เปรียบเทียบภาพถ่ายจากหลายระบบ

การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนแล้วในยุคอินเทอเน็ต 5G เพราะโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องมีกล้องติดมาด้วย และส่วนมากก็จะมีคุณภาพดีพอใช้ได้ทั้งสิ้น ผู้คนถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมาก และบางทีก็อยากจะพิมพ์ภาพออกมาเป็นกระดาษบ้าง อาจจะใช้ใส่อัลบั้มเพื่อดูในเวลาอื่นๆ อาจจะใช้แจกเป็นที่ระลึก ซึ่งเมื่ออยากจะพิมพ์ภาพถ่ายดิจิทัลออกมา เราก็จะเป็นจะต้องไปอัพภาพที่ร้านรูปตามห้าง และบางคนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีปริ๊นเตอร์สีเอาไว้ทำงาน ก็อาจจะพิมพ์ภาพเองเลย และนอกจากเครื่องพิมพ์สำหรับสำนักงานแล้ว โลกเราก็มีเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนมากจะพิมพ์ภาพขนาดเล็ก 

เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพถ่ายสำหรับใช้ในบ้านที่มีให้เราใช้ในยุคปัจจุบันเท่าที่เหลืออยู่ก็จะเป็นระบบ

1 Zink paper ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Polaroid เพื่อทดแทนระบบการพิมพ์ภาพดั้งเดิมที่ใช้มานานหลายสิบปี ส่วนระบบดั้งเดิมที่ Polaroid สร้างจนมีชื่อเสียงแต่ไม่ยอมทำตลาดต่อ ก็ถูก Fuji นำไปทำตลาด นำเทคโนโลยีไปไปใช้ในกล้อง instant ของตัวเอง

2 Fuji instax ระบบถ่ายภาพลงบนแผ่นฟิล์ม เป็นสิ่งที่เกิดจากบริษัท Polaroid  ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนปัจจุบันยังคงมีกล้องระบบ instax ของ Fuji ออกมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง และมีหลายขนาดให้เลือกใช้

P_20160505_143122
กล้อง Polaroid ที่ใช้ระบบการพิมพ์ภาพแบบ Zink paper

3 Canon Selphy การพิมพ์ภาพถ่ายของ Canon โดยใช้ระบบการพิมพ์ Dye-Sublimation ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงและใช้อยู่ในเครื่องพิมพ์ Canon selphy ที่ขายอยู่ราคาไม่แพง และได้รับความนิยมในกลุ่มช่างภาพที่อยากได้ภาพคุณภาพสูง มีทั้งแบบเครื่องพกพา และเครื่องตั้งโต๊ะ

2018-03-15_12-37-38
ซ้ายคือภาพจากระบบ zink ขวาคือภาพจาก Dye-Sublimation

แต่ละระบบจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน และมีจุดด้อยของใครของมันที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องปวดหัวและต้องเสียเงินซื้อหลายระบบ เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง ทำให้คนรักการพิมพ์รูปแทบจะต้องเสียเงินซื้อทุกอย่าง

Zink ย่อมาจาก Zero ink เป็นระบบที่สะดวก ทำให้เล็กได้ สามารถยัดเข้าไปอยู่ในกล้องถ่ายรูปได้ และทำเป็นเครื่องพิมพ์แยกอิสระได้ การพิมพ์ระบบนี้ต้องใช้ไฟล์ดิจิทัลเท่านั้น ความคมชัดและคุณภาพสีอยู่ในระดับปานกลาง ความคงทนอยู่ในระดับต่ำ คือในเวลาไม่เกินสองปีภาพจะเกิดอาการสีซีด ไม่เหมาะกับการเก็บภาพชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าเราถ่ายภาพแม่ไว้ วันนึงในอีกหลายปีข้างหน้าภาพแม่จะจางหายไป

