เครื่องมือที่ใช้ทำการตลาดแบบบอกต่อ

15 hits

การตลาดแบบบอกต่อเป็นแนวคิดในการทำธุรกิจที่อาศัยการบอกปากต่อปาก แต่จะทำอย่างเป็นระบบคือตั้งใจทำให้เกิดการบอกต่อ โดยการบอกต่อทางธุรกิจจะเกิดขึ้นจากตัวของเรามีความน่าเชื่อถือมากเพียงพอ ซึ่งส่วนมากก็จะเกิดจากการที่เราทำงานมีคุณภาพและเรามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี โดยสองปัจจัยนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

ในกลุ่มเน็ตเวิร์คที่เราพบปะกันจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยน จับกลุ่มช่วยกันทำธุรกิจ เป็นส่วนหนึ่งของการบอกต่ออย่างมีคุณภาพ คาดหวังผลลัพธ์ได้ เราจะต้องมีเครื่องมือต่างๆต่อไปนื้เพื่อใช้ในการพูดคุย ทั้งการพูดคุยกันเองในกลุ่มเพื่อสร้างตลาดใหม่ และ การพูดคุยกับว่าที่ลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจและทำให้เราปิดการขายได้

nec-4jun2024-Slide1

เครื่องมือมีดังต่อไปนี้

1 Testimonial
2 ภาพถ่ายสินค้าหรือภาพที่ทำงาน
3 โลโก้ลูกค้าที่เราเคยมี
4 รายชื่อพาร์ทเนอร์หรือคนในทีม
5 คำถามคำตอบเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา
6 รางวัลที่เคยได้รับ
7 บทความที่เกี่ยวกับธุรกิจของเราสินค้าที่กำลังจะออกใหม่
8 โบรชัวร์บริษัท
9 งานที่ทำให้ลูกค้าคิดถึงเรา
10 สินค้าที่เราอยากใช้แนะนำตัว
11 ใบเสนอราคางานเก่าหรือโปรเจ๊คเก่า
12 บทความวิเคราะห์ที่คุณทำเอง


มาลงรายละเอียดกัน

20240120103522_IMG_1136

1 Testimonial คือ จดหมายที่ลูกค้าเขียนให้กับเรา อาจเป็นจดหมายขอบคุณ อาจเป็นข้อความติชม การเล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพการทำงานของเราที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการเล่าโดยลูกค้า ถ้าลูกค้าชอบงานของเราลองขอให้ลูกค้าช่วยเขียนเป็นข้อความหรือจดหมายทางการแล้วนำมาแสดงไว้ในเว็บไซต์หรือบอร์ดในบริษัท นำมาแสดงให้ทีมขายหรือว่าที่ลูกค้าได้อ่านมันช่วยสร้างความไว้วางใจได้สูงมาก

000046

2 ภาพถ่ายสินค้าหรือภาพที่ทำงาน บริษัทของเราทำอะไร ขายอะไร สร้างอะไร บริการอะไร การมีภาพประกอบด้วยเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการเล่าเรื่อง และเป็นการยืนยันตัวตนด้วยว่าเราคือคนทำงานจริง เรามีการผลิตจริง ภาพเหล่านี้ควรอยู่ในสื่อของบริษัท ทั้งเว็บไซต์ และโบรชัวร์

Slide05

3 โลโก้ลูกค้าที่เราเคยมี เป็นการบอกว่าเราได้รับการยอมรับจากใครบ้าง หากเป็นบริษัทที่ใหญ่โตเป็นที่รู้จักเราก็จะยิ่งน่าเชื่อถือ หาโลโก้ของลูกค้ามาใส่ไว้ในสไลด์แนะนำตัว หรือใส่ไว้ในเว็บไซต์ หรือ เอกสาร จดหมายข่าวต่างๆที่ลูกค้าคนอื่นมองเห็นได้ง่าย

