รีวิวเลนส์​nikon 16mm f2.8 fisheye

ในตอนที่หัดถ่ายภาพ การเลือกซื้อเลนส์เพื่อใช้หัดถ่ายภาพจะค่อยๆสะสมซื้อเพิ่มทีละตัว เลนส์ติดกล้องที่แถมมาก็มักจะเป็นเลนส์ซูมช่วง 35-70 28-70 28-105 24-85มม ซึ่งเลนส์ซูมเหล่านี้จะราคาไม่แพงและใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่หัดถ่ายจนไปถึงการรับงานถ่ายภาพได้เลย เลนส์ตัวที่2 สำหรับคนหัดถ่ายหรือช่างภาพมือใหม่ก็มักจะเป็นช่วงเทเลซูม โดยมากก็จะเป็นเลนส์ 70-200 70-300 75-300มม

เลนส์ตัวที่ 3 ของช่างภาพสมัครเล่นกึ่งจริงจังจะเริ่มหาเลนส์เดี่ยวหน้าที่พิเศษ มักจะเป็นเลนส์ถ่ายพอร์ตเทรดอย่างเลนส์ 85มม. หรือ เลนส์มาโครใช้ถ่ายภาพระยะใกล้มากอย่างเลนส์ มาโคร100 หรือ 50มม. คนที่ชอบเลนส์ไวแสงก็อาจจะมีเลนส์ 50 1.4 ติดกระเป๋าอีกตัวหนึ่ง

เลนส์ fisheye จะแทบไม่อยู่ในความสนใจของช่างภาพทั่วไปเลย เพราะเป็นเลนส์ที่ให้ภาพบิดเบี้ยวเหมือนเป็นมุมมองของปลา เลยเรียกว่าเลนส์ตาปลาซึ่งก็เป็นการแปลอย่างตรงตัว fish eye เป็นเลนส์ที่ให้ความบิดโค้งของภาพสูงมาก มุมรับภาพกว้างมาก การใช้งานเลนส์ fisheye ถ่ายภาพมีคำบอกเล่าต่อๆกันมาว่าระวังถ่ายแล้วติดขาตัวเองเข้าไปในภาพด้วย ผมไม่เคยเข้าใจคำกล่าวนี้เลย จนมีโอกาสได้ใช้เลนส์ตาปลาหรือ fisheye ด้วยตัวเองจริงๆ

https://byjus.com/physics/fisheye-lens/

เลนส์ fisheye มีจุดกำเนิดมาจากนักวิทยาศาสตร์ในยุคปี คศ 1906 ที่ต้องการถ่ายภาพท้องฟ้าให้เก็บรายละเอียดทุกอย่าง มุมรับภาพจึงต้องทำได้ 180 องศา หรือเก็บภาพบนบกและท้องฟ้าทั้งหมดไว้ในภาพเดียวนั่นเอง ลักษณะภาพที่ได้จะมีขอบเขตรูปภาพเป็นวงกลม คือขอบภาพจะบิดโค้งมากๆนั่นเอง แต่กว่าจะมีการผลิตจริงก็ในอีกหลายสิบปีต่อมา และบริษัทที่ผลิตเลนส์ fisheye ขึ้นมาเป็นเจ้าแรกก็คือ nikon โดยเลนส์ fisheye ตัวแรกมีราคาถึง 27000 ดอลล่าร์ในยุคสมัยนั้นซึ่งราคาสูงมากจนไม่น่ามีใครซื้อใช้ คงมีเพียงหน่วยงานราชการที่ทำงานวิจัยท้องฟ้าและอวกาศเท่านั้นที่ซื้อไหว

ผ่านมาหลายรุ่น เลนส์ fisheye เริ่มราคาถูกลง และ nikon ก็ผลิตเลนส์แนวนี้อย่างต่อเนื่อง จนมาถึงตัวที่อยู่ในรีวิวนี้ 16mm 2.8 ais ซึ่งเป็นเลนส์แมน่วลโฟกัส ปรับระยะชัดด้วยมือ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่ เพราะระยะเลนส์ที่รับภาพเป็นมุมกว้างมาก ระยะชัดลึกจะสูง

20241208124346_IMG_1225

เลนส์นิคอน fisheye 16mm f2.8 เป็นเลนส์ตาปลาที่ให้ภาพบิดโค้งมาก ถ่ายอะไรก็ดูป่องบวม มุมรับภาพประมาณ 180 องศา หน้าเลนส์มีเนื้อกระจกนูนป่องออกมาดูแล้วต้องระวังการใช้งานเป็นพิเศษ ฝาปิดหน้าเลนส์จะเป็นลักษณะฝาครอบมากกว่า ระยะโฟกัสใกล้สุดทำได้ที่ 30 เซ็นติเมตร ใส่ฟิลเตอร์หน้าเลนส์ไม่ได้ เอาเลนส์ไปเม้าส์เสียบกับกล้อง nikon FM2n ก็ดูเข้าท่าดี

20241208124416_IMG_1227
20241208124729_IMG_1236

เวลาเราจะเอาเลนส์ Fisheyes ไปถ่ายภาพอะไรก็ตามมักจะเห็นความโค้งบวมออกมา ต้องอาศัยการถือกล้องให้ตรงได้ระนาบ อาการป่องบวมจะลดลง ในการทดลองใช้จะติดเลนส์​ Fisheyes เข้ากับกล้องดิจิทัล Canon Eos 6d. ผ่านเม้าส์อแด๊ปเตอร์ Nikon to EF. บิดเลนส์ไปที่รู้รับแสงที่ต้องการใช้ ตั้งค่า iso เป็นแบบ Automatic แล้วกล้องเปิดโหมด Av โฟกัสภาพได้ก็กดบันทึกภาพเลย

IMG_1204

จุดเด่นของเลนส์​Fisheye คือเป็นเลนส์มุมกว้างมาก ถ้ายืนถ่ายภาพไม่ระวังอาจจะติดปลายเท้าเข้าไปในภาพด้วย และจุดเด่นที่ 2 คือเลนส์ตัวนี้เวลาถ่ายใกล้จะให้ภาพตัวแบบที่ดูตลก นักอ่านหลายคนอาจจะเคยเห็นภาพลูกหมาที่ถูกถ่ายภาพด้วยเลนส์ Fisheye กันมาบ้าง ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่ารักมาก ผมก็ลองถ่ายเหมือนกันแต่แถวบ้านไม่มีหมาเลยสักตัว

IMG_1195

การถ่ายภาพมุมกว้างเป็นเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้การเก็บภาพในสถานที่ซึ่งไม่สามารถถอยหลังได้สามารถเก็บได้หมดในสิ่งที่ต้องการ เรายืนมองอะไรเห็นบ้างเราหยิบเลนส์ Fisheye ขึ้นมาถ่ายเราจะได้สิ่งนั้นอยู่ในภาพด้วย

20241201174005_IMG_1074
20241201173853_IMG_1069

เลนส์ Fisheye จะให้แนวเสาและกำแพงที่ควรจะเป็นเส้นตรงกลายเป็นบิดโค้ง ภาพสถาปัตยกรรมจะหลีกเลี่ยงยาก หากอยากแก้ความโค้งต้องแก้ด้วยซอร์แวร์ซึ่งในคอมพิวเตอร์ก็มีวิธีการแก้ไข ส่วนการถ่ายภาพวิวอื่นๆทั่วไปที่ไม่มีเส้นสายแนวดิ่งและแนวนอนมาฟ้องเราสามารถใช้การเลือกวางกล้อง จัดระดับกล้อง จัดวิธีการถือกล้อง การจัดองค์ประกอบภาพเข้ามาแก้ไขความบิดโค้งนี้ หากเราถือกล้องให้ดี ภาพที่ออกมาอาจจะเกือบเหมือนเลนส์มุมกว้างทั่วไปก็เป็นไปได้ หรือถ้าเห็นการบิดโค้งก็น้อยลงมาก

