รีวิวกล้อง Fuji instax mini41

ในอดีตเมื่อปี คศ 1944 มีคุณพ่อคนหนึ่งถ่ายภาพลูกสาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่มีอยู่ในยุคนั้น พอถ่ายภาพเสร็จลูกสาวก็ถามว่าทำไมไม่มีภาพให้ดูเลย เป็นคำถามจากเด็กที่ทำให้พ่อทำการค้นคว้าหาวิธีถ่ายภาพที่จะได้ภาพออกมาทันที และในที่สุดก็สร้างนวัตกรรมน่าทึ่งขึ้นมาจนกลายเป็น กล้องโพลารอยด์ กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพเลย และได้เปิดตัววางขายในปี 1948

IMG_1917

กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพทันทีเรียกว่า instant camera โดยยี่ห้อแรกที่พัฒนาขึ้นมาก็คือบริษัทโพลารอยด์ ส่วน Fuji จะเข้าสู่ตลาด instant ในปี 1998 และเริ่มขายกล้องกับฟิล์มเรียกชื่อว่า instax ต่อมาบริษัทโพลารอยด์ค่อยๆเสื่อมความนิยมและสูญเสียตลาดไปเกือบหมด เหลือเพียงบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงทำระบบ instant camera

IMG_1948

กล้อง instax รุ่นล่าสุดรุ่นหนึ่งของปี คศ 2025 ก็คือรุ่น instax mini41 ซึ่งเป็นกล้อง instant camera ที่ใช้แผ่นฟิล์มขนาดเท่าบัตรเครดิต ชื่อเรียกของภาพขนาดเล็กนี้เรียกว่า instax mini โดยมีพื้นที่ของภาพ 62×46 mm. แนวตั้ง โดยกล้องก็ออกแบบมาให้จับถือแนวตั้ง ถ่ายภาพแล้วได้ภาพแนวตั้ง ส่วนขนาดภาพอื่นที่ fuji ทำออกมาก็มีอีก 2 ระดับคือ instax square ให้ภาพขนาด 62×62 mm และขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า instax wide ขนาดภาพ 99×62 mm

Mini
Square
Wide

mini41 มีหน้าตาสวยงาม ออกแบบเป็นโทนสี ดำเทา พิมพ์ตัวหนังสือกำกับด้วยสีส้มและสีขาว เป็นดีไซร์ที่ดูทันสมัยผสมย้อนยุคนิดๆ มีการปรับปรุงสเป็คให้ทันสมัยลดข้อผิดพลาดที่ระบบ instax เดิมเคยมี เช่น มีระบบวัดแสงเพื่อตั้งค่าความไวชัตเตอร์อัตโนมัติ นั่นหมายถึงกล้องจะวัดแสงพอดีเสมอ เหมือนระบบ aperture piority ในกล้องโปร ไม่เหมือนกล้อง instax รุ่นเก่าที่มีความเร็วชัตเตอร์ตายตัวซึ่งจะทำให้ภาพ instax มักมีความมืดในฉากหลังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฉากหน้าหรือตัวคนก็จะได้รับแสงแฟลชในระดับที่พอดี ภาพถ่ายคนที่มีด้านหลังดำมักเป็นภาพจำของ instax ในอดีต

IMG_1912

mini41 ต้องใส่ถ่านขนาด AA จำนวน 2 ก้อน ถ่าน 1 ชุดสภาพสมบูรณ์จะถ่ายภาพได้ประมาณ 100 ภาพ การถ่ายภาพทุกครั้งจะยิงแฟลชออกไปด้วยไม่สามารถสั่งปิดได้ กล้องไม่มีรูเสียบขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่ายภาพ รวมถึงไม่มีระบบถ่ายภาพซ้อนหรือชัตเตอร์ B ด้วย ซึ่งลูกเล่นระดับโปรเหล่านี้จะอยู่ในกล้องรุ่นท๊อป นั่นหมายความว่า mini41 เป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นและสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพโดยไม่ต้องคิดเยอะ

IMG_1923

กล้องสามารถปรับหน้าเลนส์บิดไปตำแหน่งการถ่ายมาโคร จะเป็นการเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ให้มีระยะชัดประมาณ 30-50 cm ซึ่งพอดีสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ หรือถ่ายภาพสิ่งของระยะใกล้ ส่วนการโฟกัสปกติจะอยู่ที่ระยะ 50-infinity สิ่งที่ปรับปรุงจากรุ่นเก่าอีกอย่างหนึ่งก็คือช่องมองภาพจะมี 2 ระยะ ระยะปกติ และระยะมาโครที่จะแก้ไขการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ให้เอียงข้างหรือแก้พาราแล็กซ์ การใช้ mini41 ก็จะทำให้เราสามารถเล็งจุดสนใจให้อยู่กลางภาพได้เสมอไม่ว่าจะถ่ายไกล หรือ ใกล้ เลือกโดยการบิดเลนส์จากระยะปกติไปสู่มาโคร และหากเราจะถ่ายภาพตัวเองหรือถ่ายเซลฟี่ก็ต้องเลือกระยะเป็นมาโคร

image

ภาพที่ถ่ายจากกล้อง instax จะไหลออกจากกล้อง และใช้เวลาสร้างภาพประมาณ 90 วินาทีถึงจะขึ้นภาพครบและดูสวยงาม แต่จากการใช้งานจริง เมื่อครบ 90 วินาทีแล้วภาพยังมีคอนทราสต์และส่วนสีดำที่ยังไม่สมบูรณ์ เราอาจจะต้องรอสัก 10 นาทีเพื่อให้ภาพคงที่และส่วนสีดำค่อยข้างดำตามจริง และเมื่อสีคงที่แล้วภาพจะอยู่สภาพนั้นไปอีกนาน สามารถเก็บไว้ดูได้อีกหลายปี ถ้าเก็บดีแบบไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในอัลบั้มภาพที่มีการเปิดปิดบังแสงได้ ภาพจะคงสภาพนั้นได้นานมาก แต่ถ้าภาพโดนแสงแดดโดยตรง ในเวลาไม่กี่ปีภาพจะจางลงไปเรื่อยๆ การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บภาพให้ดีระวังไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง

IMG_20251003_171411344

ทุกภาพที่ถ่ายจะเปิดแฟลชเสมอ ถ่ายภาพคนจะได้หน้าคนสว่างพอดีจากแฟลช และฉากหลังจะได้แสงพอดีจากระบบการวัดแสงอัตโนมัติ

IMG_20251005_123203966

แสงภายนอกเหมาะสมอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง instax ค่าแสงที่ฉากหลังพอดี ความสว่างบนตัวคนก็พอดี ลักษณะท้องฟ้าสว่างแสงจ้ามีเมฆบังแดดนิดหน่อย

IMG_20251005_153548590

การถ่ายภาพภายในรถตอนกลางวันก็ให้รูปที่ได้รับแสงพอดีทั้งฉากหลังและหน้าของคน แสงแฟลชทำให้ตัวคนสว่างพอดี ส่วนด้านฉากหลังไม่มืดดำเพราะกล้องวัดแสงตามจริง ระบบอัตโนมัติสั่งความไวชัตเตอร์ให้เปิดรับแสงนานพอจะรับแสงจริง ก็ได้ภาพตามที่เห็น

