ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 2

ลดต้นทุนด้วยการลดเวลาทำงาน

ครั้งที่แล้วผมคุยเรื่องลดเวลาการทำงาน จากการทำงานพิมพ์ระบบเก่าใช้เวลาสามวัน เปลี่ยนเป็นดิจิทัลแล้วใช้เวลาแค่สิบนาที แถมวันหนึ่งๆทำได้เป็นสิบงานเสียอีก มันคือการลดระยะเวลาการทำงานแบบหนึ่ง ซึ่งนอกจากนี้แล้ว มันยังลดเวลาทำงานได้อีกแบบ และมันทำให้ต้นทุนต่ำลงด้วย นั่นก็คือลดชั่วโมงการทำงานโอที

ปกติโรงพิมพ์ที่ตั้งใจทำงานจะมีงานพิมพ์แทบตลอดเวลา การรับงานเพิ่มแต่ละอย่างนอกจากจะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องจ่ายเพิ่มก็คือต้องเพิ่มชั่วโมงทำงานให้มากขึ้น เพราะงานเดิมที่มีอยู่ก็กินเวลาของเครื่องพิมพ์และช่างไปแทบจะเต็มเวลาอยู่แล้ว การรับงานเพิ่มสักชิ้นหรือหลายชิ้นหมายถึงต้องเพิ่มชั่วโมงพิเศษให้กับช่าง นั่นก็คือการทำโอที

การนั่งคิดว่าจะทำให้ช่างไม่ต้องทำโอทีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครกล้าคิด เพราะการลดเวลาการทำงานนั่นหมายถึงลดรายได้ และอาจจะทำให้เสียลูกค้าบางส่วนไป แม้ว่าการทำโอทีจะต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 50% แต่โรงพิมพ์ทุกที่ก็อยากทำโอที เพราะมันหมายถึงการ “มีงานทำ” มันเป็นสิ่งที่ทุกโรงพิมพ์ต้องการ ก่อนจะมีเครื่องดิจิทัล โรงพิมพ์ผมทำโอทีทั้งเดือน ทำมาหลายเดือนติดต่อกัน วันหนึ่งๆผมทำงานสิบสองชั่วโมง 8 ชั่วโมงของทุกวันผมจ่ายค่าแรงช่างพิมพ์ 100% สามชั่วโมงของทุกวันที่เป็นชั่วโมงโอที ผมจ่ายค่าแรง 150% และบางสัปดาห์ผมทำงานวันอาทิตย์ด้วยซึ่งนับเป็นวันโอทีทั้งวัน และค่าแรงวันหยุดจะกลายเป็น 200% และมีบางช่วงของปีที่ผมทำงานวันอาทิตย์ต่อเนื่องกันหลายเดือน

เครื่องดิจิทัลทำงานเสร็จเร็ว ทำให้จำนวนงานที่รับเอาไว้สามารถผลิตได้ทัน มันทำงานได้ทันจนกระทั่งผมไม่ต้องทำโอที ไม่ต้องทำงานวันอาทิตย์ มันเป็นไปได้ ผมมีเครื่องพิมพ์ดิจิทัลใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม เดือนนี้เป็นเดือนปรับตัว ผมยังมีการทำงานโอทีอยู่บ้าง พอมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผมก็ไม่ต้องทำโอทีแล้ว และเดือนมีนาคมก็เช่นกัน คุณภาพชีวิตของผมดีขึ้นเยอะ ในขณะที่รายได้เท่าเดิม ซึ่งผมพอใจมาก แต่ช่างพิมพ์อาจจะไม่ชอบ เพราะรายได้เขาน้อยลง แต่ผมก็ยินดีให้มันเป็นอย่างนั้น

ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 1

เครื่องพิมพ์ดิจิทัลที่ผมใช้คือ FujiXerox รุ่น 700 ซึ่งถึง ณ วันที่เขียนข้อความนี้ ผมได้ใช้งานมาสามเดือนเต็ม พอจะรู้เรื่อง รู้เทคนิค และรู้ข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ข้อเขียนครั้งที่แล้วที่เกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ดิจิทัลเครื่องนี้เป็นอย่างไรผมก็เริ่มลืมไปแล้ว เพราะตลอดเวลานับเดือนที่ผ่านมา มีงานยุ่งมาก งานเยอะ ทั้งงานพิมพ์ปกติ และงานพิมพ์ดิจิทัล และงานถ่ายรูปอีกหลายครั้ง

ในตอนนี้จะพูดถึงข้อดีของเครื่องพิมพ์ดิจิทัลที่ค้นพบด้วยตัวเองเสียก่อน
แล้วในตอนต่อๆไปจะเป็นเรื่องของ ข้อเสีย ข้อด้อย ข้อจำกัด เทคนิคต่างๆ

ข้อดีที่พบก็คือ
1 เครื่องพิมพ์ดิจิทัล ช่วยลดต้นทุนได้จริง แม้ว่าค่าผ่อนเครื่องจะแพงมาก แต่มันก็ลดต้นทุนงานพิมพ์ได้จริง มีงานพิมพ์หลายตัวที่ย้ายมาทำบนระบบดิจิทัล และได้งานที่รวดเร็วสวยงามไม่แตกต่างไปจากการพิมพ์อ็อพเซ็ท