20241130161938_IMG_1054
20241130160133_IMG_1033
wtc-IMG_1346

แต่กับภาพภายในตึก ในบ้าน เสาและกำแพงชัดๆ เราจะเห็นมันโค้งป้องเหมือนลูกโป่งพองลมเลย มันให้ลักษณะภาพที่แปลกตา บางคนอาจรู้สึกสวยตื่นเต้น บางคนอาจไม่ชอบ แต่ละภาพจะมีอารมณ์ของมันเอง ภาพคนทำงานในโรงานที่ผมถ่ายมาก็ดูป่องกลม เป็นความเพี้ยนที่ผมไม่ชอบเลย แต่ความหมายของภาพกลับทำให้ผมเลือกที่จะเก็บเป็นภาพไว้ แม้จะบิดโค้งก็ตาม

20241128155707_IMG_1013

20241128155657_IMG_1012

20241128155559_IMG_1008

เลนส์ nikon 16 f2.8 fisheye เป็นเลนส์ที่ใช้งานสนุก ให้ภาพบิดโค้งแบบเต็มเฟรม จะไม่เหมือนเลนส์ตาปลาอีกหลายตัวที่ให้ให้ภาพเป็นวงกลม สามารถใช้ถ่ายวัตถุที่ต้องการเน้นให้มีความน่ามอง นำเสนอวัตถุหรือสิ่งที่อยู่กลางภาพให้โดดเด่น ผมลองเอาไปถ่ายภาพหมู่ของนักเรียนก็ให้ภาพที่น่ามอง ดูมีชีวิตชีวา

wtc-IMG_1327

เลนส์แมนวลโฟกัสของ nikon ทุกตัวจะมีตัวเลขระยะทางบนเลนส์ มีเส้นบอกระยะชัดลึกของรู้รับแสงหลายๆค่า ผมลองหมุนเลนส์ให้ระยะโฟกัสเป็น 1 เมตร แล้วก็รู้สึกว่าภาพไม่ได้ชัดที่ 1 เมตรจริงๆ ในความรู้สึกผมกลับรู้สึกว่ามันชัดที่ระยะเคลื่อนไปจาก1 เมตรเล็กน้อย แต่ผมลองบนกล้อง canon นะ ซึ่งระยะการรับภาพของเซ็นเซอร์ใน canon กับ nikon อาจอยู่คนละระยะกัน และ nikon ต่อผ่านอแด๊ปเตอร์เพื่อสวมติดกับกล้อง canon ระยะโฟกัสหรือระนาบของเซ็นเซอร์ก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปจากสเป็ค สุดท้ายผมใช้เทคนิค hyperfocus เพื่อใช้เลนส์ nikon บนกล้องcanon ไม่ได้ ต้องใช้วิธีหมุนโฟกัสแล้วดูด้วยตาว่าชัดหรือยังแล้วค่อยถ่ายภาพ หากกล้องมีเทคโนโลยีช่วยการโฟกัสสำหรับเลนส์แมน่วลก็อาจจะสะดวกมากขึ้น

20241208124658_IMG_1234

สรุป
เลนส์ Nikon Fisheye 16mm f2.8 เป็นเลนส์​ตาปลา หรือ fisheye ที่ให้ภาพเต็มเฟรมกับกล้องฟิล์มซึ่งก็เท่ากับให้ภาพเต็มเฟรมกับกล้อง Full frame ด้วย ถ่ายภาพวัตถุระยะใกล้จะให้วัตถุขนาดใหญ่และผลักให้ฉากหลังเล็กลง การใช้ถ่ายภาพตึก อาคาร หรือ ภาพที่มีเสา มีเส้นสายทางสถาปัตยกรรมที่ต้องเป็นเส้นตรงจะเห็นชัดว่าให้ภาพป่อง บิดโค้ง การถ่ายถือกล้องให้ตรง มีมุมก้มเงยที่เหมาะสมจะทำให้ความบิดโค้งในภาพดูแล้วลดน้อยลงได้ การแก้ไขความโค้งของเลนส์ Fisheye จะต้องใช้ซอร์ฟแวร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับกล้องดิจิทัล

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1449

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1440
dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1435

รีวิวเลนส์ canon ef85 f1.8 ถูกและดีของจริง

sale-18dec2013-IMG_0091

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนักถ่ายภาพ เราก็จะมีการถ่ายภาพหลากหลายแนว ทั้งภาพวิว ภาพสัตว์ สิ่งของ และภาพบุคคล ซึ่งสิ่งที่จะถ่ายนั้นจะนำมาซึ่งวิธีคิดและการเลือกใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเลนส์ที่จะใช้ หากเน้นไปที่การถ่ายภาพบุคคลก็จะมีเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพคนโดยเฉพาะ

IMG_0480

การเลือกใช้เลนส์สำหรับการถ่ายภาพบุคคล ในวงการถ่ายภาพจะใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสประมาณ 85 – 135มม. ซึ่งเลนส์ 85มม ตัวที่จะแนะนำนี้เป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลราคาไม่แพง และยิ่งหากเป็นของมือสองก็ยิ่งราคาลดลงไปเหลือแค่ครึ่งราคา นั่นคือเลนส์ canon EF85 f1.8 เลนส์สำหรับกล้อง SLR และ DSLR

IMG_20201107_213615

เลนส์ตัวนี้มีรูรับแสงกว้างสุดอยู่ที่ f1.8 ถือว่าเป็นเลนส์ไวแสงตัวหนึ่ง ทำให้การใช้งานทำได้ง่าย เหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย จะถ่ายภาพคนในที่ร่ม ในบ้าน ในตึก จะมีโอกาสได้ภาพจากแสงธรรมชาติหรือแสงจริงที่เกิดขึ้น เรามีโอกาสได้ภาพเหมือนตาเห็น รูรับแสงกว้างระดับ f1.8 สามารถใช้มือถือกล้องตรงๆโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ยิ่งกล้องรุ่นใหม่ๆสามารถเลือกใช้ค่าความไวแสงหรือ iso ได้สูงมากทำให้เลนส์ f1.8 ตัวนี้ยิ่งถ่ายภาพได้แทบจะทุกสภาพแสง และมุมมองของเลนส์ 85มม. ก็จะให้ภาพที่มีสัดส่วนสมจริง ความเพี้ยนต่ำ จึงนิยมใช้ถ่ายภาพบุคคลเป็นอย่างมาก และถ้าใช้ระยะถ่ายภาพตัวผู้ใหญ่ประมาณครึ่งตัว หรือภาพเด็กเล็กเต็มตัวก็จะได้ภาพที่สัดส่วนดูสมจริง ใกล้เคียงกับการมองจริง ใช้ถ่ายทอดความเที่ยงตรงของวัตถุได้

สามชุกIMG_0071

การใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะมีบุคลิกของภาพที่เด่นชัดในด้านระยะชัดที่ไม่มาก หรือชัดตื้นนั่นเอง การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอมักทำให้ภาพถ่ายดูสวยงาม ตัวแบบที่เป็นจุดสนใจจะชัดตามคุณภาพความคมของเลนส์ ขณะที่ฉากหลังมีความเบลอช่วยขับให้ภาพดูสวย เมื่อเราใช้ถ่ายภาพคนเราจะได้ลักษณะภาพที่ดูนุ่มนวล ภาพถ่ายแนวนี้จะเหมาะกับการถ่ายในสภาพแสงธรรมชาติ

IMG_2078

ภาพเด็กในห้องนอนก็เป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความไวแสง ตอนกลางวันแสงในห้องนอนจะมาจากหน้าต่างที่กำแพง เราเปิดผ้าม่านให้แสงเข้าจนดูสวยงามสบายตา แล้วเราก็หยิบกล้องพร้อมเลนส์ f1.8 ขึ้นมาถ่าย เลือกใช้รูรับแสงกว้างสุดเราก็จะได้ภาพเหมือนตาเห็น พร้อมกับจุดเด่นที่เราโฟกัส และมีความเบลอของฉากหลังช่วยขับให้ตัวแบบโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