IMG_20251004_123902737

หากเราจะปิดแฟลชเราจะต้องใช้วิธีบังแสงแฟลชไปเลย บางคนอาจใช้เทปกาวปิด แต่ถ้าไม่อยากติดเทป เอานิ้วบังแฟลชแทนก็ได้ ภาพก็จะได้แสงจริงของสถานที่นั้นโดยไม่มีความสว่างของแฟลชมารบกวน แต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อยกล้องจะเปิดชัตเตอร์ได้นานสุดไม่เกิน 1/2 วินาที ประกอบกับการถ่ายระยะใกล้เลนส์จะสูญเสียแสงไปอีกเล็กน้อยอาจจะ 1-2stop ทำให้ภาพมีสีเข้มหรืออันเดอร์ หากสภาพแสงจริงมีน้อยเกินไปภาพก็จะดูเข้มหรือดูมืดกว่าที่ควร ลองดูภาพเปรียบเทียบแสงจริงที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย

IMG_20251004_102141251

สเป็คกล้อง
ฟิล์มที่ใช้ ฟิล์มอินสแตนท์ FUJIFILM instax™ mini (จำหน่ายแยก)
ขนาดรูป 62 × 46 มม.
เลนส์ ทางยาวโฟกัส 60 มม. รูรับแสง _F 12.7
ช่องมองภาพ อัตราขยาย 0.37x พร้อมแก้ไขตำแหน่งของวัตถุในโหมดถ่ายระยะใกล้
ระยะถ่าย 0.3 เมตร ขึ้นไป โหมดถ่ายระยะใกล้ตั้งแต่ 0.3 – 0.5 เมตร
ชัตเตอร์ โปรแกรมชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/2 ถึง 1/250 วินาที สโลว์ซิงค์สำหรับแสงน้อย
การควบคุมแสง อัตโนมัติ, Lv 5.0 ถึง 14.5 (ISO 800)
ระยะเวลาในการแสดงภาพ ประมาณ 90 วินาที ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
Flash เวลาชาร์จแฟลช: 7 วินาที ช่วงใช้แฟลชที่มีประสิทธิภาพ: 0.3 ถึง 2.2 ม.
แหล่งจ่ายไฟ แบตเตอรี่ AA 2 ก้อน
ระบบอัตโนมัติ หลังจาก 5 นาที
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก) 104.5 × 122.5 × 67.5 มม.
น้ำหนัก 345 กรัม ไม่รวมแบตเตอรี สายคล้อง และฟิล์ม

ข้อดี
ให้ภาพฉากหลังไม่มืดเพราะมีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ จะวัดแสงพอดีเสมอ
ฟิล์ม fuji instax หาซื้อง่ายมาก และราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
มีระบบมาโคร
มีช่องมองภาพที่แก้ไขปรับตามระยะโฟกัส

ข้อเสีย
ไม่มีรูขาตั้งกล้อง
ไม่สามารถปิดแฟลชได้
ไม่มีระบบตั้งเวลาถ่าย

สรุปยาวๆ
ภาพจากกล้อง instax รุ่น mini11 mini12 mini40 mini41 จะเป็นกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ เปลี่ยนความไวชัตเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณแสง และกล้องจะมีระยะทำงานของชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 – 1/250 วินาที มีนักถ่ายภาพบางคนเคยบ่นว่า ภาพ instax จากกล้อง mini11 mini12 จะมีภาพที่สว่างหรือโอเวอร์เกินไปในสภาพแสงจ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากแสงแดดจัดมากและความไวชัตเตอร์ขึ้นได้ไม่สูงนั่นเอง เป็นปัญหาปกติที่เกิดกับกล้องความไวชัตเตอร์น้อยเกินไป

กล้อง instax ที่มีความไวชัตเตอร์สูงกว่านี้ คือกล้องรุ่น mini90 mini99 mini70 เป็นกล้องสเป็คโปร ความไวชัตเตอร์สามารถขึ้นได้สูงถึง 1/400 วินาที หรือสูงกว่าเกือบ 1stop เมื่อเทียบกับรุ่น mini11 mini12 mini41 ทำให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงแดดจัดมากได้ดีกว่า จะให้ภาพที่ดูไม่โอเวอร์เกินไป และกล้อง mini90 mini99 จะรองรับการใช้งานแบบโปร คือมีรูติดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพซ้อนได้ สามารถปิดแฟลชได้

กล้องรุ่นสมัครเล่นอย่างรุ่น mini8 mini9 เป็นกล้องที่ใช้ความไวชัตเตอร์คงที่ประมาณ 1/50 วินาที แต่สามารถเปลี่ยนรูรับแสงได้ 5 ระดับ ทำให้สามารถรองรับสภาพแสงได้กว้าง และทำให้ถ่ายภาพในสภาพแสงจ้ามากๆได้ดี ให้ภาพที่ไม่โอเวอร์ในสภาพแสงที่แดดจัด แต่ก็ต้องอาศัยการดูหลอดไฟแสดงผลว่าต้องบิดหน้ากล้องไปที่รูรับแสงเท่าไหร่ตามการวัดค่าแสงของกล้อง กล้องกลุ่มนี้เป็นกล้องที่ต้องทำความเข้าใจการวัดแสงบ้างเล็กน้อย ควรจะอ่านคู่มือกล้องก่อนใช้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อ่าน นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติอย่าง mini11 mini12 mini41 นั่นเอง

สำหรับ mini41 เป็นกล้องที่มีหน้าตาสวย มีฟังค์ชั่นพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพแบบไม่ต้องคิดอะไร หยิบออกมาเล็งแล้วกดถ่ายได้เลย ช่องมองภาพปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ไขให้ตรงกับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ เสียดายตรงที่ไม่มีรูติดขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่าย มันขาดอยู่สองอย่างเท่านั้นก็จะกลายเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือสมัครเล่น

แถม

IMG_2793

กระเป๋าใส่กล้อง mini41 ก็มีทำขายโดยเฉพาะเลย ดีไซร์รูปทรงไปในแนวทางเดียวกันกับกล้อง สีสันก็เข้ากัน สินค้าชิ้นนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย แต่มีขายในญี่ปุ่นราคา 4290 เยนที่ร้าน bigcamera ประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทยคงต้องหาจากเว้บ shoping ต่างๆ ซึ่งผมก็ได้มากจากเว็บเช่นกัน ราคาถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่นซะงั้น แปลกดี

รีวิว Fuji instax mini evo

กล้องฟูจิ instax มีพัฒนาการมายาวนาน ตั้งแต่เป็นกล้องอนาลอกถ่ายแล้วภาพไหลออกมาให้ลุ้นทันทีก็พัฒนามาถึงระบบกล้องไฮบริดที่รวมระบบกล้องดิจิทัลไว้กับเครื่องพิมพ์ฟิล์มinstaxขนาดเล็ก ถ่ายรูปเห็นภาพก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพิมพ์ภาพหรือไม่พิมพ์ นั่นทำให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดเงินค่าฟิล์มถ่ายภาพได้ หรือ ทำให้ลดการผิดพลาดที่ถ่ายแล้วได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์

