การงานพื้นฐานอาชีพของ ป4 ปี 2565

เมื่อพูดคำว่าการงานพื้นฐานอาชีพ ทำให้เรานึกย้อนไปในสมัยประถม เราเรียนวิชานี้ และแทบจะจำไม่ได้เลยว่าสมัยนั้นเราเรียนอะไรกันบ้าง แต่จากชื่อเราก็คงพอเดาได้ว่าก็น่าจะเป็นงานฝีมือที่ทำเป็นอาชีพได้ ยุคสมัยของพ่อแม่เมื่ออยู่ในวัยเด็กคงจะเรียนเรื่องเกี่ยวกับ เย็บปักถักร้อย ผมนึกออกแค่นี้จริงๆ

ปีนี้ ปี พศ 2565 โลกเราพัฒนาไปไกลมาก พวกนักการตลาดคุยกันถึงเรื่องเมตาเวิร์ส ระบบการสื่อสารอินเทอเน็ตคือหัวใจของธุรกิจ การดูสื่อภาพและเสียงจะดูผ่าน youtube และ social network มีอาชีพใหม่หลากหลายที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอาชีพที่สูญหายเพราะหมดสมัย และการงานพื้นฐานอาชีพของเด็ก ป4 ในพศ.นี้ทำให้ผประหลาดใจและรู้สึกชื่นชมพร้อมกัน

ลูกมาขอยืมกล้องถ่ายรูปไปโรงเรียน เพื่อจะเอาไปเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ลูกเล่าให้ฟังว่าโรงเรียนมีอาชีพให้เลือกเยอะมาก แต่ลูกบอกกับผมแค่ว่า เขาเลือกอาชีพ รีวิว และถ่ายภาพ ซึ่งครูจะจัดกลุ่มให้ตามที่เหลือ และสุดท้ายก็ได้วิชารีวิว ส่วนถ่ายภาพนั้น บังเอิญได้เรียนเพราะมีการเลื่อนวิชากันเล็กน้อยทำให้ได้ไปเรียนถ่ายภาพ 1 คาบ

IMG_0344

1คาบของลูกที่เรียนถ่ายรูปจะต้องใช้กล้อง ก็เลยมาขอยืมจากพ่อ ด้วยความที่พ่อมีกล้องหลายตัวก็เลยเอามาเรียงให้เลือก มีกล้อง DSLR ตัวใหญ่เลนส์ใหญ่ที่พ่อเอาไว้ถ่ายภาพรับจ้าง มีกล้อง mirrorless ตัวเล็กเลนส์เล็กที่พกพาง่าย มีกล้องโพราลอยด์ด้วยที่เอามาให้ดูแต่ไม่ให้เลือก เพราะต้องใช้ฟิล์มโพลารอยด์ซึ่งมีราคาแพงมาก สุดท้ายลูกเลือกกล้องตัวเล็ก อย่าง eos m พร้อมเลนส์ตัวเล็ก 22f2 ซึ่งเป็นชุดกล้องและเลนส์ที่ขนาดเล็กแต่คุณภาพสูงมาก ลูกเลือกเพราะได้ลองถ่ายภาพแล้วเทียบกันแล้ว พบว่าภาพจาก eos m ให้ภาพสวยกว่า eos 6d

IMG_6111

ผ่านไปสองวัน ลูกกลับมาพร้อมกับภาพในเมมโมรี่ 4 ภาพ ภาพที่ส่งงานคือภาพก้อนหินในถุง หัวข้อการถ่ายภาพคือ สิ่งลึกลับ ครูชมว่าขอบฟ้าถ่ายภาพได้ดี ขอบฟ้าบอกครูว่าเพราะพ่อผมเป็นตากล้องครับ ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าดีใจที่ลูกรู้ว่าพ่อเป็นตากล้อง พ่อชอบถ่ายภาพนั่นเอง สอบถามลูกอีกนิดเกี่ยวกับวิชาที่ครูสอน ครูไม่ได้สอนการถ่ายภาพเบื้องต้น ให้เด็กไปถ่ายเลย ซึ่งจุดนี้น่าสนใจ เพราะลูกเรียนวิชาถ่ายภาพ เจตนาเพื่อให้เล่าเรื่องด้วยภาพ ประเด็นนี้ผมคิดเอง ก็เห็นว่า ถูกต้องแล้วที่ไม่ได้สอนการถ่ายภาพเบื้องต้น เพราะกล้องถ่ายภาพเป็นแค่อุปกรณ์ การใช้งานอุปกรณ์ให้ถูกต้องจะต้องเป็นสิ่งที่ค้นหามาเอง วิชาเรียนควรมุ่งเน้นที่วัตถุประสงค์ ซึ่งก็น่าจะเป็นการเล่าเรื่อง ส่วนการรีวิวที่ลูกเลือกจริงๆ เดี๋ยวคงได้รู้ว่าเรียนอะไรกันบ้าง และได้ถามลูกแล้วว่าอยากจะรีวิวอะไร ลูกบอกว่าจะรีวิวส์เม้าส์

