รีวิว Apple USB-C to headphone jack 3.5mm

โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบันเริ่มออกแบบให้ไม่มีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5mm โดยคงเหลือไว้แต่พอร์ตชนิด usb-c แค่เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น เป็นผลให้หูฟังระบบเก่าที่เป็นแจ็ค 3.5mm ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องรุ่นใหม่ได้ หลายยี่ห้อก็จะผลิต accessory ออกมาทดแทน คือ ทำตัว usb-c to headphone jack 3.5mm ออกมา คนที่จะใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่กับหูฟังรุ่นเก่าก็ต้องพึ่งอแด๊ปเตอร์ตัวนี้เท่านั้น และเมื่อมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสียงเข้าหูฟัง ก็เลยมีประเด็นเรื่องคุณภาพเสียงออกมาให้พิจารณาด้วย

Apple usb-c to 3.5mm

ค่าย apple ก็มีพอร์ตเฉพาะของตัวเองเป็น lightning มือถือและแท็ปเบล็ตอย่าง ipad ก็ใช้พอร์ตชนิดนี้ แต่ก็ดันมีรุ่นหนึ่งอย่าง ipad pro ที่เลือกใช้พอร์ต usb-c ออกมา และไม่มีช่องเสียบหูฟัง การจะใช้หูฟังกับ ipad รุ่น usb-c ก็เลยจำเป็นต้องมีตัวแปลง usb-c to headphone jack 3.5mm ตัวนี้ เราก็เลยมี apple usb-c to 3.5mm ให้ใช้

(เพิ่มเติม oct2023 มือถือ iphone15 ที่เปิดตัวในปี 2023 ก็เปลี่ยนมาใช้พอร์ต usb-c แล้ว)

IMG_20200612_130433

google ทำอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm มาใช้กับมือถือ nexus ราคาเส้นละ 20 ดอลล่าร์ พอ apple ทำบ้าง แต่ตั้งขาย 10ดอลล่าร์ ก็เป็นประเด็นให้สาวกค่าย google บ่นว่า google ทำของแพง และยิ่งมีคนเทียบคุณภาพเสียงแล้ว พบกว่า apple ทำเสียงออกมาดีกว่า google ก็เลยยิ่งเป็นประเด็น และในที่สุด google ก็ลดราคาอแด๊ปเตอร์ของตัวเองลงมาอยู่ในระดับราคาเดียวกับ apple

ด้วยข้อมูลที่ฝรั่งหลายเว็บบอกไว้ว่าคุณภาพเสียงของ apple ทำออกมาดี ผมก็เลยสนใจสั่งซื้อมาลองกับโทรศัพท์ของตัวเองด้วย โดยโทรศัพท์ที่ใช้ก็คือ Redmi Note7 ที่ใช้พอร์ต usb-c และเมื่อได้ทดลองเสียบอแด๊ปเตอร์ของ apple เข้าใช้งานกับมือถือ android พบว่าทำงานได้ดี ก็เลยจัดการทดสอบจริงจัง และ อยากจะทดลองใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คด้วย เลยหาตัวแปลงพอร์ต usb-c to usb-a มาใช้ร่วมกัน

คุณภาพเสียงของ apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจ มันให้ความโปร่งฟังสบาย เสียงใส และมีเสียงย่านเบสที่ลงลึก ติดตามการเล่นโน้ตเบสได้ง่าย และฟังเสียงกลองแยกแยะเสียงกระเดื่องได้ชัดเจน เทียบเสียงที่ต่อหูฟังตรงกับโทรศัพท์ กับเสียงที่เสียบผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้ เสียงตรงจากโทรศัพท์จะให้เสียงโดยรวมเหมือนนักดนตรียืนทับซ้อนกัน ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นจะอยู่ชิดติดกัน แต่เสียงที่ผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้จะแยกแยะช่องไฟได้ห่างและชัดเจนกว่า การทับซ้อนกันของแต่ละชิ้นดนตรีไม่มีเลย แบบนี้ถือว่าเสียงจาก apple ทำได้ดีน่าชื่นชมมาก ยิ่งเมื่อดูจากราคาขายในไทย ราคาเพียง 390 บาท ก็ทำให้รู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราใช้เงินแค่นี้ก็อัพเกรดเสียงโทรศัพท์มือถือให้ดีมากๆได้แล้ว

ทดลองเอาอแด๊ปเตอร์ apple usb-c เส้นนี้ไปใช้กับคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ค ก็ทำงานได้ดี โน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการวินโดส์ 10 สามารถใช้งานได้เลย ผมมีโน้ตบุ๊ค asus ใช้ cpu ryzen ก็ทำงานได้ แต่ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการ windows 7 ไม่ได้ กับเครื่องที่ใช้ได้เสียบตรงเข้ากับพอร์ต usb-c ก็ทำงานได้เลย ถือว่าเป็น external soundcard ก็ได้ คุณภาพเสียงก็ดีขึ้นกว่าเสียงจากฮาร์ดแวร์ติดเครื่องมา น้ำเสียงสดใส ช่องไฟแต่ละชิ้นดนตรีก็จัดวางห่างกันไม่ทับซ้อน เป็นการอัพเกรดคุณภาพที่ราคาแค่หลักร้อยบาท ฟังแล้วอยากซื้อมาติดกับคอมฯทุกตัวในบ้าน

