Tag Archives: review
รีวิว xiaomi compact bluetooth speaker 2
ลำโพงบลูทูธตัวใหม่ของ Xiaomi ที่ทำออกมาขนาดเล็กมาก และราคาถูกมาก รุ่นนี้ตัวถังเป็นพลาสติกเนื้อแข็ง มีเพียงปุ่มเดียวคือกดเพื่อเปิด และกดเพื่อปิด เป็นปุ่มกดอยู่ด้านล่าง ต้องยกลำโพงหงายท้องถึงจะเห็นปุ่มกด ตัวมันเองไม่สามารถต่อสัญญาณ Aux ได้ ดังนั้นมันจะถูกใช้งานด้วยการเชื่อมบลูทูธเท่านั้น
ผมเดินผ่านร้านขาย Mi ในห้าง เลยถือโอกาสมองหาว่ามีขายหรือยัง เพราะตั้งแต่ได้ข่าวว่าเปิดตัวก็ขายดีมาก ถามไปยังเพื่อนที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็ได้รับคำตอบว่าของเข้ามาก็หมดแทบตลอด วันนี้เดินผ่านเห็นว่าวางขายให้ซื้อได้ง่ายแล้วก็เลยจัดมา 1 ตัว
สอบถามคนขายว่าตัวใหม่รุ่น2 เทียบกับตัวเก่ารุ่น1 คุณภาพต่างกันไหม คนขายบอกเสียงเหมือนกัน ก็เลยซื้อรุ่นใหม่มา เพราะราคาถูกกว่ารุ่นแรก กลับมาถึงบ้านก็จัดการทดลองฟัง สิ่งที่ฟังทดสอบก็คือเพลงต่างๆในโทรศัพท์ และรายการที่ฟังทาง youtube เป็นหลัก
หลังจากที่ทดลองใช้ได้ 2 วันก็ได้ข้อสรุปสำหรับตัวผมเองบันทึกไว้ให้อ่านกันดังนี้
1 Xiaomi เสียงดัง ฟังชัด แต่เบสน้อย เหมาะเอาไว้ฟังข่าว ฟังเสียงพูด ฟังเอาเนื้อหา ไม่ได้ฟังเอาอรรถรส
2 คุณภาพเสียงของ Mi ตัวนี้ยังไม่ดีกว่าลำโพงบลูทูธอย่าง JBL go ที่ให้เสียงได้ใหญ่กว่า เบสชัดกว่า ลงลึกกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะค่าตัวของ JBL go แพงกว่ากันหลายเท่าตัว
3 ลำโพง Mi ตัวนี้หน้าตาน่ารัก ดูแล้วอยากพก อยากเอามาร้อยเชือกแล้วติดเป็นพวงกุญแจ ซึ่งในกล่องที่มากับลำโพงมีสายคล้องมาให้ด้วย เจตนาน่าจะเอาไว้คล้องเพื่อติดตัวเจ้าของ
4 ใช้เป็นของขวัญ ของแจกได้ เพราะมันเป็นสินค้าที่น่ารักน่าใช้ แม้ว่าจะคุณภาพสู้ตัวราคาสูงไม่ได้ แต่มันก็ใช้งานในการฟังข่าวหรือฟังเพลงได้สมกับค่าตัว เมื่อหลายปีก่อนหากจะใช้ลำโพงบลูทูธสักตัว เราคงต้องมองหาของใหญ่ๆที่เกินกว่าจะพกพาได้ การที่ mi ทำออกมาเป็นตัวเล็กก็ต้องชื่นชมว่าพัฒนาของลำโพงเล็กทำได้น่าทึ่งมาก
ลำโพงราคาเพียง 299 บาท เราคงไม่ต้องคาดหวังคุณภาพเสียงจากตัวมัน ส่วนฟังค์ชั่นที่มันทำได้ ก็คือมันเป็นลำโพงพกพาที่เล็กที่สุดในโลก
รีวิว tivoli model 1 bluetooth วิทยุเสียงดี หน้าตาดีมาก
ผมเป็นคนที่หลงใหลลำโพงมานานแล้ว ขอให้เป็นลำโพงที่สามารถเปิดเพลงได้ หากมันมีจุดเด่นบางอย่างก็ทำให้ผมหลวมตัวซื้อได้ไม่ยาก สมัยก่อนการเล่นเครื่องเสียงจะมีรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว คือต้องมีเครื่องเล่นเพลงซึ่งมักจะเป็นเครื่องเล่นซีดีหรือแผ่นเสียง แล้วก็ต้องมีแอมป์ ซึ่งเมื่อก่อนก็จะมีอินทิเกรตแอมป์ที่รวมปรีแอมป์และเพาเวอร์แอมป์ไว้ด้วยกัน กับอีกแบบคือ ปรีแอมป์+เพาเวอร์แอมป์เป็นชุดแยกชิ้น และสุดท้ายก็ต้องต่อกับลำโพงสักคู่หนึ่ง
การจะหาเครื่องเสียงที่ให้เสียงถูกใจ เราต้องมีเครื่องเล่น เครื่องขยายเสียง และลำโพงโดยที่ 3 อย่างนี้จะต้องเลือก ต้องคัด ต้องหา กว่าจะเจอสิ่งที่ลงตัว จนกว่าจะเจอสิ่งที่ถูกใจซึ่งใช้เงินเยอะและใช้เวลามหาศาล แต่ถ้าคุณรวยมาก มันก็แป๊ปเดียวเจอ ซึ่งผมไม่ใช่ และเมื่อได้เครื่องเสียงครบทุกชิ้นผมก็ใช้งานมันอยู่หลายปี จนโลกเราเข้าสู่การฟังเพลงรูปแบบใหม่ ซีดีขายไม่ได้ เครื่องเล่นซีดีแทบไม่ได้เปิดอีกเลย ผมเปลี่ยนไปฟังเพลงจากไฟล์ และฟังเพลงจากอินเทอเน็ต นั่นทำให้ชุดเครื่องเสียงเดิมหรือแผ่นไม่ค่อยได้ใช้ และเป็นที่มาของการใช้ลำโพงบลูทูธ ซึ่งเป็นลำโพงที่สามารถรับสัญญาณเสียงไร้สายจากคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือต่างๆได้นั่นเอง
ลำโพงตัวนี้ เป็นเครื่องรับวิทยุยี่ห้อ Tivoli ที่ได้ผลิตขายมาหลายปี รุ่นที่สร้างชือให้ Tivoli ก็คือรุ่น model1 ซึ่งเป็นเครื่องรับวิทยุ fm am ระบบมือหมุน ที่ออกมาขายในยุค mp3 และ ipod iphone เกลื่อนเมือง แต่ก็ขายได้แถมยังขายดีเสียด้วย และจากความนิยมในการใช้มือถือมีมากขึ้นจนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของคนไปแล้ว การฟังเพลงจากมือถือเป็นสิ่งที่ต้องมี และของติดบ้านที่แทบทุกบ้านต้องมีก็คือ ลำโพงบลูทูธ Tivoli เลยใส่บลูทูธไว้ในเครื่องรับวิทยุของตัวเอง ทำให้มันกลายเป็นเครื่องรับวิทยุรุ่น model1 bluetooth
ก่อนหน้านี้หลายปี ผมเคยลังเลใจระหว่างการซื้อวิทยุหน้าตาโบราณ ระหว่าง TEAC R1 กับ Tivoli model1 และสุดท้ายก็ไปเลือก R1 ด้วยเหตุผลสองอย่างคือราคาถูกกว่า และมีแบตเตอรี่ในตัว และก็ใช้ TEAC R1 มานานหลายปี และก็ยังคงสงสัยว่า TEAC R1 กับ Tivoli Model1 ตัวไหนเสียงดีกว่ากัน ซึ่งก็ไม่เคยมีโอกาสได้เทียบเลย เพราะร้านที่ขาย TEAC R1 ไม่มี Tivoli วางขาย และในเวลาไม่นาน TEAC ก็หมด ไม่มีผลิตขายอีก แต่ Tivoli ยังมีขายอยู่อย่างต่อเนื่อง
เวลาเดินผ่านในห้างแล้วได้ยินเสียงที่ Tivoli ส่งเสียง มันก็ทำให้ผมหยุดมอง หยุดฟังอยู่แทบทุกครั้ง วันที่ Tivoli ใส่บลูทูธรวมไว้ในเครื่องก็ทำให้ตื่นเต้นอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่กล้าซื้อ จนวันนึงได้ยินเสียงรายการวิทยุที่เจ้า model1 bluetooth มันส่งเสียงอยู่ ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนมันเปิดจากมือถือ ผ่านบลูทูธ โดยใช้เพลง mp3 สักเพลง แต่พอถามพนักงานขาย พนักงานบอกว่ามันกำลังเปิดวิทยุอยู่ เท่านั้นแหละ โอ้โห ทำไมเสียงมันดีเหมือนเปิดจากไฟล์ขนาดนี้ เป็นเสียงจากวิทยุที่ผมไม่เคยได้ยินคุณภาพแบบนี้มาก่อน นั่นทำให้ Tivoli model1 bluetooth อยู่ใน wish list แต่ก็งก ไม่ซื้อ เพราะ ที่บ้านมีวิทยุอยู่ประมาณ 10 เครื่อง ไม่รวมมือถือ android ที่สามารถรับสัญญาณวิทยุได้ด้วยอีกหลายเครื่อง
ความคันไม่ปราณีใคร และวันหนึ่งมันก็มาอยู่ในบ้านผมจนได้ มาดูสเป็คกันดีกว่า
- model 1 bluetooth สามารถรับสัญญาณวิทยุ fm และ am
- รับสัญญาณ input ได้ทางช่อง aux
- สามารถเสียบหูฟังได้
- มีช่อง rec out เพื่อต่อไปยังเครื่องขยายเสียงหรือเครื่องบันทึกเสียงอื่นๆ
- สามารถเสียบสายเสาอากาศ am ได้ทางช่อง 3.5mm
- สามารถเสียบเสาอากาศ fm แบบชักยืดหดได้ทางช่องเฉพาะ เป็นเสาเหล็กที่มีแจ็คเสียบ ซึ่งเสาภายนอกก็มีแถมมาให้ด้วย
- มีสวิตซ์เลือกการใช้เสาอากาศเพื่อรับสัญญาณ fm ว่าจะใช้เสาในเครื่อง หรือเสานอก ลำพังความสามารถในการรับคลื่นด้วยเสาภายในก็ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่หากมีบางคลื่นที่ยังรับได้ไม่ชัดเต็มที่ การเปลี่ยนมาใช้เสาภายนอกก็ช่วยให้รับได้เด็ดขาดมากขึ้น
- สามารถเลือกใช้ไฟบ้าน 220V เสียบเข้าไปโดยตรงก็ได้
- สามารถใช้ไฟ 12V จากอแด๊ปเตอร์ ก็สามารถทำได้ เพราะอแด๊ปเตอร์ 12V ในบ้านก็หาไม่ยาก ใครที่มีฮาร์ดดิสก์ external เก่าๆที่พังหรือความจุน้อยจนเลิกใช้ ก็จะมีของเหลือเป็นอแด๊ปเตอร์อยู่ในบ้าน หยิบมาใช้ได้เลย
ความสามารถในการรับคลื่นวิทยุของ Tivoli ทำได้ดีมาก ส่วนใหญ่ทุกคลื่นฟังได้อย่างชัดเจน และเลือกแต่ละสถานีได้ง่าย รอบหมุนของการหาคลื่นทำได้ละเอียดดีมาก จุดเด่นอีกข้อหนึ่งของ Tivoli คือลำโพงติดเครื่องที่เป็นแบบฟูลเร้นจ์ หรือเป็นลำโพงที่ตอบสนองความถี่ได้กว้างมากทั้งๆที่ขนาดแค่ 3 นิ้ว น้ำเสียงกลางโดดเด่น และมีการจูนเสียงของดอกลำโพงรวมกับตู้ลำโพงที่ให้น้ำหนักเสียงที่มีเสียงเบสที่ชัดเจนและให้แนวเสียงที่อิ่มเกินตัว ฟังเพลงที่บันทึกเสียงมาดีๆแค่นาทีเดียวก็ใจละลายแล้ว เสียงโฆษก เสียงดีเจ เสียงพูดของคนทำให้ผมนึกถึงลำโพงอย่าง roger LS3/5 ที่มันฟังเพลิน เป็นเสียงพูดเสียงคนที่น่าฟังมาก
การนำ Tivoli มาฟังดนตรีต่างๆก็เป็นเรื่องปกติของลำโพง เสียงเพลงป๊อป เสียงเพลงแจ๊ส เสียงเพลงอคูสติกก็ถูกจริต ถูกงาน ถ่ายทอดออกมาได้น่าฟัง เสียงเบสที่ห่อหุ้มเป็นฐานของเสียงทั้งวงก็มีให้ฟังแบบพอดีๆ ซึ่งหากย้อนไปสักสิบปี การที่เราจะฟังเสียงทุ้มที่อิ่มเอิบขนาดนี้ต้องไปหาจากลำโพง 2.1 หรือ ซับวูฟเฟอร์ หรือไม่ก็ไปหาจากลำโพงฟังเพลงที่ใช้วูฟเฟอร์ระดับ 6-8 นิ้วขึ้นไป กับดอกฟูลเร้นจ์แบบ Tivoli 3 นิ้วนี้ ทำให้ประหลาดใจ และพอใจอย่างมาก
แล้วผมก็ได้โอกาสทดสอบ TEAC R1 กับ Tivoli model1 bluetooth ว่าใครเสียงดีกว่ากัน ผมเลือกเปิดสถานนีที่กำลังถ่ายทอดเสียงพูดคุย เพราะผมชอบฟังรายการทอล์คที่เสียงชัดๆ เปิดคลื่นเดียวกัน ปรับเสียงทดสอบให้ดังใกล้เคียงกัน แล้วก็เปิดเสียงปิดเสียงเทียบกัน ก็ได้คำตอบสำหรับผมเอง นั่นคือ Tivoli ถ่ายทอดเสียงพูดได้ดีกว่า
การจัดระบบชุดฟังเพลงให้กับ Tivoli มีความหลากหลายมาก จะวางเดี่ยวๆใช้เป็นเครื่องฟังวิทยุก็ได้ จะจัดให้มันทำงานเป็นเครื่องขยายเสียงสำหรับ ipod ก็ได้ จะจัดให้เป็นเสียง Bluetooth ของ smartphone ก็ได้ หรือแม้แต่จะใช้เป็นแอมป์หูฟัง เพราะ tivoli มีช่องต่อหูฟังด้วย ซึ่งคุณภาพเสียงของภาคขยายหูฟังก็ไม่ธรรมดา ลำพังเพียงแอมป์หูฟังที่แยกขายเพื่อให้ใช้กับหูฟังที่ขับยากๆนั้นก็ราคาหลายพันจนถึงหลายหมื่นก็มีให้เลือกซื้อ ค่าตัวของ Tivoli ตัวนี้ ซื้อแอมป์หูฟังยอดนิยมระดับกลางๆยังไม่ได้เลย
