การสร้าง Visibility

Visibility คือการมีตัวตน การแสดงตัวว่าเราคือใคร ทำงานอะไร มีสินค้าหรือบริการอะไร สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะถ้านึกดูให้ดี ตอนเราจะทำบริษัท เราก็ต้องจดทะเบียนบริษัท ต้องเปิดร้าน เปิดโรงงาน ต้องมีสถานที่ทำงาน ต้องมีนามบัตร ต้องมีเว็บไซต์ สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการมี Visibility

การมี Visibility ที่ชัดเจนจะทำให้เรามีโอกาสได้รับการแนะนำงาน หรือ ลูกค้าจำเราได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Networking หรือการประชุมทางธุรกิจ สมาชิกในห้องทุกคนควรจะรู้ว่าเราทำอะไร เราต้องแสดงตัวอย่างชัดเจน นอกจากการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว การทำสิ่งอื่นๆอีกหลายอย่างจะทำให้เรามี Visibility ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และที่ดีที่สุดคือ เราต้องมี Visibility ในความทรงจำของผู้คนเลย คือนึกถึงสินค้าแล้วนึกถึงเรา หรือ นึกถึงบริการตัวนี้ต้องนึกถึงเรา

ลองดูในคลิปแล้วทดลองทำตามนะครับ

การตลาดแบบบอกต่อต้องมี Visibility

การที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจเลือกใช้บริการสักอย่างจะเกิดจากการที่เขาไม่ลืมเรา เช่น เดี๋ยวจะไปกินอาหารมื้อเย็น  ถ้าให้ลองบอกชื่อร้านอาหารที่อยากไปกันมาคนละ2 ร้าน เราก็คงนึกชื่อที่เราคุ้นเคย บางคนบอกชื่อของร้านอาหารญี่ปุ่น  บางคนบอกชื่อของร้านสุกี้  ทั้งๆที่ตลอดชีวิตของเรา  เราแวะกินร้านอาหารมากันคนละหลายสิบร้าน บางคนกินมาแล้วเกือบทุกร้านในห้าง  แต่ตอนที่เรานึกเร็วๆ ก็จะนึกออกได้แค่ไม่กี่ร้าน นั่นเป็นเพราะว่าเราลืมร้านอื่น  ไม่ใช่ร้านอื่นไม่อร่อย  แต่เราแค่ลืม

pexels-andrea-piacquadio-3764496

ในทำนองเดียวกัน  การบอกต่อหรือการแนะนำงานที่นักธุรกิจบางคนจะเรียกว่าการให้ Referral ก็เป็นการกระทำที่อยู่บนความไม่ลืม หรือ ความจำได้  การรับรู้ว่ามีใครสักคนทำงานนี้ได้  ทำให้เกิดการตัดสินใจบอกต่อ  การทำให้ผู้คนไม่ลืมบริษัทของเรา  ก็คือการทำให้เกิด visibility  มันคือการทำให้ผู้คนรับรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้  ให้บริการอยู่ตรงนี้  การมีตัวตนในใจลูกค้า หรือในใจผู้บอกต่อจะทำให้การบอกต่อเกิดขึ้น  และนำไปสู่การได้ธุรกิจหรือได้ยอดขาย

ตัวตนของเราในกลุ่ม networking หรือในกลุ่มเพื่อน  เพื่อนไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ลืมเหมือนกันถ้าไม่ได้เจอกับเราเป็นเวลานาน  ตั้งแต่เรียนจบจนมีครอบครัวถ้าไม่เคยเจอกันเลยรับรองว่าลืม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำอาชีพอะไร   สมมุตถ้าเราจะซื้อประกันชีวิต  เรานึกออกไหมว่ามีใครในกลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนที่เดียวกันจะมีอาชีพขายประกันบ้าง  แน่นอนว่าคงมีหลายคนจากหลายร้อยคนที่เรารู้จัก  แต่เราก็จะนึกถึงเพียงบางคน  นั่นก็เป็นเพราะบังเอิญเรานึกออกแค่เขา  หรือแม้แต่จะซ่อมแซมต่อเติมบ้าน  เราก็ไม่รู้จะเรียกใคร ทั้งที่เพื่อนในชีวิตที่เคยเรียนที่เดียวกับเราอาจจะมีบางคนทำงานสร้างและต่อเติมบ้านอยู่แล้ว  แต่เราก็ลืมเขา บางทีก็เป็นเพราะเราไม่รู้ข่าวของเพื่อนครบทุกคน  เลยไม่รู้ว่าใครทำอาชีพอะไร

