f4 ช่วงซูมประมาณ 50mm ถ่ายด้วย f4 ภาพขวามือก็ถ่ายด้วยกล้องและเลนส์ตัวเดิม อาศัยว่าพอจำได้ว่าใช้อุปกรณ์ตัวไหนก็หยิบตัวเดิมออกมาถ่าย ปรับรูรับแสงเป็นค่าเดิม แล้วถ่ายภาพในมุมเดิม แต่ให้ยืนขยับไปทางขวาอีกเล็กน้อย เพื่อให้เอาภาพใหม่ไปต่อกับภาพเก่าเหมือนเป็นภาพเดียวกัน ภาพขวาถ่ายตอนขอบฟ้าอายุ 5ปี 1 เดือน
ภาพหัวจ่ายน้ำดับเพลิง ขอบฟ้าทางซ้ายถ่ายไว้เมื่อประมาณอายุ 1ปี 5 เดือน ส่วนภาพทางขวาประมาณ 2 ปี 9 เดือน ภาพขาวดำจำได้ว่าเป็นการลองถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำ ใช้กล้อง nikon fm2n ใช้เลนส์ 50มม ปรับรูรับแสงกว้างสุดที่ f1.8 ในภาพจะใส่เสื้อกันหนาวด้วยทำให้จำได้ว่าเป็นช่วงอากาศเย็นเป็นช่วงเดือนธันวาคม ส่วนภาพขวา ถ่ายตอนเดือนเมษายน2558 ที่รู้วันเวลาก็เพราะภาพดิจิทัลมีข้อมูลการถ่ายเก็บไว้ ผมใช้กล้อง canon eos 6d เลนส์ 24-105f4 เลือกปรับซูมไปที่ประมาณ 50มม.เพื่อให้เท่าภาพซ้าย แล้วเลือกระยะยืนให้วัตถุในภาพมีขนาดใกล้เคียงกัน แล้วบอกให้ขอบฟ้าไปยืนอีกด้านของหัวจ่ายน้ำ เมื่อได้ภาพมาแล้วก็มาต่อกันโดยปรับให้หัวจ่ายน้ำมีขนาดใกล้เคียงกันและวางต่อกันเหมือนเป็นภาพเดียวกัน ก็เลยได้ภาพเปรียบเทียบน่าจดจำแบบนี้
ภาพเมื่อเดือน 11 ปี 2013 เทียบกับ เดือน 11 ปี 2014
ภาพเมื่อเดือน 11 ปี 2013 เทียบกับ เดือน 11 ปี 2014
สิ่งที่ช่วยให้การถ่ายภาพ ที่เก่าเวลาเปลี่ยน ทำได้สะดวกคือการเก็บภาพไว้อย่างเป็นระเบียบ มีการจัดการภาพที่แม่นยำ สามารถเรียกหาภาพตามช่วงเวลาที่ต้องการออกมาได้ การจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบแบบนี้เป็นสิ่งที่ช่างภาพควรทำ จะทำเองด้วยฮาร์ดดิสก์ในบ้านและตั้งชื่อโฟลเดอร์ให้หาง่าย หรือ ใช้ซอร์ฟแวร์การจัดการภาพช่วยเหลือก็แล้วแต่ความถนัด ส่วนผมเลือกใช้วิธีเก็บภาพในระบบ cloud ของเว็บ flickr.com ซึ่งเป็นเว็บการเก็บภาพที่ดีที่สุดในโลก ผมสามารถหาภาพในช่วงเวลาที่ต้องการได้รวดเร็วมาก ลูกเล่นและความสะดวกเหล่านี้ควรหัดใช้ให้เป็นครับ โดยเฉพาะคนที่มีภาพจำนวนมาก
โรงเรียนเพลินพัฒนามีกิจกรรมหนึ่งที่ให้นักเรียนแต่งตัวเป็นคนในครอบครัว โดยให้เด็กเลือกว่าจะเป็นใครแล้วก็แต่งตัวเลียนแบบไปเลย ขอบฟ้า ลูกของผม เลือกจะเป็นตัวเอง คือไม่เป็นพ่อแม่หรือตายาย ไม่เป็นใครเลย จะเป็นตัวเอง แต่ตัวของตัวเองแบบขอบฟ้าจะมีกล้องถ่ายรูปที่เล่นอยู่เป็นประจำด้วย ก็เลยให้ถือกล้องไปโรงเรียน
การไปโรงเรียนแบบมีกล้องถ่ายภาพ สำหรับเด็ก 5 ขวบก็ดูจะเป็นอันตรายต่อกล้องนิดหน่อย แต่ขอบฟ้าคุ้นเคยกับกล้องถ่ายภาพมาตลอดชีวิตตั้งแต่มีลมหายใจ ตั้งแต่มือมีแรงก็หยิบจับของเล่นสารพัด และหนึ่งในหลายสิ่งก็มีกล้องถ่ายรูปของพ่ออยู่ด้วยที่หยิบมาเล่น หยิบมาถ่ายเป็นประจำ