20200603174615_IMG_0500

สภาพแสงที่ทำให้ภาพจากเลนส์ 85f1.8 ให้ภาพที่สวยที่สุดในความคิดผมก็คือคือมีความสว่างแต่ไม่มีแดด อย่างการถ่ายภาพในที่ร่มหรือไม่มีแดดโดยตรงแต่ไม่มืด ภาพเด็กยืนเป็นกลุ่มนอกอาคาร เป็นสภาพแสงตอนเย็นที่ยังสว่างอยู่ สภาพแสงแบบนี้ถ้าใช้เลนส์ไวแสงมาถ่ายภาพจะได้แสงเหมือนตาเห็น และได้ความนุ่มนวลในภาพยิ่งกว่าการถ่ายตอนโดนแสงแดด

kobfa-home-IMG_0055

การถ่ายภาพภายในบ้าน จะเป็นสภาพที่ไม่มีแสงแดดอยู่แล้ว และหากบ้านมีความสว่างเพียงพอจากไฟประดับภายใน เราใช้เลนส์ไวแสงมาถ่ายเราก็จะได้ภาพที่ได้สีสันและความสว่างเหมือนตาเห็น รูรับแสงกว้างทำให้ระยะชัดมีเพียงเล็กน้อย คนที่อยู่ในจุดโฟกัสจะชัด และมีฉากหลังที่เบลอ สร้างความสวยงามให้กับภาพได้ดี 

nan28oct2014-IMG_0022

ภาพคนในสถานที่ช็อปปิ้งภายนอกอาคาร ภาพมีความสว่างแต่ไม่โดนแดดโดยตรง ภาพจะสวย ดูนุ่มนวล ใช้ถ่ายภาพผู้หญิงก็ดูสวยขึ้น ใช้ถ่ายภาพเด็กก็ดูน่ารักขึ้น และสิ่งที่เป็นบุคลิกเด่นของเลนส์ Canon เกรดโปรก็คือภาพจะมีความหวานใส สีผิวคนจะดูเด่น สีสวยมาก และเลนส์ Ef85f1.8 ตัวนี้มีคุณภาพในระดับโปรเช่นกัน

IMG_2099

นอกจากเลนส์ระยะ 85มม ที่นิยมใช้ถ่ายภาพบุคคลแล้วก็ยังมีเลนส์ซูม 70-200 มม. f2.8 ที่ใช้กับภาพคนได้ดีเช่นกัน แต่เลนส์ซูมก็ขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะ ทำให้การพกพาเป็นเรื่องยาก กระเป๋ากล้องที่จะใส่กล้องและเลนส์เทเลซูมก็จะต้องใหญ่และหนักยิ่งขึ้น การใช้ 85f1.8 จะได้ของเล็กน้ำหนักเบากว่ากันมาก ยิ่งกล้องเบายิ่งทำให้เราอยากพกพา จะยิ่งทำให้เรามีโอกาสได้ภาพมากยิ่งขึ้น

เลนส์ EF85f1.8 เคยมีราคาเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อนประมาณ หมื่นกลางๆ และราคามือสองของเลนส์ตัวนี้ที่อายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ก็จะอยู่ที่ประมาณ 7000-8000 บาท ถือว่าเป็นเลนส์ที่มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ในระดับราคานี้ เพราะไม่มีของในระดับราคาหมื่นบาทที่จะให้คุณภาพของภาพที่คมชัดและไวแสงถ่ายภาพได้เหมือนตาเห็นแบบนี้ กล้องยุคใหม่พัฒนาไปสู่ระบบของ mirrorless แต่เลนส์ยุคเก่าก็ยังถูกใช้งานได้เรื่อยๆ ใช้ได้กับกล้องเก่า และกล้องใหม่ผ่านตัวแปลงเม้าส์เลนส์ คนใช้กล้อง Canon ถ้าจะหาของดีราคาถูกใช้ก็แนะนำให้ซื้อ EF85f1.8 ตัวนี้ไว้ได้เลย ถูกและดีคือคำจำกัดความของมัน

การถ่ายภาพให้สวยทำอย่างไร

ในปัจจุบันที่ใครก็สามารถมีกล้องถ่ายภาพได้ โทรศัพท์ใหม่ๆทุกเครื่องก็มีกล้องถ่ายภาพติดมาด้วย สมาร์ทโฟนที่ใช้สื่อสารกับอินเทอเน็ตก็มีกล้องคุณภาพดีมาให้แล้ว กล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะสำหรับมือสมัครเล่น และมืออาชีพก็มีราคาเริ่มต้นไม่แพง ยิ่งหากหาของมือสองมาใช้ก็ยิ่งราคาต่ำ ยุคนี้เครื่องมือคือสิ่งที่นักถ่ายภาพแทบจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องสเป็คและคุณภาพอุปกรณ์อีกแล้ว

การถ่ายภาพให้สวยก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่มันก็มีหลักการนิดเดียวที่สามารถนำไปหัดใช้ได้ ผมขอให้แนวคิดเอาไว้ ถ้าเห็นด้วยก็ทดลองฝึกฝนดู “การถ่ายภาพให้สวยเกิดจากการที่เราผ่านการถ่ายแบบไม่สวยไปแล้ว” ให้ลองดูตัวอย่างภาพต่อไปนี้

IMG_6418
ภาพนี้คือต้นตำลึกที่ขึ้นมาเกาะต้นไม้ใหญ่ ใบอ่อนสีเขียวโดนแสงแดดส่อง ช่างภาพมองเห็นก็พอรู้ด้วยประสบการณ์ว่ามุมที่สวยน่าจะถ่ายย้อนแสง แสงแดดที่กระทบใบตำลึงจะทำให้ใบเรืองแสง ฉากหลังที่ไม่โดนแสงจะสีเข้ม ทำให้ใบไม้ยิ่งเด่นขึ้นไปอีก ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพสวยสำหรับผมแล้ว ดังนั้น ก่อนจะมาเป็นภาพนี้ จะให้ดูว่าผ่านภาพแบบไหนมาบ้าง

เริ่มจากเดินออกมาที่หน้าบ้านแล้วก็พบว่า ต้นไม้ใหญ่มีใบไม้เกาะอยู่ และมีแดดส่องพอดี และคิดจบในหัวแล้วว่าเราจะต้องถ่ายภาพใบตำลึงในมุมมองที่สวยแปกตา เลยหยิบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากเราเห็นภาพนี้

IMG_6419

หลังจากนั้นเราก็เดินดูรอบๆสิ่งที่น่าสนใจ ผมรู้แล้วว่าผมอยากได้ภาพใบตำลึง ก็เลยเดินดูรอบๆ ไปดูหน้าหน้าก็เห็นภาพนี้

IMG_6408

กล้องในมือก็คือ eos m ติดเลนส์ kit ที่แถมมาพร้อมกับกล้อง เป็นเลนส์ซูม 18-55มม. เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ราคาต่ำที่สุด และเลนส์ก็เป็นเลนส์ที่มีแต่คนถอดขายทิ้ง อัพเกรดไปเป็นตัวอื่น แต่ผมชอบเลนส์ตัวนี้เพราะมันคุณภาพพอใช้ได้ และราคาถูก ใช้แบบไม่ต้องระวัง ฟิลเตอร์คุณภาพสูงบางชิ้นยังแพงกว่าเลนส์ตัวนี้ นั่นหมายความว่าผมใช้เลนส์ตัวนี้ไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ก็ได้ เราจะได้คุณภาพที่สูงที่สุดจากเลนส์เพียวๆไม่ใส่ฟิลเตอร์ เพราะมีความเชื่อว่า best filter is no filter มองภาพด้วยตาเปล่าสวยกว่ามองผ่านแว่นตา ถ้าคุณไม่สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ

ลองถ่ายภาพใกล้เข้าไปอีกหน่อย ตัดสิ่งที่ไม่น่าสนใจในภาพด้วยการเลือกถ่ายเฉพาะต้นไม้และใบไม้ ขวดน้ำไม่ได้หยิบออกเพราะว่าสุดท้ายจะเข้าใกล้กว่านี้ เลยไม่จำเป็นต้องหยิบตอนนี้

IMG_6409

แล้วก็ขยับกล้อง พร้อมกับซูมภาพเข้าไปอีกให้เหลือแต่ต้นไม้กับใบไม้ ซึ่งก็ให้ลักษณะภาพที่ดูดีขึ้น ซึ่งภาพใบไม้เกาะต้นไม้ใหญ่แค่ภาพนี้ก็พอจะใช้นำไปเขียนบทความเกี่ยวกับใบตำลึงได้แล้ว