Screen Shot 2563-07-22 at 8.25.36 AM

ทดลองใช้ร่วมกับโน้ตบุ๊ค Macbookair ปี 2010 โดยหาตัวแปลงพอร์ต usb-a to usb-c มาใช้ร่วมด้วย ระบบปฏิบัติการ osx ก็จัดการติดตั้งฮาร์ดแวร์ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องใช้ไดรเวอร์ใดๆ คุณภาพเสียงของฮาร์ดแวร์ติดเครื่อง macbookair รุ่นนี้ให้น้ำเสียงที่ดีมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงผ่านอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm ก็ให้แนวเสียงไปในทิศทางเดียวกัน จะบอกว่าเสียงเหมือนกันเลยก็ได้

ทดลองใช้กับ mac mini ก็ทำงานได้ราบรื่นไม่มีปัญหา อแด๊ปเตอร์เส้นนี้สามารถส่งเสียงไมค์ได้ด้วย ทำให้เราสามารถใช้หูฟังพร้อมไมค์กับสายเส้นนี้ได้ และใช้พูดคุยในโปรแกรม chat หรือ โปรแกรมประชุมใดๆก็ได้ เป็นความสะดวกที่เพิ่มเติมขึ้นมา

ปกตินักเล่นเครื่องเสียงจะหาซื้อ usb dac มาต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่ออัพเกรดคุณภาพเสียงของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะให้ดียิ่งขึ้น usb-dac จากจีนที่เป็นยี่ห้อประหลาดพูดไปก็ไม่มีคนรู้จักก็มักจะมีราคาขายกันอยู่ในระดับหลัก 500 บาทขึ้นไป และ บางยี่ห้อที่มีสเป็คสูงขึ้น หรือ มีแอมป์หูฟังด้วย ก็จะมีระดับราคาหลักพันบาท ขึ้นไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ไปถึงหลายๆหมื่นบาทก็มี ใครที่อยากอัพเกรดแต่ไม่อยากจ่ายแพง เลือก apple usb-c to 3.5mm ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาถูกมาก

ถ้าเราใช้หูฟังรุ่นที่มีไมค์ด้วย ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีไมค์ โผล่เข้ามาเป็น 2 ตัว คือไมค์จากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เอง และ ไมค์จาก usb-c หรือหูฟังนั่นเอง ภาพด้านล่างนี้เป็นหูฟังมีไมค์ของ sony

IMG_20200722_082652
Screen Shot 2563-07-22 at 8.26.29 AM

ถ้าเราใช้หูฟังที่ไม่มีไมค์ ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีแค่ไมค์จากคอมฯ เท่านั้น ไม่มีไมค์จากช่อง usb-c ภาพด้านล่างนี้คือหูฟัง AKG K701

IMG_20200722_082716
Screen Shot 2563-07-22 at 8.27.20 AM

ข้อดี

ประหยัดและเสียงดี

ข้อเสีย

ทำงานได้ในระดับ cd quality หรือ 16bit 44.1kHz เท่านั้น และพลังเสียงเบาเกินไปเมื่อใช้กับหูฟัง AKG K701 อยากให้ดังกว่านี้สักเท่าตัวจะดีมาก

สรุป

น้ำเสียงเป็นกลาง ย่านเสียงทุ้มกลางและแหลมมาพอดีๆกัน เราสามารถต่อกับหูฟังได้หลากหลาย และทดลองใช้กับหูฟังขนาดใหญ่อย่าง AKG K701 ก็ให้น้ำเสียงได้นุ่มนวลกลมกล่อม ถือว่าเป็นการอัพเกรดแบบประหยัดแต่คุณภาพเสียงดีเทียบกับโน้ตบุ๊คราคาแพงจากค่าย apple เลย

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc


เพิ่มเติมเรื่องระดับเสียง

apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ให้เสียงเบาเมื่อใช้งานกับโทรศัพท์ android อย่าง redmi note7 และคาดว่ากับ ยี่ห้ออื่นก็อาจจะให้ผลเสียงเบาเช่นกัน แต่เมื่อเอา adaptor ตัวนี้ไปใช้กับโน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ windows10 จะได้เสียงที่ดังกว่ามาก สามารถเปิดเสียงได้ดังกว่าใช้งานบนโทรศัพท์เกิน 2 เท่า เรียกได้ว่า เปิดให้เสียงดังจนไม่อยากทนฟังก็ยังได้ อาจจะเป็นเพราะระบบปฏิบัติการในโทรศัพท์มีการจำกัดระดับความดังไว้ ส่วนใน windows10 ให้เสียงที่ดังเพียงพอต่อการใช้งาน