ผมหัดให้ขอบฟ้าได้ถ่ายภาพแบบจริงจังมาสักปีกว่า คำว่าจริงจังสำหรับเด็กอนุบาลหมายถึงถ่ายภาพแล้วต้องได้ภาพ ได้ภาพคนเต็มตัว หรือ ได้ภาพคนครึ่งตัวก็ต้องได้ตามที่คิดไว้ รวมไปถึงการชื่นชอบอะไรแล้วถ่ายสิ่งของสิ่งนั้นด้วย ผลการฝึกมาหลายครั้ง ในระยะเวลาปีกว่าก็ทำให้ขอบฟ้ามีทักษะการถือกล้องถ่ายรูปที่พอใช้ได้ สามารถไหว้วานให้ถ่ายภาพคู่ของพ่อแม่ได้แล้ว นับเป็นความภาคภูมิใจเรื่องหนึ่งของพ่อและแม่
ในกิจกรรมของโรงเรียนที่ให้ขอบฟ้าติดกล้องถ่ายรูปไปโรงเรียน เป็นกล้องคอมแพ็ค kodak รุ่น c140 ที่ผมซื้อไว้เมื่อปี คศ2008 ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่พังเลย ผมชอบกล้องตัวนี้ในความเรียบง่ายและทนทาน ใส่ถ่าน AA 2 ก้อนก็ทำงานได้แล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้าน เปิดกล้องดูก็พบว่ามีภาพใหม่ๆมากมายที่ขอบฟ้าไปถ่ายมา การดูภาพถ่ายจากเด็กคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาบ้างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก เพราะเราได้เห็นโลกที่เราไม่เคยเห็น ได้เห็นมุมมองและการตอบสนองของคนในภาพ อย่างน้อย ภาพก็เล่าเรื่องว่าขอบฟ้าไปเล่นกับใครมาบ้าง และคนรอบตัวของฟ้ามีอัธยาศัยที่ดีน่ารักเพียงไร
เมื่อได้ดูจนจบวันของขอบฟ้า สิ่งที่สังเกตุและเพิ่งจะได้รับรู้ก็คือ มุมมองของเด็กที่มองผู้ใหญ่เป็นมุมเงยเสมอ แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราก็ลืมไป แอบคิดไปว่าการพูดคุยกับเด็ก หากเราย่อตัวไปคุยกับเขาในระยะที่เขาไม่ต้องเงย เราอาจได้ความไว้วางใจ ความเป็นเพื่อน และความสบายใจมากยิ่งขึ้น
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มในยุคดิจิทัลยังเป็นสิ่งที่มีลมหายใจอยู่ เมื่อก่อนในวันที่เป็นยุคทองของฟิล์ม เราถ่ายภาพ แล้วส่งล้างอัด แล้วก็ได้ภาพมาดูเป็นเล่ม มันสะดวกมากสำหรับฟิล์มสี ส่วนฟิล์มขาวดำก็ต้องล้างฟิล์มแล้วสั่งอัดภาพ แต่การอัดภาพด้วยร้านถ่ายภาพสีทั่วไป ภาพสีขาวดำก็จะออกมาดูไม่น่ามอง ภาพขาวดำที่ีสวยก็ต้องเป็นการอัดภาพลงบนกระดาษขาวดำแท้ๆเท่านั้น
แต่บางคนก็ไม่สามารถอัดภาพได้เอง ต้องอาศัยวิธีสแกนภาพแล้วดูในคอมพิวเตอร์ หรือ ดูในมือถือแทนโดยไม่ต้องอัดบนกระดาษจริง ยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค อยากมีภาพเป็นไฟล์เพื่อส่ง เพื่อแชร์ให้เพื่อนดูกันทั้งนั้น การเอาภาพจากฟิล์มขาวดำก็ต้องใช้วิธี สแกน ร้านถ่ายภาพทั่วไปก็มีบริการรับสแกน แต่ค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นกว่าเดิม ไหนๆเราก็มีกล้องดิจิทัลกันอยู่แล้ว ก็ลองใช้อุปกรณ์ของเราสแกนฟิล์มเลยดีกว่า ซึ่งกล้องดิจิทัลที่มีเลนส์มาโครหรือเลนส์ถ่ายใกล้ๆได้จะสามารถนำมาใช้สแกนฟิล์มได้ วิธีนี้ ประหยัด ไม่เสียเงินซักบาท แต่อาจเสียเงินซื้อเลนส์มาโครแทน
ให้จัดการเซ็ทอัพอุปกรณ์ตามนี้ ใช้กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ หรือ เล็กก็ได้ แต่ในภาพของผมจะใช้กล่องใหญ่เพราะตั้งใจจะใช้ถ่ายฟิล์มทั้งม้วนเลย โดยการเอากล่องขาวขุ่นมาวางพื้น แล้วเอาฟิล์มบางบนกล่อง หาของทับฟิล์มให้เรียบแนบไปกับกล่อง กล่องขาวขุ่นนี้ผมซื้อจากร้านขายอุปกรณ์แต่งบ้าน มันถูกขายเป็นถังขยะสีขาว ผมเห็นแล้วก็ถูกใจเลยสอยมาใช้ ส่วนแสงสว่างที่ส่องในกล่อง ผมใช้แฟลชเก่าๆตัวนึงที่ทำงานได้ แล้วต่อชุดส่งสัญญาณแฟลชไร้สาย หรือ ไวเลสทริกเกอร์ โดยตัวส่งสัญญาณจะเสียบอยู่กับกล้องถ่ายภาพ ตัวรับสัญญาณจะต่อกับแฟลช เมื่อเรากดถ่ายภาพ แสงแฟลชก็จะทำงาน ส่งผลให้กล่องเรืองแสง