DSC02413

4 รายชื่อพาร์ทเนอร์หรือคนในทีม ในกลุ่มเน็ทเวิร์คที่เรามี เราสามารถจับกลุ่มร่วมกันหลายอาชีพเพื่อช่วยกันทำตลาด มีการสร้างทีมงานช่วยกันขาย คนในทีมของเรามีใครบ้าง อาชีพอะไรบ้าง เราต้องจำได้อย่างแม่นยำ สามารถเล่าข้อมูลคนในทีมได้อย่างไม่ติดขัด เวลาที่ลูกค้าของเราต้องการสินค้าบางอย่าง หรือ บริการบางชนิด ที่มีอยู่ในทีม เราสามารถให้ความมั่นใจ เล่าเรื่องเขาเบื้องต้นให้กับลูกค้าได้ทันที

IMG_4105

5 คำถามคำตอบเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา สินค้าและบริการทุกชนิดจะมีข้อมูลถามตอบเสมอ ลูกค้ามักจะถามคำถามอะไรเราจะมีหน้าที่ตอบ ให้เรารวมรวบคำถามและคำตอบมาไว้ด้วยกัน และใช้เป็นข้อมูลบอกเล่าสำหรับว่าที่ลูกค้ารวมถึงใช้สอนคนในทีมขายของเรา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่นว่าเราแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้

DSC02895
IMG_1047

6 รางวัลที่เคยได้รับ หรือบทสัมภาษณ์ลงหนังสือ เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่ามีคนมองเห็นคุณภาพงานของเราและยอมรับตัวเราอย่างแท้จริง

IMG_3653

7 บทความที่เกี่ยวกับธุรกิจของเราสินค้าที่กำลังจะออกใหม่ การมีแผนออกสินค้าใหม่เป็นการแสดงออกว่าเรายังอยู่ในธุรกิจ ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยังมีแผนการขยายธุรกิจ ส่วนบทความก็จะเป็นการแสดงตัวตนในอีกวิธีหนึ่ง เป็นงานสร้างคอนเท้นท์ที่ให้ผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคอนเท้นหรือบทความจะทำงานเป็นประชาสัมพันธ์และเซลส์ให้เราได้แบบไม่หลับไม่นอน

Slide09

8 โบรชัวร์บริษัท เราขายอะไร เราบริการอะไร โบรชัวร์จะเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อสารเล่าเรื่องของเราให้กับลูกค้าฟังโดยตรง ภาพของเราในหัวลูกค้าจะชัดเจนขึ้น และเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ามีข้อมูลติดต่อเมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้งาน

IMG_0793

9 งานที่ทำให้ลูกค้าคิดถึงเรา อาจเป็นสินค้าระดับเรือธง บริการสุดพรีเมี่ยมที่เราภาคภูมิใจมากจนอยากเล่าให้คนอื่นฟัง งานที่ทำให้เราพัฒนาไปอีกระดับ หรืออาจจะเป็นงานที่เป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับในวงกว้าง

Slide13

10 สินค้าที่เราอยากใช้แนะนำตัว สินค้าที่เราโฟกัสว่าจะใช้เป็นพระเอกในการทำตลาด บริษัทเราอาจมีสินค้าหรือบริการหลายอย่าง ให้เลือก 1 อย่างมาเป็นตัวแทนในการใช้แนะนำตัว คิดเตรียมไว้ก่อน ตอนที่จะพูดแนะนำตัวจะได้พูดได้คล่อง ไม่ติดขัด

11 ใบเสนอราคางานเก่าหรือโปรเจ๊คเก่า หรือใบสั่งซื้อ เป็นการบอกถึงงานที่เราทำ และลูกค้ายอมรับจนเกิดการซื้อขาย เป็นหลักฐานว่าสินค้าของเราได้รับการยอมรับจริงๆ