กล้อง Fuji instax mini evo เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล ที่มีระบบการพิมพ์ฟิล์ม instax ในตัว ตัวกล้องมีปุ่มเลือกโหมดฟิล์มได้ 10 ชนิด และ มีปุ่มเลือกลูกเล่นการแต่งภาพอีก 10 ชนิด ทำให้เมื่อใช้งานผสมกันแล้วก็สามารถสร้างภาพที่แตกต่างกันได้ 100 ชนิด

IMG_20250220_201346

ลักษณะทั่วไป
เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล
มีช่องใส่ micro SD
ช่องชาร์จไฟเป็นแบบ usb-c
มีสายคล้องคอแถมมาด้วย
แบตเตอรี่สามารถถ่ายภาพและพิมพ์ได้ 100 ภาพ
สามารถถ่ายมาโครได้
แฟลชเป็นหลอดไฟ LED

20250323134936_IMG_2918

ในโหมดการถ่ายภาพ ทุกภาพจะถูกบันทึกไว้ในเมมโมรี่ คุณภาพของกล้องดิจิทัลอยู่ในระดับที่แย่มาก ใครคิดจะใช้แทนกล้องดิจิทัลหรือใช้แทนมือถือให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเลย เหมือนฟูจิไปเอาเซ็นเซอร์โบราณที่ไม่มีใครเอามาสร้างกล้องตัวนี้ คนที่ชอบกล้องคอมแพ็คอย่างผมยังเผลอคิดจะใช้แทนกล้องฟิล์ม หรือกล้องถ่ายเล่น โดยคาดหวังว่าไฟล์จะมีคุณภาพ แต่เมื่อเห็นไฟล์ที่ได้จากกล้องแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจในการดูภาพแค่ภาพไม่กี่นาที

DSCF0037

DSCF0032

DSCF0033
DSC07306
DSCF0342
DSCF0128
DSCF0222
DSCF0556
DSCF0529
DSCF0651
DSCF0654

ยังดีที่ evo ยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจ คือการทำตัวเป็นเครื่องพิมพ์ เราสามารถโหลด application ที่เชื่อมต่อกับกล้อง แล้วสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือได้ นั่นทำให้เราได้เครื่องพิมพ์ภาพติดตัวที่สามารถถ่ายภาพได้ ซึ่งส่วนของการถ่ายภาพก็พอทนใช้งานในเวลาฉุกเฉิน ส่วนของการพิมพ์ภาพนั้นให้คุณภาพที่ดีน่าพอใจ ปกติฟิล์ม instax มักจะมีสีสันไม่สวย ภาพไม่คมชัด นั่นเป็นเพราะเป็นการถ่ายภาพตรงๆที่โฟกัสไม่แม่นและวัดแสงไม่ชัวร์ในแบบกล้องอนาลอกดั้งเดิม ภาพ instax ที่เคยมีก็เลยไม่คมชัดและสีไม่สวย แต่เมื่อทำงานในแบบเครื่องพิมพ์ เราเลือกภาพคมชัดสีสวยจากมือถือไปสั่งพิมพ์ เราก็ได้ภาพสีสวยคมชัดตามที่เราต้องการ

1740053908929
DSC07256

IMG_2521

Fuji evo เหมาะกับใคร
Fuji evo เป็นกล้องดิจิทัลที่พิมพ์ภาพได้ เหมาะกับคนที่ต้องการมีประสบการณ์การใช้งานกล้อง instax ที่ยังไม่มั่นใจตัวเอง สามารถเลือกภาพที่จะพิมพ์ได้ ประหยัดการซื้อฟิล์มได้

Fuji evo เหมาะกับคนที่ต้องการพิมพ์ภาพถ่ายแบบทันทีทันใด สะดวกต่อการพกพา แต่ก็จะได้ภาพขนาดเท่าบัตรเครดิตหรือบัตรประชาชนเท่านั้น

Mini evo ไม่เหมาะกับใคร
ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพสวยคมชัดระดับเดียวกับเทคนิคการพิมพ์ Dye-sub ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับตลาดผู้ใช้งานทั่วไป อย่างเช่นเครื่องพิมพ์ selphy ของ Canon

ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ เพราะ mini instax ให้ภาพขนาดเล็ก ส่วนคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ต้องดูเครื่องพิมพ์พกพาระบบอื่น หรือถ้าเป็น instax ก็จะมีรุ่น wide ที่ให้ภาพใหญ่ขึ้น

DSC07264

ตัวอย่างการสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือ mini evo จะรับคำสั่งพิมพ์จากโทรศัพท์ แล้วก็ส่งภาพออกมา เราต้องรอเวลาอีกประมาณ​2 นาที ภาพถึงจะขึ้นสมบูรณ์มีความคมชัดในระดับที่น่าพอใจ

กลับมาใช้ ipod mini ในปี 2022

IMG_2761

เครื่องเล่นเพลงดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ที่หลายคนในยุคนี้อาจหลงลืมไปแล้ว เพราะยุคสมัยปัจจุบันในปี คศ 2022 โทรศัพทืมือถือมีความสามารถสูงมาก มันทำได้แทบจะทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์ทำได้ การดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเทอเน็ตมันทำได้ดีเยี่ยม และมี app ที่เล่น social network อีกหลายตัวที่น่าใช้ และคนส่วนมากก็เลือกที่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องเดียวเพื่อใช้ทุกอย่าง แม้แต่การฟังเพลงก็ฟังผ่านโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน

scan-2012-minilux-jul-17

เครื่องเล่นเพลงแท้ๆหมดความนิยมไปแล้ว เพราะทุกคนไปพกอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนแทน ผมก็เคยพักสมาร์ทโฟนแทนการทำงานและการฟังเพลงเช่นกัน และก็ค้นพบว่า การฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนมันยังไม่ถูกใจ ในแง่คุณภาพเสียงมันพอใช้ได้ แต่ในแง่ของความต่อเนื่องสมาร์ทโฟนสอบตกทันทีในเวลาไม่กี่นาทีที่ใช้งาน เพราะว่าตอนที่ฟังเพลงเพลินๆอยู่ เดี๋ยว email ก็เข้า เดี๋ยวโปรแกรม chat ก็มี message เข้า เดี๋ยวก็มีการแจ้งเตือนใน app ต่างๆเด้งขึ้นมา เรียกได้ว่าในเวลาไม่เกิน 5 นาที จะต้องมีข้อความใหม่เข้ามาสักช่องทางหนึ่ง สิ่งเหล่านี้รบกวนการฟังเพลงมาก เพราะสมาร์ทโฟนจะส่งเสียงเตือน ทำให้การฟังเพลงสะดุดมีเสียงแทรกบ่อยมาก