ดูใกล้ๆก็จะเป็นแบบนี้ เราถ่ายภาพฟิล์มขาวดำด้วยกล้องดิจิทัลโดยตรงได้เลย ภาพที่ได้ก็จะเป็นภาพแบบที่ตาเห็น คือ เป็นภาพดูไม่ค่อยรูัเรื่อง สีสันก็เป็นแบบตรงกันข้าม หากเราจะสแกนภาพจากฟิล์มแค่บางภาพ เราก็ถอดฟิล์มจากซองมาวางบนกล่อง แล้วใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพซะเลย
ถ้าเราจะสแกนฟิล์มขาวดำทั้งม้วน โดยให้เรียงตัวสวยๆเหมือนภาพ คอนแท็คปริ๊นท์ หรือcontact print ก็ใช้ใช้วิธี วางซองฟิล์มทั้งซองบนกล่องขาวขุ่นนี้เลย นี่คือเหตุผลที่ผมเลือกใช้กล่องขนาดใหญ่ เพราะต้องการถ่ายภาพฟิล์มทั้งม้วน ซึ่งใช้พื้นที่ใหญ่พอสมควร กล่องใหญ่ก็จะได้เปรียบคือทำงานคอนแท็คปริ๊นท์ได้นั่นเอง
ภาพฟิล์มทั้งม้วนที่ถ่ายด้วยกล่องไฟจะเป็นแบบนี้ เมื่อถ่ายภาพได้แล้ว ก็เอาภาพ jpg ที่ได้มา ไปปรับค่าต่อในโฟโต้ช็อป โดยการสั่ง invert เพื่อกลับภาพจากดำเป็นขาว และ ขาวเป็นดำ และทำการปรับระดับสีดำ และสีขาวให้สมจริง เราก็จะได้ภาพสีปกติออกมา
แค่นี้เราก็ได้ภาพคอนแท็คปริ๊นท์ที่ดูคลาสิคมากออกมา เราสามารถปริ๊นท์ภาพนี้เก็บไว้เป็นภาพโชว์ได้เลย ขนาดภาพของคอนแท็คปริ๊นท์ในอดีตจะใหญ่เท่าจริง คือฟิล์มเรามาใหญ่แค่ไหน คอนแท็คปริ๊นท์แท้ๆก็จะใหญ่เท่านั้น
คราวนี้เราจะมาสแกนบางภาพที่เราต้องการบ้าง บางภาพที่เราต้องการนี้ก็อาจจะเป็นภาพที่เราตั้้งใจจะโพสท์หรือตั้งใจจะเอาไปอัดขยายให้ใหญ่ เราก็จะทำการถ่ายฟิล์มที่ต้องการแค่ภาพเดียว ซึ่งการถ่ายฟิล์มแค่ภาพเดียวเราจะต้องใช้เลนส์มาโคร เพื่อให้สามารถถ่ายภาพฟิล์ม 1 ภาพให้ใหญ่เกือบเต็มเฟรมของกล้องดิจิทัล
ภาพที่ถ่ายได้จากเลนส์มาโครจะทำให้เราได้ชิ้นฟิล์มค่อนข้างใหญ่ จริงๆเราสามารถใช้เลนส์มาโครระดับ 1:1 เพื่อถ่ายชิ้นฟิล์มได้ใหญ่กว่านี้ แต่ผมชอบภาพที่เห็นรูหนามเตยของฟิล์ม เพราะทำให้ภาพดูน่ามอง ดูเท่ห์กว่า ก็เลยถ่ายแบบให้เห็นขอบฟิล์มเยอะหน่อย จากนั้นก็เอาภาพมากลับสีด้วยคำสั่ง invert ในโปรแกรมโฟโต้ช็อป ซึ่งถ้าใครถนัดโปรแกรมอื่น หรือ ถนัดใช้ app ในมือถือ ก็แล้วแต่สะดวก เมื่อกลับสีแล้วก็จัดการปรับค่าดำ ค่าขาว ในภาพให้ดูสมจริง ดูเป็นภาพขาวดำปกติ
ออกมาได้แบบนี้เลย ภาพลูกชาย วันแรกที่เกิด ฟิล์ม lucky กล้องไลก้า minilux ล้างฟิล์มเอง สแกนเอง ภูมิใจเอง
เที่ยวปราณบุรี ในสงกรานต์ปีนี้เป็นการเที่ยวที่วางแผนไว้ว่าเราจะเดินทางตอนที่คนอื่นเขาเริ่มกลับกรุงเทพ วันที่ 16 เมษายนก็เลยจะเดินทางเข้าที่พัก ซึ่งปีนี้ พวกเรามาพักที่ ประเสบัน รีสอร์ตเล็กๆในปราณบุรี