แถมคลิปทดสอบ tivoli model1 bluetooth โดยการเปิดเพลงจาก youtube ใช้ huawei p9 เชื่อมบลูทูธกับ Tivoli แล้วถ่ายวิดีโอด้วย กล้อง DSLR canon รุ่น Eos 6d ติดเลนส์ 50mmf1.4 ใช้ไมค์รับเสียงของ Zoom รุ่น H1 ต่อสายไมค์เข้ากล้องทางช่อง mic in
ทดลองฟังเพลง
ผมใช้คอมพิวเตอร์ต่อกับ usb dac ใช้ชิปถอดรหัสเสียง ESS ES9018K2Mแปลงสัญญาณเสียงเป็นอนาลอกแล้วต่อสาย rca to mini 3.5 ไปเข้ายัง Tivoli model1 ที่ช่อง Aux ก็คือใช้ Tivoli เป็นลำโพงขยายเสียงนั่นเอง เพลงของ norah jones ชุด come away with me เสียงร้องชัดๆ ฟังออกทุกถ้อยคำ เสียงเบสกลมๆเล่นคลอไปกับเปียโน ทุกเสียงได้ยินชัดเจน ตัว tivoli ไม่มีปุ่มปรับทุ้มแหลม เสียงที่ได้ยินจะคงที่สไตล์เดียว คือ ชัดและนุ่ม เสียงโซโล่เบสได้ยินทุกโน้ต อัลบั้มนี้บันทึกเสียงได้ดีน่าฟังทุกเพลง
ฟังอัลบั้มโชว์เสียงร้องผสมกีต้าร์อคูสติกก็ให้ความไพเพราะ เสียงกีต้าร์คลอๆกับเสียงร้องหวาน ใส ชัด อย่างชุด snow rose ที่เป็นเพลง cover จากเพลงฮิตมากมาย เสียงร้องมีความชัดและเรียกร้องความสนใจอยู่มาก เป็นโทนเสียงกลางที่ติดไปทางแหลมเด่นกว่าเสียงย่านต่ำ แต่ไม่ได้ใสกิ๊งราวกับแก้วใสๆ เสียงสูงยังคงด้อยกว่าลำโพงสองทางที่ใช้ทวีตเตอร์อยู่ดี แต่เสียงกลางและเบสนี่เป็นความลงตัวที่น่าใช้มาก
ฟังเพลง jazz ที่เน้นเสียงร้อง ฟังแล้วเคลิ้มทุกเพลง มันชัดถ้อยชัดคำ เหมาะกับงานที่มีเสียงอคูสติกเต็มเพลง ลองกับเพลงในอัลบั้มของ Jennifer Warnes ชุด The Hunter ก็ให้เสียงร้องที่หวานใส เสียงกีต้าร์อคูสติกเล่นเกาโน้ตชัดๆ ยิ่งเป็นเพลงแนวออดิโอไฟล์ก็ยิ่งฟังเพราะ
ลำโพงฟูลเรนจ์ให้เสียงเป็นเอกลักษณ์มาก เสียงทุ้ม กลาง แหลม มันออกมาจากลำโพงดอกเดียว น้ำหนักเสียงสมดุลย์พอดี ไม่มีเบสล้นหรือบางเกินไป การใช้งานเหมาะกับการฟังผ่านๆ หรือเปิดทิ้งไว้ทั้งวันจริงๆ เป็นลำโพงที่อยากเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา
สรุป
Tivoli model1 bluetooth เป็นวิทยุพร้อมลำโพง 1 ดอกที่มีหน้าตาสวยงามสามารถใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านได้ และให้คุณภาพเสียงการฟังเพลงที่ดีมาก รับวิทยุได้ชัดเจน รับสัญญาณเสียงจากช่อง bluetooth ได้โดยที่มีคุณภาพเสียงที่ดีน่าฟังสูสีกับการใช้สาย และหากใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อแหล่งโปรแกรมอื่นๆทางช่องทาง Aux มันก็จะเป็นเครื่องเสียงที่ให้เสียงเป็นกลาง มีสมดุลย์เสียงที่พอดีในทุกย่านเสียง เบส กลาง แหลมมาครบ ความใสของเสียงสูงยังไม่เท่ากับลำโพงสองทางมีทวิตเตอร์ และภาพรวมก็เป็นเสียงร้องเสียงดนตรีที่น่าฟังและสามารถฟังได้นานๆ
ผมทำรีวิวแบบเสียงเอาไว้ให้ฟังด้วย เนื้อหาแตกต่างจากในโพสท์นะครับ
รีวิว Sennheiser HD800
รีวิว sennheiser hd 800
วันที่ 31 กรกฏาคม2556
โดย วุฒิชัย เจริญบุรี pockethifi@gmail.com
pockethifi.wordpress.com
ตลาดหูฟังค่อยๆเติบโตแบบเงียบๆ คนเล่นเครื่องเสียงบ้านอย่างผมแค่เผลอไปสนใจเรื่องถ่ายภาพ ไปสนใจเครื่องเสียงรถไม่กี่ปี วงการหูฟังและเครื่องเสียงพกพาดันเติบโตอย่างน่าประหลาดใจ จากการกำเนิดของ ipod ที่เป็นเครื่องเล่นพกพาแสนสะดวก การก๊อปปี้เพลงฟังกันอย่างง่ายดายทำให้เครื่องเสียงพกพามียอดขายสูงมาก พอเครื่องเล่นเยอะ หูฟังก็เยอะตาม ใช้กันทิ้งขว้างซื้อใหม่กันเป็นว่าเล่น
ความนิยมเครื่องเสียงพกพาทำให้วงการหูฟังตื่นตัว มีการออกผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพออกมาให้นักฟังเพลงนอกบ้านได้ใช้งานกันสารพัดรูปแบบ หูฟังคุณภาพต่ำที่แถมมากับเครื่องเล่นก็ถูกแทนที่ด้วยหูฟังที่ดีขึ้น แพงขึ้น หูฟังพกพาเส้นเล็กๆไม่ค่อยสะใจ บางคนก็พกหูฟังตัวใหญ่ขึ้น ไปหาหูฟังแบบครอบหูมาใช้กันนอกบ้าน ทั้งที่ในอดีตหูฟังแบบครอบหูนี้ใช้งานอยู่ในบ้าน ใช้ในสตูดิโอมาตลอดหลายสิบปี แต่มาช่วงไม่กี่ปีนี้เองที่หูฟังแบบครอบหู ได้รับความนิยมจนเห็นกันได้บ่อยในสถานที่ต่างๆ ทั้งบนรถไฟฟ้า ร้านอาหาร กลายเป็นของพกพาไปได้อย่างงงๆ
พอหูฟังเริ่มเยอะ ก็มีแอมป์ขับหูฟังให้เลือกใช้ นัยว่าเพื่อช่วยยกระดับเสียงให้หูฟังตัวโปรด พอแอมป์หูฟังเริ่มเยอะ หูฟังก็พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ต่างคนต่างพาวงการก้าวไปข้างหน้า จนกระทั่งเรามีงานแสดงเครื่องเสียงสำหรับหูฟังกันโดยเฉพาะ พอมีงานเครื่องเสียง เราก็ต้องมีหูฟังระดับไฮเอนด์ไว้แสดงศักยภาพ หูฟังไฮเอนด์ก็พาเหรดกันออกมาเต็มไปหมด วันนี้เราก็เลยจะมารีวิวหูฟังตัวท๊อปตัวหนึ่งของวงการครับ นั่นคือ Senheiser HD800
พูดถึงยี่ห้อ Sennheiser ก็ต้องนึกถึงหูฟัง รุ่นพกพายอดฮิตอย่าง MX400 ซึ่งราคาแสนถูกคุณภาพดีเกินตัว ส่วนหูฟังแบบครอบหูหรือแบบครอบหัว หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ที่มันยัดเข้ารูหูไม่ได้ ก็จะมีรุ่นยอดนิยมอยู่สามตัว นั่นคือ HD600 HD650 และ HD800 ซึ่งหลังๆอาจจะมีตัวอื่นออกมาเรื่อยๆ แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมในวงการหูฟังของต่างประเทศจะเป็นสามตัวนี้เป็นส่วนใหญ่
หูฟัง HD 800 เป็นหูฟังระดับสูงสุดของตลาดเครื่องเสียงโฮมยูสและสตูดิโอ จริงๆจะมีตัวที่ท๊อปเว่อร์ยิ่งกว่านี้แต่มันไม่ได้เจาะตลาดกลุ่มไหนเลย นั่นคือรุ่น opheus ที่เป็นหูฟังมาพร้อมแอมป์ ใครมีหูฟังตัวนี้ควรทำพินัยกรรมไว้ด้วย เพราะแสดงว่าคุณเป็นคนรวยมาก กลับมาที่ HD800 ต่อดีกว่าครับ เจ้า HD800 เป็นพี่ใหญ่ของค่ายในตลาดโฮมยูส ใครใช้ตัวนี้ไม่ต้องหาตัวอื่นแล้วเนื่องจาก HD800 เป็นตัวที่ราคาสูงที่สุดคุณภาพดีที่สุดที่ทาง sennheiser ตั้งใจทำจริงๆ พอหาซื้อมาใช้แล้วก็พบว่ามันใช้กับเครื่องเสียงพกพาไม่ค่อยเวิร์ค เพราะหูฟังขนาดใหญ่ ความต้านทานสูง ความไวต่ำ มันต้องการกำลังขับที่มากกว่าหูฟังทั่วไป คนที่มีหูฟังระดับนี้เลยจำเป็นต้องมีแอมป์หูฟังอีกตัวหนึ่งซื้อคู่กันมา เหมือนมีมะนาวดองแล้วต้องไปหาซื้อเป็ดมาตุ๋นนั่นเอง แถมราคาแอมป์หูฟังก็ใช่ว่าจะราคาถูก มันแพงกว่าแอมป์ขับลำโพงเสียอีกทั้งๆที่กำลังขับที่ใช้กับหูฟังอยู่ในระดับมิลลิวัตต์เท่านั้น
ข้อมูลทั่วไปของ HD800
หูฟัง HD800 เป็นหูฟังชนิดครอบหัวที่โครงสร้างส่วนที่แข็งจะทำจากสแตนเลส มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา สายคาดที่รับน้ำหนักบนศรีษะจะหุ้มด้วยกำมะหยี่เนื้อนุ่ม ตัวส่วนของหูครอบจะเป็นโครงสร้างที่ใหญ่มาก สามารถครอบใบหูได้ทั้งใบ ถ้าใครมีใบหูไม่ผิดมนุษย์เกินไปคุณสามารถใช้งาน HD800 ได้โดยที่ใบหูไม่โดนสัมผัสกับตัวหูฟังเลย
ไดรเวอร์ที่ใช้ใน HD800 เป็นแบบไดนามิค มีขั้วต่อสายเพื่อถอดเปลี่ยนหรืออัพเกรดคุณภาพเสียงได้ ในตลาดมีผู้ผลิตสายอัพเกรดมารองรับหูรุ่นนี้อยู่เช่นกัน แจ็คเสียบจะเป็นชนิด 6.3มม. ความยาวสายที่ให้มาประมาณ 3 เมตร มาพร้อมกล่องบรรจุหรูหราสุดๆ ในกล่องมีช่องวางมีผ้ามันวาวสีดำรองรับ แค่เปิดกล่องออกมาก็ไม่อยากเอามือจับหูฟังแล้วเพราะกลัวเปื้อนนั่นเอง
ด้านที่ใช้คาดผ่านหัวจะทำจากสแตนเลส มีลายสลักเป็นชื่อรุ่น และ ซีเรียลนัมเบอร์ พร้อมด้วยการบอกระยะห่างเพื่อปรับขนาดของตัวคาดเป็นเส้นๆแบ่งเอาไว้หลายระดับ
ข้อมูลทางไฟฟ้า
ไดรเวอร์ชนิดไดนามิค ความต้านทาน 300 โอห์ม
ความไว 102dB ที่แรงดัน 1 โวลท์
รองรับกำลังขับ 500 มิลลิวัตต์
ความเพี้ยนที่วัดได้ 0.02% ที่แรงดันทดสอบ 1 โวลท์
น้ำหนักกดทับของตัวโครงสร้าง 3.4 นิวตัน +- 0.3
น้ำหนัก 330 กรัม
ขั้วเสียบแจ๊คเป็นแบบสเตอริโอ 6.3 มม.
ตอบสนองความถี่ 14-44100 เฮิร์ตซ์ ที่ระดับ -3dB
สายหูฟังเป็นแบบ OFC ยาว 3 เมตร
ทดลองฟัง
หูฟัง HD800 จะใช้ทดสอบร่วมกับอุปกรณ์ดังนี้
ใช้ฟังกับคอมพิวเตอร์จะต่อผ่าน DAC แล้วมาเข้าแอมป์หูฟังคือ Audio GD Master8
ใช้ฟังกับ iPod Video จะต่อ ผ่าน Dock ชนิด active แล้วมาเข้าแอมป์ Master8
ถ้าฟังกับ MP3 อื่นๆที่ไม่มี Dock จะต่อผ่านช่อง Headphone ด้วยสาย mini to RCA เข้าแอมป์ Master8
หลักๆก็คือ HD800 จะขับด้วยแอมป์ Master8 นั่นเอง ใช้การเชื่อมต่อด้วยสายที่มากับหูฟังผ่านชั้วต่อ 6.3มม.
สิ่งที่สัมผัสได้ว่าหูฟังตัวนี้มันออกแบบมาดีก็คือ น้ำหนักเบามากเมื่ออยู่บนศรีษะแล้ว การออกแบบส่วนที่คาดหัวร่วมกับส่วนครอบหูที่ใหญ่โต ดูด้วยตาแล้วน่าจะน้ำหนักเยอะ คออาจจะหักได้เมื่อใช้นานๆ แต่กลับกลายเป็นว่าตำแหน่งที่มันสัมผัสกับหัวเรานั้นมันช่วยกระจายแรงการกดต่างๆไปในบริเวณที่กว้าง จนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าหนัก จะบอกว่าเบาก็ไม่ผิด มันไม่ได้โล่งเหมือนไม่มีอะไร แต่มันไม่หนัก ไม่เป็นภาระในการใช้งานแต่อย่างใด ถ้าต้องฟังเพลงต่อเนื่องหลายชั่วโมง หูฟังอย่าง HD800 นี่แหละที่เหมาะสมอย่างมากในเรื่องสรีระ น้ำหนักกดทับที่แผ่วเบาทำให้มันเหมือนมีใครเอามือมานวดศรีษะให้เบาๆ ราวกับว่ากำลังนวดสปาอยู่