IMG_9019

เลยไปดั้นด้นตามหา ipod กลับมาใช้อีกครั้ง จริงๆผมก็มี ipod mini อยู่ตัวหนึ่งที่ซื้อไว้นานแล้วตั้งแต่ยุคปี 2005 และมาถึงตอนนี้แบตเตอรี่มันก็เสื่อมไปแล้ว เปิดใช้งานได้แค่ไม่ถึง 1 เพลงก็ดับไป แต่อาศัยว่าเอาไปใช้งานกับเครื่องเสียงบ้าน วาง ipod บน dock ที่ออกแบบมาเฉพาะ ทำให้มันสามารถใช้งานได้โดยไม่ดับ และ ipod ตัวเก่าก็ส่งเสียงได้ดี คุณภาพเสียงยังคงดีอยู่

20220330172913_IMG_0137

ipod สีฟ้านี้ผมได้มาเป็นมือสอง มีคนประกาศขายในราคาถูกกว่ากินอาหารในห้าง 1 มื้อเสียอีก เจ้าของเก่าดูแลเครื่องได้ดี และแบตเตอรี่ติดตัวมาก็เสื่อมในระดับที่ใช้งานได้ประมาณ 30 นาที แต่ทั้งหมดก็ยังแก้ปัญหาได้ เพราะเราสามารถใช้งานแบบเสียบสายชาร์จตลอดเวลาก็ได้ จะวางบน Dock เพื่อใช้กับเครื่องเสียงบ้านหรือลำโพงเฉพาะทางสำหรับ ipod ก็ได้

IMG_8375

เมื่อนำมาใช้ก็ทำให้ความรู้สึกวันวานกลับมาเต็มที่เลย ชีวิตทำงานประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมาผมนั่งรถยนต์เยอะมาก การฟังเพลงในรถกลายเป็นช่วงเวลาที่ทำได้นานที่สุด และ ipod เมื่อนำไปใช้บนรถยนต์แล้วมันกลายเป็นของที่ดีเลย เพราะมันไม่มีเสียงแทรกจาก app แบบสมาร์ทโฟน เพลงหลายพันเพลงสามารถบรรจุอยู่ใน ipod ได้ และเราสามารถเลือกฟังได้ง่าย เมื่อฟังแล้ว ระหว่างขับรถ เราก็สามารถควบคุมการทำงาน เพิ่มลดเสียง หรือ กดข้ามเพลง ได้โดยที่เราไม่ต้องละสายตาไปมอง ทำให้การขับรถไปฟังไปเป็นเรื่องที่เพลิดเพลิน สามารถข้ามเพลงได้โดยไม่อันตรายนั่นเอง ถ้าย้อนกลับไปสู่เทคโนโลยีเครื่องเสียงรถยนต์ที่หลายคนจะต้องหาเครื่องเล่นซีดีเช้นเจอร์ หรือ cd changer ที่ใส่แผ่นซีดีได้ 6 แผ่น หรือ 10 แผ่น เพื่อให้การฟังเพลงในรถยนต์ไม่ต้องหยิบแผ่นบ่อยๆ ipod มาทดแทนได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะให้เล่น 10 อัลบั้มหรือ 100 อัลบั้มก็ทำได้สะดวกเหมือนกัน

IMG_20180727_082714

ipod ได้รับความนิยมากจนมีผู้ผลิตหลายรายทำอุปกรณ์เสริมออกมาให้ใช้ร่วมกัน ดูตัวอย่างของแท่นวางสำหรับใช้งานในรถยนต์ เราจะไม่เคยเห็นแท่นวางออกแบบน่ารักแบบนี้สำหรับสมาร์ทโฟน ความคิดสร้างสรรค์ของอุปกรณ์เสริม ipod มีให้เราเห็นตลอดเวลาที่ ipod รุ่งเรือง หลายอย่างออกแบบมาได้อย่างน่าทึ่ง เสน่ห์ของการใช้ ipod นอกจากคุณภาพเสียงแล้ว ความน่ารักของอุปกรณ์เสริมก็เป็นสิ่งที่ทำให้มันดูคลาสิค น่าสะสม ไม่แปลกใจที่มีคนสะสม ipod อย่างจริงจัง เครื่องเล่นเพลงดิจิทัลยี่ห้ออื่น รุ่นอื่นที่ไม่ใช่ ipod ก็ดูจะไม่ได้รับความนิยมในการสะสมแต่อย่างใด

IMG_20200120_132303

ipod เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิทัลที่ขายดีที่สุดในโลก เคยมีรายงานว่าจำนวน ipod ทุกรุ่นรวมกันมีมากถึง 450 ล้านเครื่อง เชื่อว่าจะไม่มีเครื่องเล่นเพลงใดจะมียอดขายระดับร้อยล้านเครื่องอีกแล้ว ipod ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเล่นที่สามารถซ่อมบำรุงได้ เปลี่ยนแบตได้ มีอะไหล่มือสองเต็มไปหมด เราน่าจะพบเห็นการใช้ ipod ไปอีกยาวนานมากจนไม่อาจคาดเดาถึงวันที่สิ้นความนิยมได้ แม้ว่าจะเลิกขายอย่างเป็นทางการไปแล้วก็ตาม

ขอบฟ้า เพลินๆ 13aug2018

IMG_0963.JPG

ขอบฟ้าคุยกับพ่อเรื่องการซ่อมรถ  ขอบฟ้าอยากสร้างรถขาย พ่อถามว่าขอบฟ้าจะขายคันละเท่าไหร่  ขอบฟ้าบอก 200 บาท  คนจะได้ซื้อง่ายๆ  เพราะเมื่อก่อนขอบฟ้าจะขายคันละ 10 ล้านบาท  ตอนนั้นพ่อบอกว่าเราต้องขายของในราคาที่คนอื่นอยากซื้อ
ก็เลยถามต่อว่า ขอบฟ้าจะสร้างรถยังไงให้ขาย 200 บาท ขอบฟ้ายบอกว่าจะเอาขยะมารีไซเคิล  จะเอาพลาสติก กับเหล็กมาจากถังขยะ  แต่เครื่องยนต์น่าจะไม่มี คงต้องซื้อเครื่องยนต์มา  ส่วนแอร์ในรถ ก็ให้เอาแอร์ที่ไม่ดีแล้วในบ้านมาใส่รถ  แล้วบ้านก็ซื้อแอร์เครื่องใหม่
ขอบฟ้าเลยขอให้พ่อช่วยสร้างรถหน่อย  พ่อก็รับปาก  และ เสนอว่า เราน่าจะลองทำคันเล็กๆก่อนแล้วพอทำเก่งแล้วค่อยทำคันใหญ่ๆ  ขอบฟ้าก็เห็นด้วย  พ่อก็เลยแนะนำว่าเราจะเอารถของเล่นคันเก่ามาทำให้เป็นรถที่วิ่งได้ เพราะตอนนี้มันเสียอยู่
แล้วขอบฟ้าก็ทวงพ่อทุกวันว่า จะซ่อมรถคันนี้หรือยัง  วันนี้อย่าลืมรื้อจากห้องเก็บของออกมานะ  ถามทุกวันจนพ่อต้องรื้อให้ และเตรียมของรอซ่อม
ขอบฟ้าถามว่า ตอนพ่อเป็นเด็ก เคยอยากสร้างรถไหม  พ่อบอกว่า เคย
ขอบฟ้าถามต่อว่า แล้วได้สร้างไหม  พ่อบอกว่า ไม่ได้สร้าง
ขอบฟ้าถามว่าทำไมไม่สร้าง  พ่อตอบว่า นั่นสิพ่อก็นึกไม่ออกว่าทำไมถึงไม่สร้าง
ขอบฟ้าถามต่อว่า  ทำไมไม่สร้างตอนที่อยากสร้าง  พ่อ……..  (สลดในใจ  ไว้จะหาคำตอบดีๆมาให้ขอบฟ้าวันหลัง)