การเพิ่ม visibility คือการทำบางสิ่งเพื่อทำให้เพื่อนไม่ลืมเรา  ทำเพื่อให้คู่ค้าหรือพันธมิตรธุรกิจไม่ลืมเรา  ทำเพื่อให้ลูกค้าไม่ลืมเรา  เพื่อนในกลุ่ม networking ไม่ลืมเรา นี่จึงเป็นเหตุผลที่กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มถึงนัดพบกันทุกสัปดาห์และในการประชุมก็จะมาพูดว่าเราคือใคร ทำอาชีพอะไร ชอบลูกค้าแบบไหน และมองหาอะไร อย่างสม่ำเสมอ ทำซ้ำๆตลอดปี  มันเป็นการเพิ่มการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะพูดซ้ำตลอดปี  

หากเราเห็นว่าการมีตัวตน หรือการถูกจำได้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจ สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่จะช่วยเพิ่ม visibility ให้กับเรา ต่อเพื่อนทุกกลุ่ม  ทุกสังคม  ที่เราอยู่ด้วย  เราลองอ่านไปทีละข้อแล้วเลือกทำบางข้อที่เราสะดวกจะทำ  ยิ่งทำมากยิ่งดี  ทำบางข้อก็ดีกว่าไม่ทำ ลองไปดูกัน

pexels-christina-morillo-1181406

1 เข้าร่วมกิจกรรมการประชุมหรือ ร่วมงาน networking ต่างๆที่เราสามารถเข้าได้  ทั้งการประชุมในอาชีพแบบเดียวกัน  หรือ งานแสดงสินค้า  งานโชว์ หรือการประชุมศิษย์เก่า และไม่ลืมที่จะติดนามบัตรของเราไปด้วย  เพราะเราไปร่วมงานในโหมดการแสดงตัวตน  ไปปรากฏตัวให้ผู้คนรับรู้ถึงตัวเรา

2 เข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรม สมาคมวิชาชีพเดียวกับคุณ  ไปร่วมประชุม สัมมนา หรือลงเวิร์คช็อป เพื่อไปหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จักกับคนในแวดวงเดียวกัน เพื่อขยายคอนเน็คชั่น  คนกลุ่มนี้จะเข้าใจอาชีพของเราได้ง่าย  บางทีเราอาจจะได้ซัพพลายเออร์  หรือ ได้เพื่อนร่วมอาชีพที่ช่วยเป็นแบ็คอัพให้ธุรกิจเราได้  อย่าเพิ่งคิดว่าเขาอาชีพเดียวกับเราแล้วจะแย่งลูกค้ากัน  ส่วนมากที่พบจะเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหาให้เราเสียมากกว่า คือ มีข้อดีมากกว่าข้อเสียในการรู้จักคนอาชีพเดียวกันหรืออาชีพใกล้เคียงกัน

pexels-eva-bronzini-6956316

3 สร้างตัวตนในฝั่งออนไลน์หรือบนอินเทอเน็ต  เริ่มด้วยการมีเว็บไซต์จะเป็นแบบส่วนตัวหรือของบริษัทก็ได้  มีโซเชียลเน็ตเวิร์คประจำตัว  การมีโพรไฟล์ในอินเทอเน็ตจะทำให้มีคนเห็นเราเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า  และเราควรต้องอัพเดทข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โพสท์เนื้อหาที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ หรือเล่าเรื่องของตัวเราอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญของเรา  พยายามเขียน story หรือเรื่องเล่า ยาวบ้าง สั้นบ้าง แล้วส่งเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกตัวที่เราใช้งาน