สิ่งที่เตรียมตัวสำหรับทริปนี้คือ ลูกจะเล่นน้ำ เล่นทราย มีของเล่นหลายๆอย่างเอาไว้แก้เบื่อ ทั้งแบบเล่นบนรถได้ และแบบเล่นในห้องพัก ส่วนแม่ก็พกนิยายไปหลายเล่ม พ่อก็พกกล้องไปหลายตัว บางตัวใช้เป็นหลัก บางตัวใช้เพื่อให้กล้องได้ออกกำลังกายบ้างนอนนิ่งมาเป็นปีเดี๋ยวจะพังซะก่อน บางตัวขอลองเล่นถ่ายด้วยฟิล์ม มีโพลารอยด์อีกต่างหาก ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้หยิบโน้ตบุ๊คออกมาเลย
ต้องขอบคุณภรรยาผู้เตรียมการทุกอย่างรวมถึงการเลือกและจองที่พักด้วย เหตุผลที่เลือกที่นี่ก็คือ ที่นี่สวยและน่าลอง มีสระว่ายน้ำ มีหาดทราย มีทะเลสวย เพราะประสบการณ์เรื่องหาดทรายที่ปราณบุรีเราไม่ค่อยดีนัก เคยไปพักที่อื่นแล้วไม่มีหาดให้เล่น ต้องเดินข้ามถนนเพื่อไปเจอทะเลริมทางเดิน ไร้หาดทราย รอบนี้ก็เลยเลือกให้รอบคอบหน่อย
การเดินทาง พวกเราเดินทางด้วยรถคันเดิมคันเดียวคันโปรด และมีลูกน้อยที่โตจนขายาวถีบเบาะพ่อได้แล้ว เลยย้ายคาร์ซีทไปไว้ฝั่งซ้ายมือเพื่อให้พ่อไม่ต้องโดนถีบหลังระหว่างขับรถ และแม่ก็มานั่งฝั่งขวาแทน และก่อนเดินทางก็เติมพลังกันด้วยกล้วยของคุณยาย รวมถึงผมก็เติมกาแฟเข้าเส้นเลือดกันก่อน นับเป็นกาแฟเย็นถ้วยแรกในรอบเกือบสองเดือนตั้งแต่คิดจะลดน้ำหนักโดยเน้นว่าไม่กินกาแฟเย็นและน้ำหวานใดๆ
เติมน้ำมันเต็มถังที่บางขุนนนท์ ขับยาวไปถึงที่พัก ดูหลักกิโลที่วิ่งมาได้ 250 กิโลเมตรพอดี ถือว่าไกลกว่าหัวหินประมาณ 70 กิโล ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงไกลกว่ากันขนาดนี้ เวลาอ่านรีวิวปราณบุรี คนอื่นชอบเขียนว่าเลยหัวหินไป 30 กิโลเท่านั้น ถึงที่พักก็หาของกินใกล้ๆ ถามจากพนักงานในรีสอร์ตเขาแนะนำร้าน ต้นโต อยู่ใกล้ๆห่างรีสอร์ตไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ก็เลยได้มือแรกริมทะเลกันเลย
ยังไม่ทันจะได้อิ่มกันเต็มที่ขอบฟ้าก็ขอเล่นทรายแล้ว เป็นหาดทรายของร้านอาหารที่เรากิน เป็นหาดทรายที่มีพื้นที่กว้างไกล มีนักท่องเที่ยวมาเล่น kitesurf กันเป็นจำนวนมาก ฝรั่งหลายคนมาแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้และใช้วางของ ใช้เป็นจุดนัดพบเพื่อเริ่มเล่น kitesurf ลมของปราณบุรีแรงและสม่ำเสมอทำให้การเล่นดูสนุกสนานและได้รับความนิยมมาก
ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆ เจอรองเท้าก็ถ่ายรองเท้า รองเท้าแตะกับหาดทรายเป็นของคู่กัน ภาพที่ได้ก็เป็นภาพที่สื่ออารมณ์ของการท่องเที่ยว ภาพแนวนี้เก็บส่งไปขาย ได้ approved เสียด้วย รอแค่ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นรายได้สักเท่าไหร่
ก่อนจะกลับไปยังที่พักก็แวะซื้อน้ำจากรถเข็นนิดหน่อย เหตุที่ต้องซื้อก็เพราะเขามาจอดขายของที่ท้ายรถ ผมออกไม่ได้ ก็เลยซื้อแล้วชวนคุยซะหน่อย น้ำแดงมะนาวโซดา ซื้อให้ลูกและภรรยากิน แก้วนึง 20 บาท ราคาชาวบ้านมากๆ
กล้องที่ใช้คือ huawei p9 เป็นกล้องที่ถ่ายแล้วให้ภาพด้านหลังเบลอๆ บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่จะชอบ แม้ว่าบางครั้งจะดูฝืนธรรมชาติไปบ้าง แต่คนเราก็ชอบการเติมแต่งให้ดูแปลกตา ถ้ามันสวยกว่าภาพชัดทั้งภาพก็ถือว่าดี ภาพนี้ก็ดูดีพอใช้ในสายตาของผมเอง ก็ถ่ายเองก็ต้องชอบเองอยู่แล้ว