เปรียบเทียบภาพจาก latest polaroid vs antique polaroid

ทดลองเปรียบเทียบภาพถ่ายที่ปริ๊นลงกระดาษจากกล้องสองตัวที่เทคโนโลยีต่างกันเกือบร้อยปี  ด้านซ้ายคือภาพจากกล้อง polaroid z340 ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกล้องดิจิทัลรวมกับปริ๊นเตอร์ขนาดเล็ก ส่วนด้านขวาเป็นภาพจากฟิล์ม fuji instax บนกล้อง fuji instax mini8

การถ่ายภาพแล้วได้ภาพแทบจะทันทีเป็นสิ่งที่บริษัท polaroid ได้มอบไว้ให้แก่โลกเรามานานแล้ว  แต่ในปัจจุบัน polaroid หันไปสู่ดิจิทัลเต็มตัว  ส่วนเทคโนโลยีมรดกโลกกลับกลายเป็น fuji ที่รับระบบอนาลอกของ polaroid มาใช้อย่างจริงจัง และทำตลาดจนกลายเป็น instax mini ที่ฮิตกันมากในปัจจุบัน และนอกจากฟูจิแล้ว ยังมีผู้ผลิตกล้องอย่าง  leica ที่ลงมาเล่นตลาดนี้ด้วยการส่งกล้องใช้ฟิล์มโพลารอยด์ออกมาขายด้วย  และ ยังมีค่ายอินดี้อย่าง Mint ที่ออกกล้องใช้ฟิล์มแบบนี้ออกมาอีก

ข้อดีของ z340 คือ มีไฟล์ดิจิทัลเก็บไว้ด้วย สามารถเลือกภาพเพื่อพิมพ์หรือไม่พิมพ์ก็ได้  แต่แบตเตอรี่ในกล้องจะใช้พิมพ์ภาพได้ไม่เกิน 10 รูปในการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามสเป็ค ถ้าแบตหมดจะต้องกลับบ้านมาเสียบสายชาร์จเท่านั้น

Instax mini8 ของ fuji ดีตรงที่สามารถถ่ายภาพได้ 100 ภาพ ด้วยถ่านอัลคาไลน์ AA 2 ก้อน   แต่ต้องพิมพ์ทุกภาพที่ถ่าย เลือกไม่ได้

ภาพที่ได้จากการพิมพ์จากสองระบบให้คุณภาพแค่พอใช้ได้ ดูรู้เรื่อง ให้อารมณ์มากกว่าคุณภาพ  การชมภาพที่ไหลออกมาจาก z340  เทียบกับการรอภาพค่อยๆปรากฏขึ้นของฟูจิ ใช้เวลารวมไม่ต่างกัน  เราจะอยู่กับระบบไหนก็ได้  มันสนุกเหมือนกัน  แต่ฟูจิจะมีข้อดีกว่าตรงที่ ไม่ต้องกลัวแบตหมด  ถึงหมดก็ซื้อสำรองไปใส่ได้ไม่ยาก ร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็มีแบตขาย

image

ipod mini เครื่องเล่น mp3 ที่คลาสิคที่สุดรุ่นหนึ่ง

ipod ฮิตมากอยู่ช่วงปีหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆแปลงร่างกลายเป็น iphone และ ipod touch เจ้าอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีแป้นหมุนเลยไม่ได้เป็นพระเอกของวงการอีกต่อไป ipod รุ่นใหม่ๆกลายเป็นหน้าตาบอบบาง กระทัดรัด เล็กลงจนรู้สึกจะหยิบจับยาก วันนี้ผมได้เครื่อง ipod mini ตัวเดิมกลับมา หลังจากให้เพื่อนยืมไปเปิดเพลงให้ลูกฟังอยู่สองปี ตั้งแต่เมียเพื่อนตั้งท้องจนตอนนี้กำลังจะเลือกโรงเรียนอนุบาลแล้ว เพิ่งจะได้คืนมา

ipod mini ตัวนี้ผลิตออกมาขายในปี ค.ศ. 2005 ผมก็ซื้อมาใช้ในช่วงปีเดียวกัน ความจุในเครื่อง 4g เก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลงที่ความละเอียด 128kBit/s จอภาพสีขาวดำ ไฟหน้าจอสีขาว ไม่สามารถดูภาพ และวิดีโอได้ เป็น ipod ที่ถูกลดขนาดลงมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐาน จุดเด่นของมันก็คือมันใช้วัสดุคุณภาพดีสุดๆ คือตัวถังเป็นอลูมิเนียม ถ้าไม่บุบ มันจะไม่มีร่องรอยอะไรเลย แม้ว่าจะหยิบใส่กระเป๋า เสียดสีกับกางเกงหรือกระเป๋าต่างๆ หยิบวางบนโต๊ะ วางในรถก็ไม่มีปัญหา

ผมได้มีโอกาสใช้งาน ipod touch แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ ไม่ใช่ ipod touch ไม่ดี แต่เป็นเพราะการใช้งานในการฟังเพลงผมรู้สึกว่า ipod แบบมีแป้นสัมผัส click wheel (คลิกวีล)แบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่เหมาะกับการฟังเพลง เพราะหลายๆครั้งที่กำลังฟังเพลงอยู่ ผมอยากจะลดหรือเพิ่มระดับเสียง ผมก็แค่คลึงแป้นหมุนตามทิศทางที่ต้องการ มันก็ตอบสนองได้ดี สามารถเพ่ิมหรือลดระดับเสียงได้โดยไม่ต้องใช้สายตา แต่ถ้าเป็น ipod touch หรือ iphone การเพ่ิมลดระดับเสียงมันทำยากกว่าเดิม ถ้าจะเปลี่ยนระดับเสียงทางหน้าจอ จะต้องกดปุ่มด้านหน้า แล้วคลิกเลื่อนเพื่อปลดล็อคหน้าจอ และค่อยเอานิ้วจิ้มปุ่มสไลด์เพื่อเลื่อนระดับ หมายความว่า ผมไม่สามารถหลับตาเปลี่ยนระดับเสียงได้เลย