4 สร้างแบรนด์ประจำตัวเราให้ชัดเจน  สื่อสารเรื่องราวที่มีคุณค่า นำเสนอความสามารถในทางบวกของเราออกสู่โลก  แสดงให้เห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องอะไร  เล่าเรื่องวิธีการแก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยอาศัยความชำนาญของเรา  วางตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญและทำตัวให้น่าเชื่อถือ ทุกอาชีพมีเรื่องเล่ามีความน่ารู้ที่คนอาชีพอื่นไม่รู้แน่นอน  หรือแม้แต่การโพสท์โชว์ว่าเราไปทำงานอะไรในแต่ละวันก็เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างการรับรู้ได้ดีมาก  บางคนแค่โพสท์ว่าไปส่งของให้โครงการก่อสร้าง ส่งของทุกวันก็โพสท์ทุกวัน คนที่เห็นก็จะจำได้ว่า คนโพสท์อาชีพอะไร ถึงวันที่จะใช้ของเดี๋ยวเขาก็จะถามกลับมาเอง

5 มองหาโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่น  แบ่งปันข้อมูลหรือทรัพยากรของเราที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ให้คำแนะนำหรือข้อมูลในเชิงลึก  อธิบายความรู้ทางเทคนิคถ้ามีโอกาส  การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นในรูปแบบต่างๆจะเพิ่มการรับรู้ให้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ  และไม่ลืมที่จะบันทึกเป็นเรื่องเล่าว่าเราช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร   ทั้งหมดจะช่วยทำให้การมีตัวตนภายในเแวดวงหรือกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มนักธุรกิจของคุณเด่นชัดมากยิ่งขึ้น

6 หาโอกาสขึ้นพูดในบนเวที พูดในงานสัมมนา หรือแม้แต่การพูดในห้องประชุม  การพูดจะทำให้คนรู้จักคุณดีขึ้น  การแบ่งปันความรู้บนเวทีจะทำให้ผู้คนรับรู้ในความเชี่ยวชาญ  สร้างความน่าเชื่อถือได้สูงมาก ยิ่งอธิบายความรู้เชิงลึกในอาชีพของคุณได้ยิ่งทำให้ผู้คนให้ความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น อย่ากลัวที่จะแสดงออก  แม้ว่าครั้งแรกๆจะทำได้ไม่ดี ไม่มั่นใจ  แต่ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า การได้รับเกียรติให้พูดบนเวทีในเรื่องราวอาชีพของเรา  นั่นเป็นเพราะเรามีความสามารถมากพอ เชี่ยวชาญในอาชีพของเรามากพอ  จนสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้  และยิ่งทำซ้ำ พูดซ้ำ จะยิ่งพูดได้ดีขึ้น จนในที่สุดจะไม่มีคำว่า ตื่นเวทีอีกเลย

pexels-andrea-piacquadio-3831888

7 ลองทำงานร่วมกับผู้อื่น  สร้างทีมทำโปรเจ็คใหม่ร่วมกัน  รวมศักยภาพของเรากับของเพื่อนเพื่อสร้างงานใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ถ่ายเทลูกค้าซึ่งกันและกัน  วิธีนี้จะได้รับการมองเห็นเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพราะเราจะได้ไปปรากฏตัวในแวดวงของเพื่อน  ขณะที่เพื่อนก็จะได้มาแสดงตัวในแวดวงของเรา ในภาษาทางธุรกิจบางองค์กรจะเรียกว่าการสร้างเพาเวอร์ทีมหรือ Powerteam