Slide2

12 บทความวิเคราะห์ที่คุณทำเอง การเขียนบทความหรือคอนเท้นท์ลงในเว็บไซต์ ทั้งการบอกเล่า วิเคราะห์ หรือ การอัพเดทผลิตภัณฑ์ สิ่งต่างๆ ที่ถูกนำเสนอเป็นบทความในเว็บไซต์เป็นการแสดงออกถึงการมีตัวตน มีความสม่ำเสมอ และเป็นการเปิดเผยว่าคุณเป็นคนอย่างไร มีทัศนคติอย่างไร ที่ทำสำคัญ บทความยังเป็นสิ่งที่บอกว่าคุณยังอยู่ในธุรกิจ เป็นความน่าเชื่อถือที่สร้างได้ด้วยตัวเอง ทุกบทความจะทำงานให้เราเหมือนเป็นพนักงานหลายตำแหน่ง เช่น เป็นประชาสัมพันธ์ช่วยเล่าเรื่อง เป็นเซลส์ให้ข้อมูลลูกค้า และฝ่ายดูแลลูกค้าหลังการขายทำงานแก้ปัญหาเบื้องต้นให้กับผู้ซื้อ บทความจะทำงานแทนตัวเราแบบไม่หลับไม่นอน อยากมีทีมขายและทีมประชาสัมพันธ์ใหญ่แค่ไหน ให้เขียนบทความให้เยอะเท่านั้น

การตลาดแบบบอกต่อเป็นเครื่องมีทรงพลังสำหรับการขยายธุรกิจ มันสามารถสร้างยอดขายได้ไม่จำกัด ลงทุนต่ำในแง่ตัวเงิน แต่ต้องใช้เวลา ความอดทน และความจริงใจทดแทนเข้าไปเพื่อสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น และเมื่อความไว้วางใจสูงเพียงพอก็จะเกิดการตัดสินใจซื้อได้นั่นเอง


nec108 – เพิ่มยอดด้วย powerteam

IMG_0256

Boost Referral by powerteam

powerteam คือกลุ่มคนที่มีลูกค้าคนเดียวกัน  คนในทีมไม่ได้แย่งลูกค้ากัน  การที่คนหนึ่งๆในทีมได้ลูกค้าไป ไม่ได้ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อสิ่งอื่นๆในทีม  ยกตัวอย่าง  ถ้าเป็นทีมอสังหาริมทรัพย์  ก็มักจะประกอบไปด้วย  นายหน้า  สินเชื่อ  คอนซัลก่อสร้าง  สามส่วนนี้มีลูกค้าคนเดียวกันคือ คนที่อยากลงทุนในอสังหาฯ  และการที่ใครสักคนในทีมได้ลูกค้า  ก็มีแนวโน้มว่าอีกสองคนในทีมจะได้ลูกค้าด้วย

ยกอีกตัวอย่าง  wedding planner ก็จะเป็นทีมเดียวกับ คนจัดดอกไม้ และ catering สามคนนี้จะมีลูกค้าเป็น เจ้าบ่าวเจ้าสาว  การที่ใครบางคนในทีมได้งานหนึ่งงาน  อีกสองคนในทีมมีแนวโน้มจะได้งานด้วย  เพราะการที่ลูกค้าอุดหนุนคนในทีม  ไม่ได้หมายความว่า ส่วนที่เหลือทั้งทีมจะไม่ได้งานใดๆอีกเลยจากลูกค้าคนนี้

เมื่อพูดถึงpowerteam  ก็ต้องมาเรียนรู้กับคำว่า contact sphere   ซึ่งคำนี้ จะหมายถึง กลุ่มคนที่มีอาชีพที่เกื้อหนุนกัน  ไม่แย่งลูกค้ากัน ลูกค้าของคนกลุ่มนี้จะมีแนวโน้มที่จะอุดหนุนหลายๆคนในทีม   และเมื่อเราพัฒนา contact sphere ให้สนิทสนมกัน contact sphere เหล่านี้จะกลายเป็น powerteam

คำถามต่อไปนี้จะเป็นคำถามช่วยเพิ่มความสนิทสนมใน powerteam ได้

1 คุณเริ่มต้นธุรกิจอย่างไร

2 คุณชอบขั้นตอนไหนที่สุดในสิ่งที่คุณทำ

3 อะไรคือความแตกต่างของคุณกับคู่แข่ง

4 มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจกับคุณ

5 เทรนความนิยมที่กำลังจะมาในธุรกิจของคุณคืออะไร

6 กลยุทธที่คุณใช้ขยายธุรกิจของคุณคืออะไร

7 อะไรคือสิ่งที่ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในวงการของคุณ

8 มีอีเว้นท์หรือการจัดงานอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณที่กำลังจะมีเร็วๆนี้

9 ความท้าทายอะไรในงานนี้ที่ดูยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