ที่พักมี 14 ห้อง ที่จอดรถด้านหน้าน้อยไปหน่อย แต่พวกเราได้จอดในที่ใต้ต้นไม้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะถ้ามีรถจอดก่อนเราสักห้าคัน เราก็ยังนึกไม่ออกว่าจะจอดที่ไหนดี แต่ตลอดเวลาที่พักสองคืน เราก็ได้จอดในช่องตลอด และเมื่อเก็บของเสร็จแล้ว ก็เล่นน้ำกันเลย ขอบฟ้าเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำมาก ชุดว่ายน้ำของขอบฟ้าไม่เคยแห้งเลยตลอดเวลาที่พักที่นี่
ประเสบันมีสระว่ายน้ำขนาดกำลังดี สระเด็กคงลึกประมาณ 90cm ส่วนสระผู้ใหญ่ประมาณ 170cm ซึ่งผมต้องยืนเขย่งสุดปลายนิ้วเท้าเลยถึงจะยืนถึง สระน้ำริมทะเลตกแต่งร่มรื่น วิวจากจุดนั่งพักริมสระและนอนดูวิวทะเลได้คุณภาพวิวระดับหรูหรา หาดทรายกว้างมาก เป็นแหล่งรวมตัวกันของคนเล่น kitesurf ตลอดบ่ายและเย็นรวมถึงจะมีบานาน่าโบ๊ตมาวิ่งตอนเย็นด้วย
การมาทะเลรอบนี้ผมพกกล้องมาหลายตัว ภาพส่วนใหญ่จะถ่ายด้วยมือถือ Huawei P9 ที่ให้คุณภาพได้ถูกใจเหลือเกิน และบางส่วนบางช่วงเวลาก็ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มอย่าง nikon fm2 ที่ติดเลนส์ 35-70 มาด้วยกันในทริปนี้ ซึ่งกล้องตัวนี้เป็นกล้องที่น้องชายซื้อไว้เพื่อเรียนถ่ายรูปตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย และผมก็ได้ขอยืมมาใช้ตอนที่ผมหัดถ่ายรูป นับถึงวันนี้กล้องก็อยู่กับผมมา 20 ปี ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็นของมือสองจากที่ร้าน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากล้องตัวนี้ออกขายปีไหน
กล้อง fm2n เลนส์ 35-70 ใส่ฟิล์มเน็กกาทีฟ fuiji c200 เป็นฟิล์มสีความไวแสง 200 สามารถใช้ถ่ายภาพกลางแจ้งได้สบายใจ ยิ่งถ่ายภาพริมทะเลยิ่งหายห่วง การโฟกัสภาพด้วยมือหมุน ต้องปรับภาพให้ได้โฟกัสเป็นเรื่องที่ต้องปราณีตและใช้เวลา การถ่ายภาพลูกที่กำลังซนด้วยกล้องแมน่วลและโฟกัสมือหมุนแบบนี้เป็นความยากลำบากในชีวิต ถือว่าเลือกอุปกรณ์ผิดก็ได้ แต่อรรถรสของการถ่ายภาพด้วยฟิล์มมันมีอะไรบางอย่างที่น่าหลงไหล ไว้ถ้าล้างฟิล์มออกมาแล้วจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
การเที่ยวละเลรอบนี้ พวกเราเตรียมว่าวมาเล่นด้วย ซึ่งเป็นว่าวที่ซื้อจากเทศกาลว่าวนานาชาติ ก็ได้เล่นเต็มอิ่มกับหาดทรายกว้างขวาง ลมแรงไม่มากนัก แค่พอทำให้ว่าวลอยขึ้นไปได้ ต่อจากว่าวก็เล่นน้ำทะเลกันต่อเลย ขอบฟ้ากับทะเล ชื่อเท่ห์ซะเหลือเกิน
ขอบฟ้าเล่นทะเลอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาตลอดตั้งแต่เริ่มเที่ยวทะเลขอบฟ้าจะกลัวทะเล และไม่กล้าเล่น อย่างมากก็แค่เหยียบให้เปียกเท้าเท่านั้น และทริปนี้ก็ดูจะคล้ายๆอาการเดิม แต่พ่อกับแม่ก็ให้กำลังใจปนหลอกล่อ จนกล้าเล่นในที่สุด และขอบฟ้าก็บอกกับแม่ว่า ทำไมเล่นทะเลสนุกขนาดนี้… พ่อแม่ก็ปลื้มใจที่ลูกได้ประสบการณ์ใหม่ ชีวิตเด็กทุกอย่างใหม่เสมอ เป็นโลกสวยๆของพ่อแม่ไปนานๆนะลูก