8 ติดตามเพื่อนใหม่เพื่อความต่อเนื่อง  หลังจากกิจกรรมเครือข่ายหรือการประชุม เราจะได้พบคนใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ ให้ติดตามผลกับทุกคนที่คุณเคยพบ  อาจจะทำโดยการส่งข้อความหรืออีเมลไปทักทาย  ถ้าคุณเป็นเจ้าภาพและเพื่อนใหม่มาเป็นแขกก็ให้ส่งคำขอบคุณในวันถัดมาหลังจากได้พบ  จะดีมากถ้าเราเพิ่มคนใหม่เป็นเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วย  จะทำให้เขารับรู้ถึงตัวตนของเรามากยิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ให้วางแผนนัดพบกันในครั้งถัดไปทันทีภายในเวลาไม่เกิน 2เดือน ถ้าเพื่อนใหม่เป็นคนที่น่าจะมีโอกาสส่งต่อธุรกิจซึ่งกันและกัน

9 เข้าร่วมการพบปะหรือร่วมประชุมด้วยความรู้สึกที่คึกคัก กระตือรือร้น  มีสมาธิในการ ฟัง ถาม ตอบ  มีส่วนร่วมในการประชุมอย่างเต็มที่  อยู่กับปัจจุบัน ใช้เวลาในห้องประชุมอย่างคุ้มค่า  ไม่ฟังอย่างขอไปที  เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมาจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือของคุณ

10 ใช้ประโยชน์จากการรีวิวของลูกค้า เราอาจจะขอให้ลูกค้าเขียนบทความสั้นๆเพื่อชื่นชมการบริการของเราหากลูกค้ารู้สึกพอใจ  และนำรีวิวเหล่านี้ไปแสดงบนเว็บไซต์หรือโพสท์ในโซเชียลเน็ทเวิร์คของเรา  การชื่นชมคุณภาพการทำงาน  เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากในการสื่อสารแบบปากต่อปาก  และจะทำให้การรับรู้ของเราต่อคนอื่นเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นและเป็นบวก  และสุดท้ายจะพาโอกาสที่ดีเข้ามาหาเราได้แน่นอน

โปรดจำไว้ว่าการสร้างการรับรู้ในภาคธุรกิจต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างเข้มข้น  และต้องมีความสม่ำเสมอเป็นพื้นฐานสำคัญ   ให้พยายามมีสมาธิกับการพัฒนาการรับรู้หรือ Visibility อย่างจริงจังเพื่อขยายธุรกิจของเรา

nec18-vcp-visibility

IMG_7357

การทำธุรกิจด้วยแนวคิดของ referral marketing ต้องอาศัยการบอกต่อ การแนะนำลูกค้าต่อเนื่อง
ความสำเร็จของคนที่ได้รับการแนะนำอย่างสม่ำเสมอ จะถูกอธิบายด้วยศัพท์ง่ายๆ 3 คำ คือ

Visibility คือการแสดงตัวตน การมีตัวตน ทำให้คนอื่นรู้ว่ามีเรา มีธุรกิจของเรา

Creditability คือ ความน่าเชื่อถือ  การรับรู้ว่าคุณมีคุณภาพ สินค้าของเราดี

Profitability คือการทำให้เกิดธุรกิจ

พวกเราส่วนใหญ่เคยฟังเรื่องราวของแต่ละคำมาบ้างแล้ว  เราขอทบทวนในบางข้อนั่นคือ Visibility

Visibility จะถูกสร้างขึ้นได้ด้วยการ ปรากฏตัวอย่างสม่ำเสมอ  ก็คือ การมาประชุมตรงเวลา  ไม่ขาดประชุม  ลองนึกดูว่า ถ้าเราจะเดินไปซื้อโทรศัพท์สักเครื่องหนึ่งที่ร้าน  เราจะเข้าร้านไหน   ร้านที่เปิดทุกวัน ไปเมื่อไหร่ก็เห็นว่าเปิดขายอยู่  กับ อีกร้านหนึ่งที่ไปเจอปิดร้านบ่อยมาก ปิดกันง่ายๆโดยไม่ต้องมีเทศกาล  เราอยากจะซื้อโทรศัพท์กับใคร?