10 ลักษณะของลูกค้าคุณเป็นอย่างไร  มีอะไรที่จะบอกได้บ้าง ว่า คนที่เราพบควรจะเป็นลูกค้าคุณ

nec07 – เหตุผลที่ระบบ powerteam ไม่ได้ผล

เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถมี referral ที่ดีถูกใจ วิธีการที่แน่นอนที่เราควรจะได้ทำก็คือ บอกเล่าว่าเราอยากได้ referral แบบไหนกับคนในกลุ่มเน็ตเวิร์คของเรา หรือให้ความรู้กับเพื่อนเราว่าเราอยากได้อะไร เป็นการบอกกับ contact sphere ของเรานั่นเอง ในขณะเดียวกัน ก็มีวิธีการอื่นที่ทำได้ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย โดยเป็นวิธีการให้ความรู้กับกลุ่มคนที่มีอาชีพใกล้เคียงกับเราและน่าจะส่งงานให้เราได้ การทำแบบนี้ เราจะเรียกว่า เรากำลังหา referral partner นั่นเอง ซึ่ง referral partner นี้ จะมีที่มาจากคนสองกลุ่มหลักๆ คือ จาก contact sphere และ จาก powerteam

คำว่า contact sphere กับ powerteam มีความหมายต่างกัน contactsphere คือกลุ่มคนที่อยู่ในเน็ตเวิร์คของเรา มีความน่าจะเป็นที่จะส่งงานให้เราได้ แต่เรายังไม่ได้ไปร่วมทีมกับเขาเพื่อทำบางอย่าง กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ powerteam เป็นกลุ่มที่เราได้ตัดสินใจร่วมทำงานด้วยกันแล้ว เพราะเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างร่วมกันและทำให้เกิดงานส่งต่อได้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอาชีพที่ส่งเสริมกันหรือมีลูกค้ากลุ่มเดียวกัน

ต่อให้เราสร้าง powerteam กันแล้ว ก็ยังไม่ได้หมายความว่างานเราเสร็จสิ้น เรายังต้องหาวิธีที่จะทำให้เรากับทีมสามารถส่ง referral ต่อกันได้ สิ่งที่เป็นความสำคัญใน powerteam มากที่สุดคือการสร้างความไว้วางใจ ความไว้วางใจหรือความมั่นใจ ทำให้คนในทีมมั่นใจว่าหากเขาส่งงานให้เราแล้วเราจะไม่ทำเสีย

สาเหตุที่ powerteam จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือ วิธีการสร้าง powerteam ที่ผิด

1 คิดว่า คนในทีมคือ powerteam รวมตัวกันแล้วจบ แบบนี้ไม่เกิดงานแน่นอน ซึ่ง powerteam ที่แท้จริง เราจะต้องใช้เวลาทำงานร่วมกันกับทีมอย่างจริงจัง

2 ไม่ให้เวลากับทีม เราต้องใช้เวลาเพื่อพูดคุย เรียนรู้ เราอยากได้อะไร เพื่อนอยากได้อะไร และมุ่งหาวิธีที่จะทำให้เพื่อนไปถึงเป้าหมาย นั่นคือต้องประชุม powerteam อย่างสม่ำเสมอ  ต้องทำ 1-2-1 อย่างทั่วถึงทั้งทีม

3 อยู่ผิดทีม ถ้ามีใครบางคนในทีมไม่สามารถให้ referral กับเราได้ นั่นแปลว่า ไม่เขาก็เราที่อยู่ผิดทีม อาจจะมีสาเหตุมาจาก เซอร์วิสของเราเพื่อนทำเองได้ เลยไม่มีงานมาถึงเรา แบบนี้เราและเขาไม่ควรอยู่ทีมเดียวกัน ต้องเปลี่ยนทีม ให้เรามองหาทีมอื่น มองหาเน็ตเวิร์คอื่นๆเพิ่มเติม ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คนเราสามารถมีกลุ่มเน็ตเวิร์คได้หลากหลาย ให้เราเลือกอยู่กับทีมที่ต้องการเรา