Fuji instax เป็นระบบถ่ายภาพทันใจอีกชนิด ต้นกำเนิดเกิดจากบริษัท Polaroid แต่เสื่อมความนิยมไปพักใหญ่ แล้ว Fuji ก็นำมาทำตลาดต่อ เป็นระบบการพิมพ์ภาพแบบอนาลอก ฟิล์มแผ่นที่ผ่านการถ่ายจะไหลออกมาจากกล้อง รอเวลาสักครู่ก็จะปรากฏเป็นภาพที่สวยงาม ระบบนี้ได้รับความนิยมมากเพราะสะดวก รวดเร็ว ถ่ายแล้วภาพไหลพรวดออกจากกล้อง แม้จะต้องรอเวลาสัก 1 นาทีเพื่อให้ภาพขึ้นชัดเจนแต่ก็เป็นความสนุกที่น่าลองใช้งาน เมื่อก่อนเป็นอนาลอก ปัจจุบัน Fuji พัฒนาให้เป็นเครื่องพิมพ์ภาพ ทำให้สร้างภาพดิจิทัลไว้บนแผ่นฟิล์ม instax ได้ ทำให้เรามีเครื่องพิมพ์ระบบ instax และทำให้ Fuji ทำกล้องดิจิทัลที่ยัดเครื่องพิมพ์ภาพ instax ไว้ข้างในออกมาขายด้วย ข้อดีคือเร็ว ข้อเสียคือภาพเล็ก เพราะขนาดที่นิยมและขายดีทั่วโลกก็มีขนาดแค่บัตรเครดิตเท่านั้น แม้จะมีขนาดจตุรัสออกมาบ้างก็ยังไม่ได้รับความนิยม 

Canon Selphy เป็นระบบ Dye-Sublimation ที่ให้ภาพสวยที่สุด ระบบการพิมพ์ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว ต้องใช้เครื่องพิมพ์โดยเฉพาะ ไม่สามารถทำให้เล็กได้ ทำให้เราไม่สามารถยัดระบบการพิมพ์แบบนี้เข้าไปในกล้องถ่ายภาพ ข้อดีคือภาพสวยคุณภาพสูงมาก ข้อเสียคือ ใหญ่ เทอะทะ ต้องทำงานในสภาพของปริ๊นเตอร์ คือพกพาลำบาก แต่จะเก็บภาพได้ยาวนานที่สุด canon เลยบอกว่าสามารถเก็บภาพได้ถึง 100 ปี ถ่ายภาพพ่อแม่ไว้ พ่อแม่จะอยู่ในกระดาษไปจนเราตาย ภาพก็ยังไม่จืด อันนี้เรียกว่าดีมาก

สรุป

การเลือกระบบการพิมพ์ภาพขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ภาพ ถ้าเราต้องการความเร็ว เช่นงานปาร์ตี้ ถ่ายแล้วได้ภาพทันที คุณภาพไม่ต้องดีที่สุด เราก็ใช้ระบบของ fuji instax ที่เป็นอนาลอกได้เลย คือถ่ายแล้วไหลพรวด

ถ้าเราอยากได้ภาพสวย สีสันยอดเยี่ยม มีคำตอบเดียวคือ canon selphy ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว

ถ้าเราอยากได้เครื่องพิมพ์ภาพจากไฟล์ดิจิทัลที่พกพาได้ เรามีทางเลือกคือ zink paper กับ ระบบ fuji instax printer ทั้งสองแบบเป็นเครื่องพิมพ์พกพา สามารถเลือกภาพดิจิทัลมาสั่งพิมพ์ได้ 

ถ้าเราอยากได้กล้องดิจิทัลที่ถ่ายแล้วเลือกภาพแล้วค่อยพิมพ์ เราก็มีทางเลือกที่เป็นกล้องระบบ zink ใช้กระดาษ zink paper กับกล้อง fuji รุ่นดิจิทัลที่พิมพ์ภาพบนแผ่นฟิล์ม instax ได้