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

การมาประชุมก็เหมือนการเปิดร้าน  เราต้องแสดงความน่าเชื่อถือของตัวเราเองด้วยการ มาประชุมอย่างต่อเนื่อง  คนที่ตั้งท่าจะส่งงานให้ คนที่ตั้งท่าจะส่งลูกค้าให้เขาจะได้กล้าส่ง เพราะรู้ว่าเรามีคุณภาพ  เราตรงต่อเวลา เรารักษาสัญญา สัญญาว่าจะมาประชุมอย่างต่อเนื่อง

การมี Visibility อย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้าง Creditability  ความน่าเชื่อถือที่มากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้คนในกลุ่มกล้าจะแนะนำงานให้ Visibility และ Creditability มีเรื่องราวและเทคนิคน่ารู้อยู่จำนวนมาก เราควรใช้เวลากับการทำความเข้าใจจะทำให้เราได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เราคาดหวัง

เพิ่ม Visibility ด้วยการจัดอีเว้นท์

IMG_8450bitec7jun2010

เราได้เรียนรู้การเพิ่ม visibility ด้วยวิธีการต่างๆมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การทำงานอาสาสมัครเพื่อทำธุระบางอย่างของกลุ่ม ทำให้คนในกลุ่มได้รู้จักเรา การเลือกทำตัวเป็นเจ้าภาพผู้รู้เรื่องที่ช่วยให้แขกและสมาชิกในกลุ่มได้รับความสะดวกในด้านต่างๆในแต่ละอีเว้นท์ และเลือกทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำเพื่อให้เราถูกจดจำได้ว่าเราพยายามทำอะไร มาคราวนี้เราจะเพิ่มอีกวิธีที่ทำให้เรามี Visibility ที่ชัดเจนมากขึ้นและวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง ทำแบบนี้ครั้งเดียว เหมือนเราทำทุกอย่างที่เคยกล่าวไว้รวมกันเลย

นั่นคือ การจัดอีเว้นท์ของตัวเอง โดยเราจะต้องเป็นผู้วางแผนและดำเนินการเองในทุกๆขั้นตอน หรือ เรียกว่า Full Organized การจัดอีเว้นท์พิเศษนี้จะทำให้เราเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง มีการติดต่อพูดคุยกับผู้มาร่วมงานทุกคน ทุกคนสามารถรับรู้สิ่งที่เรานำเสนอทั้งทางตรงและทางอ้อมได้โดยอัตโนมัติ

การจัดอีเว้นท์เราสามารถเลือกทำได้ทั้งระดับเล็กและระดับใหญ่ ตามความชำนาญของเรา ระดับเล็กๆก็อาจจะเป็นการจัดประชุมนอกสถานที่ ประชุมกลุ่มย่อย เราเป็นตัวตั้งตัวตี เราโทรคุยและนัดหมายทุกคน เราเลือกสถานที่ เราเลือกอาหารและเครื่องดื่ม เราติดตามผลการประชุมด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกเชิญทุกคนได้รู้จักและสามารถตัดสินคุณได้ว่าคุณมีตัวตนแล้ว และมีคุณภาพไหม? ซึ่งเป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากงานสิ้นสุด

การจัดอีเว้นที่ใหญ่ขึ้นก็ดังเช่น การจัดเยี่ยมชมบริษัท หรือ company visit คนที่ถูกเชิญจะรับรู้ว่าบริษัทของเราทำอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน การไปเยี่ยมชมจะทำให้เขารู้รายละเอียดที่มากขึ้น และอีเว้นต่างๆนี้จะใช้เวลาหลายชั่วโมง มันทำให้เกิดการรับรู้ได้ง่าย และจำได้แม่นยำยิ่งขึ้น

เราหลายคนต่างเคยผ่านการจัดอีเว้นท์ใหญ่ในชีวิตเรามาแล้ว นั่นคือการแต่งงาน ตอนเราจัดงานแต่งงาน เราทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เราได้ดูรายชื่อทุกคน วิเคราะห์ทุกรายชื่อ ได้ทักทายต้อนรับแขกทุกคน ได้ถ่ายภาพกับทุกคน และได้แสดงอะไรบางอย่างบนเวที ได้กล่าวขอบคุณ และได้อำลาตอนจบงาน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แขกรู้รายละเอียดของเจ้าภาพมากขึ้น