การมี powerteam ที่มีประสิทธิภาพ จะต้องเกิดผลลัพธ์  ลองใช้เวลากับทีมสัก 3 เดือนหากไม่เกิดผลทางธุรกิจนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเราต้องเปลี่ยน powerteam

nec-ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ contact sphere

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ contact sphere
1 คิดว่า contact sphere = ลูกค้า  แท้จริงแล้วลูกค้าคือเป้าหมาย  contact sphere คือคนที่เรารู้จักและมีความพร้อมที่จะสร้างทีมกับเรา
2 คิดว่า รายชื่อ contact sphere อยู่ในมือถือ  แท้จริงแล้ว contact sphere จะถูกกำหนดโดยเป้าหมาย
3  คิดว่า contact sphere และ powerteam สร้างแล้วจะมี referal   แท้จริงแล้ว เมื่อกำกนด powerteam ได้จากนั้นทั้งทีมต้องเข้าสู่การเรียนรู้ซึ้งกันและกัน สร้างความไว้ใจต่อกัน  ใช้เวลาร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ

bni กับแนวคิดของ การทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4121

วิธีการทำการตลาดแบบบอกต่อที่เป็นหัวใจของ bni เป็นวิธีที่เน้นการปลูกสร้างสายสัมพันธ์  หลายคำศัพท์ที่มักจะได้ยินในกลุ่มของนักธุรกิจ bni คือ เรามาทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4142

farming คืออะไร  ย้อนกลับไปที่คำศัพท์การทำฟาร์ม  การทำฟาร์มใดๆก็ตาม เราจะต้องได้ผลผลิตจากสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ถ้าเราทำฟาร์มไก่ เราก็เลี้ยงไก่ ผลผลิตเป็นไก่ เราได้ไก่กินทุกวัน เรามีไก่ไปขายทุกวัน  แม้เราหลับ เราตื่นมาก็มีไก่ให้กิน  เพราะฟาร์มจะมีผลลัพธ์ให้เราตลอดเวลา

ถ้าเราปลูกเห็ดขาย เรากำลังทำฟาร์มเห็ด  เราก็จะมีเห็ดให้เก็บขายทุกวัน  วันนี้เก็บไปแล้ว พรุ่งนี้มีเห็ดต้นใหม่ให้เก็บ เก็บขายทุกวัน นอนหลับตื่นมา พรุ่งนี้ก็มีเห็ดต้นใหม่

สิ่งที่ยกตัวอย่างมาคือเราทำฟาร์ม  ฟาร์มนั้นๆจะต้องให้ผลลัพธ์กับเราตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หล่อเลี้ยงฟาร์มนั้นด้วยสิ่งที่จำเป็น เลี้ยงไก่ ก็ต้อง ให้อาหาร ให้น้ำ เก็บกวาดขี้ไก่ทำความสะอาด  ปลูกเห็ดก็ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย สิ่งที่เราทำเพิ่มลงไปทุกวันๆก็เพื่อให้วันพรุ่งนี้มีผลผลิต

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4182

เรามา farming ใน bni  ก็คือ ฟาร์มแห่งนี้จะต้องให้ธุรกิจกับเราทุกวัน หรือ ให้บ่อยๆ หรือ ให้อย่างสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของเราด้วย  ถ้าเราเป็นคนรับเหมาสร้างบ้าน  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าสร้างบ้านกับเราตลอดปี  จบหลังแรก ก็มีหลังที่สองให้สร้างต่อ ทำให้บริษัทไม่ว่างงาน   หรือถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าที่สั่งพิมพ์งานทุกวัน หรือทุกสัปดาห์แล้วแต่ชนิดงาน ถ้าปีนึงลูกค้าสั่งงานโรงพิมพ์ 1 ครั้ง และเราใช้เวลาผลิตงานประมาณ 1 สัปดาห์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะทำให้เราได้ลูกค้า 52 รายเพื่อให้โรงพิมพ์ได้ทำงานส่งทุกสัปดาห์นั่นเอง