IMG_6410

ลองซูมเลนส์ให้ได้ภาพใหญ่ขึ้น เข้าใกล้มากขึ้นก็จะได้ภาพที่ใบตำลึงเด่นขึ้น แต่การเข้าใกล้มาก ก็จะมีผลตามมาด้วยคือระยะชัดของใบไม้ครอบคลุมไม่ครบทั้งใบ บางส่วนของใบไม่ชัด และรวมถึงมือก็อาจจะสั่นด้วยทำให้ภาพไม่คมชัด

IMG_6411

ผ่านสามภาพนี้ไปเราก็ได้ภาพที่ดูน่าสนใจขึ้นแล้ว แต่จากการที่ดูภาพมานาน และเคยถ่ายภาพต้นไม้ใบไม้มาแล้วเลยลองไปถ่ายจากด้านหลังบ้าง เพราะการถ่ายภาพย้อนแสงก็สามารถให้ภาพที่ดีได้

IMG_6413

ลองถอยออกมาอีกนิด ปรับภาพให้มีใบเรียงตัวกันแนวตั้ง ลองถ่ายมุมที่ห่างออกมาหน่อยก็พบว่าให้ภาพที่สวยขึ้น

IMG_6412

จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไปถ่ายภาพแนวนอนบ้าง เพราะอยากจะเก็บเฉพาะใบเดียวเด่นๆไปเลย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองเปลี่ยนลักษณะภาพไปเรื่อยๆ และก็พบว่าภาพมุมนี้ถูกใจตัวเราที่สุด

IMG_6415

จริงๆจะหยุดแค่นี้ก็ได้ ภาพที่พอใจเราถ่ายด้วยรูรับแสง f5.6 ซึ่งเป็นระยะรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์ที่ช่วงซูมสูงสุดของเลนส์คือ 55มม. การใช้รูรับแสงกว้างจะทำให้ระยะชัดน้อย อาจจะดีกับบางภาพ แต่ถ้าลองใช้รูรับแสงแคบลงไปหน่อยเพื่อให้ระยะชัดมากขึ้น จะได้ผลที่แตกต่างไปอีกเล็กน้อย กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ลองได้เลย

IMG_6418

ภาพสุดท้ายนี้คือมุมภาพเหมือนเดิมแต่ปรับรูรับแสงให้มากขึ้นเป็น f11 ซึ่งจะทำให้มีระยะชัดมากขึ้น ฉากหลังจะไม่เบลอเท่ารูรับแสงกว้าง เราได้รายละเอียดในส่วนของใบและต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ส่วนของลำต้นที่มีรายละเอียดปรากฏให้เห็นทำให้ภาพดูสวยกว่าเดิม ความเบลอที่ทำให้ภาพสวย กับการลดความเบลอแล้วภาพสวย เป็นสิ่งที่ต้องทดลองทำ เห็นภาพถึงจะรู้คำตอบ ดังนั้น กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ก็ทดลองไป

การถ่ายภาพให้สวยเป็นเรื่องของการค้นหา ทดลอง ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ภาพสวย และภาพที่สวยจะตามมาหลังจากที่เราถ่ายภาพไม่สวยไปครบแล้ว ดังนั้น การหัดถ่ายภาพต้องถ่ายให้เยอะ ผ่านภาพไม่สวยมาให้ครบทุกแบบเราถึงจะถ่ายภาพได้สวยตามที่คาดหวัง เมื่อเจอสิ่งที่อยากถ่าย ให้ลองมองรอบๆ เดินดู มองหา ทดลองถ่าย เปลี่ยนระยะภาพ เปลี่ยนตำแหน่งที่ยืน กล้องอยู่ในมือ เวลาเหลือเฟือ ทดลองไปเรื่อยๆ จะผ่านไปร้อยรูปก็ไม่ผิด ถ้ารูปสวยจะมาเป็นรูปที่ร้อยหนึ่ง ก็แค่ถ่ายให้ผ่านร้อยภาพที่แตกต่างกัน เรียนรู้ทุกภาพที่ถ่าย เดี๋ยวก็ถึงภาพที่สวยเอง


ส่งซ่อมเลนส์ canon 24-105f4L

IMG_3054

เลนส์ canon 24-105f4L ที่ใช้งานมานานหลายปีในมือผม และอาจจะนานอีกหลายปีในมือคนอื่นก่อนหน้านี้ก็คงถึงเวลาที่มันจะโทรม และเสีย อาการเสียของเลนส์ที่พบก็คือ เมื่อถ่ายด้วยค่า f ที่มากกว่า f4 กล้องจะขึ้น error แล้วก็หยุดการทำงาน ต้องปิดแล้วเปิดใหม่ แต่ถ้าตั้งค่า f เอาไว้แค่ f4 หรือ ค่ารูรับแสงกว้างสุดของเลนส์กล้องจะทำงานปกติ ถ่ายได้ปกติ สันนิษฐานว่า การใช้รูรับแสงที่กล้องต้องสั่งให้เลนส์หรี่รูรับแสงให้แคบลงจะทำให้ระบบมีปัญหา ระบบการควบคุมรูรับแสงคงเสียหายอยู่ ก็เลยจัดการส่งไปที่ศูนย์เพื่อซ่อมแซม

20220806191710_IMG_0007

ศูนย์ canon อยู่ที่อาคารสาธรทาวเวอร์ อยู่หัวมุมสี่แยกถนนนราธิวาสตัดสาธร ที่ศูนย์แห่งนี้ในปัจจุบันมีลูกค้าแวะเวียนไปไม่มาก ไม่รู้ว่าเพราะกล้องเสื่อมความนิยม หรือ โควิดทำให้คนน้อย หรือแม้แต่โควิดทำให้กล้องไม่ค่อยถูกใช้งาน ปริมาณกล้องเสียเลนส์เสียเลยไม่เยอะ ก็ได้แต่เดาไปเรื่อย เมื่อส่งไปซ่อม ช่างก็ตรวจสอบอาการอยู่หลายวัน แล้วก็โทรกลับมาแจ้งค่าใช้จ่ายพร้อมอธิบายอาการเสีย และอธิบายราคาค่าซ่อมต่างๆ และราคานี่แหละที่ทำให้ตกใจมาก

เจ้าหน้าที่ศูนย์ canon อธิบายว่า เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์หิ้ว ไม่ได้ขายผ่านระบบของประเทศไทย ทำให้ราคาค่าบริการต่างๆต้องคิดราคาเต็ม ไม่มีส่วนลด เพราะปกติ ค่าบริการอุปกรณ์ที่ขายผ่านตัวแทนประเทศไทยจะคิดค่าบริการลดราคา 50% คิดค่าอะไหล่ลดลง 30% (ผมอาจจำผิดเพราะเขียนโพสท์นี้หลังจากรับเลนส์กลับมาใช้งานนานเป็นเดือนแล้ว) นั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเลนส์ครั้งนี้อยู่ที่ 8368.47 บาท ตอนที่รู้ราคาก็ตกใจพอสมควร และในวินาทีที่คุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ ผมก็ย้อนนึกไปถึงตอนที่ซื้อเลนส์ตัวนี้มา ผมซื้อมือสองจากร้านกล้องถ่ายภาพ โดยผมซื้อบอดี้มือหนึ่งเป็นของตัวแทนไทยมีประกันถูกต้องทุกอย่าง แต่ผมเลือกใช้เลนส์มือสองเพราะเห็นว่าราคาถูกลงไปจากราคามือหนึ่งประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะด้วยความเชื่อมั่นว่าเลนส์เกรดโปรของ canon จะทน และสามารถซ่อมได้เกือบทุกอาการ ดังนั้นผมก็เสี่ยงกับของมือสองได้ แต่ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่าเลนส์จะเป็นของหิ้ว คิดว่ามันคงเป็นมือสองประกันศูนย์ ซึ่งตอนซื้อก็ไม่ได้ถามว่ามันเป็นของหิ้วหรือของประกันศูนย์

IMG_20220806_210154

กลับมาที่การสนทนากับศูนย์ canon ผมรู้ว่าราคาเลนส์ตัวนี้ที่เป็นมือสองในปัจจุบันซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 9000-12000 บาท แล้วแต่สภาพ ณ นาทีนั้้นผมลังเลอยู่ว่าจะยกเลิกการซ่อมแล้วไปซื้อมือสองใช้ดีไหม แต่คิดแล้วก็ไม่อยากเสี่ยงว่าถ้าซื้อมือสองมาแล้วจะมาเจออาการเสียแบบรูรับแสงหมดอายุแบบนี้หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจซ่อมในราคาตามที่แจ้ง จ่ายแปดพันกว่าบาทแล้วได้ของที่ซ่อมบำรุงเรียบร้อยกลับมาใช้น่าจะดีกว่าไปเสี่ยงกับมือสองตัวอื่นๆ