เป้าหมายของ Viisibility ก็คือ ทุกคนในกลุ่ม รู้ว่าคุณคือใคร ทำอาชีพอะไร และจะติดต่อคุณได้อย่างไร สิ่งตามมาหลังจากนี้จะเป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น นั่นคือการสร้าง creditablity นั่นเอง

เพิ่ม Visibility ด้วยการทำตัวเป็นเจ้าภาพ

Visibility ด้วยการทำตัวเป็นเจ้าภาพ

IMG_0614.JPG

การทำให้เกิด visibility หรือการมีตัวตนของท่านแบบตรงไปตรงมาก็คือการแนะนำตัว การแจกนามบัตร ซึ่งเป็นวิธีปกติทั่วไปที่จะต้องทำกันอยู่บ่อยๆ  นอกจากวิธีทางตรงเหล่านี้แล้ว ยังมีวิธีทางอ้อมอื่นๆที่ทำให้ท่านถูกมองเห็นและจดจำได้  และที่สำคัญ มันสร้างความประทับใจได้มากกว่าการแจกนามบัตรเสียด้วย

ลองนึกภาพถึงตอนที่ท่านมาร่วมงานประชุุมทางธุรกิจ หรืองานสังสรรค์ทางธุรกิจสักงานหนึ่ง  ท่านมาร่วมงาน  แขกคนอื่นมาร่วมงาน  เขาไม่รู้จักท่าน  ท่านไม่รู้จักแขก  ไม่มีอะไรเชื่อมโยงท่านกับแขกเลย  มากที่สุดอาจจะเป็นการยัดเยียดนามบัตร ซึ่งเราก็รู้อยู่แก่ใจว่า ยัดเยียดนามบัตรไม่เกิดประโยชน์

แขกที่มาร่วมงานจะยังงงๆ  ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าใครจะมางานบ้าง  ไม่รู้ว่ากำหนดการเป็นอย่างไร  ต้องทำอะไรก่อน หลัง  และส่วนมากไม่รู้ว่าจะเริ่่มต้นคุยกับคนอื่นๆอย่างไร  จะดีไหมถ้ามีใครสักคนมาอาสาทำตัวเหมือนเป็นเจ้าภาพ  มาชวนแขกคุย  มาแนะนำว่างานจะดำเนินอย่างไร  ใครจะมาบ้าง  มีใครที่คุณอยากคุยด้วยไหม  ของกินอยู่ด้านไหน  ห้องน้ำอยู่ทางไหน แขกสามารถนั่งโซนไหนได้  คนที่จะทำเช่นนี้ หากเป็นท่านทำเอง  แขกจะประทับใจและจดจำท่านได้  นั่นคือ visibility จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

สิ่งที่เราน่าจะลองทำในบทเจ้าภาพก็คือ  มาถึงงานก่อนเวลา  จดจำกำหนดการสำคัญในงาน  ดูรายชื่อแขกว่าจะมีใครมาบ้าง  เพื่อดูว่าเราอยากพบกับใครเป็นพิเศษ  จำแผนผังที่นั่ง  ห้องน้ำอยู่ทางไหน ของกินอยู่ทางไหน  เราจะแนะนำแขกเพื่อให้แขกรู้สึกสบาย และอบอุ่น  และจะทำให้แขกจำท่านได้  จำอาชีพของท่านได้

การเล่นบทเจ้าภาพที่รู้งาน  เป็นคุณสมบัติเบื่องต้นของคนมีคอนเน็คชั่นเยอะ   visibility ของท่านจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสายตาของผู้คนในงาน  โดยเฉพาะแขกที่ท่านมุ่งหวังอยากรู้จักเป็นพิเศษ

ข้อมูลเรียบเรียงจาก http://businessnetworking.com/

การทักทายแบบไม่ปฏิเสธลูกค้า

สวัสดีครับ คนไม่รักสันโดษ

pexels-edmond-dantes-4343205
Photo by Edmond Dantès: https://www.pexels.com/photo/man-and-woman-talking-in-office-4343205/