เพลงแรกดังขึ้น สิ่งที่โดดเด่นและรู้สึกได้ทันทีคือเสียงกลางแหลมที่ชัดและใสอย่างมาก เสียงดนตรีที่เป็นเครื่องเคาะโลหะจะฟังชัดมาก ชัดจนบางคนอาจจะรู้สึกเสียงจัดจ้านเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วมันชัดในระดับมอนิเตอร์ คือใช้เป็นมอนิเตอร์เพื่อใช้งานในห้องบันทึกเสียงได้เลย
เสียงกลางนักร้องทั้งชายและหญิงจะมาในโทนที่ชัด ใส เนื้อเสียงมีครบแต่ไม่หนาติดหู ถ้าฟังผ่านๆไม่กี่นาที อาจจะรู้สึกว่าหูฟังตัวนี้เสียงบาง ไม่ฉ่ำ ไม่หวาน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราต่างก็คุ้นชินกับความหวานของแอมป์หลอด เสียงนักร้องฉ่ำๆของแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีนที่เอาเพลงเพราะมาร้องใหม่ ถ้าฟังไปนานๆเราจะพบว่า เสียงที่รู้สึกบางนั้น ไม่ได้มีลักษณะที่ว่าความถี่ย่านต่ำหดหาย แต่มันลดระดับความอิ่มลงไป เราจะได้ดุลย์ของน้ำเสียงโดยรวมที่พอดี เสียงร้องที่ใสและชัด ชิ้นดนตรีทุกอย่างชัดเหมือนกัน ไม่ได้เน้นย่านใดเป็นพิเศษ
ตอนฟังกับแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีน อย่างของ susan wong หรือ ไช่ฉิน ผมรู้สึกว่าเสียงมันบางลงกว่าที่คุ้นเคย แต่เสียงแหลมจะเหมือนเน้นให้ชัดมากเป็นพิเศษ และบางแผ่นออกจะเน้นเสียง ส ซ มากเกินไป คงเป็นลักษณะที่ตั้งใจทำแผ่นมาให้ฟังแล้วรู้สึกว่าเสียงร้องชัดมาก พอมาเจอกับหูที่ไวต่อเสียงแหลมกลายเป็นเสียงร้องจัดเกินไป แต่พอไปฟังแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายฝรั่งของศตวรรษที่แล้ว อย่างJennifer WarnsชุดThe Hunter กลับรู้สึกว่าเสียงมันบาลานซ์พอดี เพลงยอดฮิตในแผ่น The Hunter มีอยู่สองสามเพลง มันฟังแล้วเพลิน ไม่อึดอัด เบสลึกแสดงพลังอยู่ในพื้นที่ของมัน มีตัวตน แต่ไม่แย่งกันเด่น ยิ่งกลับไปฟังแผ่นของ Clair Marlo ชุด Let it go ซึ่งเป็นแผ่นที่อัดมาระดับเสียงค่อนข้างเบา และเบสไม่อิ่ม ไม่ล้นเหมือนแผ่นสมัยใหม่ยิ่งฟังได้ไพเราะกว่าเดิม เพราะความทรงจำของผมคือ แผ่น Let it go นี้ เสียงใส สะอาด แต่ไม่ได้ฉ่ำหวานเรียกลูกค้า หลังๆจะไปชินกับแผ่นค่ายจีนจนกลับมาฟัง Let it go แล้วกลายเป็นบางเกินไป ทำให้ไม่ได้หยิบมาฟังหลายปี พอรอบนี้ขุดมาฟังกับ HD800 กลายเป็นว่าแผ่นนี้เพราะมากจริงๆ เสียงย่านต่ำไล่ไปย่านสูงมีให้ฟังกันครบถ้วน ไม่มีอะไรล้ำ ไม่เน้นย่านใดเป็นพิเศษ มันพอดีจนน่าฟัง
เสียงเคาะแฉในแผ่นค่าย Shefield Lab กับ Chesky Record ให้ความรู้สึกแข็ง คม ชัดใกล้เคียงเสียงจริงๆอย่างมาก ใครเคยอยู่ในห้องซ้อมดนตรี ถ้าเคยไปฟังกลองสด ลองมาฟังแผ่นคุณภาพดีผ่าน HD800 น่าจะยอมรับได้เลยว่ามันถ่ายทอดได้ใกล้เคียงของจริงเพียงใด HD800 ถ่ายทอดทุกเสียงออกมาอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้มอนิเตอร์ทุกเสียงได้อย่างแม่นยำ บางคนอาจจะไม่ชอบแนวทางนี้ แต่ถ้าใครนิยมกับลัทธิ สดดิบ ไม่ปรุง หรือบริสุทธิ์นิยม ต้องลองครับ ต้องลอง
เคยมีคนแสดงความเห็นว่า HD800 น่าจะได้จับคู่กับแอมป์หลอดเพื่อเน้นเสียงเบสให้อิ่มเพิ่มขึ้น อันนี้น่าจะเป็นรสนิยมความชอบของแต่ละคน บางคนแนะนำว่าให้เปลี่ยนสาย ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ผมอยากลองอยู่เหมือนกัน ถ้าปรุงแต่งได้ถูกใจก็จะได้เสือติดปีกเลย การจับคู่กับแอมป์โซลิทสเตทคุณภาพสูงๆสักตัวก็ไม่ได้เสียหายอะไร ความใส ความฉับไวที่โดดเด่นของ HD800 มันน่าจะคงอยู่เต็มที่เมื่อใช้งานผ่านโซลิทเสตท แต่อย่างไรก็คงต้องได้ฟังผ่านแอมป์หลอดอีกทีเพื่อจะตัดสินใจได้ตรงความต้องการที่สุด
ความโปร่งใส ความฉับไวที่เป็นจุดเด่น และบาลานซ์เสียงที่ดี ทำให้การฟังเพลงได้ยินดนตรีครบทุกชิ้นแบบไม่คลุมเครือ และเมื่อได้ทดลองเอาไปดูหนังด้วยแล้้วต้องบอกเลยว่ามันดูหนังสนุกมาก เอฟเฟ็คสารพัดที่หนังใส่มาให้เราได้ยินต่อเนื่องพร้อมๆไปกับบทพูดที่ฟังชัดเจนไม่คลุมเครือ ดนตรีแบ็คกราวน์ในหนังที่ห่อหุ้มเราไว้ทำให้เราเพลินราวกับว่าดูอยู่ในโรงหนัง อาการล้าหรือปวดเมื่อยไม่มีปรากฏเลย นอกจากคุณภาพเสียงที่ดีพอที่จะถ่ายทอดความอลังการของเพลงเพลงประกอบหนังแล้ว รูปทรงที่ออกแบบมาให้สวมใส่ได้สบายสุดๆทำให้เราอยู่กับหนังได้จบเรื่อง ด้วยความสามารถของไดรเวอร์ที่สามารถรองรับความถี่ต่ำได้ต่ำจริงๆและทนกำลังขับได้มากพอ ทำให้เสียงต่ำลึกในหนังสามารถแสดงออกมาผ่านหูฟังได้เกือบจะครบถ้วน เรียกง่ายๆว่า ถ้าอยู่บ้านคนเดียว ข้างบ้านไม่มีใคร ก็เปิดหนังกับระบบเสียง 5.1 ลำโพง 5-6 ตัวไปเลย แต่ถ้าต้องฟังเงียบๆ ใส่ HD800 แทนก็ได้อรรถรสที่ดีทดแทนกันได้
ฟังแผ่น metalica เพลง entersandman เพลงร๊อคระดับโลกอันเป็นเครื่องหมายการค้าของวงนี้ไปแล้ว เพลงนี้มีกลองและเบสที่เล่นกันง่ายๆไม่ซับซ้อน แต่เพราะ HD800 ให้เสียงกลองที่สด กระชับ ทุกเม็ดของกลองได้ยินครบถ้วน หัวโน้ตของกลองมาเร็ว จบเร็ว ไม่ลากยาวให้บวมเบลอ เสียงกีต้าร์ไฟฟ้าก็มีเอฟเฟ็คโอเวอร์ไดร์ฟแตกซ่านในระดับที่น่าฟัง ไม่ได้เสียดหูเลย การฟังเพลงเฮฟวี่เมทัลแล้วไม่เสียดหูมันแสดงให้เห็นว่า HD800 ไม่ได้มีเสียงสูงที่กัดหูขนาดน่ากลัว มันขึ้นอยู่กับว่าอัลบั้มนั้นๆทำมาสเตอร์ไว้อย่างเที่ยงตรง หรือทำไว้เรียกร้องความสนใจกับซิสเต็มที่ให้เสียงแหลมได้น้อยกว่าที่ควร ผมเชื่อว่าแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีนหลายๆแผ่นจงใจเน้นเสียงร้องให้ชัดเกินพอดีไปเล็กน้อยเพื่อฟังกับอุปกรณ์ราคาย่อมเยาทั้งหลายแล้วจะรู้สึกว่าเสียงร้องชัดเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อเทียบกับอัลบั้มของฝรั่งที่น่าเชื่อถือแล้ว กลายเป็นเพลงค่ายจีนมันแหลม ล้นเกินไป จนมันไม่เพราะเมื่อฟังกับ HD800
เพลงบรรเลงแนว pop แนว love song หลายๆเพลง ให้น้ำเสียงฟังสบาย ไม่มีอะไรล้น ไม่มีอะไรเกิน ไม่มีลาวเนสแถม ทุกอย่างราบเรียบฟังง่าย โทนเสียงย่านต่ำลงไปลึกมาก เสียงอะคูสติกกีต้าร์ที่เล่นโน้ตเบสมันมีความใหญ่สมเหตุสมผล เบสคมและกระชับมาก แนวเสียงของ HD800 เป็นมอนิเตอร์ดีๆนี่เอง
HD800 เหมาะกับใคร
คนที่ชอบเสียงสด เปิดเผย เสียงเคาะกรุ๊งกริ๊ง ชอบดนตรีเล่นสด
คนที่ชอบนักร้องผู้หญิงเสียงใส
คนที่ชอบดูหนังด้วยหูฟัง แต่ควรใช้ร่วมกับแอมป์หูฟังคุณภาพดีด้วยเช่นกัน
คนที่ทำงานมอนิเตอร์เสียงเพื่อบันทึกมาสเตอร์
HD800 ไม่เหมาะกับใคร
คนที่ชอบสไตล์เสียงฉ่ำหวาน ติดลาวเนสนิดๆ ตรงนี้จะรู้สึกว่า HD800 เสียงบางเกินไป
คนที่ฟังแผ่นค่ายจีนบ่อยๆ โดยเฉพาะนักร้องหญิงบางอัลบั้มเน้นเสียง ส ซ มากจนรู้สึกเกิน
จุดเด่น
HD800 ทนกำลังขับได้สูง มีความฉับไวมาก โน้ตเสียงไม่ปะปนจนโฟกัสยาก
เสียงร้องใส ชัด เสียงเครื่องเคาะต่างๆให้ความรู้สึกเป็นโลหะจริงๆ
จุดด้อย
เสียงค่อยข้างเปิดเผย ถ้าไปเจอกับเพลงอัดไม่ดี แอมป์คุณภาพต่ำ เสียงจะจัดขึ้นมาทันที
ด้วยความที่มีบุคลิกที่เปิดเผยทำให้การเลือกใช้แอมป์เป็นเรื่องที่ต้องคิดเยอะ การเลือกสายก็คงเยอะเช่นกันถ้ายังค้นหาไม่เจอคู่แท้ที่ถูกหู
ใช้กับเครื่องเสียงพกพาลำบาก เพราะว่าแจ๊คแบบ 6.3มม. ต้องหาอแด๊ปเตอร์มาใช้ และพลกำลังของเครื่องเสียงพกพามักจะไม่พอที่จะขับ HD800 แค่พอมีเสียงแต่เปิดดังไม่ได้
สรุป
HD800 เป็นหูฟังระดับมอนิเตอร์ที่มีความเที่ยงตรงของเสียงอย่างมากที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่เคยสัมผัสมา ใครเคยเล่นดนตรี เคยใช้เวลาในห้องซ้อมจะคุ้นเคยกับเสียงแนวนี้ การตอบสนองต่อเสียงดนตรีทำได้ฉับไวมาก เครื่องเคาะโลหะจะให้เสียงที่คมแข็งสมจริงมากกว่าหูฟังแนวตลาดทั่วไป ถ้าได้แหล่งโปรแกรม หรือ เพลงที่บันทึกมาได้มาตรฐานจะทำให้การฟังนั้นเพลิดเพลินอย่างแท้จริง ความสบายตอนสวมใส่เป็นเลิศ หากเคยบ่นว่าหนัก หรือหนีบหัวแทบแตกกับหูฟังตัวไหนก็ตาม ลองมาใส่ HD800 แล้วจะรู้สึกเลยว่า คำว่าสบายหัวเป็นอย่างไร ค่าตัวหูฟังเท่าไหร่ต้องเติมเงินค่าแอมป์อีกเท่าๆกันด้วยถึงจะฟิน
polaroid digital camera z340 กล้องโพลารอยด์ยุคใหม่
กล้องดิจิทัลจาก polaroid ในรุ่น z340 เป็นกล้องลูกผสมระหว่างกล้องดิจิทัลความละเอียด 14 ล้านพิกเซล กับ ปริ๊นเตอร์ขนาดเล็กสามารถพิมพ์ภาพขนาด 3×4 นิ้วได้ในตัว ในส่วนของกล้องดิจิทัลจะใช้แผ่น SD card แบตเตอรี่ในเครื่องสามารถใช้พิมพ์ภาพได้ 10 ภาพต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง ส่วนการถ่ายภาพแบบไม่ต้องพิมพ์ภาพ สามารถถ่ายได้กี่ครั้งยังไม่รู้ข้อมูล เดี๋ยวใช้ไปเรื่อยๆคงรู้เอง
ภาพที่ถ่ายเล่นด้วยกล้องดิจิทัลโพลารอยด์

