3 สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก

กาลครั้งหนึ่ง คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า ต้องอาศัยและหาอาหารในพื้นที่ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตรอบตัวก็มีช้าง ม้า วัว ควาย กวาง สิงโต และสัตว์ป่าอีกมากมาย วันหนึ่งมีคนเดินทางด้วยเรือ และไปพบว่ามีปลาตัวใหญ่ยักษ์อยู่ในทะเล การจะเล่าเรื่องบอกว่าโลกเรามีปลาตัวใหญ่กว่าช้างหลายตัวรวมกันและปลาตัวนี้ปากกว้างมากน่าจะกินช้างได้ด้วยคำเดียวหมด การค้นพบแบบนี้คงจะถูกเล่าและบอกต่อกันในครอบครัว แต่การค้นพบนี้จะไม่ถูกรับรู้จากคนที่ห่างไกลเลย ยิ่งอยู่คนละพื้นที่ คนละภูมิประเทศ หรือ คนละซีกโลก ก็อาจจะไม่สามารถรู้เรื่องเล่านี้เลย และในที่สุด คนในครอบครัวก็อาจจะแก่ตายและการค้นพบก็สูญหาย โลกเราไม่เหลือคนเคยเห็นปลาวาฬตัวยักษ์อีก

อารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้นมาเพียงแค่หลักไม่กี่แสนปี ขณะที่สิ่งมีชีวิตบนโลกมีมาแล้วประมาณสามพันล้านปี สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็เพราะว่ามนุษย์สามารถจดบันทึกได้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งต่อความรู้ต่างๆ คนรุ่นหลังไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ การบันทึกว่าโลกเรามีปลาตัวใหญ่กว่าช้างก็จะเกิดการส่งต่อข้อมูลนี้ ต่อให้คนค้นพบจะแก่ตายไปแล้ว ข้อมูลก็ไม่สูญหาย

การบันทึกในอดีตเกิดขึ้นบนกำแพงถ้ำ ภาพวาดในถ้ำเป็นบันทึกฉบับแรกเริ่มของมนุษย์ และเมื่อมีวิวัฒนาการมากขึ้น มนุษย์ก็เริ่มบันทึกบนแผ่นดินเหนียว บันทึกลงบนกำแพงหินที่เป็นสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน บันทึกบนใบไม้ ต้นไม้ แผ่นไม้ และในที่สุดก็มีการสร้างกระดาษขึ้นทำให้วัสดุจดบันทึกมีความบางลง สามารถบันทึกได้มากขึ้น สามารถเขียนด้วยตัวหนังสือที่เล็กลงได้ สามารถบันทึกข้อมูลจำนวนมากให้มีรายละเอียดครบถ้วน และการบันทึกเป็นกระดาษสามารถทำเป็นเล่มได้ ทำให้การจัดเก็บสมุดบันทึกสามารถรักษาข้อมูลได้นานขึ้น และสะดวกในการหยิบมาอ่าน สามารถส่งต่อความรู้เพื่อถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อไป

กระดาษจึงนับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้การบันทึกความรู้ต่างๆของโลกเป็นไปอย่างสะดวก เป็นรูปธรรม โดยชนชาติที่เริ่มทำกระดาษเป็นชาติแรกคือประเทศจีนเมื่อประมาณห้าพันปีที่แล้ว ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากกับมนุษย์และเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้โลกเราเข้าสู่การพัฒนาอย่างจริงจังได้

เมื่อการจดบันทึกเริ่มทำให้โลกเรามีหนังสือ สามารถส่งต่อความรู้จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ได้ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างไม่เร็วนัก เพราะการคัดลอกหรือทำซ้ำหนังสือจะทำได้ช้า ความรู้จากหนังสือทั้งเล่มจะส่งต่อแค่ 1 คน การจะทำหนังสือเพิ่มขึ้นต้องคัดลอกใหม่ทั้งเล่มซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้เวลามาก ในที่สุดก็มีคนคิดวิธีการพิมพ์ขึ้น โยฮันเนส กูเตนเบิร์กชาวเยอรมันคิดค้นเทคนิคการพิมพ์แบบที่เหมาะสมกับการทำเป็นอุตสาหกรรมและได้สร้างเครื่องพิมพ์ขึ้น การมีแท่นพิมพ์ทำให้หนังสือถูกทำซ้ำได้ง่ายและเร็วขึ้น ในที่สุดเราก็สามารถพิมพ์หนังสือจำนวนมากได้ในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม เทคโนโลยีทางการพิมพ์ทำให้สามารถส่งต่อความรู้ไปได้ในวงกว้าง เกิดการต่อยอดเพื่อสร้างความรู้ใหม่ มนุษย์สามารถพัฒนาสิ่งต่างๆได้รวดเร็วอย่างก้าวกระโดด ช่วงเวลาหลังจากโลกมีเครื่องพิมพ์จะเป็นช่วงที่มนุษย์มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในทุกด้าน เกิดการเรียนการสอนอย่างจริงจัง เกิดเป็นโรงเรียนที่มีระบบการจัดการที่ดีสามารถสร้างนักวิจัยจำนวนมาก การพิมพ์จึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาเป็นอารยธรรมทรงภูมิปัญญา แตกต่างจากยุคสมัยของสัตว์โลกในอดีตทั้งหมด

ยังคงมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่แทรกอยู่ในการสร้างองค์ความรู้ก็คือการถ่ายภาพ ภาพถ่ายจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้บันทึกต่างๆ เรื่องเล่าทุกเรื่อง สารคดีความรู้ทุกแขนง ได้เห็นภาพประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจที่สมบูรณ์ ภาพถ่ายเกิดขึ้นมาเกินร้อยปี มีกล้องถ่ายภาพที่ใช้งานได้ง่าย จากยุคสมัยที่ถ่ายภาพด้วยฟิล์มต้องผ่านการล้างและอัดภาพลงกระดาษก็พัฒนาไปสู่ระบบดิจิทัลที่ถ่ายภาพแล้วเห็นภาพทันที การถ่ายภาพมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและตอนนี้ภาพถ่ายก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่มนุษย์สะสมเอาไว้

สิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลกของเราให้ดีขึ้นคือ กระดาษที่ทำให้ข้อมูลไม่สูญหาย เทคโนโลยีทางการพิมพ์ที่ทำให้การเผยแพร่ความรู้ทำได้รวดเร็วและกระจายไปทั่วโลกได้ และสุดท้ายคือการถ่ายภาพที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของข้อมูล สามสิ่งนี้จัดว่าเป็นเครื่องมือของนักคิด นักสร้างนวัตกรรม แถมยังใช้ถ่ายทอดงานศิลปะได้ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เพราะเราได้เป็นคนที่ช่วยส่งต่อความรู้อีกคนหนึ่งของโลกใบนี้

กระดาษเดี๋ยวอ่อนเดี๋ยวแข็ง

รูปถ่าย0088

กระดาษทั่วไปที่ใช้งานในอ๊อฟฟิศหรืองานเขียนในโรงเรียนจะเป็นกระดาษบาง และเมื่อวางพาดกับโต๊ะให้ปลายยื่นออกไปนอกโต๊ะ กระดาษก็จะโค้งงอลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ก็มีบางครั้งที่กระดาษใบเดียวกัน หรือชนิดเดียวกัน แต่มันโค้งตกไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะกระดาษมีเกรน

SharedScreenshotเกรนกระดาษใบใหญ่

เกรนกระดาษคือแนวกระดาษที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงแนวหนึ่ง กระดาษที่ผลิตจากโรงงานจะมีเกรนในแนวใดแนวหนึ่งเป็นหลัก จากภาพด้านบน เกรนกระดาษจะเรียงตัวตามแนวเส้นสีชมพู หากเราตัดกระดาษมาใช้จากกระดาษใบนี้ เราจะตัดกระดาษได้ 2 แบบ คือแบบ A และ แบบ B

SharedScreenshotเกรนกระดาษ AB

กระดาษแบบ A จะมีความแข็งแรงตามแนวยาว มันสามารถทนแรงดึงแนวยาวได้ดี ขณะเดียวกันก็จะโค้งงอไปตามแนวยาวได้ยากกว่า เมื่อวางกระดาษบนขอบโต๊ะ กระดาษใบบนคือกระดาษที่ตัดแบบ A ส่วนกระดาษแบบ B คือใบล่างในภาพที่หนึ่ง และกระดาษแบบ B นี้จะอ่อนตามแนวยาว หากเราเอากระดาษแบบ Bไปใช้กับปริ๊นเตอร์ กระดาษก็จะม้วนเข้าเครื่องพิมพ์ได้ง่าย แต่ขณะเดียวกัน หากกระดาษติดขัดในเครื่องพิมพ์ แล้วเราจะต้องดึงกระดาษออกจากเครื่อง กระดาษแบบ B ก็จะมีโอกาสขาดได้ง่ายเช่นกัน ส่วนกระดาษแบบ A จะทนแรงดึงได้ดีกว่า ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย การตัดกระดาษเพื่อใช้งานจะต้องคิดให้รอบคอบตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

IMG_0092

การใช้งานกระดาษทั่วไปเราอาจไม่ต้องคิดมาก แต่กับงานบางประเภทที่ต้องการลักษณะพิเศษ หากเราคิดเรื่องเกรนกระดาษด้วยเราก็จะออกแบบวิธีผลิตและวิธีใช้งานสิ่งพิมพ์ได้หลากหลายมากขึ้น การติดต่อพูดคุยกับโรงพิมพ์ หากอธิบายตัวงานสิ่งพิมพ์ได้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ โรงพิมพ์จะใช้ช้อมูลที่ละเอียดไปเลือกกระดาษให้เหมาะกับการใช้งาน เพื่อให้สิ่งพิมพ์ตอบสนองได้ตรงวัตถุประสงค์ที่สุด