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

farming ใน bni คือการพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมของกลุ่มคนประมาณ 40-50 คน  คนในกลุ่มนี้จะมีหลายหลายอาชีพ และทุกคนอาชีพไม่ซ้ำกัน  การที่จะให้คนเหล่านี้แนะนำบอกต่อลูกค้ามาสั่งงานกับเรา ก็ต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง เช่น เราจะต้องได้รับความไว้วางใจว่าเรามีคุณภาพ เพื่อนถึงจะกล้าแนะนำงานให้  เราต้องเป็นเพื่อนเขา สนิทสนมกับเขาในระดับนึง  และ เขาต้องรู้จักเรา รู้จักธุรกิจของเรา  และรู้ว่า งานที่เขาจะช่วยบอกต่อมาถึงเรานั้น เป็นงานที่เราต้องการจริงๆหรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  เราก็อยากจะพิมพ์งานหลายอย่าง  แต่งานที่เราทำไม่ได้ก็มี เช่น งานพิมพ์หนังสือพิมพ์ เพราะเครื่องจักรของเราผลิตหนังสือพิมพ์ไม่ได้  ดังนั้นเพื่อนในกลุ่มถ้าเขารู้จักเรา รู้จักธุรกิจเรา เขาจะไม่แนะนำงานหนังสือพิมพ์มาให้เรานั่นเอง

IMG_0048

ในขณะที่เรากำลังสร้างฟาร์มที่จะมีลูกค้า มีงานส่งมาถึงเราอย่างต่อเนื่อง  เราก็เป็นฟาร์มของคนอื่นเช่นกัน  คนอื่นจะต้องพยายามสร้างความไว้วางใจให้ได้  เขาจะต้องทำให้เราเชื่อและไว้ใจว่าเขามีคุณภาพ และจะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับลูกค้าที่เราส่งไปให้  การหล่อเลี้ยงฟาร์มแห่งนี้เพื่อให้เกิดการแนะนำบอกต่ออย่างต่อเนื่องนั้น เราจะต้องมีวิธีการประจำวันที่จะทำงานกับระบบแบบนี้  ดังต่อไปนี้

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4280

1  ต้องพบกันอย่างสม่ำเสมอ  ในทางปฏิบัติ ก็คือการเจอกัน คุยกันอย่างเป็นประจำ  คำว่าเป็นประจำมีความหมายยิ่งกว่าบ่อยๆ  ในกลุ่ม networking ทางธุรกิจ จะมีการพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เจอกันบ่อยยิ่งกว่าญาตพี่น้องเสียอีก  การพบกันอย่างสม่ำเสมอทำให้เราและเขาได้รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน  แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และสามารถนำไปสู่ความไว้วางใจในการส่งต่อลูกค้าได้  ให้ลองคิดเล่นๆว่า  เราจะบอกต่อลูกค้าคนสำคัญของเราให้กับเพื่อนแบบไหน เพื่อนแบบที่นัดแล้วไม่มา  ไม่ค่อยได้เจอ  หรือเพื่อนที่พบกันทุกสัปดาห์และเขารับผิดชอบงานดี

2  ต้องใช้เวลาพูดคุยกันอย่างถึงแก่นของธุรกิจ  รู้ในสิ่งที่ควรรู้ของเพื่อน  เช่น  ต้องรู้ถึงระดับที่ว่า งานที่เราพบเจอใช่งานของเพื่อนเราจริงไหม  อย่างเช่น  ถ้ามีคนจะซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน  และในกลุ่ม network ของเรามีผู้รับเหมาสร้างบ้าน  เราต้องรู้ว่า ผู้รับเหมาที่เราพบกันประจำเขารับงานต่อเติมไหม  บางคนอาจรับแต่งานสร้างใหม่  ส่วนงานซ่อมหรืองานต่อเติมไม่รับ  ดังนั้น  เวลาเราจะเลือกส่งต่องาน เราควรรู้ว่า คนรับเขาอยากได้งานนั้นๆจริงหรือไม่  และการที่จะได้รู้ว่าเขาอยากรับ หรือ ไม่อยากรับ  เราต้องผ่านการพูดคุยกันในเชิงลึก  ผ่านการได้ดูได้เห็นผลงานของเขา  ในทางกลับกัน  ถ้าเพื่อนผู้รับเหมาจะส่งงานมาให้เรา  เขาก็ควรรู้จักเราว่าเราชอบงานนั้น หรือ ไม่ต้องการงานแบบนั้น