ตั้งค่าของกล้องเอาไว้ที่ฟิลเตอร์แบบโลโม่ ซึ่งจะมีลักษณะเพิ่มขอบดำให้กับภาพ แล้วก็ถ่ายภาพนี้จากในรถ โฟกัสภาพไว้ที่กระจกที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ วัดแสงไปตามที่กล้องวัดให้ โฟกัสชัดก็กดถ่ายไปเลย

นอกจากจะถ่ายไปนอกตัวรถแล้ว ลองโฟกัสที่คอนโซลรถบ้าง สภาพแสงตอนนี้ค่อนข้างน้อยเพราะว่าขับรถอยู่บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี

ภาพศาลตายายถ่ายในโรงพิมพ์ ตั้งค่าเป็นแบบโลโม่เพื่อช่วยให้ภาพมีขอบดำเข้มขึ้น คุณภาพกล้องคอมแพ็คระดับ 14 ล้านพิกเซลอยู่ในระดับมาตรฐานกล้องทั่วไป แต่ลูกเล่นเรื่องฟิลเตอร์ต่างๆก็เป็นของเล่นที่น่าเล่น ภาพที่ได้มีคุณภาพเพียงพอที่จะนำไปโพสท์หรือใช้ในงานสิ่งพิมพ์ได้ไม่มีปัญหา