IMG_0112

หากเราทำงานสมุด เกรนกระดาษก็จะไม่ต้องคิดมาก เพราะตอนเราใช้งานเราก็ตัดเป็นแผ่นเอาไว้เขียน แต่หากเราทำงานแผ่นพับ รอยพับที่ขวางเกรนจะพับยาก รอยพับตามเกรนจะพับง่าย ถ้ากระดาษมีความหนามากๆการพับขวางเกรนจะมีรอยพับที่ไม่สวย บางครั้งรอยพับหรือสันจะแตก งานพิมพ์กล่องแพ็คเกจจิ้ง และ แฟ้มคัมพานีโพรไฟล์ หรือแม้แต่หนังสือปกหนาๆ หากเราคิดเรื่องเกรนกระดาษด้วยเราจะได้งานที่สมบูรณ์มากที่สุด

ทำสมุดโน้ตจากผลงานของลูก

วันหนึ่งที่ลูกเริ่มหัดเขียนหนังสือ ความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ก็ปลาบปลื้มที่ลูกเราเริ่มเข้าสู่การเรียนรู้ทีละเล็กละน้อย  ลายมือวันแรก เป็นอย่างไรอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ  คำแรก ประโยคแรก ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เก็บไว้ มันก็คงเป็นเพียงเศษกระดาษที่กลายไปเป็นขยะ แล้วก็หายไป

IMG_20170210_110033

ความรู้สึกอยากเก็บผลงานของลูกมีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาวิธีเก็บที่แสนสนุกยังไม่ได้  เพราะไม่ว่าเราจะเก็บอะไร เมื่อเก็บเข้าตู้ เข้าลิ้นชัก มันจะอยู่แบบนั้นจนแทบลืมไปเลย  บางทีเมื่อเวลาผ่านไปสักยี่สิบปี วันที่ลูกมาหาเอกสารสำคัญของบ้าน  วันนั้นก็อาจจะเจอกับกองกระดาษที่มีลายมือยึกยือของเด็กน้อยวัยสี่ขวบ  แต่ผมก็คิดว่า ร่องรอยและสิ่งของที่ถูกขีดเขียนในวัยเด็กอาจจะไม่โชคดีขนาดนั้น  เพราะมีกระดาษหลายใบ หรือ เป็นเล่มที่ขีดๆเขียนๆแล้วฉีกทิ้ง ปล่อยให้กลายเป็นเศษกระดาษรอเก็บลงขยะ

IMG_20170210_100843

ก็เลยนึกถึงวิธี่การทำสมุดโน้ตขึ้นมา  ถ้าเราทำสมุดโน้ตที่ใช้ลวดลายที่เป็นผลงานของลูกมาเป็นส่วนประกอบก็น่าจะดูเท่ห์และน่ารัก ว่าแล้วก็ลองดูเลย

ทำปกสมุด

กระดาษที่เขียนด้วยลายมือ ก.ไก่ ถึงฮ.นกฮูก เขียนจนครบทุกตัวในหน้าเดียว  เห็นแล้วก็ต้องเอามาทำปกนั่นเอง  เลยถ่ายภาพแล้วพิมพ์ออกมาใหม่ เพื่อไม่ทำลายต้นฉบับ  เอาใบใหม่มาหุ้มบนกระดาษแข็งหนาประมาณ 2มม. แล้วก็เอาไปทำเป็นเล่ม ร่วมกับเนื้อในที่เป็นกระดาษธรรมดา ทั้งกระดาษปอนด์สีขาว กระดาษน้ำตาล กระดาษสีอื่นๆปนๆกัน ตั้งใจว่าถ้าลูกขอ ก็จะให้ลูกเอาไปเขียนเล่น  แต่ลูกไม่ขอ ก็เก็บไว้ใช้เอง

ทำปกสมุด

พอทำเล่มแรกเสร็จก็สนุกไม่เลิก ไปลองทำเล่มที่สองต่อเลย  คราวนี้เอากระดาษที่ลูกระบายสีน้ำมาทำบ้าง  ขั้นตอนเหมือนเดิมคือ ถ่ายภาพเอาไว้ แล้วเอาภาพปริ๊นท์มาทำแทน เพื่อให้ต้นฉบับยังอยู่

ทำปกสมุด
ทำปกสมุด

 

 

และในที่สุดภารกิจทำสมุดที่มีลวดลายเฉพาะเพียงเล่มเดียวในโลกก็เสร็จสิ้น  หนังสือสมุดโน้ตจากฝีมือการขีดเขียนของลูกน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่รู้สึกประทับใจอย่างมาก