IMG_6091

การงานพื้นฐานอาชีพในยุคนี้มีอาชีพรีวิว มีอาชีพช่างภาพ ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับพ่อแม่รุ่นผมมาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกินคาด เป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่โรงเรียนพยายามทำ เป็นเรื่องน่าชื่นชม ก็หวังว่าจะมีอาชีพที่สนุกและน่าสนใจอีกหลายๆอาชีพที่เลือกมาอยู่ในหลักสูตร ผมคาดหวังว่าจะมีอาชีพนักวิเคราะห์ข้อมูล สตรีมเกมส์ นักแข่งอีสปอร์ต เขียนเว็บ เขียนโปรแกรม ทำคอนเท้นต์หลายๆแบบ รวมถึงอาชีพทางเกษตรที่มาพร้อมเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทฟาร์มด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่รู้จะมีจริงไหมสำหรับเด็กประถม แค่หวังว่าจะมีอาชีพใหม่ๆให้เด็กได้ลอง

อย่าออกแบบอนาคตด้วยอดีต

20210517073714_IMG_0479

ตั้งแต่โควิด 19 ระบาดเมื่อต้นปี พศ2563 ประเทศไทยก็วิกฤตมาตลอด มีบางช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็มีการระบาดซ้ำจนมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ และในการระบาดครั้งล่าสุด เมษายน2564 รอบนี้มีผู้ติดเชื้อวันละ 2-3 พันคน ยอดคนติดเชื้อเยอะต่อเนื่องเป็นมานานเกือบจะเป็นเดือนแล้ว ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมทะลุแสนคนไปในที่สุด และวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ก็มียอดผู้ติดเชื้อวันเดียวเพิ่มขึ้นถึง 9พันคน

IMG_20210524_075255

โรงเรียนถูกสั่งให้ปิดตาม โรงแรม รีสอร์ต สถานบันเทิง สวนสาธารณะและร้านอาหาร นักเรียนต้องเรียน online จากที่บ้าน พฤติกรรมของนักเรียนรุ่นดิจิทัล 5g จะแตกต่างไปจากรุ่นพ่อแม่อย่างมาก นั่นก็คือการตรงต่อเวลาของการเข้าประชุม online เด็กรุ่น 8 ขวบ มีนัดจะ online ตอน 7.50 น. เขาจะมารอหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 7.30 น. และรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ โปรแกรม zoom meeting ถูก connect เอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่เจ้าของการประชุมหรือครูกดรับให้เข้าร่วมเท่านั้น พอใกล้เวลา เหลืออีก 2 นาที ยังไม่มีการกดรับ เด็กจะหันหน้ามาถามพ่อแม่ว่า ทำไมยังไม่เข้า เสียหรือเปล่า อินเทอเน็ตเสียรึเปล่า?

ผมตอบด้วยความใจเย็นว่า รออีกนิดนึง ประธานในห้องประชุม หรือครูจะค่อยๆกดรับเด็กเข้าไปทีละคน ดังนั้นอาจจะนานหน่อยกว่าครูจะกดรับเด็กทุกคน จนเวลาขยับไปเป็น 7.52 น. เลยเวลานัดไป2 นาที ยังไม่ได้รับการกดรับ ลูกผมก็หันมาถามอีกครั้งด้วยสีหน้ากังวลมาก กลัวว่าจะไม่ได้เข้า ผมก็ยังคงยืนยันให้ใจเย็นรอ และในที่สุดก็ได้เข้า ครูกดรับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

