ความสนุกกับการใช้กล้อง mirrorless ยุคใหม่ Sony ZV-1F

จากการฝึกฝนถ่ายรูปมาเกินกว่า 20 ปี กล้องตัวแรกที่ผมใช้เรียนรู้คือกล้องฟิล์ม ซึ่งในวันนั้นเราจะต้องศึกษาเรื่องการวัดแสง ต้องเรียนรู้คำว่าชดเชยแสง ต้องหัดโฟกัสให้ชัด ต้องวัดแสงพอดี ต้องระวังเรื่องความเร็วชัตเตอร์อย่าให้ต่ำเกินไป ต้องหัดใช้งานแฟลช ต้องเรียนรู้เรื่องการชดเชยแสงแฟลชด้วย และนอกเหนือไปจากความรู้ทางเทคนิคเหล่านี้แล้ว เรื่ององค์ประกอบภาพ ความสวยงามทางศิลปะก็ต้องเรียนรู้ด้วย

1719843686273-01
IMG_20240331_220409

ผ่านจากกล้องฟิล์ม ก็เข้าสู่ยุคของกล้องดิจิทัล ช่างภาพที่ฝึกฝนการใช้งานกล้องฟิล์มชนิด SLR มาอย่างจริงจัง ช่างภาพอาชีพที่รับงาน ต่างก็เพิ่มกล้องดิจิทัลอย่าง DSLR เข้าสู่การทำงาน กล้อง DSLR มีวิธีใช้และวิธีคิดเหมือนกล้องฟิล์ม ทักษะที่จำเป็นในการใช้งานกล้องดิจิทัลที่จริงจังก็ยังคงต้องเข้าใจการวัดแสง ชดเชยแสง เรายังคงต้องระวังการถ่ายภาพวัตถุสีขาว เพราะภาพอาจจะออกมามืดเกินไปเหมือนการถ่ายด้วยฟิล์ม ระวังเรื่องการถ่ายภาพย้อนแสง เพื่อไม่ให้ภาพมืดจากการวัดแสงผิดพลาด แต่กล้องดิจิทัลก็พัฒนาเร็วมาก เราสามารถตั้งค่า iso ได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ความไวชัตเตอร์สูงเพียงพอที่จะถ่ายภาพโดยไม่ให้ภาพสั่น เป็นข้อดีที่เด่นชัดมากเมื่อเทียบกับกล้องฟิล์มที่มีค่าความไวแสงของฟิล์มคงที่ ถ้าเราใช้ฟิล์มความไวแสงต่ำเพื่อความละเอียดของเนื้อภาพ ก็ต้องถ่ายแบบระวังกล้องสั่นจากความไวชัตเตอร์ที่อาจจะน้อยเกินไปตลอดทุกภาพ กล้องดิจิทัลที่ตั้งค่า iso ได้สูงมากทำให้เราจะสามารถถ่ายภาพได้เกือบจะไม่ผิดพลาดเลยหากเราเข้าใจวิธีการตั้งค่ากล้องถ่ายภาพและมีความรู้พื้นฐานอย่างถูกต้อง กล้องดิจิทัลยุคแรกทำความไวแสงไว้ไม่มากแต่ก็สูงเท่ากับฟิล์มไวแสงที่มากที่สุดแล้ว ขณะที่กล้องในยุคปัจจุบันสามารถตั้งค่าความไวแสงได้สูงทะลุฟ้า ซึ่งแทบจะทำให้ถ่ายภาพได้ทุกความสว่างที่ตาคนเราจะมองเห็นได้

DSC01602

เทคโนโยลีการโฟกัสภาพก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด การจับโฟกัสวัตถุแม่นยำ กล้องดิจิทัลในปัจจุบันรู้จักวัตถุต่างๆ สามารถโฟกัสติดตามได้แทบจะทุกสิ่งในโลก กล้องรู้จักตัวคน หน้าคน ดวงตาของคน บางรุ่นพัฒนาไปถึงรู้จักสัตว์ ดวงตาสัตว์ รู้จักวัตถุอย่างรถยนต์ จักรยาน ทุกสิ่งที่มีโอกาสถูกถ่ายภาพกล้องดิจิทัลจะมีความสามารถในการรับรู้ว่ามันกำลังถ่ายภาพวัตถุชนิดใดอยู่