พอพ้นเรื่องราคาไปแล้ว ผมก็คุยกับเจ้าหน้าที่ต่ออีกสักพัก ถามเรื่องระยะเวลาที่ศูนย์จะสต๊อคอะไหล่ของเลนส์รุ่นต่างๆว่าจะมีให้ซ่อมไปอีกนานแค่ไหน เพราะได้ข่าวว่า canon จะเลิกผลิตกล้อง DSLR และจะทำให้เลิกผลิตเลนส์เม้าท์ EF ด้วยแน่ๆ เนื่องจากตอนนี้ canon ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาระบบกล้องและเลนส์รุ่นใหม่อย่าง Eos R พร้อมเลนส์ชนิด RF ที่เป็นเม้าท์เลนส์ชนิดใหม่แต่เพียงอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลว่า เลนส์หลายๆตัวของ canon จะสต๊อคอะไหล่ไว้ประมาณอย่างน้อย 20 ปี นั่นหมายความว่าถ้าภายใน 20 ปี ก็น่าจะพอมีอะไหล่ให้ซ่อมได้ และยังมีเลนส์บางรุ่นอย่าง Ef 70-200L f2.8 ที่จะมีอะไหล่สต๊อคไว้ถึง 29 ปี นั่นถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมากสำหรับผลิตภัณฑ์สักตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจที่บริษัทพยายามดูแลช่างภาพที่ใช้อุปกรณ์เกรดโปรอย่างยาวนาน แต่ก็นับเป็นเรื่องเศร้าอีกประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมอยู่มานาน และกำลังจะถึงระยะเวลาที่เลนส์จะหมดเวลา 29 ปีแล้ว เพราะเลนส์ 70-200 f2.8 ถูกผลิตครั้งแรกปี คศ 1995 พอนับไป 29ปี มันก็จะไปถึงปี 2024 นั่นเอง ซึ่งมันคือเวลาอีกไม่นานแล้วหลังจากนี้

การซ่อมเลนส์ครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าการซื้อของมือสองทำไมเราถึงต้องสอบถามว่าเป็นของประกันศูนย์หรือประกันร้าน(ของหิ้ว) เพราะมันมีผลกับการคิดราคาค่าซ่อมและค่าอะไหล่ในอนาคตนั่นเอง ต่อไปก็จะได้ระวังไม่ซื้อของประกันร้านอีก จะได้ไม่ต้องตกใจตอนส่งซ่อมเหมือนครั้งนี้

รีวิวเลนส์ canon 24-105f4 L

IMG_20220713_162126

เลนส์ canon 24-105f4 L ตัวนี้เป็นเลนส์ซูมคุณภาพสูงจากค่าย canon ที่ทำออกมาขายหลายปีแล้ว โดยปกติเลนส์เกรดสูงของ canon จะใช้คำว่า L ติดไว้ในชื่อของเลนส์ เลนส์เกรด L จะมีคุณภาพของภาพที่คมชัด ใส และปกติจะไวแสง ส่วนมากก็จะมีรูรับแสงระดับ 2.8 หรือ น้อยกว่านี้ แต่ก็มีเลนส์ L บางตัวที่รูรับแสงแคบหรือเป็นตัวเลขที่มากกว่า 2.8 อย่างเช่นเลนส์ตัวนี้ที่มีรูรับแสง f4

IMG_3052

ความใสคือจุดเด่นของเลนส์ L และช่วงซูมที่กว้างระดับ 24-105mm ก็เป็นช่วงเลนส์ที่ได้ใช้งานบ่อยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การถ่ายภาพวิวโดยการใช้ช่วงที่เป็นมุมกว้าง การถ่ายภาพทั่วไปที่ใช้ช่วงซูม กลางๆ จนถึงถ่ายภาพบุคคลที่ใช้ช่วงเลนส์ 85 -105มม. เลนส์ตัวนี้เหมาะกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ที่มักจะได้พบตอนท่องเที่ยว การมีระบบกันสั่นทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยไม่เป็นปัญหา แค่สภาพแสงในบ้านที่พอมองเห็น หรือแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เลนส์ตัวนี้ก็บันทึกภาพเก็บแสงได้ ต่อให้ปริมาณแสงในภาพแม้จะน้อยไปกว่าที่กล่าวมาแต่ถ้าตามองเห็นมันก็มากพอสำหรับกล้องยุคใหม่ที่ตั้งค่าความไวแสงได้สูงลิบ

การใช้เลนส์ L เพื่อทำงานระยะยาวเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะนอกจากคุณภาพที่ดีมากแล้ว การบริการหลังการขายของ canon ก็ทำได้ดีน่าชื่นชม เลนส์เกรด L จะได้รับการดูแลในระบบศูนย์บริการที่ยาวนานมาก มีอะไหล่เอาไว้ซ่อมบำรุงไปอย่างน้อย 20 ปี บางรุ่นมีอะไหล่สต๊อคไว้ได้ถึง 29 ปี ตามข้อมูลที่พนักงานในศูนย์บริการได้เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และต่อให้ศูนย์จะเลิกสต๊อคอะไหล่ หรือ อะไหล่หมดจากบริษัทแล้ว โลกเราก็มีอุปกรณ์ยี่ห้อ canon ให้เราซื้อมือสอง ให้เราหาอะไหล่จากเลนส์เก่าไปได้อีกยาวนาน ใช้กันได้ตั้งแต่ลูกเกิดจนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เป็นไปได้

IMG_0262

2014-11-29 30 ขอบฟ้า เขาใหญ่-IMG_0067

IMG_0433
16:9

รีวิวเลนส์ Canon macro 100 mm

การถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพทั่วไปเราจะต้องมีอุปกรณ์คือตัวกล้องและเลนส์ กล้องคอมแพ็คจะเป็นกล้องพร้อมเลนส์ที่ติดเป็นตัวเดียวกัน ถอดแยกไม่ได้ ส่วนกล้องในระดับกึ่งอาชีพหรือระดับอาชีพจะเป็นกล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกซื้อเลนส์ที่เหมาะสมกับงานมาใช้ได้ และเลนส์มาโครก็เป็นเลนส์ที่สำคัญตัวหนึ่งของวงการถ่ายภาพ และยี่ห้อ canon ก็มีเลนส์มาโครให้เลือกใช้หลายตัว ตัวที่อยู่ในรีวิวนี้คือตัวที่ผมใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

sale2013-IMG_0220

หลักการของเลนส์มาโครก็คือ ต้องเป็นเลนส์ที่เข้าใกล้วัตถุได้ใกล้มาก จนได้ภาพใหญ่เต็มกรอบภาพ เลนส์ปกติที่แถมมากับกล้องจะถ่ายใกล้ได้ระดับหนึ่ง เราไม่สามารถถ่ายภาพเหรียญ 10 บาทให้เต็มเฟรมได้ เพราะว่า เลนส์แถมหรือเลนส์ทั่วไปเข้าใกล้วัตถุมากๆก็จะโฟกัสภาพไม่ได้นั่นเอง แต่กับเลนส์มาโครแท้ๆ จะเข้าใกล้ได้ ทำให้การถ่ายภาพสิ่งของเล็กๆทำได้สะดวก และแม้จะนำไปใช้กับการถ่ายภาพแนวอื่นก็ใช้ได้ด้วย เลนส์มาโครจึงเป็นที่นิยมของคนชอบถ่ายภาพ และมักจะเป็นเลนส์ตัวที่นักถ่ายภาพจริงจังมักจะซื้อ รวมถึงช่างภาพอาชีพที่ต้องทำมาหากิน ต้องถ่ายภาพสินค้าต่างๆก็ต้องซื้อเช่นกัน