20210516130528_IMG_0455

คนวัยพ่อแม่อย่างผม เล่นอินเทอเน็ตมาตั้งแต่ยุคโมเด็มความเร็ว 14400 bps โมเด็มทำงานบนสายโทรศัพท์อนาลอก การเข้าสู่อินเทอเน็ตมีแต่การรอคอย อยากจะเข้าอินเทอเน็ต เราจะไม่คิดเรื่องเวลาที่แม่นยำ เราสนใจแค่ว่า ต่อคิวรอเข้า แล้วเข้าได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ทัศนคติการรอเข้า online เป็นไปอย่างใจเย็น ไม่มีกำหนด เพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า แตกต่างจากรุ่นแปดขวบในวันนี้ ที่การเข้าอินเทอเน็ตคือสิ่งที่ง่ายดาย และทุกอย่างสามารถตรงเวลาได้ พ่อแม่อาจจะชินกับการเลื่อนกำหนดการ เพราะคนวัยพ่อแม่พบเจอแต่เรื่องที่ต้องรอคอย รอคิว ไม่มีคำว่าทันที ส่วนวัยของลูก เป็นวัยที่พร้อมทุกอย่าง การนัดหมายระดับนาทีคือสิ่งที่เป็นไปได้ตามต้องการ

เด็กรุ่นใหม่ถูกสอนมาให้ช่างคิด ช่างสงสัย และเขาเติบโตมาในการเรียนการสอนที่มีทัศนคติที่ดีเยี่ยม เขาจะถูกสอนให้ตั้งคำถามว่า การเรียนวันนี้เขาได้เรียนรู้อะไร จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ส่วนรุ่นพ่อแม่ก็จะเป็นการเรียนตามครูบอก จำในสิ่งที่ครูรู้ และเชื่อในสิ่งที่ครูสอนเท่านั้น ไม่แปลกใจที่เด็กรุ่นใหม่จะเรียกร้องสิ่งต่างๆที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายไม่เคยเรียกร้อง เพราะการเติบโตผ่านการเรียนรู้ฝึกฝนมาไม่เหมือนกัน

IMG_0086

พ่อแม่พาลูกไปเดินเล่นที่อุทยานแห่งชาติ เดินผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ พ่อแม่ก็เดินลุยเข้าไป ทางเดินดีบ้าง แย่บ้าง ทางขึ้นเขาเดินยาก สลับกับเดินง่าย ลูกผมตั้งคำถามระหว่างทางขึ้นมาว่า บันไดที่ค่อยๆขึ้นไปบนเขา เป็นทางธรรมชาติ หรือ คนสร้างขึ้น แม่ตอบว่า คนสร้าง เด็กน้อยถามต่อว่า แล้วทำไมเขาไม่ทำให้มันดีตลอดทาง ทำไมบางจุดไม่ทำให้ดีเหมือนด้านล่าง ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่า เด็กช่างคิดและตั้งคำถามได้ตรงไปตรงมาดี ผมไม่มีคำตอบที่ดีให้ลูกเลย เพราะว่า ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ทำให้ดีตลอดเส้นทาง พ่อแม่ชินกับความเก่า ชินกับความไม่สมบูรณ์ของสิ่งรอบข้าง และไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าทำไมไม่ดี แถมผู้ใหญ่รุ่นพ่อกับแม่ก็พลอยปรับตัวให้ชินกับความไม่ดีเหล่านั้น ส่วนลูก พ่อแม่ดีใจมากที่ลูกมองเห็นปัญหา ตั้งคำถาม และกล้าจะถาม พ่อแม่ชื่นชมสิ่งที่ลูกเป็น

สังคมข้างหน้าจะเป็นของรุ่นลูก พวกเขาจะพัฒนามันไปตามรูปแบบที่เขาต้องการ คนเป็นผู้ใหญ่อย่างพวกเรา คนรุ่นที่ไม่คิดถาม ไม่กล้าทักท้วงสิ่งใดจะต้องยอมรับกับความคิดเห็นที่ใหม่ เพื่อให้มันเป็นสังคมของเขา เพราะในที่สุด รุ่นของพวกเราจะหมดไป รุ่นของลูกจะเป็นมาตรฐานใหม่ รุ่นหลังจะสำคัญกว่ารุ่นที่แล้ว เพราะมนุษย์เราจะต้องไปสู่อนาคต ใครเลือกออกแบบอนาคตให้เหมือนอดีตขอเถอะ อย่าทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความคิดใหม่และวิธีใหม่ๆดีกว่า