แถมให้

ระบบ Zink เทียบกับ instax อันไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งสองระบบเป็นระบบการพิมพ์ที่ยัดไว้ในกล้องได้ ก็ขอให้ดูภาพตัวอย่างด้านล่าง ภาพแรกถ่ายสิ่งของพร้อมกัน ได้ภาพออกมาพอใช้ได้ทั้งคู่ zink จะใหญ่กว่าเพราะขนาดที่ใช้คือ 2×3นิ้ว ส่วน instax เล็กกว่าเพราะขนาดเท่าบัตรเครดิต

P_20160505_175002
ซ้าย Zink paper จากกล้อง Polaroid Z340 ขวาคือ Fuji instax จากกล้อง Mini8

เมื่อเวลาผ่านไป16 เดือน เอาภาพทั้งสองใบมาเทียบกันอีกครั้ง เราจะเห็นว่าภาพจาก zink จะซีดลงไปเยอะมาก สีสันจริงของวัตถุในภาพอาจจะดูไม่รู้แล้วว่าเคยเป็นสีอะไร ข้อมูลภาพอาจจะค่อยๆหายเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ส่วน instax ยังคงอยู่ดีดูไม่ค่อยแตกต่างจากปีแรก คาดว่า instax จะอยู่ได้อีกหลายปี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถึง 20 ปีไหม

IMG_0206
ซ้ายคือ Fuji instax ที่เวลาผ่านไป 16 เดือน ขวาคือ Zink paper


ทำไมภาพถ่ายจึงจำเป็นสำหรับธุรกิจ

หนึ่งภาพแทนความหมายเป็นพันเป็นหมื่นคำคือสิ่งที่เป็นจริง  ทั้งภาพถ่ายเพื่อเก็บความทรงจำ  ภาพบันทึกเหตุการณ์  และภาพถ่ายสินค้าต่างๆเพื่อใช้ช่วยทำการตลาดให้กับธุรกิจ   หากเราจะขายสินค้าสักอย่าง หรือแม้แต่จะทำธุรกิจบริการ  เราก็ควรจะเลือกใช้ภาพเพื่อทำสื่อออกมา   พลังของภาพถ่ายช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้จริง ดังเหตุผลต่อไปนี้

20231214065752_IMG_0488

1 ภาพสินค้าใช้เพื่อขายสินค้า  ถ้าเรามีสินค้าที่อยากขาย การใช้ภาพถ่ายสินค้าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด  เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าเราขายอะไร  ลูกค้าซื้อแล้วจะได้อะไร  การจัดแสงและจัดองค์ประกอบของภาพที่ดีจะทำให้สินค้าออกมาดูสวยงามน่าซื้อ

20220607121643_IMG_0875

2 ใช้ภาพถ่ายเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ  การมีภาพคนหรือทีมงานของเราปรากฏอยู่ในสื่อการขาย จะอยู่ในแค็ตตาล๊อค ใบปลิว หรือในเว็บไซต์   ทุกภาพจะช่วยทำให้ลูกค้าเกิดเชื่อมั่นในตัวสินค้าหรือบริการมากขึ้น  สร้างภาพจำได้  เหมือนกับที่เราจำนางแบบโฆษณาสินค้าบางตัวได้

3 ภาพถ่ายช่วยนำเสนอความสมบูรณ์แบบ หรือแสดงโลกในฝันที่อยากให้ลูกค้าได้เห็น  เมื่อจัดวางสินค้าอย่างลงตัว ท่ามกลางองค์ประกอบอื่นๆที่ช่วยทำให้ลูกค้าเห็นไลฟสไตล์  จะทำให้ลูกค้ารู้ว่าสามารถมีแบบนี้ได้  แม้การจัดถ่ายแนวนี้จะใช้งบประมาณสูง แต่ก็ทำให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าเขาเลือกสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร  และมันจะยิ่งเป็นผลดีในการชักชวนให้ลูกค้าซื้อสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้นด้วย