และเมื่อขึ้นจากทะเลก็มาเล่นในสระน้ำต่อ เล่นไปจนแสงหมด เริ่มมืดลงก็เลิก ไปกินข้าวที่ร้านค้าในระแวกถนนเส้นเดียวกัน แล้วเราก็ได้ร้านอาหารตามสั่งมีชื่อเสียงพอสมควร ณ วันที่เขียนรีวิวนี้ ก็ผ่านมานานหลายวันแล้ว จนลืมชื่อร้านอาหารไปเสียแล้วด้วย
เช้าอีกวันเราเริ่มต้นกันที่ร้านอาหารของโรงแรม เมนูอาหารเช้าของที่นี่เป็นอาหารจานสำเร็จ อาหารจานเดียว ไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าไม่อิ่มต้องสั่งเพิ่มและจ่ายเงินเพิ่ม กาแฟของพ่อก็สั่งมากิน แต่ก่อนจะเริ่มกินก็ขอให้ขอบฟ้าเอามือจับแก้วกาแฟไว้ดังรูป แล้วถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย ตั้งใจจะเอามาขายในสต๊อคภาพด้วย
การได้เห็นลูกกินอะไรก็ตามเป็นภาพแห่งความสุข ไม่ว่าจะกินเล่น กินจริง กินข้าว กินขนม หรือแม้แต่หลอกให้กินบางอย่าง รอบนี้ก็ให้ขอบฟ้าชิมโอวัลติน ใส่น้ำตาลให้หวานนิดหน่อย หมดมือเช้าของฟ้าก็ลงน้ำอีกรอบ เล่นน้ำจนเหนื่อยก็ไปหามื้อกลางวันกินต่อ และมือกลางวันเราก็เลือกไปกินร้านที่เคยกินมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เป็นร้านที่ค้นพบจากรีวิวในอินเทอเน็ต และได้ดั้นด้นไปกินกันตอนที่ขอบฟ้ายังอยู่ในท้อง ร้านชื่อยกซด อยู่ในพื้นที่ของอุทยานสามร้อยยอด ระบุตำแหน่งก็ไม่ค่อยถูก แต่ได้เคยบันทึกตำแหน่งของร้านไว้ใน GPS แล้ว การเดินทางรอบนี้เลยไปกันง่ายๆ ไม่ต้องลุ้น
ไปถึงร้านประมาณ 11.00 น. คนยังไม่มี เราเป็นลูกค้าคนแรกๆของร้าน สั่งอาหารสามอย่างก็กินไม่หมดแล้ว เพราะลูกก็กินไม่มาก ผมก็กินไม่เท่าไหร่ หอยนางรมในภาพนี้ผมไม่แตะเลย เพราะไม่อยากลุ้นกับอาการท้องเสีย จบมื้อก็ขับรถกลับที่พัก
ขอบฟ้านอนหลับตั้งแต่ในรถ กลับมาที่พักก็หลับยาว ระหว่างที่หลับ ผมก็ออกมาถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย ลองถ่ายภาพด้วยเทคนิค long exposure ในมือถือ เพราะเพิ่งจะค้นพบว่ามือถือมีโหมดสำเร็จรูปพวกนี้ให้เราใช้ และภาพแนวเปิดชัตเตอร์นานๆก็มีเสน่ห์น่ามอง เลยลองกับทะเลซะเลย โดยการเปิดให้กล้องรับภาพนาน 45 วินาที ตอนกลางวันแดดเปรี้ยงๆ
ว่าวที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาเล่น ขอบฟ้าก็เล่นแป๊ปเดียวแล้วก็ไปเล่นอย่างอื่น ก็เลยต้องผูกไว้กับเก้าอี้ให้ว่าวมันลอยลมดูสวยๆ ถ่ายวิดีโอนิดหน่อย ถ่ายภาพนิ่งไว้ด้วยเช่นกัน ก่อนจะมื้อเย็นก็เล่นน้ำสระ เล่นน้ำทะเล เล่นทราย วนเวียนกันไป หัวขอบฟ้าแทบจะไม่เคยแห้งเลย และมื้อเย็นเราก็แวะกินร้านอาหารใกล้ๆที่พักอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเรามีโปรแกรมซื้อปู และไปดูโครงการอนุรักษ์ป่าชายเลน ซึ่งในโครงการนี้มีน้องผู้หญิงน่ารักคนนึงมาเป็นไกด์นำทางให้ เป็นเด็กที่น่าสนับสนุนมากๆเพราะรู้จักทำงานหารายได้พิเศษตั้งแต่อายุน้อยๆ โครงการวิจัยป่าชายเลนที่นี้ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวได้เยอะมาก