เวลาเราไปเจอใครก็ตามที่ถามทุกข์สุขกัน คำถามที่มักจะเจอก็คือ เป็นไงบ้าง งานเยอะไหม มีอะไรน่าสนใจรึเปล่า และเราก็มักจะตอบกันแบบเคยชิน ก็ดี เรื่อยๆ ยุ่งมาก คำตอบแนวนี้จะทำให้คนตอบไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ คนฟังก็เหมือนกัน คือฟังแล้วไม่อยากทำงานต่อ ฟังแล้วเนือยๆ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า แทนที่คนถามจะส่งต่อลูกค้าให้เรา พอเจอเราตอบว่า ยุ่งมาก เขาก็ไม่กล้าส่งลูกค้าให้ซะแล้ว

สิ่งที่เราควรทำก็คือ ตอบคำถามให้สร้างสรร ตอบคำถามให้นำไปสู่งานใหม่ คำตอบควรจะพาธุรกิจเข้ามา ไม่ใช่ปฏิเสธธุรกิจ เรามีคำตอบดีๆให้ลองเอาไปปรับเล็กน้อยเพื่อใช้กับธุรกิจของทุกท่านครับ

ช่วงนี้เป็นไง แทนที่จะตอบว่า ก็ดี ยุ่งมาก ลองเปลี่ยนเป็น
A1 ชีวิตตอนนี้เยี่ยม ผมกำลังจะจบงานลูกค้ารายใหญ่
A2 ผมกำลังสนุกมาก เพราะผมกำลังขยายแฟรนไชน์
มันอธิบายว่าคุณงานเยอะ แต่คุณยังมองหาความก้าวหน้าและงานที่มากขึ้น

งานเยอะไหม แทนที่จะตอบว่า เรื่อยๆ งานเยอะทำไม่ทันเลย
A1 ปีนี้ผมมีลูกค้าใหม่ 8 รายแล้ว แต่ผมตั้งเป้าไว้ที่ 20
A2 ยอดขายเพิ่มขึ้น 50% และผมวางแผนจะเพิ่มคนงาน
A3 ช่วงที่ผ่านมายอดขายเป็นไปตามเป้า เรากำลังวางแผนเพิ่มเป้า และเพิ่มลูกค้า

มีอะไรใหม่ มีอะไรน่าสนใจไหม แทนที่จะตอบว่าตอนนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรใหม่
A1 ผมกำลังเทรนพนักงานขายคนใหม่ คนนี้ท่าทางขายเก่ง
A2 ผมให้สัมภาษณ์หนังสือไปเล่มหนึ่ง คาดว่าจะได้วางแผงเร็วๆนี้
A3 ตอนนี้ผมกำลังลงเรียนคอร์สการลดขั้นตอนการบริหารงานขาย

นี่เป็นตัวอย่างการตอบคำถามที่เรามักจะต้องตอบในชีวิตประจำวัน เราควรจะเตรียมคำตอบเหล่านี้เอาไว้ในใจ ตอบให้ขึ้นใจ เพื่อจะให้มันดีกว่าการตอบว่า เรื่อยๆ หรือ ยุ่งมาก
เพราะถ้าคุณตอบว่ายุ่งมาก เพื่อนคุณที่กำลังจะส่งลูกค้ามาให้อาจจะเปลี่ยนใจไม่กล้าส่ง

อย่าลืมว่า เราพบกันใน bni เพราะเราอยากได้ธุรกิจใหม่ อยากได้ลูกค้าใหม่

NEC pocket02 นามบัตรหรือเศษกระดาษ

นามบัตรหรือเศษกระดาษ

IMG_0994thailetterpress-Full

ในการทำธุรกิจของทุกคนต้องมีการใช้นามบัตรเสมอ และการที่ท่านออกจากบ้านไปหาเพื่อนๆ ไปร่วมกลุ่มเน็ตเวิร์คกิ้งต่างๆนั้น บางท่านอาจจะพกนามบัตรไปแจกแบบเน้นปริมาณ บางท่านตั้งใจจะแจกทุกคนที่ได้คุยด้วย อาการแจกไม่เลือกแบบนี้จะไม่สร้างผลดีต่อท่านเลย เพราะภาพลักษณ์ของท่านจะกลายเป็นเซลส์ที่เน้นการขายของ มาออกบู๊ทมาแจกใบปลิว มาแจกนามบัตร หนังสือบางเล่มจะเรียกคนแจกนามบัตรแบบไม่คิดว่า “นักยัดเยียดนามบัตร”

