
มีอยู่วันหนึ่ง มีโทรศัพท์ดังในโรงพิมพ์ เสมียนของผมรับสายโทรศัพท์ ในสายถามว่า ที่นี่ใช่โรงพิมพ์หรือเปล่า มีลูกเจ้าของโรงพิมพ์เป็นช่างภาพหรือเปล่า เขาอยากติดต่อช่างภาพ เสมียนผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วเล่าคำถามให้ฟัง ผมก็เลยให้โอนสายเข้ามา แล้วผมก็รับสาย หลังจากแนะนำตัวว่าผมคือช่างภาพ เขาก็ถามว่า ผมเคยทำงานให้เขาใช่ไหม เมื่อหลายปีก่อนเขามีการจ้างถ่ายรูปเมนูอาหารชุดหนึ่ง เขาจำได้แค่ว่า ช่างภาพที่รับจ้างเคยแนะนำตัวกับเขาว่ามีโรงพิมพ์ด้วย และเขาได้รับนามบัตรของช่างภาพเอาไว้ เป็นนามบัตรที่ทำด้วยกระดาษสีน้ำตาล แล้วเขาก็ถามผมว่า คุณเคยใช้นามบัตรกระดาษสีน้ำตาลหรือเปล่า
ผมตอบว่าผมน่าจะเป็นช่างภาพคนนั้น แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยใช้นามบัตรกระดาษสีน้ำตาลแจกให้เขา ซึ่งผมจะใช้นามบัตรกระดาษสีอะไรก็ได้ เพราะเป็นโรงพิมพ์ มีกระดาษมากมายให้เลือกใช้ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมเคยใช้นามบัตรที่ทำด้วยกระดาษสีน้ำตาล เขาก็เลยถามว่าคุณเคยมารับจ้างถ่ายภาพอาหารกับเขาไหม ผมเริ่มนึกย้อนไปและบอกชื่อบริษัทที่ผมเคยไปรับจ้างชื่อบริษัท …. เขาตอบว่าใช่ เขาลาออกจากบริษัทที่ว่าแล้ว
เขาก็เลยเล่าให้ฟังยาวเฟื้อย ว่าเขาออกจากบริษัทแห่งนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลว่าแม่ป่วยหนัก และต้องกลับมาดูแลแม่ ตอนนี้ก็ว่างงานอยู่ แต่ก็มีเพื่อนมาให้ช่วยทำงานเกี่ยวกับการขายข้าว ซึ่งเป็นงานบางส่วนที่เขาช่วยทำก็มีการถ่ายรูปสินค้า ก็เลยนึกถึงช่างภาพที่เคยใช้งานขึ้นมา และเขาก็เริ่มค้นหาผมจาก google โดยพิมพ์คำค้นหาดังนี้ “ช่างภาพ โรงพิมพ์ จอมทอง” แล้วเขาก็เจอบล๊อกที่ผมเขียนไว้ มีเบอร์โทรของโรงพิมพ์ เขาก็เลยลองโทรเข้ามา
งานที่เขาจะให้ผมทำก็คือ ถ่ายภาพเม็ดข้าวให้สวยที่สุดเท่าที่ข้าวธรรมดาจะเป็นได้ แต่ค่าจ้างก็ยังไม่กำหนด เขาอยากให้ผมเสนอราคาดู เพราะต้องให้เจ้าของงานตัดสินใจ เขาเป็นเพียงผู้ที่ช่วยติดต่อสืบค้น ผมก็เลยรับปากว่าจะลองถ่ายให้ดูและจะคิดราคาไม่แพง ผมขอตัวอย่างข้าวที่เขาขายเพื่อนำมาลองถ่ายภาพ


ผมเซ็ทอัพอุปกรณ์การถ่ายด้วยกล้อง DSLR แบบ Full frame พร้อมเลนส์มาโครที่ถ่ายได้ระดับ 1:1 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่ผมมี และใช้ชุดไฟแฟลช 2 ดวง กับกล่องที่ดัดแปลงให้เป็นเต๊นท์ถ่ายภาพ หลังจากที่ไม่ได้ถ่ายภาพเหล่านี้มานานแล้ว กว่าที่ผมจะประกอบอุปกรณ์ทุกอย่างขึ้นมาให้พร้อมใช้งาน กว่าจะจัดสถานที่ให้พร้อมสำหรับทำงานก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง

กองเมล็ดข้าวผมเลือกสีอ่อนมาลองถ่ายดูก่อน เพราะว่าผมคิดว่าสีอ่อนถ่ายยากกว่า พอลองโรยเมล็ดข้าวสารลงไปเท่านั้นแหละ มันร่วงกราวและกระจายตัวไปบนพื้นที่กล่อง ความลื่นของเมล็ดทำให้มันกระจายตัวไปเร็วมาก เร็วจนผมต้องเปลี่ยนวิธีจากการเทเป็นค่อยๆโรยทีละนิดเหมือนหยิบเกลือมาโรยอาหาร

ลองถ่ายไปหลายๆภาพเพื่อยืดเส้นยืดสาย และปรับแต่งกล้อง เลือกการตั้งค่ากล้องให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพลักษณะนี้ รูรับแสงแคบ รูรับแสงกว้างให้ผลต่างกัน สปีดชัตเตอร์สำหรับการถ่ายภาพด้วยแฟลชผมจะตั้งไว้ที่ 1/100 วินาที จริงๆควรจะได้สูงกว่านี้แต่ผมจำสเป็คไม่ได้ว่ากล้องของผมมีความเร็วในการทำงานกับแฟลชเท่าไหร่ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา เวลาเราตั้งความไวตามสเป็คของกล้องว่าทำงานกับแฟลชได้ที่ 1/125 หรือ 1/200 ก็ตาม ที่ตัวเลขเต็มสเป็ค มันเหมือนจะมีขอบดำเล็กๆให้พอสังเกตเห็น มันเป็นความเร็วที่เกือบไม่ทัน แต่แสงมันหายไปแล้วนิดหน่อย ก็เลยตั้งค่าให้ต่ำกว่าสเป็คไว้เยอะหน่อย เลยจบที่ 1/100 วินาที

พอถ่ายภาพออกมาแล้วขยายดูผมพบว่า เมล็ดข้าว แต่ละเมล็ดไม่สวยเลย มีรอยถลอด มีรอยขรุขระ และส่วนใหญ่จะมีเมล็ดสีเพี้ยนปะปนกันอยู่ในกลุ่ม และเมื่อพยายามจะหยิบเมล็ดสีประหลาดออกจากกอง แรงกดจากนิ้วผมก็ทำให้กองข้าวมีรอยยุบ รอยเบี้ยว ต้องเกลี่ยและโรยข้าวใหม่ทุกครั้ง เป็นประสบการณ์การเผชิญปัญหาที่ไม่คาดคิด การทดลองครั้งนี้ผมใช้เวลาไป 2 ชม. กับการทดสอบถ่าย และคิดว่ามีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่างในการถ่ายครั้งต่อไป การถ่ายภาพสิ่งของเล็กๆนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

ข้าวสารสีม่วงกลับถ่ายง่ายกว่า


ภาพเม็ดข้าวสีม่วงเอาไปแปลงเป็นโทนขาวดำก็ดูสวยไปอีกแบบ