ขึ้น ป 1 แล้วครับ

IMG_0138

ขอบฟ้าเข้าเรียนเพลินพัฒนาตั้งแต่ช่วงปี คศ 2015 ตอนนี้ปี 2019 กำลังจะได้ขึ้นประถม1 โรงเรียนเพลินพัฒนาเป็นโรงเรียนแนวทางเลือกแบบที่ผู้คนทั่วไปเขาเรียกกัน เป็นรูปแบบโรงเรียนที่สอนเด็กแตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต ผมกับแม่ขอบฟ้าเลือกที่จะอยู่ที่เพลินพัฒนาเพื่อให้ขอบฟ้าได้เรียนรู้ในรูปแบบที่ไม่เหมือนยุคของพ่อแม่

IMG_0142

พวกเราพ่อแม่เคยผ่านการเป็นนักเรียนในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ยุคที่ทุกโจทย์มีคำตอบเดียว นี่คือสิ่งที่เราไม่อยากให้ขอบฟ้าต้องพบกับวิธีการสอนเหล่านี้ คำว่าโรงเรียนทางเลือกเป็นคำที่ไม่ได้บ่งบอกวิธีการเรียนการสอน การเสี่ยงเอาลูกมาอยู่ที่โรงเรียนนี้เป็นการวัดใจอย่างหนึ่ง และที่ผ่านมาประมาณ 4 ปี พวกเราพ่อแม่พบว่าเราเสี่ยงแล้วคุ้ม เพราะผลที่เกิดกับลูกของเราเองเป็นสิ่งที่เราปลาบปลื้ม หลายประสบการณ์หลายมุมมองของลูกเป็นไปในรูปแบบที่เราเองยังไม่คาดคิด

IMG_0143

การแก้ปัญหาบางอย่างของขอบฟ้าเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ขอบฟ้าไปเล่นในห้างแล้วโดนแย่งของเล่นโดยเด็กคนหนึ่ง เราเป็นพ่อแม่ก็เฝ้ามองและคิดไปล่วงหน้าว่าถ้าเราเป็นลูกเราจะทำอย่างไร และเราจะสอนให้ลูกทำอย่างไร จะสอนให้หลีกเลี่ยงการโดนแย่งได้อย่างไร ซึ่งเราตั้งใจจะสอนลูกให้ระวังไม่ให้โดนแย่งจริงๆ เราจะสอนลูกให้อย่าอยู่ใกล้คนที่มีนิสัยแย่ง อาจจะแยกไปเล่นวงอื่น แยกไปเล่นมุมอื่น แต่ขอบฟ้าแก้ปัญหาของตัวเองได้ในระดับที่พ่อแม่ประหลาดใจ ขอบฟ้าหน้าเสียเล็กน้อยตอนโดนแย่ง มองกลับมาที่พ่อแม่ตอนที่โดนแย่ง และอีกสัก 2 วินาที ขอบฟ้าก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาพ่อของเด็กที่มาแย่ง แล้วบอกกับพ่อเด็กว่า คนนี้แย่งของเล่น นั่นทำให้พ่อเด็กมาจัดการและสั่งให้คืนของ ขอบฟ้าได้เล่นต่อ เด็กแย่งเลิกแย่ง พ่อของเด็กทำในสิ่งที่เหมาะสมกับการเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กทุกคน ผมเฝ้ามองแล้ว อยากปรบมือให้แรงๆเลย

ตอนนี้เข้าสู่ ป1 เป็นช่วงเวลาที่การเรียนรู้จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้น วิชาการมากขึ้น ผมไม่แคร์กับการรู้เนื้อหาวิชาการช้าเมื่อเทียบกับโรงเรียนที่เน้นวิชาการ หรือเน้นการสอบ เน้นการเป็นที่ 1 แต่กับโรงเรียนแนวทางเลือกผมเฝ้ารอให้ลูกจะค่อยๆโตขึ้นและได้ค้นพบตัวเองด้วยตัวเอง เฝ้ารอว่าสักวันขอบฟ้าจะเข้ามาบอกกับพ่อแม่ว่าอยากจะเรียนอะไร อยากจะเป็นอะไร อยากจะทำอะไร เพราะเราเชื่อว่าวิธีการสอนที่ดี และประสบการณ์ต่างๆที่โรงเรียนค่อยๆพาลูกเดินไปจะช่วยให้เด็กแต่ละคนค้นพบความชอบหรือค้นพบความสนใจเร็วกว่าโรงเรียนในภาคปกติ