แล้วทำไมไม่กดปุ่มสองปุ่มที่อยู่ด้านข้าง iphone หรือ ipod touch ล่ะ นั่นสิ ผมมักจะลืมตำแหน่งปุ่มด้านข้างไปเสมอ และการใช้นิ้วกดปุ่มเพ่ิมลดเสียงด้านข้าง ผมต้องใช้มือกำตัวเครื่องไว้แล้วเอานิ้วโป้งกด ก็คือต้องหยิบตัวเครื่องขึ้นมาถือไว้ในท่าบังคับ และเอานิ้วกดลงไปตามปุ่มที่ต้องการ มันสั่งงานแบบไม่มองก็ได้ถ้าพยายาม แต่มันก็ต้องใช้ทั้งมืออยู่ดี ผมพอใจกับการใช้นิ้วคลึงเท่านั้น ยิ่งหากระหว่างฟังต้องการกดข้ามเพลง หรือย้อนกลับ คลิกวีลระบบแท้ๆของ ipod มันตอบสนองได้ทันที แต่ถ้าเป็นหน้าจอของ ipod touch หรือ iphone มันต้องกดปุ่ม home เพื่อกระตุ้นเครื่อง และเอานิ้วลากแถบล็อคหน้าจอเพื่อให้เริ่มรับคำสั่ง แล้วก็มองหาปุ่ม ข้ามเพลงและย้อนเพลง แล้วค่อยเล็งเพื่อกด แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันลำบากกว่ากัน คลิกวีลระบบดั้งเดิมมันไม่รบกวนสมาธิการทำงานและการขับรถ ipod touch และ iphone มันดีตอนเลือกเพลงเพราะมันเป็นหน้าจอละเอียด แบ่งรายการเพลงต่างๆให้เข้าถึงได้ง่าย แต่มันไม่ดีตอนฟัง เพราะมันกดเพื่อสั่งการยากกว่านั่นเอง

หลายครั้งที่ได้ยินว่าแบตเตอรี่ ipod เสื่อม ผมก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมเสื่อมเร็วจัง เพราะเครื่องที่ผมใช้ยังไม่เคยเปลี่ยนแบตเตอรี่เลย ถ้านับถึงวันนี้ มันก็ผ่านมา 6 ปีกว่าแล้วมันยังคงใช้งานได้ดี และการชาร์จแบตของผม 1 ครั้งสามารถใช้ฟังเพลงได้ประมาณ 6 ชม. หรือมากกว่า ซึ่งผมว่ามันค่อนข้างเยอะแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าตอนออกมาใหม่ๆมันรับประกันว่าฟังได้นานกี่ชั่วโมง แต่ 6 ชม.ของผมมันเพียงพอต่อการใช้งานในรถและก่อนนอนแล้ว

ความจุเพียง 4g ในวันนี้ดูเหมือนจะน้อยไป เพราะว่าคลังเพลงที่สะสมมาสิบปีมันมีหลายสิบจิ๊ก นี่ผมเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามเพลงมากเหมือนสมัยก่อน ถ้ายังคงฟังเพลงมากๆเหมือนเดิมผมน่าจะมีเพลงสะสมสัก 200g ซึ่ง ipod ตัวไหนก็ไ่ม่พอ การมีเพียง 4G ติดตัวออกจากบ้านก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ยังพอจะปรับตัวได้ เนื่องจาก ipod เป็นระบบการเลือกเพลงใส่ที่ฉลาด ผมสามารถเลือกเปลี่ยนเพลงที่บรรจุใน ipod ได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่คลิก แล้วก็รอเวลามันก็อปปี้เพลงชุดที่ต้องการลงไป หลายครั้งผมเลือกให้มันก็อปปี้เพียงเพลงที่ฟังบ่อยแค่ 25 เพลง ซึ่งโปรแกรม iTune ที่ทำหน้าที่นี้มันทำได้ดีไร้ที่ติ

การฟังเพลงมันต้องได้เครื่องเล่นที่ดีตอนฟังเพลง ไม่ใช่เครื่องที่ดีสำหรับการเล่นเน็ต หรือ ดูภาพ หรือดูวิดีโอ เพราะผมต้องการเน้นเรื่องฟังเพลง การพัฒนาการของ ipod มันมุ่งไปสู่ระบบอินเทอเน็ตและมัลติเมียเดีย จนผมรู้สึกว่าสักวันหนึ่งคลิกวีลอาจจะถูกเลิกใช้ไปในที่สุด หยุดนวัตกรรมไม่ได้ แต่สามารถเลือกใช้ของที่เคยมีได้ ipod mini ยังน่าใช้งานและน่ารักอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังซ่อมบำรุงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือ เพิ่มขนาดความจุด้วย compact flash การ์ด ขอแค่อย่าให้มันเสียก็พอแล้ว มันน่าจะคงกระพันไปอีกหลายปี

คิดถึง ipod คิดถึงความสุขในการฟังเพลง

IMG_9017

เครื่องเล่น mp3 เครื่องแรกที่ผมเคยได้ยินข่าวคราวก็คือเครื่องยี่ห้อ rio ผมจำสเป็คโดยละเอียดไม่ได้ และไม่เคยมีโอกาสได้ฟัง ในช่วงเวลาแรกเริ่มของ mp3 ผมฟังผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และไม่เคยรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มกับ mp3 เลย ทั้งๆที่ ณ เวลานั้นมีแผ่นรวมเพลง mp3 ขายอยู่แล้วมากมาย

อาจจะเป็นเพราะว่าการฟัง mp3 ในยุคแรกนั้นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก ทำให้ผมไม่สามารถพกพามันไปกับตัวได้  ปี 1998 ปีนั้นที่ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลก ผมยังคงไปซื้อเครื่องเล่นเทปแบบวอล์คแมนเครื่องใหม่หน้าตาสวยมาใช้งานอยู่เลย อัลบั้มเพลงที่ผมจำได้ว่าผมฟังจากเทปวอล์คแมนเครื่องนี้บ่อยที่สุดคืออัลบั้มของ pause ชุด mind ที่มีเพลงข้อความ เพลงความลับ ที่ยังคงเป็นเพลงน่าฟังอยู่ตลอดกาลของวงดนตรีวงนี้

mp3 ฮิตมากกับการใช้งานบนโต๊ะทำงาน เพราะเปิดด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมมีเพลง mp3 สะสมอยู่ในเวลานั้นหลายร้อยเพลง มีเพลงที่ชอบมากๆอยู่ประมาณ 100 เพลง และผมก็ไม่คิดว่าจะพกพามันไปฟังบนรถเมล์ หรือ ฟังตอนขับรถ เพราะไม่รู้จะขนเพลงเหล่านั้นทั้งร้อยเพลงไปได้อย่างไร ตอนนั้นลืมเครื่องเล่น mp3 แบบพกพาไปได้เลย เพราะเครื่องแพงมาก และหน่วยความจำที่มีอยู่ก็อยู่ที่ระดับประมาณ 16-32 เม็กกะไบต์ มันเก็บเพลงได้ไม่ถึง 10 เพลง ผมพกเครื่องเล่นเทปยังได้เพลงเยอะกว่า