1722432860704-01

มาถึงยุค Mirrorless ที่พัฒนาต่อจาก DSLR กล้องเริ่มมีความสามารถสูงขึ้นไปอีก สามารถถ่ายภาพวิดีโอได้อย่างดี ความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่รับค่าแสงได้ทุกระดับ การประมวลผลที่ฉลาด ช่างภาพเริ่มไม่ต้องระวังการวัดแสงแล้ว เพราะกล้องมีความสามารถในการเก็บภาพได้ในทุกสภาพแสงที่ตาเห็น และที่น่าตื่นเต้นจนต้องบันทึกไว้ในโพสท์นี้ก็คือ การถ่ายภาพวัตถุสีขาวกล้องสามารถเข้าใจสีและให้ค่าการวัดแสงที่พอดีกับสีขาว ทำให้เราไม่ต้องชดเชยแสงอีกในตอนที่เราถ่ายภาพวัตถุสีอ่อน ดูภาพตัวอย่างที่เป็นถ้วยสีขาว อาหารในถ้วยเป็นสีขาว โต๊ะสีขาว ภาพเหล่านี้ปกติจะทำให้กล้องฟิล์มและกล้อง DSLR วัดแสงผิดมานักต่อนัก แต่กล้องรุ่นใหม่ แบบ Mirrorless กลับให้ค่าการวัดแสงที่พอดี

DSC01633

นอกจากจะไม่ถูกหลอกด้วยค่าความสว่างของสีขาวแล้ว เรื่องความเร็วชัตเตอร็ที่จะทำให้ภาพไม่สั่นก็ปรับสูงขึ้นโดยมีการตั้งค่า iso ให้อัตโนมัติ ความผิดพลาดในยุคของ mirrorless แทบจะเป็นศูนย์เลย มันจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของช่างภาพวัยเก๋าที่ผ่านการเรียนรู้มายาวนาน ตื่นเต้นเพราะต่อไปนี้แทบไม่ต้องระวังสิ่งที่จะทำให้ภาพมีคุณภาพต่ำแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาทำงานและตรวจสอบหลายๆๅเรื่องอย่างการตั้งค่าแสง ความไวชัตเตอร์ และรูรับแสงของเลนส์

ไม่ใช่แค่การเป็นกล้องยุคใหม่ แต่การออกแบบของ ZV-1F ยังเน้นไปที่การออกแบบให้เล็ก กระทัดรัด น้ำหนักเบา เลือกใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสเดี่ยวเพื่อให้กล้องมีขนาดเล็กแต่ยังคงมีคุณภาพของภาพที่สูงลิบอยู่ การทำให้ช่างภาพรู้สึกว่ากล้องไม่เป็นภาระในการพกพา และไม่รู้สึกยุ่งยากในการหยิบออกมาถ่าย เหตุผลเหล่านี้จะทำให้กล้องถูกใช้งานได้บ่อย และทำให้ได้ภาพ ก็จะมีโอกาสเกิดเป็นภาพที่ดี

ระบบวิดีโอที่พัฒนามาอย่างดีทำให้ ZV-1F เป็นกล้องวิดีโอที่ให้คุณภาพสูงกว่าการถ่ายวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ กล้องสามารถโฟกัสติดตามวัตถุในภาพได้แม่นยำ มีระบบการวัดแสงที่ฉลาดและแน่นอน และปรับโทนสีภาพที่เลือกใช้ได้เหมือนภาพนิ่ง ทำให้เราได้ภาพวิดีโอที่พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องปรับแต่งสีในขั้นตอนการตัดต่อ ทำให้เจ้าของกล้องลดเวลาการทำงานลงได้ ผลคือจะทำให้มีคลิปไปใช้งานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

เคยมีคนพูดไว้ว่า กล้องที่ดีคือกล้องที่อยู่ในมือ ประโยคนี้เป็นจริงสำหรับช่างภาพทุกคน และกล้องตัวเล็กกระทัดรัดความสามารถสูงอย่าง ZV-1F ก็ทำให้ประโยคพูดนี้เป็นจริงยิ่งขึ้น เราแค่พกกล้องที่ถูกใจสักตัวออกไปทำงาน ไปเที่ยว ไปกิน ไปเปิดหูเปิดตา แล้วเราก็จะได้ภาพได้คลิปที่นำกลับมาใช้งานได้ จะเขียนบทความเป็น Blog หรือจะบันทึกคลิปทำ Vlog เครื่องมืออย่าง ZV-1F ก็ตอบสนองได้จริงๆ