พูดไปก็อาจจะดูเหมือนโม้และเพ้อเจ้อ แต่ประสบการณ์ที่เราผ่านมาในการเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ชวนให้เรากล้าเพ้อ มันต้องดีกว่าสมัยที่เราเป็นเด็กสิ เพราะเราผ่านยุคเก่ามาแล้ว และเรามอบสิ่งใหม่ๆให้กับลูกเรา เรากำลังให้ในสิ่งที่เราเคยอยากได้ และความอยากให้นี้ผ่านการคิดมาอย่างดีแล้วด้วย

ลองกลับไปอ่านตอนแรกของการเข้าโรงเรียนนี้

แถมภาพวันแรกที่เดินเข้ามาสมัครเรียน ตอนสองขวบปลายๆกับการมาสมัครเพื่อเข้าเรียนช่วงพรีเนอส ซึ่งเป็นชั้นที่มีไว้สำหรับเด็กก่อนเตรียมอนุบาล

IMG_1245.JPG

เมื่อให้ลูกถือกล้องถ่ายภาพไปโรงเรียน

 

โรงเรียนเพลินพัฒนามีกิจกรรมหนึ่งที่ให้นักเรียนแต่งตัวเป็นคนในครอบครัว  โดยให้เด็กเลือกว่าจะเป็นใครแล้วก็แต่งตัวเลียนแบบไปเลย  ขอบฟ้า ลูกของผม เลือกจะเป็นตัวเอง  คือไม่เป็นพ่อแม่หรือตายาย  ไม่เป็นใครเลย  จะเป็นตัวเอง แต่ตัวของตัวเองแบบขอบฟ้าจะมีกล้องถ่ายรูปที่เล่นอยู่เป็นประจำด้วย  ก็เลยให้ถือกล้องไปโรงเรียน

2015-01-01 newyear partyIMG_0058

การไปโรงเรียนแบบมีกล้องถ่ายภาพ สำหรับเด็ก 5 ขวบก็ดูจะเป็นอันตรายต่อกล้องนิดหน่อย แต่ขอบฟ้าคุ้นเคยกับกล้องถ่ายภาพมาตลอดชีวิตตั้งแต่มีลมหายใจ  ตั้งแต่มือมีแรงก็หยิบจับของเล่นสารพัด และหนึ่งในหลายสิ่งก็มีกล้องถ่ายรูปของพ่ออยู่ด้วยที่หยิบมาเล่น หยิบมาถ่ายเป็นประจำ

IMG_20161204_194617

IMG_20161204_192035

ผมหัดให้ขอบฟ้าได้ถ่ายภาพแบบจริงจังมาสักปีกว่า  คำว่าจริงจังสำหรับเด็กอนุบาลหมายถึงถ่ายภาพแล้วต้องได้ภาพ  ได้ภาพคนเต็มตัว หรือ ได้ภาพคนครึ่งตัวก็ต้องได้ตามที่คิดไว้ รวมไปถึงการชื่นชอบอะไรแล้วถ่ายสิ่งของสิ่งนั้นด้วย  ผลการฝึกมาหลายครั้ง ในระยะเวลาปีกว่าก็ทำให้ขอบฟ้ามีทักษะการถือกล้องถ่ายรูปที่พอใช้ได้  สามารถไหว้วานให้ถ่ายภาพคู่ของพ่อแม่ได้แล้ว  นับเป็นความภาคภูมิใจเรื่องหนึ่งของพ่อและแม่