การถ่ายภาพในห้องนอนก็มีคุณภาพพอใช้ สภาพแสงในห้องมีเพียงไฟฟลูออเรสเซนท์หนึ่งดวง กล้องพยายามเร่ง iso ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่กล้องจะมีให้ได้ ภาพที่ได้ก็มีรายละเอียดพอใช้ได้ แม้ว่าจะดูมีกลากเกลืื้อนต่างๆอยู่ในผิวคนและทั่วทั้งภาพแต่มันก็ยังคงให้ภาพได้ คือเก็บภาพได้ ไม่สั่นจนเสีย
review yamaha PDX-11 ลำโพงยามาฮ่าน่าใช้
ลำโพงเสียงดีสักตัวหนึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากถ้าพิจารณาเรื่องราคาและฟังค์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก ถ้าบอกว่าจะหาลำโพงเสียงดีงบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ แบบนี้เดินไปช๊อปที่ห้างหรูแบบคู่ละแสนคู่ละล้านไปเลยก็ได้ แต่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่มีปัญญาระดับนั้นหรอกครับ แค่เจียดเงินมาซื้อเครื่องเสียงหนึ่งชุดด้วยเงินสักสามหมื่นหรือห้าหมื่นก็โดนค้อนแล้ว
ภาพลำโพงคู่หนึ่งในจินตนาการของคนทั่วไปจะเป็นลักษณะตู้สี่เหลี่ยม เวลาซื้อมาใช้ต้องซื้อเป็นคู่หรือสองตัว เวลาใช้งานต้องต่อกับเครื่องเสียงสักตัวหนึ่ง คืออาจจะต่อกับเครื่องเล่นซีดีหรือดีวีดี แล้วมีแอมป์ในตัว ต่อสายลำโพงออกมายังลำโพง รูปแบบที่ว่ามาเป็นภาพมาตรฐานที่เรามักจะได้เจอกับบ้านเรือนทั่วไป
ส่วนลำโพงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นก้อนเล็กๆสักคู่ หรือ เป็นชุด 2.1 คือมีลำโพงหลักสองตัวและมีซับวูฟเฟอร์อีก 1 ตัว ลำโพงคู่หลักวางบนโต๊ะส่วนซับวูฟเฟอร์วางไว้ที่พื้น ลำโพงแนวนี้มีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปถึงระดับหลักหมื่น ถ้าพ้นจากลำโพงคอมฯไปแล้วก็จะเป็นลำโพงสำหรับโฮมเธียเตอร์ ราคาก็จะอยู่ในระดับหลักพันไปถึงหลายๆหมื่น
แต่คราวนี้ผมได้ไปเจอลำโพงตัวหนึ่งที่มีหน้าตาประหลาด ดูแล้วคงไม่ค่อยมีใครอยากได้สักเท่าไหร่ มันไม่ใช่ลำโพงแบบที่ว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด แต่มันเป็นลำโพงที่ส่งเสียงเพลงได้ดีที่มาพร้อมฟังค์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายและมีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้น่าสนใจ ผมเดินไปเจอในห้าง ทดลองฟังสักสองเพลงก็ตัดสินใจซื้อมาใช้ทันที เป็นการเลือกซื้อลำโพงที่ใช้อารมณ์เป็นหลัก เหตุผลเรื่องราคาเป็นเรื่องรอง ซึ่งราคาค่าตัวมันก็ไม่ได้สูงเกินไปเสียด้วย

ลำโพงตัวนี้เป็นของ yamaha ออกแบบมาเป็นลำโพงที่เลียนแบบหน้าตามาจากเครื่องเสียงระบบ PA หรือเครื่องเสียงสำหรับงานคอนเสิร์ตหรืองานกลางแจ้ง หรืองานวัดนั่นเอง ดูผิวเผินมันเหมือนลำโพงสำหรับนักดนตรีเอาไว้ใช้บนเวที แต่ว่าตัวจริงมันไม่ได้ใหญ่มาก คงเอาไปใช้ในเวทีคอนเสิร์ตจริงๆไม่ได้ และพลังเสียงก็ไม่ได้ดังระเบิดแบบเครื่องเสียงกลางแจ้ง เป็นเพียงลำโพงที่เอาหน้าตาแบบกลางแจ้งมาใช้ แต่ฟังคฺ์ชั่นและคุณภาพมันตั้งใจให้ใช้ในบ้านมากกว่า
ลำโพงรุ่นนี้คือรุ่น Yamaha PDX-11 ออกแบบมาเป็นลำโพงตู้เดี่ยว มีหูหิ้วเพื่อให้หิ้วย้ายไปย้ายมาได้สะดวก ไม่ต้องใช้สองมือเพื่ออุ้มประคองเหมือนเครื่องเสียงบ้านทั่วไป ตัวลำโพงตั้งใจออกแบบมาให้ใช้กับ iPod เป็นหลักเพราะมีช่องเสียบ iPod Dock อยู่ด้านบน สามารถใช้เป็นแท่นชาร์จไฟให้กับ iPod และ iPhone ได้ในตัว ตอนใช้งานก็แค่เสียบไฟให้กับลำโพงแล้วเอา iPod มาวางบน Dock จากนั้นก็เลือกเปิดเพลงจากใน iPod ได้เลย เสียงจะถูกขยายออกมาทางลำโพง คุณภาพเสียงใช้ได้เลย

ลักษณะทั่วไปของลำโพงตัวนี้คือ รับสัญญาณเสียงจาก iPod ผ่าน Dock ด้านบน สามารถรับสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่น MP3 อื่นๆได้อีกด้วยทางสายสัญญาณที่เสียบเข้าช่อง Aux อยู่ด้านหลังตัวลำโพง ตัวลำโพงมีปุ่มเปิดปิด และมีปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียงมาด้วย แต่ไม่มีปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมใดๆเลย ลูกเล่นอื่นๆที่มีมาให้อีกก็คือมันสามารถควบคุมการเล่นเพลงได้ด้วยรีโมทคอนโทรล ถ้าเราใช้งานร่วมกับ iPod Touch หรือ iPhone เราสามารถใช้รีโมทสั่งการได้หลายคำสั่งมาก ไม่ว่าจะเป็นการข้ามเพลง ย้อนเพลง หรือการเลื่อนเมนูในหน้าจอเพื่อเปลี่ยน playlist ได้เลย และมันใส่ถ่านได้ด้วย ทำให้สามารถใช้งานแบบไม่ง้อปลั๊กไฟได้

เสน่ห์ของลำโพงตัวนี้คือมันออกแบบมาเป็นตู้เดี่ยว เชิดหน้าเลีียนแบบเครื่องเสียงบนเวทีคอนเสิร์ต มีหูหิ้วเป็นโลหะแข็งแรงมาก สามารถหิ้วลำโพงไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องตัว สะดวกสุดๆ การใช้งานที่เรียบง่ายแค่เพียงเอา iPod ไปวางบน Dock บนตัวมันเท่านั้น เสียงเพลงก็ถูกขยายออกมาให้ฟังทันที ฟังในบ้านเพลินๆ อยากจะย้ายห้องก็หิ้วไปวางอีกห้องได้เลย อยากฟังในสนามก็หิ้วไปวางได้เลย เพราะ PDX-11 ใส่ถ่านขนาด AA ได้ 6 ก้อน จะใช้ถ่านธรรมดา หรืออัลคาไลน์ หรือ ถ่านชาร์จแบบ Sanyo Eneloop ก็ได้ไม่มีปัญหา ถ่าน 1 ชุดสามารถใช้งานต่อเนื่องได้เกิน 8 ชั่วโมง ถ้านานๆจะหิ้วไปฟังเพลงแบบไม่เสียบปลั๊กสักที เผลอๆถ่าน 1 ชุดอาจจะใช้งานได้เป็นเดือน

ด้านบนตัวลำโพงจะมีปุ่มเพียง 3 ปุ่ม คือปุ่ม power เอาไว้เปิดเครื่องและปิดเครื่อง อีกสองปุ่มคือปุ่มปรับระดับเสียง การมีปุ่มให้กดเพียงเล็กน้อยทำให้การใช้งานเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องเล็ง ไม่ต้องหา เมื่อคุณคุ้นเคยกับการใช้งานมันแล้ว คุณสามารถกดสั่งการบนปุ่มได้อย่างรวดเร็ว แทบไม่ต้องละสายตามามองเลย การใช้งานกับ iPod หรือ iPhone ตัวลำโพงจะชาร์จไฟให้กับ iPod ด้วยเมื่อลำโพงถูกเสียบปลั๊ก แต่ถ้าใช้พลังงานจากถ่าน ระบบชาร์จไฟเข้า iPod จะไม่ทำงาน ดังนั้น ใครจะใช้ลำโพงตัวนี้เป็นแท่นชาร์จต้องเสียบปลั๊กไฟเสมอ