dpp-IMG_9999

การถ่ายภาพให้สวยทำอย่างไร

ในปัจจุบันที่ใครก็สามารถมีกล้องถ่ายภาพได้ โทรศัพท์ใหม่ๆทุกเครื่องก็มีกล้องถ่ายภาพติดมาด้วย สมาร์ทโฟนที่ใช้สื่อสารกับอินเทอเน็ตก็มีกล้องคุณภาพดีมาให้แล้ว กล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะสำหรับมือสมัครเล่น และมืออาชีพก็มีราคาเริ่มต้นไม่แพง ยิ่งหากหาของมือสองมาใช้ก็ยิ่งราคาต่ำ ยุคนี้เครื่องมือคือสิ่งที่นักถ่ายภาพแทบจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องสเป็คและคุณภาพอุปกรณ์อีกแล้ว

การถ่ายภาพให้สวยก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่มันก็มีหลักการนิดเดียวที่สามารถนำไปหัดใช้ได้ ผมขอให้แนวคิดเอาไว้ ถ้าเห็นด้วยก็ทดลองฝึกฝนดู “การถ่ายภาพให้สวยเกิดจากการที่เราผ่านการถ่ายแบบไม่สวยไปแล้ว” ให้ลองดูตัวอย่างภาพต่อไปนี้

IMG_6418
ภาพนี้คือต้นตำลึกที่ขึ้นมาเกาะต้นไม้ใหญ่ ใบอ่อนสีเขียวโดนแสงแดดส่อง ช่างภาพมองเห็นก็พอรู้ด้วยประสบการณ์ว่ามุมที่สวยน่าจะถ่ายย้อนแสง แสงแดดที่กระทบใบตำลึงจะทำให้ใบเรืองแสง ฉากหลังที่ไม่โดนแสงจะสีเข้ม ทำให้ใบไม้ยิ่งเด่นขึ้นไปอีก ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพสวยสำหรับผมแล้ว ดังนั้น ก่อนจะมาเป็นภาพนี้ จะให้ดูว่าผ่านภาพแบบไหนมาบ้าง

เริ่มจากเดินออกมาที่หน้าบ้านแล้วก็พบว่า ต้นไม้ใหญ่มีใบไม้เกาะอยู่ และมีแดดส่องพอดี และคิดจบในหัวแล้วว่าเราจะต้องถ่ายภาพใบตำลึงในมุมมองที่สวยแปกตา เลยหยิบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากเราเห็นภาพนี้

IMG_6419

หลังจากนั้นเราก็เดินดูรอบๆสิ่งที่น่าสนใจ ผมรู้แล้วว่าผมอยากได้ภาพใบตำลึง ก็เลยเดินดูรอบๆ ไปดูหน้าหน้าก็เห็นภาพนี้

IMG_6408

กล้องในมือก็คือ eos m ติดเลนส์ kit ที่แถมมาพร้อมกับกล้อง เป็นเลนส์ซูม 18-55มม. เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ราคาต่ำที่สุด และเลนส์ก็เป็นเลนส์ที่มีแต่คนถอดขายทิ้ง อัพเกรดไปเป็นตัวอื่น แต่ผมชอบเลนส์ตัวนี้เพราะมันคุณภาพพอใช้ได้ และราคาถูก ใช้แบบไม่ต้องระวัง ฟิลเตอร์คุณภาพสูงบางชิ้นยังแพงกว่าเลนส์ตัวนี้ นั่นหมายความว่าผมใช้เลนส์ตัวนี้ไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ก็ได้ เราจะได้คุณภาพที่สูงที่สุดจากเลนส์เพียวๆไม่ใส่ฟิลเตอร์ เพราะมีความเชื่อว่า best filter is no filter มองภาพด้วยตาเปล่าสวยกว่ามองผ่านแว่นตา ถ้าคุณไม่สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ

ลองถ่ายภาพใกล้เข้าไปอีกหน่อย ตัดสิ่งที่ไม่น่าสนใจในภาพด้วยการเลือกถ่ายเฉพาะต้นไม้และใบไม้ ขวดน้ำไม่ได้หยิบออกเพราะว่าสุดท้ายจะเข้าใกล้กว่านี้ เลยไม่จำเป็นต้องหยิบตอนนี้