IMG_8577

4 ภาพถ่ายช่วยเล่าเรื่อง  สินค้าหรือบริการบางอย่างจะมีลักษณะเฉพาะ  การมีภาพการใช้งานสินค้าหรือภาพที่กำลังทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  ภาพจะช่วยสร้างการรับรู้ร่วมกันว่าเราทำอะไร ขายอะไร  นอกจากภาพนิ่งแล้ว  วิดีโอก็สามารถนำมาใช้ร่วมด้วย  ยิ่งในเว็บไซต์ยิ่งควรใช้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ

IMG_4250

5 ภาพถ่ายนำเสนอเทคนิคเฉพาะ   บางสินค้า บางกิจกรรมมีรายละเอียดวิธีใช้ที่เฉพาะเจาะจง  เราสามารถลงรายละเอียดเพื่อให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจ   อย่างเช่นภาพถ่ายการปรับแต่งอุปกรณ์   ภาพที่อธิบายวิธีใช้ วิธีติดตั้งที่จำเป็นต้องเห็นตัวอย่าง  ภาพแนวนี้มักจะต้องการความคมชัด สีสันปกติ  ถ่ายทอดความตรงไปตรงมา  โดยจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้ฟิลเตอร์หรือการใส่สีที่เกินจริง 

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่การนำเสนอทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นพรีเซ้นเทชั่น หรือ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในใบปลิว หนังสือหรือคู่มือ จะต้องมีภาพถ่ายเพื่อช่วยให้การสื่อสารต่างๆครบถ้วน และทำหน้าที่ได้ตามที่เจ้าของสินค้าต้องการ   ในยุคสมัยของอินเทอเน็ตที่เบ่งบานสุดขีด เรามีตัวช่วยในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายมากมายหลายวิธี  นอกจากจะถ่ายเองแล้ว  เราก็มีแหล่งสต๊อคภาพที่ให้โหลดมาใช้ได้แบบฟรี  บางแหล่งอาจจะเป็นแบบเสียเงินเพียงเล็กน้อย  หรือแม้แต่การใช้ระบบ AI ช่วยสร้างภาพที่ต้องการขึ้นมาก็ทำได้ไม่ยากโดยค่าใช้จ่ายต่อภาพจะต่ำมากเมื่อเทียบกับการต้องลงทุนจ้างทีมงานถ่ายทำเต็มรูปแบบ

หากเราขายของโดยไม่เคยถ่ายภาพอะไรในธุรกิจของเราเลย ก็ลองถ่ายภาพแล้วโพสท์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คดู    มีภาพแล้วลองตั้งชื่อ หรือใส่ข้อความกำกับเล็กน้อย  ก็ดูดีมีพลังแล้ว

ภาพที่ขายได้

Screen Shot 2565-02-11 at 08.57.18

ภาพนี้เป็นภาพลูกของผมตอนที่ไปเที่ยวเมือง nikko ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นผมพกกล้องไปตัวเดียวคือ eos m รุ่น1 ติดเลนส์ตัวเดียวตลอดทริปคือเลนส์ 22f2 การเดินทางที่ญี่ปุ่นกับลูกเล็กวัย 3 ขวบ เป็นการเดินทางที่ต้องเตรียมรถเข็น เตรียมอุปกรณ์ของเด็กพอสมควร พ่อกับแม่ต้องช่วยกันยก ช่วยกันอุ้มในหลายสถานการณ์เพราะการเดินทางหลักๆของทริปคือรถไฟ

เลนส์ 22f2 ผมใช้ค่ารูรับแสงที่ f2 ตลอดทริปเลย เพราะต้องการความชัดตื้นที่ละลายหลังให้เบลอดูสวยงาม และต้องการให้มันรองรับสถานการณ์แสงได้ดีหลากหลายสถานที่ และส่วนมากเราก็จะถ่ายภาพในอาคาร ในที่ร่ม การใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก

กล้อง eos m เป็นกล้องที่มีหน้าจอด้านหลังระบบสัมผัส สามารถใช้มือแตะเพื่อให้กล้องทำการโฟกัสและลั่นชัตเตอร์ได้ด้วย มันทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานบางโอกาส เช่นโอกาสเด็กกำลังสนใจกับภาพในจอ มีแสงตอนเช้าเข้ามาทางหน้าต่าง แสงหน้าต่างมักจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีกับภาพถ่ายเสมอ ผมเห็นองค์ประกอบนี้ก็รีบหยิบกล้องมากดเปิดกล้องแล้วแตะโฟกัสเพื่อถ่ายเลย แล้วเราก็เก็บวินาทีสวยๆได้ตามที่ตาเห็น ทั้งทริปผมแทบจะไม่ได้ปิดฝาหน้าเลนส์เลย เพราะอยากให้กล้องพร้อมใช้ตลอดเวลา แม้ว่าเลนส์อาจจะเสี่ยงต่อการเสียหายหรือเป็นรอยขีดข่วนบ้าง แต่ผมก็ใช้วิธีติด Hood เหล็กไว้ที่เลนส์ ทำหน้าที่เป็นที่บังแสง และเป็นกันชนให้กับเลนสได้ระดับนึง ภาพลูกผมฝากขายในเว็บ Eyeem.com ครับ

IMG_0338

การใช้แฟลชในบ้านเพดานสูง

บางครั้งการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยเราก็อาจจะต้องใช้แฟลชช่วย  แม้ว่ากล้องรุ่นใหม่จะสามารถตั้งค่า iso ได้สูงลิบอยู่แล้ว  เพราะแสงแฟลชจะให้สีสันของภาพออกมาสดใสกว่าการถ่ายภาพด้วย iso สูงแต่เพียงอย่างเดียว

 

IMG_0292

ภาพที่1  สภาพแสงจริงภายในบ้าน

 

ภาพที่ 1 เป็นสภาพแสงที่มองเห็นจริงๆในบ้าน  แม้ว่าจะเปิดไฟในบ้านหมดทุกดวงแล้ว ความสว่างที่กล้องจะรับภาพก็ไม่ได้มากเลย  สถานการณ์แบบนี้ หากเป็นยุคของฟิล์มที่เรามีฟิล์มแค่ความไว 800 ภาพก็จะเกรนแตก และสปีดของภาพจะต่ำมากจนไม่สามารถจับภาพคนได้คมชัด  แต่กล้องดิจิทัลสมัยใหม่ ตั้งค่า iso ภาพนี้ไว้ที่ 3200  เราได้สปีดชัตเตอร์ที่ 1/60  รูรับแสง f4 ให้ภาพที่พอดูได้  แต่ไม่สวย

 

การถ่ายภาพสถานการณ์นี้ให้สมบูรณ์ขึ้นก็ต้องใช้แฟลช  จะทำให้เราสามารถเรียกสีสันจากสิ่งต่างๆในภาพออกมาได้ดียิ่งขึ้น  แต่การยิงแฟลชเข้าไปตรงๆเราก็มีโอกาสที่จะได้ภาพไม่สวย  การยิงแฟลชให้ดูแสงสวยนุ่มนวลมักจะต้องใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลช (Bounce)  มันคือเทคนิคการยิงแสงแฟลชไปชนเพดานสีขาว หรือกำแพงสีขาว แล้วให้แสงสะท้อนจากเพดานกลับมาโดนตัวแบบนั่นเอง

 

บ้านนี้เพดานไม่ใช่สีขาวด้วย  แถมยังอยู่สูงลิบ แฟลชที่ติดอยู่กับกล้องไม่มีทางวิ่งไปถึงแล้วสะท้อนกลับมาได้ในปริมาณที่เพียงพอจะถ่ายภาพ  ดูจากสิ่งแวดล้อมในบ้านแล้ว เห็นเพดานขาวอยู่เล็กน้อยในบริเวณชั้นลอย  เล็งด้วยสายตาแล้ว แสงสะท้อนเพดานส่วนนี้สามารถวิ่งลงมาถึงตัวคนได้  ก็เลยจัดการใช้แฟลชกับเพดานชิ้นนี้