IMG_20141226_214855

ในกิจกรรมของโรงเรียนที่ให้ขอบฟ้าติดกล้องถ่ายรูปไปโรงเรียน เป็นกล้องคอมแพ็ค kodak รุ่น c140 ที่ผมซื้อไว้เมื่อปี คศ2008 ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่พังเลย ผมชอบกล้องตัวนี้ในความเรียบง่ายและทนทาน ใส่ถ่าน AA 2 ก้อนก็ทำงานได้แล้ว    เมื่อกลับมาถึงบ้าน เปิดกล้องดูก็พบว่ามีภาพใหม่ๆมากมายที่ขอบฟ้าไปถ่ายมา  การดูภาพถ่ายจากเด็กคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาบ้างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก  เพราะเราได้เห็นโลกที่เราไม่เคยเห็น ได้เห็นมุมมองและการตอบสนองของคนในภาพ  อย่างน้อย ภาพก็เล่าเรื่องว่าขอบฟ้าไปเล่นกับใครมาบ้าง และคนรอบตัวของฟ้ามีอัธยาศัยที่ดีน่ารักเพียงไร

 

100_3396

100_3402

100_3403

100_3400

100_3410

100_3408

100_3413

100_3417

100_3418

100_3419

100_3426

 

เมื่อได้ดูจนจบวันของขอบฟ้า สิ่งที่สังเกตุและเพิ่งจะได้รับรู้ก็คือ มุมมองของเด็กที่มองผู้ใหญ่เป็นมุมเงยเสมอ   แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราก็ลืมไป  แอบคิดไปว่าการพูดคุยกับเด็ก หากเราย่อตัวไปคุยกับเขาในระยะที่เขาไม่ต้องเงย เราอาจได้ความไว้วางใจ ความเป็นเพื่อน และความสบายใจมากยิ่งขึ้น

 

เพลินพัฒนา โรงเรียนทางเลือก ตอนที่ 1

IMG_1245.JPG

เพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนแนวทางเลือกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในระดับหัวแถว ทั้งเรื่องแนวทางการสอน หลักสูตร และ ค่าเทอม ลูกผมเกิดเดือนกรกฎาคม 2555 ไปสมัครเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่กลางปีพศ 2557 คือสองขวบนิดๆก็ไปสมัครแล้ว แล้วก็ได้โอกาสเรียนชั้น pre-nurse ซึ่งเป็นชั้นเรียนที่มีนักเรียนไม่มาก

ตอนไปสมัครก็เตรียมความพร้อมไปพอสมควร แม่ของขอบฟ้าหัดให้ขอบฟ้าหยิบของ หัดบอกสี หัดกระโดดมาแล้วหลายเดือน จริงๆก็ไม่ได้พยายามสอนเพื่อให้เข้าโรงเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นการสอนไปตามพัฒนาการเด็กซึ่งมีตำราแนะนำไว้  ตำราจะบอกแต่ละช่วงวัยเด็กควรทำอะไรได้บ้าง และโรงเรียนเพลินพัฒนาก็ใช้วิธีวัดผลจากพัฒนาการของเด็ก  เด็กคนไหนผ่านเกณฑ์ถึงจะได้เข้าเรียน เรียกได้ว่า อ่านตำราเล่มเดียวกันนั่นเอง

ขอบฟ้าสอบผ่านการทดสอบในระดับสองขวบ มีพัฒนาการเลยวัยเดียวกันไปเกือบปี เป็นความภูมิใจของพ่อและแม่ที่เห่อลูก เอากลับมาโม้กันที่บ้าน โม้ให้ญาตฟัง จนแม่ขอบฟ้าต้องเตือนผมว่า “เด็กคนไหนก็พัฒนาการระดับนี้แหละ ต่างกันไม่มาก” ทำเอาผมเงิบไปเล็กน้อย พอได้สติก็เห่อต่อ

ตอนที่จะสมัครเรียน ทางโรงเรียนเพลินพัฒนามีการเปิดโรงเรียนเพื่อให้ผู้ปกครองได้รับทราบข้อมูล ผู้อำนวยการโรงเรียนมาพูดบรรยายด้วยตัวเอง สิ่งที่ผมจับประเด็นสำคัญได้สองอย่างสำหรับผมคือ