IMG_6409

แล้วก็ขยับกล้อง พร้อมกับซูมภาพเข้าไปอีกให้เหลือแต่ต้นไม้กับใบไม้ ซึ่งก็ให้ลักษณะภาพที่ดูดีขึ้น ซึ่งภาพใบไม้เกาะต้นไม้ใหญ่แค่ภาพนี้ก็พอจะใช้นำไปเขียนบทความเกี่ยวกับใบตำลึงได้แล้ว

IMG_6410

ลองซูมเลนส์ให้ได้ภาพใหญ่ขึ้น เข้าใกล้มากขึ้นก็จะได้ภาพที่ใบตำลึงเด่นขึ้น แต่การเข้าใกล้มาก ก็จะมีผลตามมาด้วยคือระยะชัดของใบไม้ครอบคลุมไม่ครบทั้งใบ บางส่วนของใบไม่ชัด และรวมถึงมือก็อาจจะสั่นด้วยทำให้ภาพไม่คมชัด

IMG_6411

ผ่านสามภาพนี้ไปเราก็ได้ภาพที่ดูน่าสนใจขึ้นแล้ว แต่จากการที่ดูภาพมานาน และเคยถ่ายภาพต้นไม้ใบไม้มาแล้วเลยลองไปถ่ายจากด้านหลังบ้าง เพราะการถ่ายภาพย้อนแสงก็สามารถให้ภาพที่ดีได้

IMG_6413

ลองถอยออกมาอีกนิด ปรับภาพให้มีใบเรียงตัวกันแนวตั้ง ลองถ่ายมุมที่ห่างออกมาหน่อยก็พบว่าให้ภาพที่สวยขึ้น

IMG_6412

จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไปถ่ายภาพแนวนอนบ้าง เพราะอยากจะเก็บเฉพาะใบเดียวเด่นๆไปเลย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองเปลี่ยนลักษณะภาพไปเรื่อยๆ และก็พบว่าภาพมุมนี้ถูกใจตัวเราที่สุด

IMG_6415

จริงๆจะหยุดแค่นี้ก็ได้ ภาพที่พอใจเราถ่ายด้วยรูรับแสง f5.6 ซึ่งเป็นระยะรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์ที่ช่วงซูมสูงสุดของเลนส์คือ 55มม. การใช้รูรับแสงกว้างจะทำให้ระยะชัดน้อย อาจจะดีกับบางภาพ แต่ถ้าลองใช้รูรับแสงแคบลงไปหน่อยเพื่อให้ระยะชัดมากขึ้น จะได้ผลที่แตกต่างไปอีกเล็กน้อย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองได้เลย

IMG_6418

ภาพสุดท้ายนี้คือมุมภาพเหมือนเดิมแต่ปรับรูรับแสงให้มากขึ้นเป็น f11 ซึ่งจะทำให้มีระยะชัดมากขึ้น ฉากหลังจะไม่เบลอเท่ารูรับแสงกว้าง เราได้รายละเอียดในส่วนของใบและต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ส่วนของลำต้นที่มีรายละเอียดปรากฏให้เห็นทำให้ภาพดูสวยกว่าเดิม ความเบลอที่ทำให้ภาพสวย กับการลดความเบลอแล้วภาพสวย เป็นสิ่งที่ต้องทดลองทำ เห็นภาพถึงจะรู้คำตอบ ดังนั้น กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ทดลองไป

การถ่ายภาพให้สวยเป็นเรื่องของการค้นหา ทดลอง ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ภาพสวย และภาพที่สวยจะตามมาหลังจากที่เราถ่ายภาพไม่สวยไปครบแล้ว ดังนั้น การหัดถ่ายภาพต้องถ่ายให้เยอะ ผ่านภาพไม่สวยมาให้ครบทุกแบบเราถึงจะถ่ายภาพได้สวยตามที่คาดหวัง เมื่อเจอสิ่งที่อยากถ่าย ให้ลองมองรอบๆ เดินดู มองหา ทดลองถ่าย เปลี่ยนระยะภาพ เปลี่ยนตำแหน่งที่ยืน กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ทดลองไปเรื่อยๆ จะผ่านไปร้อยรูปก็ไม่ผิด ถ้ารูปสวยจะมาเป็นรูปที่ร้อยหนึ่ง ก็แค่ถ่ายให้ผ่านร้อยภาพที่แตกต่างกัน เรียนรู้ทุกภาพที่ถ่าย เดี๋ยวก็ถึงภาพที่สวยเอง