ด้านหลังลำโพงเป็นช่องเสียบสายสัญญาณ Aux เอาไว้ใช้กับเครื่องเล่นเพลงอื่นๆที่ไม่มีพอร์ตแบบ iPod สายสัญญาณที่แถมมากับลำโพงเป็นแบบ 3.5 มม. เส้นเล็กๆบางๆ ข้างๆช่องเสียบสัญญาณ Aux จะเป็นช่องเสียบไฟแบบ 12VDC ตัวลำโพงจะแถมอแด๊ปเตอร์แปลงไฟจาก 110-220 Volt เป็น DC 12V มาให้ด้วย กำลังไฟที่ลำโพงระบุไว้ต้องการไฟเลี้ยง 12V 1.5a


คุณภาพการประกอบเครื่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ตัวลำโพงออกแบบมาแข็งแรง ดูจะเน้นให้หิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ จะหยิบจะวางก็สบายใจได้ว่าไม่ทำให้ลำโพงหลุดมือหรือแตกหักเสียหายได้ง่ายๆ ตระแกรงด้านหน้าลำโพงเป็นโลหะพ่นสีสวยงาม โลโก้ Yamaha ดูเด่นเป็นสง่า ภายใต้ตะแกรงเป็นดอกลำโพงสองดอก ดอกแรกเป็นวูฟเฟอร์คาดว่ามีขนาดประมาณ 4 นิ้ว พร้อมด้วยทวิตเตอร์อีก 1 ดอกขนาดไม่เกิน 1 นิ้ว


ลำโพงมีหน้าที่สร้างคลื่นเสียงโดยการขยับกรวยลำโพงเพื่อผลักอากาศ การผลิตคลื่นเสียงเป็นเรื่องทางฟิสิกส์ การผลักอากาศให้เกิดเป็นความถี่ต่างๆต้องใช้พื้นที่หน้าตัดของลำโพงค่อนข้างมาก การทำลำโพงที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลดลดขนาดให้เล็กลงได้ถ้ายังคงต้องการคณภาพที่ดีอยู่ ดังนั้นลำโพงที่ออกแบบมาให้มีคุณภาพเสียงที่ดีมักจะมีขนาดใหญ่โต ลำโพงเล็กๆที่แถมมากับคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะไม่สามารถสร้างคลื่นเสียงความถี่ต่ำได้ในระดับที่เพียงพอต่อการฟังเพลงแบบไพเราะ ดูจากรูปร่างของ PDX-11 ตัวนี้แล้วจะพบว่านอกจากหน้ากว้างตามขนาดดอกลำโพงแล้ว ยังมีความลึกของตัวตู้อีกที่ช่วยสร้างคลื่นความถี่ต่ำให้มีคุณภาพ มั่นใจได้เลยว่า เจ้าลำโพงติดหูหิ้วขนาดอ้วนป้อมตัวนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นลำโพงเสียงดีตั้งแต่เกิด
การใช้งานกับ iPod ทั่วไปทำงานได้ดีไม่มีปัญหา ถ้าใช้กับ iPod touch หรือ iPhone หรือ iPod nano จะสามารรถควบคุมการเล่นได้จากรีโมทคอนโทรล แต่ถ้าเราใช้กับ iPod รุ่นเก่าๆ ตั้งแต่ iPod Video ย้อนลงไปถึงตัวที่เก่ากว่านั้น เราจะไม่สามารถใช้รีโมทเพื่อสั่งเล่นหรือข้ามเพลงได้ จะสั่งผ่านรีโมทได้แค่ระดับเสียง และเปิดปิดตัวลำโพงเท่านั้น

การใช้งานลำโพงตัวนี้กับ iPod nano ดูจะเป็นสิ่งที่ลงตัวที่สุด เพราะขนาดที่เล็กของ iPos nano ทำให้มันติดอยู่กับ Dock ได้อย่างแน่นหนา สามารถหิ้วลำโพงพร้อม iPod nano ที่เสียบคาไว้ไปไหนต่อไหนได้โดยไม่หลุดจาก Dock มันดูเหมือนจะกลมกลืนเป็นระบบเดียวกันไปเลย

ใครที่ชอบฟังรายการวิทยุ online ทั้งจากโปรแกรม Tune in หรือฟังจากเว็บ หรือ รายการเสียงอะไรก็ตามที่วิ่งมาทางอินเทอเน็ต การใช้ลำโพงตัวนี้ร่วมกับ iPod Touch จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะคุณสามารถเปิดฟังได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องพะวงเรื่องการชาร์จไฟให้กับ iPod Touch ของคุณเลย แถมยังได้ฟังค์ชั่นอื่นๆมาอีกหลายอย่าง ทั้งการสั่งการผ่านรีโมทคอนโทรล และการหิ้วไปไหนต่อไหนได้ สามารถใช้งานนอกสถานที่ได้ด้วยพลังงานจากถ่าย AA เพียง 6 ก้อน และที่ถูกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เราสามารถใช้งานลำโพงตัวนี้ด้วยมือเพียงข้างเดียว คือหยิบ iPod ไปเสียบ แล้วก็กดเลือกฟังสิ่งที่ต้องการ ใช้มือเดียวจริงๆ ถ้าเป็นระบบอื่นๆที่เป็นลำโพงแยกชิ้น ไม่มี Dock ติดมาให้ เราต้องเสียบสายสัญญาณ Aux เราต้องเสียบสายขาร์จที่ ipod การถอดเสียบสายเหล่านี้ต้องใช้สองมือเท่านั้น แล้วใช้งานสองมือแล้วมันยากเย็นตรงไหน มันก็ไม่ยากหรอก แต่ถ้าเราถือของอยู่ หรืออุ้มลูกอยู่ เหลือมือว่างแค่มือเดียว เรายังเปิดเพลงจาก iPod ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมค้นพบตอนที่อุ้มลูกครับ.

ในส่วนของคุณภาพเสียง จะบอกว่าลำโพงตัวนี้ให้เสียงเป็นกลางก็พอได้ มันมีน้ำเสียงเหมือนลำโพงบ้านทั่วไป ไม่ได้มีวงจรชดเชยหรือปรับแต่งเสียงพิเศษมาช่วยใดๆเลย ถ้าเราเคยฟังลำโพงอย่าง Bose companion2 ตัวนั้นจะเป็นลำโพงที่มีตัวประมวลผลมาช่วยเหลือ เสียงเบสลึกจากลำโพง Bose จะผ่านวงจรช่วยเหลือให้เกิดเสียงดังได้ราวกับเป็นลำโพงใหญ่ อาศัยระบบ DSP มาสร้างเสียงเบสให้กับระบบ แต่กับ Yamaha pdx-11 จะเป็นคนละทางกัน สัญญาณมายังไงมันขยายไปอย่างนั้น ไร้เทคโนโลยีใดๆ ผลก็คือ ถ้าเราเปิดฟังในระดับที่เบา เราจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเบสต่ำสักเท่าไรนัก เพราะว่าหูคนเราจะไม่ค่อยไวกับเสียงเบส เราต้องเปิดระดับการฟังให้ดังได้ระดับที่เหมาะสม น้ำหนักเสียงเบสจะมีปรากฏให้พอดีกับกลางและแหลม ซึ่งเป็นลักษระเดียวกับลำโพงบ้านทั่วไป หมายความว่าการฟังลำโพง Yamaha ตัวนี้ ขอให้เปิดได้ดังถึงระดับหนึ่งเราจะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดจากมัน และที่ระดับการฟังที่เหมาะสมตรงนี้มันทำให้ลำโพงนี้มีเสน่ห์น่าใช้อยู่พอตัว มันสามารถทดแทนชุดเครื่องเสียงตามห้างทั่วไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เสียงกลางที่สุด เบสที่ลึกมากจะแสดงออกมาได้จนรู้สึกว่า ค่าตัวสี่พันกว่าบาท ไม่แพงเลย
แต่อย่าเอามันไปเทียบกับ Bose Soundlink ที่ออกแบบมาให้เป็นลำโพงเดี่ยวเน้นการพกพาเช่นเดียวกัน เพราะ soundlink มันให้เทคโนโลยีที่สูงกว่า ดอกลำโพงมีสมรรถนะที่ดีกว่า คุณภาพเสียงดีกว่า แบตเตอรี่ที่ฝั่งมาในลำโพงก็ให้พลังงานได้มากกว่า และ มันราคาแพงกว่ากันสามเท่า ดังนั้นอย่าเทียบกัน
บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1
บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1

