ใช้แฟลชปรับปรุงภาพ

PHOTO_COLLAGE1553348756275

สองภาพนี้เป็นรูปของพ่อผมเองที่นั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล จากการป่วยหนักอยู่หลายวัน พอถึงวันที่จะออกก็นั่งเล่นอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจ ผมไปรับพร้อมกล้องถ่ายรูป ช่วงนั้นพกกล้อง yashica 635 ติดตัว เป็นกล้องที่ถ่ายภาพขนาด 6x6cm ใช้ฟิล์ม 120 ฟิล์ม 1 ม้วนจะถ่ายได้ประมาณ 10 ภาพ

ภาพแรกถ่ายตอนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ริมหน้าต่าง แสงจากด้านนอกสว่างมาก ส่วนแสงในห้องก็อยู่ในระดับปกติ หากเทียบกับแสงภายนอกก็น่าจะมีความแตกต่างกันหลายสต๊อป เลยตัดสินใจถ่ายภาพเลือกค่ารูรับแสงที่พอดีกับการใช้แฟลชที่พกมาด้วย เจตนาภาพหลักคือภาพที่ใช้แฟลช แต่ถ่ายภาพแรกถ่ายโดยปิดแฟลชเสียก่อน ได้ภาพแรกแล้วก็หยิบแฟลชขึ้นมา เสียบสายซิงค์กับกล้องแล้วปรับตั้งแฟลชให้ส่องขึ้นเพดานห้อง ตั้งใจใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชเพื่อให้แสงแฟลชสะท้อนเพดานและแสงจะมีความนุ่มนวล ตั้งค่าของแฟลชเป็นแบบ Auto 2.8 คือแฟลชจะยิงแสงออกไป และมีเซ็นเซอร์หน้าแฟลชคอยวัดค่าแสง เมื่อค่าความสว่างบนวัตถุหรือตัวแบบพอดีกับค่า f2.8 ก็จะตัดการทำงาน ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีสวยแบบภาพที่สอง

เพดานห้องพักเป็นสีขาว ความสูงไม่มากจึงสามารถเลือกใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชได้ ฟิล์ม 120ม้วนนี้ความไวน่าจะ iso 160 ใช้กับกล้อง yashica 635 ที่มีรูรับแสงกว้างสุด 3.5 คิดหยาบๆก็คำนวณกำลังแฟลชให้เหมือนใช้รูรับแสง f4 บนฟิล์ม iso100 ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน ก็เลยตั้งค่าแฟลชไปที่โหมด auto 2.8 เผื่อให้แฟลชเกินไว้ 1 สต๊อป การถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จะคำนวณแสงแฟลชผิดไป 1 สต๊อป เป็นเรื่องที่ยังพอใช้งานได้ เพราะภาพแฟลชพอดี กับแฟลชอันเดอร์นิดหน่อย ก็ให้ภาพที่ดีได้ แค่คนละอารมณ์


IMG_0257

IMG_0267
IMG_0261

แฟลช Vivitar Automatic 2700 ตัวนี้เป็นแฟลชราคาไม่แพง ให้ฟังค์ชั่นการทำงานที่พอใช้งานสำหรับนักถ่ายภาพระดับเริ่มต้นแต่อยากจริงจัง ใช้เรียนรู้การทำงานกับแฟลชได้ เราสามารถใช้แบบ manual คำนวณค่าการเปิดรูรับแสงเอง หรือ ใช้แบบ Autoตั้งค่ารูรับแสงตามตารางด้านหลังก็ได้ แฟลชตัวนี้ซื้อในยุคปี คศ 1998 ซึ่งถึงปัจจุบันนี้แฟลชตัวนี้เปิดไม่ติดแล้ว

การแก้ปัญหาด้วยแฟลช

007

ภาพตัวอย่างการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม  ภาพบนเป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง yashica 635 ซึ่งเป็นกล้องฟิล์มขนาด 120  เป็นภาพที่ถ่ายในห้องพักของโรงพยาบาล  ใส่ฟิล์มความไว 160 เอาไว้ และก็เลือกถ่ายแบบไม่มีแฟลช  ภาพที่ได้ก็จะเป็นสภาพแสงจริงของห้อง  ด้านนอกห้องจะสว่าง ส่วนด้านในห้องแสงจะน้อยกว่า ทำให้ตัวคนดูเป็นโทนสีเข้ม ดูเป็นการถ่ายภาพที่รับแสงน้อยเกินไป