 

IMG_0293

ภาพที่2  เพดานบางส่วนที่เป็นสีขาว

 

จัดการแยกแฟลชออกจากกล้อง  ใช้ตัวส่งสัญญาณแฟลชไร้สายหรือ trigger ติดแฟลช nikon sb26 แล้วนำไปวางบนพื้นชั้นลอย  เล็งให้แสงแฟลชยิงแล้วกระทบเพดาน  แสงสะท้อนจากเพดานจะวิ่งลงมาถึงชั้น 1 ได้  ตั้งค่ากำลังไฟในการยิงแฟลชไว้ที่ 1/2 ของไฟเต็มกำลัง  เพราะเจตนาจะให้สามารถยิงแฟลชได้ 2 ครั้งโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟหลายวินาที  เมื่อวางตำแหน่งได้ที่แล้วก็ลองถ่ายทดสอบ  ค่าแสงลงตัวพอดี ใช้สปีดชัตเตอร์และรูรับแสงและ iso เท่าเดิม  คุณภาพแสงออกมาตามภาพที่2

 

ดูจากภาพพรีวิวที่หน้าจอของกล้อง  ดู histogram ของภาพนี้แล้วพบว่าส่วนกราฟกระจายตัวเต็มย่าน  ถือว่ามีคุณภาพใช้ได้แล้วก็เลยใช้ค่าแสงระดับนี้ถ่ายเหตุการณ์ที่ต้องการ  ก็ได้ภาพที่มีสีสันดีกว่าเดิม

IMG_0283

ภาพที่3  ถ่ายด้วยค่าแสงที่ต้องการ

 

บริเวณโซฟาเป็นบริเวณที่ถ่ายภาพด้วยค่าแสงที่เรากำหนดไว้ได้พอดี  แต่พอจะถ่ายภาพมุมอื่นที่อยู่หน้าบ้าน  ระยะทางของเปียโนที่วางอยู่หน้าบ้านห่างจากจุดสะท้อนแสงแฟลชมากกว่าโซฟา ทำให้ค่าแสงที่ตกลงบนเปียโนน้อยลง เราเปลี่ยนรูรับแสงให้กว้างขึ้นไม่ได้แล้วเพราะเลนส์มีรูรับแสงแค่ f4 ส่วนกำลังไฟแฟลชเราก็ไม่อยากเพิ่มเป็น 1:1 หรือเต็มกำลัง  เพราะไม่อยากเดินขึ้นไปเปลี่ยน  และไม่อยากรอให้แฟลชชาร์จไฟจนเต็มแล้วค่อยยิง  เลยเปลี่ยน iso ในกล้องให้มากขึ้น จาก iso6400 ไปเป็น iso12800 ก็จะทำให้ตำแหน่งเปียโนดูสว่างขึ้นจนพอดี  เพราะหากไม่เพิ่ม  iso ภาพจะมืดลงมาก เห็นได้ชัดเลยว่าแสงไม่พอ

 

IMG_0311

ภาพที่ 4 เปียโนที่เพิ่มค่า isoในกล้องเป็น iso12800

 

 

 

เทคนิคการถ่ายภาพด้วยแฟลชมีวิธีการมากมายให้เรียนรู้ แฟลชเก่าๆสักตัว กับตัวส่งสัญญาณไร้สายก็ทำให้เรามีเรื่องให้เล่นอีกมาก  ยุคของกล้องดิจิทัลจะสนุกกับแฟลชได้เต็มที่เพราะทดลองแล้วเห็นภาพทันที ไม่ต้องไปลุ้น ไม่ต้องถ่ายเผื่อแบบการใช้ฟิล์ม