“ทดลองใช้ วิทยุเสียงดี TEAC R1”
นานมาแล้วผมเคยพยายามมองหาลำโพงชุดหนึ่งเพื่อนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องเล่น iPod ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการเสียบหูฟังตลอดเวลา เนื่องจาก iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงชนิด Mp3 ที่มีคุณภาพดีมาก หลายคนที่เคยปฏิเสธการฟังเพลงจากไฟล์ Mp3 กลับหันมาเลือกใช้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงประจำตัว อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่กลืนน้ำลายตัวเอง เคยสบประมาทและดูถูก Mp3 ไปต่างๆนานา แต่สุดท้ายก็หันมาลงทุนกับอุปกรณ์กลุ่มไฮเทคโนโลยีอย่างลุ่มหลงไม่รู้ตัว
เมื่อได้ ipod มาใช้ก็เลยอยากให้มันส่งเสียงได้ พยายามมองหาลำโพงมาหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นลำโพงเล็กๆย่อมๆซึ่งผมซื้อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ตัว แต่ละตัวถูกคาดหวังว่าจะเป็นลำโพงสุดรัก พกพาไปฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา บางตัวรูปร่างเป็นทรงกลม บางตัวเป็นทรงกระบอก บางตัวเป็นลูกบาศก์ บางตัวใส่กระเป๋าโน้ตบุ๊คได้ บางตัวไม่อยากจะหิ้วขึ้นรถเลยก็มี นอกจากลำโพงขนาดย่อมเหล่านี้ ผมยังหาลำโพงคู่ใหญ่ๆมาใช้กับอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้ในบ้านอีกด้วย ลงทุนซื้อ Docking สำหรับวาง iPod ติดแท่นเอาไว้ แล้วต่อสายสัญญาณเสียงมาเข้าแอมป์ เวลาฟังเพลงผ่านอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้งานประจำจะได้คุณภาพเสียงที่ดี ซึ่งความดีมันต้องยกให้ทั้งสองส่วน คือเครื่องเล่นเพลงให้คุณภาพที่ดี และระบบขยายเสียงก็ให้คุณภาพที่ดี แต่มันก็ขนาดใหญ่เกินกว่าจะพกพา หรือใช้งานไม่สะดวกสักเท่าไร การจะมองหาลำโพงเล็กๆพกพาได้หิ้วไปมาใช้งานแทนอินทิเกรตและชุดลำโพงในบ้านจึงเป็นเครื่องเพ้อฝันจริงๆ เพราะลำโพงเล็กแต่เสียงดีหายากมาก
วันหนึ่งผมไปเดินเล่นแถวบ้านหม้อ แวะไปร้านขายอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์รายใหญ่ ในร้านนั้นมีเครื่องเสียงหลายประเภทวางขายอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเสียง PA มีตั้งแต่ลำโพงยักษ์แอมป์ใหญ่ๆ ไล่ไปจนถึงไมโครโฟนขนาดต่างๆ มีอยู่มุมหนึ่งขายเครื่องเสียงบ้าน ผมเหลือบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาดีอยู่ตัวหนึ่ง มันคือเครื่องรับวิทยุยี่ห้อ TEAC รุ่น R1 ซึ่งลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดสามารถจับด้วยมือเดียวและยกขึ้นมาได้ มันเป็นเครื่องรับวิทยุที่สามารถต่อสัญญาณเสียงเข้าทางช่อง Aux ได้ ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเอามาลองใช้งานคู่กับ iPod เสียหน่อย แม้ว่าจะมีวิทยุมาด้วยในตัวแต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้ส่วนที่เป็นเครื่องรับวิทยุ
ยืนฟังรายการวิทยุจาก TEAC R1อยู่ในร้านสักพักหนึ่งผมก็รู้สึกว่าเครื่องนี้เสียงดี มันให้เสียงเบสได้ค่อนข้างลึก และดััง เสียงกลางชัดมาก เสียงแหลมก็มีประกาย คือฟังโดยรวมแล้วผมคิดว่ามันเสียงดี น่าใช้ แต่ ณ วันนั้นผมยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่ายังไม่มั่นใจในหลายๆประเด็น อย่างเช่น เปิดดังได้ไหม เสียงแตกไหม ถ้าเอามาต่อช่อง Aux มันจะเสียงดีรึเปล่า ดูท่าทางมันมีลำโพงแค่ตัวเดียวแล้วมันรับคลื่นวิทยุเป็นสเตอริโอรึเปล่า วงจรขยายเสียงข้างในเป็นแบบสเตอริโอหรือโมโน ถ้าเอามาเสียบใช้เป็นแอมป์หูฟังมันจะเป็นโมโนหรือสเตอริโอ ความสงสัยเหล่านี้ไม่รู้จะหาคำตอบได้จากที่ไหน
ผมลองเข้า internet ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไม่พบ ไม่มีใครพูดถึงการใช้งานโดยละเอียดเลย มีแต่บอกว่ามันรับวิทยุได้ ต่อ Aux ได้ ส่งเสียงได้ มีแบตเตอรี่ในตัว ราคาขายเท่าไร ซึ่่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ต่อผมเลย ในช่วงนั้นเลยยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ผมซื้อลำโพงเล็กๆมาหลายตัว แต่ละตัวจะมีข้อดีที่ผมรับรู้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ไม่ค่อยประทับใจ TEAC R1 ก็ดูจะคล้ายกับตัวอื่นๆที่เคยลอง เลยยังไม่ซื้อ
เวลาผ่านไปนานจนผมลืมไปแล้ว วันหนึ่งผมสังเกตุที่บ้านพบว่าแม่ผมชอบฟังรายการวิทยุ และวิทยุที่แม่ใช้ก็เป็นวิทยุแบบแถม หรือแจกฟรีตามงานปีใหม่ มันส่งเสียงได้ รับคลื่นได้ แต่จะปรับเปลี่ยนคลื่นแต่ละทียากเย็นเหลือเกิน บิดไปนิดเดียวกระโดดข้ามไปหลายคลื่น ไม่สามารถรับคลื่นได้ชัดๆเลยแม้แต่สถานีเดียว แม่ผมก็เลยฟังคลื่นวิทยุอยู่คลื่นเดียวเพราะไม่กล้าบิดเปลี่ยนไปช่องอื่นเนื่องจากกลัวว่าจะบิดกลับมาไม่เจอคลื่นเดิม ผมเลยให้ของขวัญแม่ด้วยการไปซื้อ TEAC R1 ตัวนี้มาให้ใช้แทน เลยถือโอกาสทดสอบการใช้งานในรูปแบบต่างๆเพื่อให้หายสงสัย และเพื่อให้เป็นข้อมูลการทดสอบสำหรับนักเล่นท่านอื่นๆที่กำลังสนใจเครื่องเล่นลักษณะนี้

TEAC R1 เป็นเครื่องรับวิทยุที่มีลำโพงในตัว สามารถรับคลื่น FM และ AM ได้ ใช้พลังงานจากหม้อแปลง 12 โวลท์ และมีแบตเตอรี่ในตัวสามารถชาร์จไฟขณะใช้งานได้ ถ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จะใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง สามารถต่อสัญญาณขาเข้าจากแหล่งโปรแกรมอื่นๆได้ทางช่อง Aux มีวงจรขยายในตัว สามารถเปิดใช้งานได้ค่อนข้างดังในห้องทำงานทั่วไป หรือในห้องนอนก็กำลังเหมาะสม

ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่มอยู่ 4 ปุ่มดังนี้ ซ้ายสุดเป็นปุ่มเปิดปิดและทำหน้าที่เลือกรับคลื่น FM AM และ เลือกฟังช่องสัญญาณขาเข้า Aux ปุ่มที่สองจากซ้ายเป็นปุ่มปรับเสียง Bass ถ้าบิดไว้ที่ตำแหน่งตรงกลางจะมีคลิกหยุดเป็นตำแหน่ง Flat ส่วนปุ่มที่สามเป็นปุ่มปรับเสียงสูงหรือ Treble มีตำแหน่งกลางเป็น Flat เช่นกัน ปุ่มสุดท้ายหรือทางขวาเป็นปุ่มกลมขนาดใหญ่ที่สุดทำหน้าที่ปรับความดังของเสียง ใต้ปุ่มซ้ายจะมีหลอดไฟแสดงสถานะการทำงาน ตอนเปิดจะติดสว่างเป็นหลอดไฟสีน้ำเงิน ตอนปิดถ้าเสียบหม้อแปลงไฟไว้แล้วเครื่องกำลังทำการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่อยู่หลอดไฟดวงนี้จะกระพริบตลอดเวลา และจะดับไปเองเมื่อแบตเตอรี่เต็ม

ด้านหลังมีช่องสำหรับเสียบสายต่างๆ และมีช่องระบายอากาศสำหรับลำโพงภายในด้วย นั่นก็หมายความว่าเครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นลำโพงชนิดตู้เปิด เดาว่าภายในใช้ดอกลำโพงดอกเดียวทำงานเป็นแบบ Full range คือส่งเสียงทุกย่านความถี่ด้วยดอกลำโพงเพียงดอกเดียว อาศัยช่องระบายอากาศเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในย่านเสียงเบส ตรงกลางเครื่องด้านหลังเป็นช่องเสียบสายอากาศ ซึ่งมีแถมมาให้ในกล่องด้วย

ถัดลงมาเป็นช่องต่อสัญญาณขาเข้า Aux in ซึ่งแถมสาย mini 3.5mm สองหัวมาให้ด้วยเช่นกัน ช่องถัดลงมาเป็นช่องเสียบหูฟัง สามารถใช้งานกับหูฟังทั่วไปได้ หมายความว่าเราสามารถใช้เครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นแอมป์ขยายสัญญาณเสียงให้กับหูฟังที่เราต้องการได้ ช่องด้านล่างสุดเป็นช่องเสียบหม้อแปลงไฟ หม้อแปลงที่แถมมาให้เป็นแบบแปลงไฟ 220v แปลงเป็น 12V คิดว่าถ้านำ TEAC R1 ไปเสียบกับไฟในรถยนต์ก็คงสะดวกดีเพราะแรงดันไฟตรงกัน ด้านขวาเหนือช่องระบายอากาศเป็นเสาอากาศแบบชัก การชักเสาอากาศยืดขึ้นมาจะช่วยให้รับคลื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีผลมากในการใช้งานที่อยู่ในตึกอาคารต่างๆ ซึ่งคลื่นวิทยุจะรับค่อนข้างยาก เสาชักในตัวทำงานได้ดีเยี่ยม แทบไม่พลาดการรับคลื่นเลย จะมีเพียงบางสถานีเท่านั้นที่เสียงค่อนข้างเบา หรือมีการทับซ้อนกันบ้างเนื่องจากคลื่นวิทยุชุมชนในกรุงเทพค่อนข้างจะถี่ พาลเบียดคลื่นหลักไปบ้างก็มี

ด้านหลังซ้ายเป็นช่องใส่แบตเตอรี่ ต้องใช้ไขควงเพื่อเปิดฝาครอบออก ภายในเป็นแบตเตอรี่แรงดัน 7.2 โวลท์ ขนาดความจุ 1200 มิลลิแอมป์
มาทดลองฟังกันเลยดีกว่า ผมเสียบหม้อแปลงแล้วเปิดเครื่องให้รับคลื่น FM หมุนหาคลื่นไปเรื่อยๆ ลูกบิดหน้าเครื่องทำหน้าที่หมุนหาคลื่น ลูกบิดนี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นระบบกลไกที่มีการทดรอบเพื่อให้หมุนได้กว้างขึ้น กล่าวคือวงแหวนหน้าเครื่องวงเล็กที่ทำหน้าที่ให้มือจับจะต้องหมุนด้วยรอบที่มากกว่าเพื่อให้วงแหวนอีกวงซึ่งมีตัวเลข 88-108MHz ขยับไปทีละนิด ซึ่งจากการวัดคร่าวๆ ผมต้องหมุนลูกบิดไปประมาณ 2 รอบเต็มๆ ถึงจะทำให้ตัวเลขคลื่น FM ขยับจาก 88 ไปเป็น 108 Mhz หรือวงใหญ่หมุนไปครึ่งรอบเท่านั้น การออกแบบเช่นนี้ทำให้การหมุนหาคลื่นทำได้ง่ายขึ้น แต่ละสถานีที่อยู่ติดกันจะมีระยะหมุนค่อนข้างมาก ทำให้ปรับคลื่นได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