ยกตัวอย่าง
งานพิมพ์นามบัตร 1000 ใบ เวลาเราจะพิมพ์นามบัตรสี่สีสักชุดหนึ่ง จะมีค่าเพลทประมาณ 1000 บาท ซึ่งเป็นเพลทขนาดเล็ก (มีเพลทขนาดใหญ่ ราคาแพงกว่านี้) โรงพิมพ์ต้องจ่ายค่าเพลท พอได้เพลทมาแล้ว ก็ต้องทำการพิมพ์ การพิมพ์ใช้ช่างพิมพ์ งานสี่สีจำนวนน้อย ใช้ช่างพิมพ์ไม่เกิน 1 วัน จะจ้างช่างมาพิมพ์งาน 1 ชั่วโมง ก็ต้องจ่ายค่าจ้าง 1 วันอยู่ดี ต้นทุนค่าแรงช่างพิมพ์ก็เลยต้องคิด 1 วัน และพอพิมพ์เสร็จ ก็ต้องรอแห้ง 1 วัน วันรุ่งขึ้นค่อยตัดไปส่ง
สรุปแล้วต้นทุนการพิมพ์นามบัตรด้วยระบบอ็อพเซ็ท จะเท่ากับ ค่าเพลท + ค่าแรงช่าง1วัน + ค่ากระดาษที่ใช้ไป แถมต้องรอเวลา ทำเพลท 1 วัน พิมพ์ 1 วัน รอแห้ง 1 วัน เท่ากับรอ 3 วัน
ถ้ามีงานสองชิ้น ก็พิมพ์งานที่สองหลังจากเสร็จงานที่ 1 ซึ่งอาจจะหมายถึงได้พิมพ์ในวันที่สองซึ่งก็พิมพ์ไปขณะที่รองานที่ 1 แห้ง สรุปแล้ว จบสองงานใช้เวลา 4 วัน

เปลี่ยนมาเป็นพิมพ์ด้วยระบบดิจิทัล
ได้อาร์ตเวิร์คมาแล้วก็เอามาสั่งพิมพ์ได้ทันที ใช้กระดาษกี่ใบก็นับไปตามจริง หลังจากสั่งพิมพ์อีกไม่กี่นาทีก็เสร็จ นามบัตร 1000 ใบเล็ก เท่ากับ จำนวนสั่งพิมพ์ประมาณ 50 ใบพิมพ์ ใช้เวลาพิมพ์ไม่เกิน 10 นาที ต้นทุนระบบนี้ก็คือ ค่าพิมพ์ 50 ใบ + ค่ากระดาษตามจริง
ต้นทุน 50 ใบพิมพ์ ราคาไม่กี่บาท ถูกกว่าค่าเพลทเยอะหลายเท่า และใช้เวลาสั้นมากเมื่อเทียบกับการพิมพ์เพลท วันหนึ่งๆสามารถทำงานประเภทนี้ได้หลายสิบชิ้น แทนที่จะต้องรอ 3 วัน

สรุปข้อดีประเด็นลดต้นทุนก็คือ มันลดต้นทุนได้จริง และลดเวลาได้อย่างมหาศาล จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 3 วันเพื่อจบงานพิมพ์จำนวนน้อยๆ 1 งาน ดิจิท้ล ทำงานเดียวกันเสร็จภายใน 10 นาที

new printing blog

วันนี้ทำเว็บสำหรับโรงพิมพ์ขึ้นมาหนึ่งเว็บ เอาไว้เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาดูข้อมูลโรงพิมพ์ เอาไว้รับงาน เอาไว้แสดงตัวอย่างงาน ตั้งใจว่าจะหาลูกค้าให้เยอะขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีของอินเทอเน็ตมาช่วย

ผมได้รายชื่อผู้ประกอบการที่จะไปออกบู๊ทที่กำลังจะจัดปลายเดือนเมษายนนี้ กะว่าจะทดลองหาลูกค้าโดยการส่งจดหมายแนะนำตัวออกไป และให้ลูกค้าได้เข้ามาดูในเว็บที่เตรียมไว้ ถ้าลูกค้าสนใจก็จะเสนอราคางานพิมพ์ต่างๆ คาดว่าคนที่จะออกบู๊ทน่าจะเป็นคนที่ต้องการสิ่งพิมพ์ไปแจกในงาน ถ้าได้ลูกค้าก็ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ถ้าไม่ได้ลูกค้าก็จะทดลองใหม่กับลูกค้ากลุ่มถัดไป ซึ่งก็เป็นลูกค้าออกบู๊ทเช่นเดิม แต่เป็นงานที่จะจัดในอีกสองเดือนข้างหน้า

การหางานด้วยการแนะนำตัวแบบหว่านไปตามรายชื่อ ผมเคยทำแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ส่งจดหมายแนะนำตัวพร้อมแนบไปรษณียบัตรตอบกลับไปห้าร้อยชุด มีคนส่งไปรษณียบัตรกลับมา 80 ฉบับว่าสนใจ และ 20 ฉบับจาก 80 ที่ขอข้อมูลเพิ่ม

http://jomthongprinting.blogspot.com/