IMG_8928

เลนส์มาโครมักจะเป็นเลนส์ที่ซื้อแล้วไม่มีการอัพเกรด เพราะเลนส์มาโครให้ภาพที่คมชัดสวยงามเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และมันก็เป็นเลนส์ที่ให้รายละเอียดได้สูงมาก แทบจะคมชัดที่สุดในบรรดาเลนส์ที่มีขาย รวมถึงการถ่ายภาพมาโครก็ต้องการความชำนาญที่มากขึ้น นักถ่ายภาพที่ชอบมาโครก็จะมีความสามารถมากกว่าช่างภาพมือใหม่ ทำให้ภาพที่ออกจากเลนส์มาโครมักจะมีคุณภาพที่ดี และมันก็ดีจนหลายคนอยากใช้เลนส์มาโคร

IMG_0149

ของที่ไม่เล็กมาก หรือสิ่งของทั่วไปก็ใช้เลนส์มาโครถ่ายได้ เพราะหากใช้งานในระยะปกติที่ไม่ได้เข้าใกล้วัตถุมากๆ เลนส์มาโครก็คือเลนส์ธรรมดาตัวหนึ่ง ใช้ถ่ายสิ่งของ ถ่ายคน ถ่ายวิว ถ่ายทุกอย่างได้ไม่ต่างกันกับเลนส์ทั่วไป แต่ข้อได้เปรียบในเรื่องความสวยงามจะมีมากกว่า เพราะเลนส์คมกว่า สีสวยกว่า และถูกใช้งานผ่านมือนักถ่ายภาพที่ฝึกฝนมามากกว่านั่นเอง

20210322132629_IMG_0796

ภาพมาโครจะมีเสน่ห์ตรงที่มันเป็นภาพแปลกตา เราไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาเปล่า งานสิ่งพิมพ์บางชนิดที่ดูด้วยตาเปล่าเราอาจจะไม่เห็นความน่าสนใจ แต่ถ้าเราใช้เลนส์มาโครถ่าย เข้าไปใกล้ๆกระดาษ เราจะเห็นเนื้อกระดาษที่มีร่องรอย มีพื้นผิวที่ไม่เรียบ มีรอยพิมพ์ที่กดจมเป็นตัวหนังสือ สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพถ่ายมาโคร หรือภาพจากเลนส์มาโครเป็นภาพที่สวยน่ามอง การพกเลนส์มาโครไปถ่ายภาพสารพัดก็เลยทำให้เรามีโอกาสได้ภาพที่สวยมากขึ้น

IMG_4368

เลนส์ทุกตัวจะมีจุดที่ชัดที่สุดคือจุดที่เลนส์ปรับโฟกัสไว้ หลายครั้งเราก็เรียกว่าเลนส์มาโครมีลักษณะชัดตื้นเป็นหลัก คือส่วนที่ชัดมีนิดเดียว ส่วนที่อยู่นอกจุดโฟกัสจะค่อยๆเบลอ และจะยิ่งเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ภาพถ่ายมีความน่ามอง แต่เราก็มีวิธีทำให้ช่วงชัดมีมากขึ้น หรือมีระยะชัดลึกเพิ่มขึ้นด้วยการหรี่รูรับแสงลงไป หรือปรับรูรับแสงให้เป็นตัวเลขมากๆนั่นเอง อย่างเช่น การถ่ายอาหารให้ชัดทั้งจานอาจจะต้องใช้ค่ารูรับแสงประมาณ f16 หรือ f22 ภาพแหวนที่อยากให้ชัดทั้งเกือบทั้งวงอาจต้องใช้ค่า f 32 ก็ได้

IMG_8401
IMG_0186

เลนส์มาโครนิยมนำมาถ่ายสิ่งของโดยเน้นบางส่วนของสิ่งของเหล่านั้น เป็นลักษณะการจัดองค์ประกอบแบบหนึ่งในทฤษฎีถ่ายภาพ ซึ่งเป็นแค่แนวทาง ไม่ใช่กฏตายตัว เราเลยได้เห็นภาพมาโครของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะดอกไม้ เจ้าของเลนส์มาโครที่นำไปถ่ายดอกไม้ อย่างน้อย จะต้องมีภาพเกสรดอกไม้เก็บไว้

IMG_8926
IMG_8933
2019-12-04_03-53-59

เรายังสามารถใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพคนได้ด้วย ด้วยความที่เลนส์มีลักษณะพิเศษคือ มีความคมชัดสูง ให้รายละเอียดได้สูง เราจะบอกว่าเลนส์มาโครเป็นเลนส์ที่ใกล้เคียงอุดมคติก็ได้ การถ่ายภาพให้ชัดเป็นเรื่องที่ดี การถ่ายคนด้วยเลนส์มาโครก็จะได้ภาพคมชัดมาก รายละเอียดบนหน้า เส้นผม ขนตา ร่องรอยต่างๆเห็นชัดทั้งหมดหากถ่ายอย่างถูกต้องและจัดแสงอย่างเหมาะสม แต่ก็มีผู้หญิงอีกหลายคนเคยให้ความเห็นว่า ถ่ายด้วยเลนส์มาโครนั้นชัดเกินไป สิวฝ้า รอยกระรอยด่างก็เห็นทั้งหมดเลย กลายเป็นข้อเสียของสาวๆไป แต่นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเลนส์มาโครให้รายละเอียดในภาพได้ดีมากนั่นเอง สามารถดูวิธีการถ่ายภาพเด็กครึ่งตัวได้ที่นี่

IMG_4387

เลนส์ในค่าย canon มีเลนส์มาโครสำหรับเม้าท์ EF หรือกล้องฟิล์ม อยู่ 3 ตัว ตัวแรกที่เป็นตัวยอดนิยมมายาวนานคือ macro100mm เป็นเลนส์ทางยาวโฟกัส 100 มม. รูรับแสงกว้างสุด 2.8 หากใช้ถ่ายภาพโดยการปรับให้เข้าใกล้วัตถุมากที่สุดจะได้อัตราขยาย 1:1 ก็คือของใหญ่เท่าไหร่ ก็จะเกิดเป็นภาพบนฟิล์มใหญ่เท่ากัน นั่นเป็นเหตุผลที่บอกไว้ในตอนต้นว่า เลนส์มาโครแท้ๆหรือเลนส์ที่ให้ขนาดภาพได้ถึง 1:1 จะถ่ายเหรียญ 10 บาทได้เต็มเฟรมนั่นเอง ซึ่ง ในภายหลังช่วงไม่กี่ปีนี้ก็ได้มีการปรับปรุงเลนส์ macro100 ตัวนี้ให้เป็นรุ่น 2 โดยมีสเป็คเหมือนเดิมแต่เพิ่มส่วนของ IS หรือ image stabilizer เข้ามาด้วย

20210327170149_IMG_0071

เลนส์มาโครอีกตัวหนึ่งที่เป็นของ canon ก็คือ macro50mm ทางยาวโฟกัส 50 มม. เป็นเลนส์มาโครเช่นกัน เข้าใกล้วัตถุได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ใกล้มาก ให้ภาพใหญ่ได้เพียง 1:2 หรือให้ภาพได้ใหญ่แค่ครึ่งเดียวของ macro100 แต่หากจะใช้ถ่ายภาพให้ได้ภาพระดับ 1:1 ก็จะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เพื่อทำให้เลนส์สามารถเข้าใกล้วัตถุได้มากกว่าสเป็ค แต่การใช้งานก็จะยุ่งยากกว่าเล็กน้อย

ยังมีเลนส์มาโครอีกตัวหนึ่งแต่เป็นตัวไม่ฮิตมาก ให้ภาพได้ใหญ่มากระดับ 5:1 นั่นคือเลนส์ MP-E65 แต่ก็จะเป็นเลนส์ที่ใช้ถ่ายภาพทั่วไปไม่ได้เลย เพราะระยะโฟกัสจะออกแบบมาใกล้มาก ทำให้ถ่ายภาพบุคคลหรือภาพวิวไมไ่ด้ มีแต่นักถ่ายภาพระดับจริงจังบ้าบิ่นเท่านั้นที่จะใช้เลนส์มาโครเฉพาะทางตัวนี้ ภาพที่ออกจากเลนส์ตัวนี้ก็จะเป็นภาพแนว ตาแมลงวัน ขาแมลง รูสอดเส้นด้ายของเข็มเย็บผ้า อัตราขยายระดับนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางมากๆ

ข้อดีของเลนส์ macro 100 รุ่น 1

ใช้ถ่ายมาโครได้ 1:1

ให้สีสันสวยงาม สีสวยมาก รายละเอียดสุดยอด

ใช้ถ่ายภาพจากฟิล์มสไลด์ เพื่อทดแทนเครื่องสแกนฟิล์ม

ข้อเสีย

จริงๆต้องบอกว่าไม่มี แต่ถ้าจะให้หามาเปรียบเทียบก็ต้องคุยกันเรื่องราคา เพราะปัจจุบัน macro100 รุ่น 1 ไม่มีขายแล้ว ราคาเคยมีตั้งไว้ระดับหมื่นปลายๆ แต่พอหมดรุ่น แล้วปรับมาเป็นรุ่น 2 ราคาก็เพิ่มขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว ทำให้ราคาแพงมาก

20210327142015_IMG_0027

ถ้าจะต้องพกเลนส์ตัวเดียวเพื่อถ่ายอเนกประสงค์ โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นภาพมุมกว้าง การเลือกใช้เลนส์มาโครก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะใช้ถ่ายภาพบุคคลก็ได้ ใช้ถ่ายภาพมาโครก็ได้ เราสามารถหาเลนส์ macro 100 มือสองได้ในราคาไม่แพง เพราะความนิยมของกล้องดิจิทัลแบบ Full frame ไม่ค่อยสูง นักถ่ายภาพรุ่นใหม่ๆจะไปเริ่มกับระบบกล้อง mirrorless ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์รับภาพที่เล็กกว่า นั่นก็ทำให้มีเลนส์มาโครที่ออกแบบมาเฉพาะของระบบเซ็นเซอร์เล็กด้วย และเลนส์ในกลุ่มนี้ก็จะมีราคาซื้อขายที่แพงกว่าเลนส์ตัวเก่าที่ไม่นิยม เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ราคามือสองของเลนส์ macro100 เม้าท์ EF เท่ากันหรือถูกกว่าเลนส์ macro60 เม้าท์EFS ที่เป็นของระบบเล็ก ใครหาเลนส์มาโครใช้ก็ไปช้อนซื้อเลนส์ macro100 ไว้ได้เลย ของดีราคาที่โลกเมิน คุ้มค่ารีบสอย

20210323162351_IMG_0815

20210327212516_IMG_0025

20200906175953_IMG_4321

IMG_0428

IMG_20191203_201814

IMG_0086

2018-10-14 08.28.52 2

รีวิว กล้อง canon eos 6d และเลนส์ ef 24-105 F4L

24-105f4L
IMG_0262

กล้องที่ดีที่สุดก็คือกล้องที่อยู่ในมือของเรา อะไรก็ได้ที่ทำให้เราได้ออกไปถ่ายภาพด้วยความมั่นใจ

การถ่ายภาพที่สนุกสนานและคล่องตัวเราจะนิยมใช้เลนส์ซูมมากกว่าเลนส์เดี่ยวหรือเลนส์ฟิกซ์ และมีความเชื่อที่บอกต่อกันมายาวนานว่าเลนส์ซูมคุณภาพต่ำกว่าเลนส์ฟิกซ์ ซึ่งมีความจริงและไม่จริงอยู่ในคำกล่าวนี้

IMG_0421

กล้องกึ่งโปร กึ่งจริงจัง รวมถึงกล้องถ่ายเล่นมักจะแถมเลนส์ซูมติดกล้องมาตัวหนึ่ง สมัยเป็นกล้องฟิล์มก็อาจจะเป็นเลนส์ 35-70 35-80 28-70 28-90 มม. รูรับแสงประมาณ f4-5.6 ซึ่งเลนส์ตัวเลขเหล่านี้เป็นเลนส์คิทติดกล้องกลุ่มราคาประหยัดมาตลอด เลนส์ซูมที่ราคาสูงขึ้นและนักถ่ายภาพนิยมอัพเกรดขึ้นไปก็จะมีเลนส์ระยะประมาณ 28-105 24-85 24-105 24-135 28-200 มม. ซึ่งเลนส์กลุ่มที่สองนี้จะมีคุณภาพสูงขึ้น รูรับแสง 3.5-4.5หรือ 5.6 หากซูมยาวๆแต่ก็ยังอยู่ในเกรดเลนส์ของมือสมัครเล่นเช่นเดิม แม้ว่าคุณภาพมันจะดีน่าใช้แล้ว แต่กลุ่มโปรก็ยังตะขิดตะขวงใจที่จะใช้ บ้างก็ว่าภาพไม่ใสเท่าเลนส์โปร รูรับแสงไม่กว้างเท่าเลนส์โปร เพราะเลนส์เกรดโปรมักจะมีรูรับแสง f2.8 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยระดับราคาที่ไม่แพงเท่าเลนส์โปร จะทำให้คุณภาพเท่ากันก็ผิดปกติแล้ว

IMG_0252

ยังมีข้อจำกัดทางกายภาพของกล้องฟิล์มอีกประการหนึ่งคือ ระบบโฟกัสจะทำงานได้ดีมากกับเลนส์รูรับแสงกว้าง และจะทำงานได้แย่ลงเมื่อรูรับแสงของเลนส์แคบลง ดังนั้น เลนส์ f4-5.6 จะโฟกัสไม่ไวมากเท่าเลนส์ f2.8 ตรงนี้เป็นเรื่องจริงของกล้องถ่ายภาพยุคฟิล์ม และกล้องแมน่วลโฟกัสบางรุ่นก็จะปรับโฟกัสแบบ split image ไม่ได้เลยถ้าใช้กับเลนส์รูรับแสงแคบหรือเลนส์ไม่สว่าง

คราวนี้ ทางค่ายกล้องก็เล็งเห็นว่า เลนส์โปรเกรดสูง รูรับแสง f2.8 เป็นเลนส์ที่ใหญ่ หนัก ราคาแพง คุณภาพสูงมาก และนักถ่ายภาพจำนวนน้อยเท่านั้นที่เอื้อมถึง ระดับราคาของเลนส์โปรและเลนส์สมัครเล่นมีช่องว่างที่กว้างมาก ก็เลยมีแนวคิดที่จะทำเลนส์คุณภาพโปรแต่ราคาลดลงมานิดหน่อยออกมาขาย รูรับแสง 2.8 ที่หนักและแพงก็ปรับเป็น รูรับแสง f4 ที่เบาและเล็กกว่า และทำให้ราคาปรับลงมาได้เกือบครึ่งของเลนส์โปร นั่นทำให้นักถ่ายภาพกลุ่มสมัครเล่นที่อยากได้ของราคาไม่แพงเริ่มสนใจเลนส์กลุ่มที่สามนี้ และ canon ก็ปล่อยเลนส์ 24-105f4L ออกมาให้เราได้ซื้อกัน

20200209122304_IMG_0147

เลนส์ 24-105 นับว่าเป็นเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสครอบคลุมการใช้งานเกือบจะทุกสถานการณ์ มันถ่ายภาพวิว ภาพมุมกว้างได้มากกว่าเลนส์คิทในอดีต มันมีช่วงเทเล่ที่ใช้ถ่ายภาพบุคคลได้สมส่วนภาพไม่เพี้ยน นั่นทำให้เลนส์นี้นับได้ว่าเป็นเลนส์อเนกประสงค์จริงๆ นักถ่ายภาพสมัครเล่นก็อัพเกรดขึ้นมาใช้เป็นจำนวนมาก ช่างภาพโปรก็ซื้อไว้เป็นเลนส์สำรองได้ เพราะคุณภาพดีเพียงพอสำหรับงานโปรฯ