เพราะผมก็ได้รู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้อีกหลายอย่าง อย่างน้อยที่นี่ ก็ทำให้ผมรู้จักกับ กุ้งดีดขัน เสียงดังแก๊กเหมือนกะลากระทบกันกลางป่าชายเลนเป็นเสียงที่เกิดจากกุ้งตัวนี้กำลังทำร้ายเหยื่อด้วยการปล่อยคลื่นเสียงใส่เหยื่อ เหยื่อจะตายและเป็นอาหารของกุ้งทันที ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง จะมีสัตว์กลายเป็นอาหารกุ้ง 1 ตัวเสมอ เรื่องราวยังกับมือปืนรับจ้างที่ทำงานไม่เคยพลาด
พาเลทพร้อมวัสดุต่างๆที่ประกอบกันดูเป็นประติมากรรมประหลาดนี้เป็นงานทดลองสร้างคอนโดให้แมลงต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นที่พักและที่เพาะพันธ์ุ จะได้ผลอย่างไรในวันข้างหน้าต้องแวะเข้าไปถามกันอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ทดลองนี้ เป็นการริเริ่มในปีแรก ยังไม่มีการบันทึกผลและสรุปผลใดๆ
ออกจากพื้นที่นี้เราก็เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพ แวะเก็บของที่โรงแรมและแวะซื้อกาแฟเย็นก่อนเดินทาง ทริปนี้เป็นทริปพาลูกเที่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะลูกได้เล่นน้ำสมใจอยาก ทั้งสระน้ำและทะเล ได้เล่นว่าวที่ริมทะเล ได้เดินดูโครงการหลวงที่มีความรู้แนวพิพิธภัณฑ์ ส่วนตัวของแม่ก็ได้อ่านนิยาย ได้อ่านการ์ตูน และพ่อเองก็ได้ถ่ายรูปเล่น ได้ใช้กล้องฟิล์มมาถ่ายรูปลูกอีกครั้ง และภาพที่ได้ก็ดูได้อารมณ์ไปอีกแบบ
แถมคลิปการใช้งานกล้องฟิล์ม nikon fm2 โดยขอบฟ้า
ช่วงวัยขวบกว่าๆเป็นช่วงที่ขอบฟ้าน่ารักสุดขีด หน้าตายังอ้วนๆอยู่ รอยยิ้มมีให้เห็นตลอดเวลา และรู้เรื่อง เรียกแล้วหัน และเดินต้วมเตี้ยมพร้อมจะล้มได้ตลอดเวลา เป็นช่วงเวลาที่มีรอยยิ้มหวานเรียกคะแนนกรรมการเหลือเกิน
การกินข้าวก็ยังคงต้องป้อนและกินอาหารเหลวๆ แววซนมีเริ่มมีให้เห็น แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ว่านอนสอนง่าย แต่ก็ไม่สามารถละสายตาไปได้ เพราะวัยนี้เป็นวัยที่หยิบจับทุกสิ่งอย่างเข้าปากได้ง่ายๆนั่นเอง
เวลาเดินผ่านตู้โชว์กล้องในห้าง ก็แอบชำเลือง แอบมอง ว่ามีอะไรลดราคา มีอะไรน่าใช้ มีอะไรน่าซื้อบ้าง ปกติผมจะเป็นคนไม่ค่อยมองของใหม่ถ้าของเก่ายังไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อวานเห็นกล้องในตู้ที่ขาย บางตัวก็ดูดีน่าสนใจ แต่ก็ติดตรงที่ว่า ผมมีกล้องหลายตัวแล้ว และตัวที่น่าสนใจในตู้นั้นก็ไม่ได้มาทดแทน หรือ ทำอะไรได้ดีกว่าตัวที่มีอยู่ ก็เลยได้แต่มองแล้วผ่านไป แต่ในใจกลับนึกถึงกล้องอยู่ตัวนึงที่เคยมีใช้และปัจจุบันก็ตกพัง กลายเป็นของเสียอยู่ นั่นคือกล้อง nikon v1