หลายปีต่อมาผมได้ข่าวว่า apple ทำเครื่องเล่น mp3 ออกมาขายราคาประมาณสองหมื่นบาท ผมไม่สนใจเลยเนื่องจากไม่มีเงินซื้อ และไม่เคยคิดว่าจะต้องจ่ายเงินให้กับอุปกรณ์การฟังเพลงในราคาสูงขนาดนั้น แม้ว่าผมจะเป็นคนเล่นเครื่องเสียง และยินดีจ่ายให้กับเครื่องเสียงราคาหลายหมื่น แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องจ่ายให้กับเครื่องเล่น mp3 ในราคาแพงกว่าเครื่องเสียงบ้าน ผมปฏิเสธ mp3 มาตลอดทั้งในด้านคุณภาพ และราคา

ในบางวันที่ผมฟังเทปจากวอล์คแมน ผมก็อยากฟังวิทยุบ้าง ตอนนั้นก็ไปซื้อเครื่องรับวิทยุมาใช้ เป็นเครื่องรับวิทยุที่ราคาถูกๆ มันรับคลื่นได้แต่ไม่ชัด สุดท้ายก็ทนฟังไม่ได้ ผมก็เลยหันหลังให้กับรายการวิทยุไปนานแสนนาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็มีคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงกันต่อเนื่องห้าสิบนาทีเสียแล้ว ผมตกยุคไปหลายปีเลย

_MG_6408

แล้วผมก็ไปเพลิดเพลินอยู่กับการหัดถ่ายภาพ ผมแทบไม่ได้ฟังเพลงอย่างตั้งใจอีกเลย จนวันหนึ่งเพื่อนเอา ipod mini มาให้ลองฟัง ก่อนจะทดลองฟัง ผมก็ออกตัวกึ่งด่า กึ่งดูถูกไว้หลายอย่าง เพื่อนก็หวังดีบอกให้ผมฟังดูก่อน พอลองฟังสักสองเพลง ผมถามราคา เพื่อนบอกเจ็ดพันบาท ผมฝากซื้อทันที และมีเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ในที่นั้นก็ซื้อพร้อมผมอีกคนละเครื่อง ผมบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยี แต่เพลง mp3 ในเครื่องเล่น ipod มันเพราะมาก มันเหมือนคนที่ไม่ได้กินอาหารถูกปากมานาน พอเจอเมนูอร่อยเข้าไปกลายเป็นคนตะกละขึ้นมาเลย

ipod mini เป็นเครื่องเล่นเพลงติดตัวผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เครื่องเล่นเทปวอล์คแมนผมก็เก็บลืมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเช่นกัน และจนบัดนี้มันก็ไม่เคยทำงานอีกเลย คุณภาพเสียงของ ipod mini ทำให้ผมเริ่มหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หาประวัติของ ipod เลยทำให้เริ่สนใจเครื่องคอมพิวเตอร์ของ apple ไปพร้อมกัน แม้ว่าผมจะชอบ ipod แต่ผมก็ยังไม่คิดจะใช้คอมพิวเตอร์ของ apple เพราะว่าตอนนั้นผมมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ และเครื่องโน้ตบุ๊คส่วนตัวผมเป็น ibm หน้าตาดำๆถึกๆ มันเป็นโลกของ windows และ ibm และ โปรแกรม visual studio ของ microsoft

สิ่งที่ผมชอบใน ipod mini คือหน้าตาที่ดูคลาสิค และรูปร่างไม่ใหญ่โต ตัวถังเป็นอลูมิเนียมที่เป็นรอยยากมาก หน้าจอใช้ไฟเรืองแสงสีขาว มันเป็นความลงตัวที่ผมรู้สึกดี ความจุที่มี 4Gb สามารถเก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลง แน่นอนว่าผมมีเพลงสะสมจนเต็มความจุแล้ว ทุกวันนี้ยังไม่เจออุปกรณ์อะไรที่ดูน่าทนุถนอมขนาดนั้นเลย คุณภาพเสียงก็ดีถูกใจมาก โดยเฉพาะหูฟังที่มาพร้อมกับ ipod mini เป็นหูฟังที่มีบุคลิกที่เป็นกลาง คือมันราบเรียบ ฟังเสียงคนได้ชัดเจน มันสามารถฟังเพลงได้นานโดยที่ไม่รู้สึกล้า ไม่เลี่ยน มันแตกต่างไปจากหูฟังโซนี่ที่ฟังทีแรกจะรู้สึกว่าเพราะ มัน เสียงใส แต่ฟังนานๆหลายชั่วโมงแล้วทรมาน

เคยมีคนแย้งว่าทำไมถึงอยากจะฟังเพลงตั้งพันเพลง ipod ความจุเยอะเกินความจำเป็น ต้องจ่ายราคาแพงกว่าชาวบ้าน ipod ราคาเกือบหมื่น แต่ของคนอื่นขายกันสองพันบาท ความจุ 512mb ก็พอแล้ว หลายความเห็นออกมาแนวทางเดียวกันคือ ipod แพงเกินไป ผมก็รู้สึกว่าแพง แต่ผมก็พบว่าการที่ผมมีเพลงติดตัวไปสักหนึ่งพันเพลงผมก็ไม่ได้อยากฟังทุกเพลงหรอก แต่ว่าผมสามารถเลือกฟังเพลงอะไรก็ได้จากหนึ่งพันเพลง เลือกฟังได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับบ้านไปลบเพลงเก่าและก็อปปี้เพลงที่ต้องการลงไป แต่ละวันผมอาจจะฟังเพลงแค่สิบเพลง แต่มันก็ไม่สามารถจะบอกได้หรอกว่าสิบเพลงนั้นมีเพลงอะไรบ้าง การแบกเพลงใส่ ipod ไว้หนึ่งพันเพลงมันทำให้ผมสามารถเลือกเพลงที่อยากฟังได้ครบตามที่ต้องการ หรือเกือบครบทุกเพลง มันเป็นสิ่งที่เครื่องเล่นอื่นๆให้ไม่ได้

ตอนนั้น ipod ไม่มีคู่แข่งเลย ทั้งในแง่คุณภาพเสียงและความจุ มียี่ห้ออื่นๆพยายามจะทำขายก็ยังไม่มีจุดเด่นที่ดีกว่า มันเป็นเรื่องที่ช่วยไ่ม่ได้จริงๆที่จะไม่เปิดใจให้กับเครื่องเล่นยี่ห้ออื่นๆ เพราะเมื่อลองฟังก็รู้สึกว่ามันไม่ลงตัว เสียงยังไม่ถูกใจ แต่ผมก็ทดลองฟังตัวอื่นๆอยู่เรื่อยๆ แล้ววันดีคืนดีก็เจอกับเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ที่เสียงดีกว่าเดิม