เสียงรายการวิทยุที่ได้รับค่อนข้างชัดเจนมาก ยิ่งเป็นคลื่นวิทยุชุมชนที่สถานีส่งอยู่ใกล้บ้านผมยิ่งชัดเจน ชัดขนาดที่ว่าผมต้องหยุดฟังเลย แม้จะเป็นแค่เสียงพูดก็ตาม ฟังเพลงสตริงตามคลื่นยอดฮิตต่างๆก็ให้เสียงที่ชัด มีเสียงเบสที่แน่นและคม เสียงกลางชัด เสียงแหลมก็มีไม่ตกหล่นแถมยังเป็นประกาย เสียงเบสค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ ดูเหมือนลักษณะลำโพงตู้เปิดจะถูกจูนเสียงให้มีเสียงเบสเยอะเป็นพิเศษ การเปิดฟังเพียงเบาๆจะให้เสียงที่มีน้ำหนักพอดี แต่ถ้าเปิดให้ดังขึ้นมากสักหน่อยจะรู้สึกว่าเสียงเบสเยอะเกินไป การฟังตลอดการทดสอบนี้จะปรับเสียงไว้ที่ flat ซึ่งก็ให้น้ำเสียงที่ดีน่าฟังเพียงพอแล้ว สรุปคร่าวๆในส่วนของวิทยุได้เลยว่า เครื่องเสียงตัวนี้รับวิทยุได้ชัด ให้เสียงเพลงได้น่าฟังมาก เสียงกลางชัดมาก

ผมลองเสียบหูฟังเข้ากับช่องด้านหลัง เพื่อทดลองฟังในแบบสเตอริโอ เนื่องจากมันมีลำโพงแค่ดอกเดียว ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นเครื่องเล่นแบบโมโน แต่พอลองฟังผ่านหูฟังแล้วก็พบว่า R1 เป็นสเตอริโอ มันรับคลื่นและขยายเสียงเป็นสเตอริโอ อันนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ หายสงสัย และคิดเลยต่อไปว่ามันสามารถใช้งานเป็นเครื่องรับวิทยุสำหรับห้องฟังเพลงได้เลย โดยการต่อสัญญาณจากช่องเสียบหูฟังเข้ากับอินทิเกรตแอมป์หรือชุดเครื่องเสียงชุดหลักของห้องฟัง ซึ่งมันมีราคาค่าตัวต่ำมากเมื่อเทียบกับเครื่องเสียงแยกชิ้นอื่นๆ

มาลองฟังแบบต่อกับ iPod ดีกว่า ผมต่อ iPod Shuffle สลับกับ iPod Video เข้าทางช่อง Aux โดยสายที่แถมมากับเครื่อง เพลงที่อยู่ใน iPod เป็นเพลงที่ก๊อปปี้มาจากคนอื่นบ้าง ริบแผ่นแท้ต่างๆเอาไว้บ้าง เสียงเข้าไปฟังแล้วก็รู้สึกดี เสียงที่ได้ยินค่อนข้างชัดเจน เสียงเบสเยอะเพียงพอ น่าฟังมาก ความคมชัดและความกระฉับกระเฉงเป็นจุดเด่นที่มีให้รับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ไดนามิคเร้นจ์ที่จะแจ้ง เสียงเครื่องเคาะก็มีความแข็ง คม มาพร้อมกับเสียงเบสที่ติดตามได้ ผมลองกับเพลงที่หลากหลายเพื่อจะได้รู้แนวว่า TEAC R1 มีคุณภาพระดับใด เพลงป๊อปทั่วไปทำได้ยอดเยี่ยม ไม่มีจุดให้ติ สิ่งหนึ่งที่ผมยอมรับและไม่คิดว่ามันเป็นจุดด้อยก็คือ ถ้าเปิดเสียงดังมันจะเสียงแตก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องเสียงระดับเล็กๆ ยิ่งใช้ไฟเลี้ยงระดับต่ำและใช้ลำโพงขนาดเล็ก ยิ่งไม่ควรคาดหวังว่ามันจะเสียงแน่นแม้จะเปิดลั่นบ้าน ระดับเสียงที่ฟังทดสอบก็อยู่ในระดับนั่งฟังในห้อง ไม่ได้ไปเปิดแข่งกับใคร ฟังกับเพลงร๊อคก็ได้เสียงกลองที่ชัดมาก ผมเลือกวง dreamtheater มาใช้ทดสอบ เพราะผมชอบวงนี้เป็นการส่วนตัว ชอบเพราะแนวเพลงแปลกดี และฝีมือนักดนตรีอยู่ในระดับไม่ใช่คน แม้จะดูเหมือนพูดเกินจริง แต่ผมก็คิดว่าหาคนเล่นได้แบบนี้ยาก กลองที่เล่นได้ระห่ำสุดๆจากอัลบั้ม awake ซึ่งออกมาเกินสิบปีแล้ว เสียงกระเดื่อง เสียงทอม เสียงสแนร์ เสียงแฉ ฉาบ ทุกเสียงได้ยินครบถ้วนและติดตามได้ทุกเม็ด ความฉับไวเป็นจุดเด่นของ R1 อย่างไม่ต้องสงสัย เลยไปถึงเสียงกีต้าร์ที่เล่นได้ดุดันสะใจ เสียงเบสที่ฟังออกแทบทุกเม็ด ผมคิดว่านักดนตรีสามารถใช้ R1 เพื่อแกะเพลงได้แน่นอน จบจากร๊อคผมลองกับเพลงแจ๊สนุ่มๆของน้องนอร่าโจนส์ซึ่งมีจุดเด่นที่เพลงนุ่มนวล เสียงร้องชัด เบสอัดได้ดีมาก ผมได้ยินเสียงเบสไล่ไปทีละโน๊ต นุ่มและคม คือนุ่มแบบไม่เบลอ หัวโน้ต หางโน้ต เกิดขึ้นแล้วจบลงแบบมีระยะของตัวเองที่พอดิบพอดี แต่เพลงของนอร่าโจนส์จะสร้างปัญหาให้กับ R1 ได้ง่ายๆถ้าเปิดดัง เพราะว่าลำโพงของ R1 ถูกออกแบบให้ไวต่อเสียงเบส เพื่อชดเชยกับรายการวิทยุที่อาจจะส่งเสียงเบสมาได้ไม่ค่อยเยอะนัก พอฟังเพลงแจ๊สที่มีเบสเด่นๆ จะรู้สึกว่ามีอาการกระพือเล็กน้อย จำเป็นต้องลดระดับเสียงลงไปให้น้อยกว่าปกติที่ฟังเพลงป๊อปและร๊อคทั่วไป แต่เชื่อเถอะว่า เบส และ กลางของ R1 มันเพราะจริงๆ

นอกจากนี้ผมลองฟังแจ๊สที่เน้นเสียงร้องกับกีต้าร์อะคูสติก ผมว่ามันลงตัวกับ R1 มากที่สุดเลย อัลบั้มของ Snow rose ซึ่งเธอเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่เพลงที่เธอเอามาร้องใหม่ ทำใหม่ โดยร้องคู่กับกีต้าร์แค่ตัวเดียวมันหวานซึ้งและน่าฟังมาก เสียงร้องที่เป็นจุดเด่นก็ทำได้ดีไม่สงสัย เสียงกีต้าร์อะคูสติกให้ความรู้สึกว่านักดนตรีเล่นเก่งดี และมั่นใจในการเล่นเสียด้วย เสียงตีคอร์ทและเล่นเป็นโน๊ตสลับกันออกมาแบบว่า เหมือนจริงมาก แม้ว่ามันจะใช้ลำโพงดอกเดียว ก็ยังรู้สึกว่าเพราะดี
แบตเตอรี่ในตัวสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลานี้ผมไม่ได้เป็นคนทดสอบเอง แต่มันเกิดจาก ผมดึงปลั๊กไฟออกจาก R1 ตอนเก้าโมงเช้า แล้วก็ปล่อยให้แม่ฟังเพลงใช้งานไปตลอดวัน จนตอนเย็นกลับมาบ้าน แม่บอกว่า วิทยุเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆก็ดับไป ผมถามว่าดับไปตอนไหน แม่บอกประมาณสี่โมงเย็น ผมก็เลยได้คำตอบว่า แบตเตอรี่มันใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง

ผมคิดว่า TEAC R1 เป็นตัวแทนของลำโพงไฮไฟหรือลำโพงเสียงดีได้อย่างไม่ขัดเขิน เสียงที่ดีจากเครื่องเสียงคุณภาพดีเป็นยังไง ผมคิดว่ามันเป็นเสียงแบบนี้แหละครับ ปกติแม่ผมจะเป็นแม่บ้านที่ใช้เงินค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยกล้าซื้อของอะไรแพงๆ และวิทยุที่แม่เคยใช้มาตลอดชีวิตก็เป็นของถูกๆ คุณภาพแย่ ถึงแย่มาก วิทยุเครื่องนี้ถือว่าเป็นเครื่องที่แพงที่สุดที่แม่เคยใช้มา แต่มันน่าภูมิใจอย่างหนึ่งตรงที่ มีวันหนึ่งแม่คุยกับผมแล้วเล่าให้ฟังว่า วิทยุตัวนี้มันเสียงดีนะ ฟังเพลงอะไรก็เพราะ เพิ่งรู้ว่าแต่ละเพลงมันมีเสียงกลอง เสียงกุ๊งกิ๊ง เดี๋ยวก็มีเสียงโน้นเสียงนี้โผล่มาในเพลง ฟังได้เพลินไปเลย เมื่อก่อนเวลาเปิดฟัง จะรู้แต่ว่าสถานีเขาพูด เขาเปิดเพลง แต่ไม่เคยรู้ว่าในเพลงมันมีเสียงอะไรบ้าง เพราะมันแบนๆฟังไม่ค่อยออก ผมฟังแล้วก็อมยิ้มเลย นานๆทีแม่ของคนเล่นเครื่องเสียงจะเห็นดีเห็นงามด้วยว่าเครื่องเสียงที่เสียงดีมันเป็นยังไง แม้ว่าค่าตัวของวิทยุเครื่องนี้จะไม่มาก บางทีสายสัญญาณยี่ห้อดังยังแพงกว่าหลายเท่า แต่ค่าตัวที่ย่อมเยาก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นดนตรีมันลดน้อยลง ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าต้องการอะไร ต้องการเสพเครื่องหรือเสพดนตรี ของขวัญวันแม่ปีนี้ผมจ่ายน้อยลงกว่าปีที่แล้วเยอะ แต่ว่ามันสร้างความสุขใจได้ทั้งคนให้และคนรับ และที่สำคัญแม่ได้ใช้งานทุกวัน



