เมื่อเราพบกันสม่ำเสมอ และรู้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งกันและกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนทั้งสองฝ่าย  การแนะนำลูกค้าที่เรามีอยู่ให้ใช้บริการเพื่อนในกลุ่มก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  ไม่ตะขิดตะขวงใจ  คนเรามีลูกค้าติดตัวรวมถึงคนรู้จักที่พูดคุยได้อย่างน้อย 200 คน  ถ้าเรารวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อย 5 คน ก็เท่ากับมี 1000 ว่าที่ลูกค้า  ถ้าเรารวมกลุ่มกัน 40 คน เราจะมีว่าที่ลูกค้า 8000 คน  นี่คือความน่าจะเป็นของการทำธุรกิจด้วยวิธีการบอกต่อ  แต่เราบอกต่อแบบมีคุณภาพ และมีโครงสร้างการติดตามงานที่ชัดเจน ทำให้การบอกต่อเป็นการบอกต่อที่เกิดผลลัพธ์  ซึ่งมันก็คือการทำฟาร์มที่จะได้ผลเป็นลูกค้านั่นเอง  เพราะในกลุ่มจะวนเวียนเกิดงานใหม่ๆให้แก่สมาชิกเสมอ

Heritage จัดงาน BOD

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ทาง Heritage ได้จัด Business Open Day เพื่อหาสมาชิกเข้าสู่ เพาเวอร์ทีม (powerteam)   บรรยากาศการต้อนรับและการประชุมเต็มไปด้วยความคักคัก อบอุ่น  มีการแลกเปลี่ยน connection จำนวนมากซึ่งกันและกัน ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า

เพาเวอร์ทีมคือะไร

เพาเวอร์ทีมคือ บริษัทอื่นๆที่ขายของให้ลูกค้าของเรา แต่ไม่ได้ขายของแบบเดียวกับเรา  นั่นทำให้เราและเพาเวอร์ทีมไม่ได้แย่งกันขาย แต่ต่างคนต่างบริการลูกค้าด้วยกัน  อย่างเช่น บริษัทออแกไนเซอร์ ให้บริการจัดงานอีเว้นให้กับลูกค้า A  และขณะเดียวกันลูกค้า A ก็ยังมีการสั่งผลิตเสื้อยูนิฟอร์มเพื่อใช้ในบริษัท  โรงงานการ์เม้นที่ให้บริการเสื้อยูนิฟอร์มก็จะนับได้ว่าเป็นเพาเวอร์ทีมกับบริษัทออแกไนเซอร์ได้  เพราะต่างมีลูกค้าคนเดียวกัน  และไม่ได้แย่งกันขาย

 

การมีเพาเวอร์ทีมที่ขายของหลากหลาย หรือทำงานบริการหลากหลาย  ทุกคนในเพาเวอร์ทีมจะสามารถส่งต่อลูกค้าคนเดียวกันไปสู่ทุกคนในทีมได้  ทำให้การบอกต่อเกิดขึ้นหลายครั้ง  หากต่างคนต่างพาลูกค้าตัวเองมาส่งต่อในทีมคนละ 2 ราย  ในเพาเวอร์ทีม 5 คน จะมีลูกค้ามาแบ่งกัน 10 ราย  ทุกคนมีโอกาสเพิ่มลูกค้าอีกจาก 2 กลายเป็น 10  นี่คือพลังของเพาเวอร์ทีม

 

การหาเพาเวอร์ทีมที่ใช่คือเป้าหมายของการทำการตลาดแบบบอกต่อ  การบอกต่ออย่างเป็นระบบ การคัดสรรหาเพาเวอร์ทีมอย่างเข้าใจ ทำให้เราไม่เหนื่อยในการหาลูกค้าเอง  แค่นำลูกค้าที่มีอยู่มาแชร์กัน มันง่ายดายกว่ามาก

 

2018-02-27 06.10.52 1

2018-02-27 06.12.02 1

2018-02-27 06.14.14 1

2018-02-27 07.37.13 2

2018-02-27 07.37.14 4

2018-02-27 07.37.16 1

2018-02-27 07.37.16 3

2018-02-27 07.37.16 4

2018-02-27 06.09.07 1