นามบัตรหนึ่งใบราคาไม่ถูกไม่แพง แต่มันจะกลายเป็นเศษกระดาษราคาแพงไปเลยถ้าท่านใช้ไม่ถูกวิธีหรือแจกไปยังคนที่ไม่ต้องการ และในทางตรงข้าม นามบัตรใบละไม่กี่บาทจะเป็นคัมพานีโพรไฟล์ที่ถูกที่สุดในโลกหากท่านแจกถูกคนและถูกโอกาส

วิธีการที่ดีที่สุดในการแจกนามบัตรให้มีคุณค่าก็คือ แจกเฉพาะคนที่เขาเอ่ยปากขอครับ ใครไม่ขออย่าเพิ่งไปแจก เพราะเขาอาจไม่ต้องการ เขาอาจมาอยู่ในกลุ่มเน็ตเวิร์คกิ้งแบบโดนบังคับมา โดนหลอกมา เขาไม่ได้อยากทำธุรกิจ หรือแม้แต่ธุรกิจเขาอาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย การหยิบนามบัตรแจกไม่เลือกหน้ามีโอกาสที่มันจะถูกนำไปวางในลิ้นชักแบบมัดยางรวมเป็นกอง เพราะใครๆก็แจกไม่คิด คนรับก็รับแบบไม่อยากเสียมารยาท สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเศษกระดาษราคาแพง ผมเชื่อว่าทุกท่านจะมีกองนามบัตรที่ไม่อยากได้อยู่สักกองหนึ่งในที่ทำงาน ซุกไว้ในลิ้นชักหรือในซอกตู้เก็บเอกสารสักที่หนึ่ง

สิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแจกนามบัตรอย่างมีคุณค่าก็คือ
1 มีนามบัตรติดตัวพร้อมแจกเสมอ
2 มีนามบัตรที่แสดงถึงตัวตนความเป็นมืออาชีพในธุรกิจของท่าน และไม่ลืมระบุ ชื่อท่าน ชื่อบริษัท เบอร์โทรที่ต้องการให้เขาโทรกลับ และรายละเอียดธุรกิจของท่านอย่างสรุปย่อ
3 แจกเฉพาะคนที่เขาอยากได้

คราวนี้ถ้าเกิดว่า คุณอยากจะให้นามบัตรกับใครเป็นพิเศษ คนที่คุณเชื่อว่าเขาสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณได้ คุณจะทำอย่างไรให้เขาเอ่ยปากขอนามบัตรจากคุณ
วิธีทำให้เขาเอ่ยปากขอนามบัตรจากคุณก็ทำได้โดยการเข้าไปทำความรู้จักและขอนามบัตรของเขาก่อน เมื่อได้คุย และได้นามบัตรมาแล้ว ถ้าเขาไม่ลืมเขามักจะขอนามบัตรจากคุณเช่นกัน มันเป็นจิตวิทยา การตอบแทนซึ่งกันและกัน คือถ้าคุณทำอะไรต่อเขา เขามักจะทำแบบนั้นต่อคุณ แค่นี้คุณก็สามารถให้นามบัตรแก่คนที่คุณสนใจได้แล้ว

อย่าลืมว่า นามบัตรเล็กๆหนึ่งใบ เป็นได้ทั้งคัมพานีโพรไฟล์ และเศษกระดาษ ใช้มันให้ถูกวิธี ถูกกาละเทศะ มันพาคุณไปสู่ลูกค้าที่คุณต้องการ