IMG_9032

มันคือ ipod รุ่น shuffle รุ่นที่มีความจุเพียง 512 Mb หรือเก็บเพลงได้แค่ 120 เพลงเท่านั้น ผมเดินผ่านร้านขายเครื่องเสียง ก็แวะดูไปตามเรื่อง ถามพนักงานเรื่องคุณภาพเสียงของ ipod 3 ตัวที่วางเรียงกันอยู่ในร้าน พนักงานบอกว่า shuffle เสียงดีที่สุด ผมไม่เชื่อเลยขอลองฟังบ้าง ฟังเพลงเดียวกัน หูฟังเดียวกัน แล้ววันนั้นผมก็เสียเงิน ได้ shuffle กลับบ้านไปอีกตัว มันเป็นเครื่องเล่นที่ไม่มีหน้าจอ ก็อปปี้เพลงลงไปแล้วก็เปิดเล่นเลย หลายคนออกความเห็นว่าไร้สาระ เอา ipod ตัวใหญ่มาติดเทปบังหน้าจอไว้ก็เหมือนได้ใช้งาน shuffle แล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ผมรู้สีกว่า ipod shuffle ที่ไม่มีจอภาพมันมีดีกว่านั้น มันเป็นมากกว่านั้น แต่ก็อธิบายไม่ได้

การก็อปปี้เพลงลงไปในเครื่องเล่น ipod ต้องทำผ่านโปรแกรม iTune ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเปิดเพลงได้ทั่วไป สร้างรายการเพลงที่ชอบ รวมเพลงเป็นชุดๆได้ตามใจ ทุกเพลงที่อยู่ใน iTune กดปุ่มเดียวมันก็จะก๊อปปี้ทุกอย่างลงไปใน ipod แปลว่า บนเครื่องคอมพิวเตอร์เรามีเพลงอะไร จัดระเบียบจัดอัลบั้มรวมกันไว้อย่างไรมันก็มีอย่างนั้นใน ipod เช่นกัน และความพิเศษมากขึ้นอย่างหนึ่งก็คือมันบันทึกการเล่นเพลงต่างๆเอาไว้ เพลงไหนเล่นบ่อยที่สุดก็มีการนับไว้ และมันก็มีรายการเพลง top hit ให้เราอัตโนมัติ แปลว่า ในหลายๆพันเพลงจะมีเพลงที่เราฟังบ่อย 25 เพลงถูกจัดเป็น top hit ให้ และเราสามารถสั่งให้ ipod shuffle ก็อปปี้เพลง top hit เหล่านั้นลงได้ได้อัตโนมัติ

ipod shuffle ที่เก็บเพลงได้เพียงเล็กน้อยมีเพลงที่เราฟังบ่อยๆอยู่ในนั้น มันเป็นรูปแบบการเลือกเพลงที่”ไม่ผิดหวัง” เพราะว่าเราฟังบ่อยจริง มันแก้ปัญหาของคนลังเลได้อย่างดี เพราะเราคงเคยเจอปัญหาว่า มีเพลง มีแผ่น (เมื่อก่อนก็มีเทปด้วย) เยอะไปหมด จะเลือกเอาเพลงไหนไปฟังบนรถดี หรือจะเอาแผ่นเพลงไหนติดตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดดี เมื่อก่อนผมเคยขับรถไปต่างจังหวัดหลายวัน ผมขนแผ่นซีดีใส่ลังไปด้วยเกือบห้าสิบแผ่น มันเป็นเรื่องบ้าๆที่เคยทำ

พอรับ ipod เข้ามาในชีวิต ความบันเทิงแบบพกพาก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง จากการฟังเพลงแต่เพียงอย่างเดียวมันเริ่มมีความต้องการให้ ดูภาพได้ ดูวิดีโอได้ ซึ่งคนที่คิดแบบผมไม่ได้มีคนเดียว มันคิดแบบเดียวกันทั้งโลก และแล้ว ipod ก็มีรุ่น ipod photo ที่สามารถก็อปปี้ภาพลงไปดูได้ และแน่นอนว่าหน้าจอของ ipod กลายเป็นจอสีแล้ว หลังจากนั้นอีกไม่นาน ipod video ก็ตามมาติดๆ เป็นเครื่องเล่นแบบพกพาที่สามารถดูวิดีโอได้ด้วย ซึ่งในเวลานั้นเครื่องเล่นโนเนมจากจีนก็มีความสามารถในการเล่นวิดีโอออกมาก่อนแล้ว แต่วิดีโอในเครื่องโนเนมต่างๆเป็นวิดีโอที่คุณภาพต่ำ การแสดงผลยังไม่ประทับใจ และไม่สามารถต่อสายภาพออกมาเข้าเครื่องรับโทรทัศน์ได้ แต่ ipod video ทำได้ทุกอย่างที่บอกมา มันเป็นข้อได้เปรียบที่ ipod มีความจุเยอะ เลยสามารถเก็บข้อมูลวิดีโอที่มีขนาดใหญ๋ได้ คุณภาพของวิดีโอเลยดีกว่า

ความนิยมของ ipod ค่อยๆสะสมก่อตัวขึ้น จนกระทั่งแพร่หลายไปทั้งโลก สิ่งที่ชี้วัดได้ง่ายที่สุดก็คือมีอุปกรณ์เสริมต่างๆออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองผ้า ซองหนัง ซองพลาสติก ลำโพง เครื่องเสียง ทุกอย่างที่เอามาต่อพ่วงกับ ipod ได้จะถูกผลิตออกมาเต็มไปหมด แม้แต่เครื่องมีดโกนหนวดต่อกับ ipod ก็ยังมี เลเซอร์พอยเตอร์ก็มี มันไม่ได้เกี่ยวกับการฟังเพลงแต่ก็มีคนทำอุปกรณ์เสริมออกมา มันมากมายลามไปถึงกลุ่มแฟชั่น กระเป๋าหนังบางยี่ห้อมีช่องใส่ ipod แยกต่างหาก มันฮิตระเบิดเลย

scan-2012-minilux-jul-17

มาถึงปี ค.ศ. 2006  ipod พัฒนาไปมากกว่าเดิมหลายช่วงตัว มันกลายไปเป็น iphone เป็นเครื่องเล่นหน้าจอสัมผัส เล่นอินเทอเน็ตได้ มันมีกล้องในตัว มันเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ มันใส่โปรแกรมเพิ่มเพื่อทำงานอื่นๆได้อีกมากมาย มันไปไกลจนเกินกว่าจะเป็นเครื่องเล่นเพลงไปเสียแล้ว เราหยุดการพัฒนาไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ผมแอบคิดเล่นๆว่า ipod ชวนคนทั้งโลกให้หันมาฟังเพลง แต่ตอนนี้กำลังพาคนทั้งโลกออกจากเพลง ไปสู่สิ่งใหม่ที่สับสนวุ่นวาย ทั้งภาพ วิดีโอ อินเทอเน็ต มันน่าคิดเหมือนกันว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร เครื่องเล่นเพลงที่แท้จริงมันอาจจะหยุดอยู่ที่ ipod รุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบสัมผัสหน้าจอ อารมณ์คนฟังเพลงต้องการแค่นั้นจริงๆ ที่มากกว่านั้นและทุกอย่างที่อยู่ใน iphone มันมากเกินไปสำหรับคำว่าดนตรี