นิสัยของช่างภาพที่ถ่ายรูปมานานจะติดอยู่กับการมองภาพผ่านช่องมองภาพ ซึ่งกล้องรุ่นใหม่ๆหลายๆตัวก็ตัดช่องนี้ออกไปแล้ว กล้อง nikon v1 ก็เป็นรุ่นที่มีช่องมองภาพมาให้และใช้งานได้สนุกสมกับเป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพรุ่นใหญ่ การจับถือและการเล็งผ่านช่องมองภาพให้อารมณ์และความใส่ใจต่อแบบมากกว่าการมองจอหลัง ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ภาพจากกล้องสไตล์นี้จะได้องค์ประกอบภาพที่เป็นไปดังใจ แม้ว่า nikon1 v1 จะมีเซ็นเซอร์รับภาพที่เล็ก มีผลทำให้ภาพหลังเบลอสู้พวกเซ็นเซอร์ใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่ระดับกล้องมือถือ หรือ ดิจิทัลถูกๆ แถมเรายังสามารถใช้เลนส์เก่าๆของ nikon มาร่วมกับ v1 ทำให้ได้ภาพสวยได้ไม่ยาก

nikon1 v1 + lens 50f1.8 ais mf
ภาพเด็กคนนี้คือลูกชายที่ผมเล็งถ่ายในช่วงเวลาที่เขาอายุประมาณ 2 ขวบ ความซนเป็นอุปสรรคกับการโฟกัสภาพอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม ความยากเหล่านี้จะเป็นตัวคัดแยกระหว่าง ช่างภาพความตั้งใจสูง กับ ช่างภาพขี้เกียจฝึกฝนออกจากกัน
กล้องดิจิทัลให้ความสะดวกในการบันทึกภาพอย่างมาก ใครๆต่างก็มีใช้กันคนละตัวสองตัว อย่างน้อยโทรศัพท์ของทุกคนก็ถ่ายภาพได้ และในกล้องดิจิทัลเหล่านี้จะมีความสามารถในการวัดแสงทั้งสิน และ มีการจัดการสี มีการปรับค่า whitebalance แบบอัตโนมัติเพื่อให้สีสันของภาพสมจริง
เมื่อก่อน สมัยที่เรายังใช้ฟิล์มถ่ายภาพ การถ่ายภาพกลางวัน และการถ่ายภาพกลางคืนที่เน้นไฟถนนจะใช้ฟิล์มคนละชนิดกันเพื่อให้ภาพมีความเที่ยงตรงของสี ภาพกลางวันเราจะใช้ฟิล์ม daylight ภาพไฟถนนตอนกลางคืนจะใช้ฟิล์ม tungstain หากเราเอาฟิล์มกลางวันไปถ่ายภาพกลางคืน ภาพที่ได้ของหลอดไฟทังสเตนทั้งหลายก็จะดูสีส้มเข้ม ภาพพื้น ถนน ผู้คนภายใต้แสงไฟทังสเตนจะมีสีสันที่ไม่ถูกต้อง
กล้องดิจทัลแก้ปัญหานี้ด้วยการมีเมนูปรับตั้งค่า whitebalance หลายค่า เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ แต่ละสภาพแสง ซึ่งน้อยคนนักจะปรับค่า whitebalance เปลี่ยนไปตามสภาพแสงจริงทุกๆค่าแสง ผู้ผลิตเลยมีเมนู auto whitebalance เอาไว้ด้วย เพื่อให้กล้องเลือกค่านี้ให้อย่างอัตโนมัติ และสีสันในภาพก็จะถูกต้องตามจริง
แต่ความสามารถของการทำ auto whitebalance ของกล้องดิจิทัลแต่ละตัวแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อก็มีความสามารถไม่เท่ากัน ทำให้ภาพจากกล้องบางตัวสีเพี้ยนมากเกินยอมรับได้ ภาพต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างยืนยันว่า autowhitebalance ของกล้องแต่ละตัวเก่งไม่เท่ากันจริงๆ
ภาพแรกนี้เป็นกล้อง canon eos m พร้อมเลนส์ 22f2 ปรับค่า white balance เป็น auto ซึ่งให้ภาพอมเหลืองมากเกินพอดี
ภาพที่สองเป็นภาพที่ถ่ายด้วยมือถือ huawei P9 ความเที่ยงตรงของสีจะมีมากกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นความเก่งกาจของค่ายมือถือที่พัฒนากล้องให้มีความสามารถมากขึ้น และแม่นยำขึ้น
หากใครยังคงต้องใช้ auto whitebalance บนกล้องที่ให้สีภาพยังไม่ถูกต้อง เราสามารถใช้วิธี ตั้งค่าเป็น custom whitebalance ซึ่งวิธีการทำจะมีอยู่ในคู้มือกล้อง ซึ่งจะทำให้ได้ภาพดังภาพที่สาม
ภาพที่สาม ปรับกล้องให้ใช้วิธีตั้งค่า custom whitebalance