 

กรณีภาพบน  หากเราลดสปีดชัตเตอร์ลงเพื่อให้กล้องรับแสงมากขึ้นภาพคนก็น่าจะสว่างพอดี แต่ฉากหลังคงจะเลือนหายไปเกือบหมด  ตัวแบบนั่งอยู่ริมหน้าต่างแบบนี้ หากเราถ่ายภาพไปตรงๆ  ก็จะเป็นการถ่ายย้อนแสง ตัวแบบจึงมืดเป็นเรื่องปกติ

 

การแก้ปัญหาให้ภาพนี้เลือกใช้วิธีเปิดแฟลชช่วย  แสงแฟลชถูกตั้งให้ยิงไปสะท้อนกับเพดาน แล้วแสงแฟลชจะชิ่งกับเพดานสีขาว  เราเรียกเทคนิคนี้ว่าการ bounce  แสงแฟลชจะกระทบเพดานแล้วกระจายตัวลงมาโดนแบบ  ภาพจึงมีความสว่างของตัวแบบเพิ่มขึ้น  ลักษณะแสงแฟลชแบบนี้จะมีความนุ่มนวล ค่าแสงแฟลชที่พอดีจะทำให้ภาพดูสมบูรณ์ขึ้นดังภาพล่าง  เป็นการใช้แฟลชแก้ปัญหาสภาพแสงภายในและภายนอกต่างกันมากเกินไป

IMG_0440

 

การใช้แฟลชแบบแมน่วล ต้องคำนวณกำลังไฟ ระยะทาง รูรับแสง และค่าการสะท้อนเพดาน 4 ตัวแปรนี้มีวิธีคิดคำนวณเพื่อให้ค่าที่ถูกต้อง  เราจะต้องรู้ข้อมูลอุปกรณ์ทุกอย่างเพื่อให้การใช้เทคนิคนี้เป็นไปอย่างแม่นยำ  เพราะการถ่ายภาพด้วยฟิล์มเราต้องมีพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ  เพราะเรายังไม่เห็นภาพทันทีนั่นเอง

สูตรการคิดหาค่ารูรับแสงสำหรับการใช้งานแฟลช คิดที่ความไวฟิล์ม 100
รูรับแสง = guide number / ระยะทาง
ค่า guide number คือกำลังไฟที่แฟลชจะระบุไว้ในสเป็ค แฟลชที่ใช้ครั้งนี้คือ Vivitar 2700 เป็นแฟลชที่มีค่า Guide number ประมาณ 8 ระยะยืนถ่ายภาพ กับแบบ แสงแฟลขจะวิ่งขึ้นเพดานแล้วสะท้อนไปที่ตัวแบบ ระยะทางประมาณด้วยสายตาก็วิ่งขึ้น 1.5 เมตร วิ่งลง 1.5 เมตร ก็ประมาณ 3 เมตร ค่ารูรับแสงที่คำนวนได้ก็จะประมาณ


รูรับแสง = guide number / ระยะทาง
รูรับแสง = 8 / 3 = 2.6 ซึ่งจะเป็นค่าสำหรับฟิล์มความไว 100
แต่การใช้เทคนิคการเบ้าซ์หรือสะท้อนเพดานขาวจะต้องเผื่อค่าแสงที่หายไปอีก 2stop ดังนั้น ค่าการถ่ายภาพที่ให้แสงพอดีสำหรับภาพนี้น่าจะต้องใช้ฟิล์มความไว 400 และเปิดรูรับแสง 2.6 นั่นเอง

010

แต่ว่า ทั้งหมดเป็นความสว่างจากการคำนวณ สถานการณ์นี้เราวัดแสงพอดีที่ค่าแสงปกติ แสงพอดีแล้วตั้งแต่ยังไม่ใช้แฟลช ดังนั้นการใช้แฟลชเพิ่มเติมเข้ามาก็จะทำให้ภาพสว่างขึ้น แม้กำลังไฟจากการคำนวณจะไม่พอ และภาพที่ตัวแบบสว่างขึ้นก็เป็นดังภาพนี้