ประเด็นที่ 1 โรงเรียนมีหลักสูตรพิสดารที่ผมไม่เคยรู้ว่ามี และคิดว่าโรงเรียนอื่นอาจไม่มี หรือถ้ามีก็คงเป็นโรงเรียนแนวประหลาดแบบเดียวกับเพลินพัฒนา แต่ที่แน่ๆ สมัยเด็กๆของชีวิตผมไม่เคยเจอหลักสูตรเหล่านี้ ซึ่งมันประกอบไปด้วย หลักสูตรว่ายน้ำนาน survival swimming เจตนาเขาตั้งใจให้ว่ายน้ำลอยตัวในน้ำได้นานๆ เพราะโรงเรียนมีสมมุติฐานว่า เด็กว่ายน้ำ 25 เมตร หรือ 50 เมตร ยังไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เด็กรอดชีวิตถ้าหากเกิดเรือล่มจริงๆ แต่คนที่ลอยตัวได้นานต่างหากที่จะรอดชีวิต เหตุผลแบบนี้ผมฟังแล้วก็ไม่เถียงอะไร เห็นด้วยทุกอย่าง แต่สงสัยว่าจะสอนให้ว่ายนานแค่ไหน นานระดับหลายๆชั่วโมง หรือทั้งวันเลยหรือเปล่า รอดูกัน

หลักสูตรพิสดารอื่นๆก็มีอีกเช่น วิชาแล่นเรือข้ามเกาะ โรงเรียนให้เหตุผลว่าการแล่นเรือข้ามเกาะจะเป็นเครื่องมือทดสอบที่ดี เด็กได้รู้สึกกลัวจริงเมื่ออยู่กลางทะเล ขับเรือคนเดียว ลากเรือลงทะเลคนเดียว ผมว่ามันก็เท่ห์ดี แต่ในหัวก็จินตนาการถึง เรือที่เราต้องซื้อ รถที่ต้องลากเรือไปทะเล ผมต้องใช้ชีวิตเป็นคนรวยลากเรือไปทะเลในวันหยุดเหรอเนี่ย จะเอารถและเรือจากไหนกัน รอเวลานั้นมาถึงก่อนค่อยมาเล่าต่อเรื่องนี้

หลักสูตรพิสดารอีกอันก็คือ วิชาการเงิน ผู้อำนวยการบอกว่าจะมีวิชาที่ให้เด็กได้เล่นกับเงิน จะให้เด็กมีเงินตั้งต้นจำนวนหนึ่ง แล้วให้เด็กได้ขายของ ให้เด็กได้ซื้อของ ให้เด็กได้มีความอยากได้ อยากซื้อ แล้วก็บริหารเงินกัน ผมฟังแล้วก็อยากให้ลูกได้ประสบการณ์เรื่องการเงินอยู่เหมือนกัน เพราะชีวิตผมไม่ค่อยมีวินัยทางการเงินเท่าไหร่ ความเชื่อส่วนตัวของผมมีแค่ กิเลสดับได้ด้วยการซื้อ ก็เลยอยากให้ลูกได้ประสบการณ์และบทสรุปเกี่ยวกับการเงินที่ดีตั้งแต่เด็กๆ

ประเด็นที่ 2 ที่ผมจับใจความได้ก็คือ ค่าใช้จ่ายโรงเรียนแพงมาก ขอให้ผู้ปกครองวางแผนทางการเงินให้ดี ใครไม่ไหวให้ถอนตัวตั้งแต่วันนี้ อย่าแย่งที่ครอบครัวคนอื่นที่มีความพร้อม เตือนกันแบบนี้เลยนะเนี่ย และที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายจะขึ้นทุกปี ปีละ 5 เปอร์เซ็น โรงเรียนชี้แจงว่าที่มาของการขึ้นราคาก็เพราะ เราต้องอยู่กับเงินเฟ้อ เงินเดือนครูต้องขึ้น ค่าใช้จ่ายต้องขึ้น โอเคเลย จำแม่นละ ผมคิดเร็วๆในใจ สูตรดอกเบี้ยทบต้น 5 %สมัยเรียนมหาลัยมันกดเครื่องคิดเลขยังไง กลับบ้านรีบกด เงินตั้งต้นแสนสอง อยู่สิบสองปี ต้องจ่ายปีสุดท้ายเท่าไหร่ พอเห็นตัวเลขแล้ว ปิดคอมฯ ออกไปหาลูกค้า ออกไปหางานเพิ่มเลย  เพราะแค่หยอดกระปุกไปจ่ายไม่ทันแน่นอน