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc

สแกนฟิล์มสไลด์ด้วยมือถือ

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกลับมานิยมอีกครั้งในยุคปีพศ 2562 ซึ่งเป็นความนิยมที่ค่อยๆก่อนตัวมาก่อนหน้านี้สัก 3 ปี ปัจจุบันมีร้านล้างฟิล์มเกิดขึ้นอีกหลายร้านหากนับจากช่วงตกต่ำของวงการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม และฟิล์มที่นิยมใช้งานกันก็จะเป็นฟิล์มเน็กกาทีฟและฟิล์มขาวดำ ส่วนฟิล์มสไลด์ยังถือว่ามีความนิยมเล่นน้อยอยู่เพราะการล้างฟิล์มสไลด์มีต้นทุนสูงกว่า และมีร้านที่รับจ้างล้างน้อยกว่า

เมื่อมีการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม การล้างฟิล์มก็มีคนรับล้างแล้ว ขั้นตอนต่อจากการล้างฟิล์มในอดีตจะเป็นการอัดภาพมาเป็นกระดาษ แต่ในปัจจุบัน(พศ2562) แทบไม่มีใครอัดภาพเป็นกระดาษแล้ว แต่จะใช้วิธีสแกนฟิล์มให้เป็นไฟล์ภาพดิจิทัล แล้วดูด้วยโทรศัพท์มือถือกันเกือบ 100% นั่นทำให้การสแกนภาพเป็นสิ่งจำเป็น และหากเราจะสแกนฟิล์มสักม้วน ถ้าไม่ทำเอง ถ้าไม่ลงทุนเครื่องสแกนและเรียนรู้เอง เราก็ต้องจ้างร้านทำให้ ร้านล้างฟิล์มยุคปัจจุบันจึงต้องสแกนฟิล์มด้วย

ฟิล์มเน็กกาทีฟสี และ ฟิล์มขาวดำ จำเป็นต้องสแกนด้วยเครื่องมือพิเศษ เพราะจะต้องมีขั้นตอนการกลับสี ต้องมีโหมดการแก้สีช่วยทำงาน ขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนปกติในการสแกนฟิล์ม และเราควรใช้เครื่องสแกนที่ทำหน้าที่นี้อย่างตรงหน้าที่ ส่วนฟิล์มสไลด์เรามีทางเลือกอื่นนอกจากสแกนด้วยเครื่องสแกนจริงๆ

ฟิล์มสไลด์เป็นฟิล์มที่ให้สีปกติ สามารถมองด้วยตาเปล่าเป็นภาพปกติ ดังนั้นเราสามารถใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพจากฟิล์มได้เลย จัดแสงให้เข้าด้านหลังฟิล์มแล้วถ่ายภาพเป็นภาพสีเก็บไว้ดูในคอมพิวเตอร์หรือบนมือถือก็สามารถทำได้ทัน และแม้แต่จะถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือเลยก็ทำได้ ยิ่งมือถือปัจจุบันมีความสามารถในการถ่ายภาพที่ดีมาก มีพิกเซลจำนวนมหาศาล ทำให้เราถ่ายภาพจากฟิล์มสไลด์แล้วคร็อปภาพเพื่อดูได้ทันที

ตัวอย่างด้านล่างนี้เป็นการสแกนสไลด์ด้วยโทรศัพท์มือถือ เป็นขั้นตอนที่ง่าย รวดเร็ว และได้ภาพไปดูและแชร์ได้ทันที

ผมใช้มือถือที่ผลิตขายในปี พศ 2562 หรือ คศ 2019 อย่าง redmi note7 ที่มีความสามารถในการถ่ายภาพที่ความละเอียด 48ล้านพิกเซลมาเป็นตัวถ่ายภาพ เอาฟิล์มเก่ามาส่องบนกล่องไฟ แล้ววางมือถือให้นิ่งบนกล่องกระดาษยกสูงเล็กน้อย พอให้มือถือสามารถโฟกัสภาพบนฟิล์มได้ แล้วก็กดถ่าย



เมื่อเราได้ภาพแรกจากการถ่ายแล้ว ฟิล์มสไลด์จะอยู่กลางภาพเพื่อให้โฟกัสได้ ภาพที่ได้เราจะต้องเอามาคร็อปขอบภาพออกเพื่อให้เหลือพื้นที่เฉพาะภาพตรงกลาง การคร๊อปก็ใช้ความสามารถของโทรศัพท์มือถือได้เลย และหลังจากคร็อปภาพแล้วเราจะแก้ไขสี ปรับสี ปรับแต่งโทนสีต่างๆอย่างไรก็ได้ตามใจเรา ภาพที่ได้จะมีความคมชัดเพียงพอต่อการดูบนโทรศัพท์มือถือ สามารถดูในคอมพิวเตอร์ได้ และใช้แชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆได้เลย

ลองสแกนฟิล์มอีกหลายม้วน ดูเพลินๆก็สวยดีสำหรับการย้อนดูอดีตอันรุ่งเรืองของฟิล์ม

IMG_20190718_143626_1
IMG_20190718_200725