IMG_0257

ในอดีตยุคของฟิล์ม การใช้เลนส์โปร รูรับแสงกว้างระดับ 2.8 เป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้มั่นใจว่าสามารถถ่ายภาพในหลากหลายสถานการณ์ได้ เพราะฟิล์มมีค่าความไวแสงไม่มาก นั่นทำให้เลนส์ไวแสงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในยุคดิจิทัล ความไวแสงของกล้องสามารถเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันเรามีกล้องที่ตั้งค่าความไวแสงระดับ iso 3200 หรือ 6400 หรือมากกว่าให้ใช้ ซึ่งหาไม่ได้ในฟิล์มถ่ายภาพ นั่นหมายความว่า ค่ารูรับแสง F2.8 สามารถถูกทดแทนด้วย F4 ได้ง่ายดาย ความแตกต่างของรูรับแสง 2.8 และ 4 ในด้านปริมาณแสงสามารถชดเชยได้ด้วยความไวแสงของกล้องที่ตั้งให้สูงขึ้นได้ ส่วนฉากหลังที่นุ่มเบลอของ 2.8 เทียบกับ 4 ก็ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางทีถ้าเลือกมุมกล้องดีๆเราอาจแยกไม่ออกเลยก็ได้ เลนส์ F4 จึงเป็นเลนส์ที่น่าสนใจมากสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน

20191214161856_IMG_0124

เลนส์ ef 24-105 F4L เป็นเลนส์ที่มีความคมชัดสูงกว่าเลนส์คิทเกรดล่าง มีความใสของภาพในระดับเลนส์ L ของค่าย canon การทำงานของมอเตอร์หมุนเลนส์แบบ usm เพื่อโฟกัสภาพทำได้นิ่มนวล เงียบ เสียงเลนส์หมุนตัวเพื่อโฟกัสภาพไม่ได้ดังสร้างความน่ารำคาญ มันสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างเหมือนเลนส์เกรดโปร แต่ราคาจับต้องได้ และภาพที่แสดงในบทความนี้ก็จะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 24-105F4L บนกล้อง Eos 6D เป็นหลัก

2014-11-29 30 ขอบฟ้า เขาใหญ่-IMG_0067

ในสภาพแสงที่ดี และลักษณะภาพที่ต้องการระยะชัด การใช้รูรับแสงแคบประมาณ f8 หรือ f11 เลนส์ส่วนใหญ่จะให้คุณภาพความคมชัดที่สูงมาก และเลนส์เกรดโปร กับ กึ่งโปรก็แทบจะคุณภาพไม่ต่างกันที่รูรับแสงกลางๆค่านี้ รวมถึงแม้เราจะมีรูรับแสงของเลนส์โปร f2.8 แต่ในทางปฏิบัติ ที่สภาพแสงมากๆ เราก็อาจไม่ได้ใช้รูรับแสงกว้างที่สุดก็ได้ กล้องส่วนมากถ่ายด้วยความไวชัตเตอร์สูงสุดได้ที่ 1/4000 วินาที ซึ่งหากเราใช้รูรับแสงกว้างที่สุดระดับ f2.8 ความไวชัตเตอร์ที่ต้องใช้ถ่ายภาพในที่แสงจัดก็อาจสูงเกิน 1/4000 วินาที และการถ่ายได้แค่ 1/4000 วินาทีก็อาจจะทำให้ภาพออกมาสว่างเกินไป ทำให้เราอาจจะต้องลดรูรับแสงลงไปเป็น f4 หรือ f5.6 เสียด้วยซ้ำ และนี่คือคำตอบของเลนส์ f4 เกรด L ของกล้อง canon ที่ออกเลนส์สเป็คนี้ออกมา เลนสมุมกว้างอย่าง 17-40F4L กับ 24-105F4L และเลนส์ 70-200F4L ให้ความคมชัดในระดับสุดยอดเทียบเท่าเลนส์โปร แต่ราคาลดลงมาเหลือแค่ครึ่งเดียว ทำให้นักถ่ายภาพที่จริงจังแต่งบน้อยสามารถซื้อหามาใช้ได้ไม่เดือดร้อนมาก

เด็กห้าคน 4jan2015-IMG_0219

การใช้เลนส์ซูมเกรดโปรจะมีข้อดีตรงที่ราคาเลนส์จะประหยัดกว่าการซื้อเลนส์ฟิกซ์ที่ครบช่วง อย่างเช่น หากเราเปรียบเทียบเลนส์อย่าง 70-200f2.8L ที่เป็นเลนส์เทเลซูมเกรดโปร คุณภาพดีมาก เทียบได้กับการที่เรามีเลนส์ 70 85 100 135 200 มม. หรือเท่ากับเลนส์ฟิกซ์ 5 ตัว ซึ่งเลนส์เดี่ยวที่คุณภาพดีเท่านี้จำนวน 4 ตัว ราคารวมกันแพงกว่าเลนส์ซูมตัวเดียวเสียอีก ดังนั้นการใช้เลนส์ซูมเกรดโปรนอกจากจะสะดวกแล้วยังได้ราคาเลนส์ทั้งระบบที่ถูกลงด้วย แน่นอนว่า คุณภาพเลนส์ฟิกซ์จะสูงมาก แต่เลนส์ซูมเกรดโปรก็ทำได้ดีใกล้เคียงกัน บางครั้งผมยังรู้สึกว่า เลนส์ซูมเกรดโปรให้คุณภาพดีทัดเทียมกับเลนส์ฟิกซ์ด้วยซ้ำไป

IMG_0049_3
IMG_0015

กล้องที่ดีที่สุดก็คือกล้องที่อยู่ในมือของเรา อะไรก็ได้ที่ทำให้เราได้ออกไปถ่ายภาพด้วยความมั่นใจ เลนส์โปรราคาครึ่งเดียวแบบเลนส์ F4 เกรด L ก็ช่วยให้เราได้ภาพคุณภาพสูงแบบมืออาชีพได้ ทั้งถ่ายแนวท่องเที่ยว แนวรับจ้าง ได้หมด เลนส์ 24-105F4L เป็นเลนส์ที่ตอบสนองการใช้งานได้คลอบคลุมเกือบทั้งหมดของโลกการถ่ายภาพ ถ้าจะพกเลนส์ตัวเดียวออกทริปที่ไม่รู้ว่าจะพบเจอสถานการณ์อะไรบ้าง ผมก็คงเลือกเลนส์ 24-105F4L ตัวนี้เป็นตัวแรก

IMG_0113

ใช้เลนส์ kit ให้ถูกใจ

กล้องถ่ายภาพในปัจจุบันมักจะขายมาพร้อมกับเลนส์ติดกล้องมาสักตัวหนึ่ง สมัยก่อนถ้าเราซื้อกล้องฟิล์มรุ่นล่างๆ อย่างกล้อง SLR ราคาประมาณ 1-2หมื่นบาท เราก็จะได้เลนส์ติดกล้องมาด้วยเป็นเลนส์ช่วงระยะประมาณ 28-80มม. ซึ่งเป็นเลนส์เกรดล่างสุดของค่าย ไม่ว่าจะเป็น nikon หรือ canon ก็จะมีเลนส์ระดับนี้แถมให้กับกล้องราคาประหยัด

13jul2008_MG_4994

พอมาเป็นยุคดิจิทัล กล้องพัฒนามาเป็นกล้อง DSLR กล้องราคาประหยัดระดับเริ่มต้นของค่ายก็จะใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาดเล็กกว่าฟิล์มเล็กน้อย เราจะเรียกว่าขนาด APSC เมื่อใส่กับเลนส์ปกติ มุมรับภาพจะแคบลง เหมือนเลนส์จะมีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้น เช่น เลนส์ 50มม. ที่เคยใช้กับกล้องฟิล์ม เมื่อนำไปใช้กับกล้อง DSLR เซ็นเซอร์เล็กระดับ APSC ก็จะรับภาพคล้ายๆเลนส์ 80mm เราก็เลยเรียกว่า กล้องตัวคูณ 1.6X หรือ เอาไปใช้กับเลนส์อะไร ก็จะมีมุมรับภาพเหมือนเลนส์ตัวนั้นคูณด้วย 1.6เท่า 50มม เลยกลายเป็น 80มม. และเลนส์แถมมากับกล้องก็จะให้มาเป็น 18-55มม. นั่นเอง และเมื่อพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ เลนส์ 18-55 รุ่นหลังๆก็จะมีระบบ is หรือ image stabilizer มาให้ด้วย

16apr2008_MG_3474

เดิมเลนส์ 18-55 ของค่าย จะมีคุณภาพธรรมดา ไม่น่าสนใจ นักถ่ายภาพระดับสมัครเล่นเมื่อซ์้อกล้องพร้อมเลนส์มาแล้วก็จะทะยอยอัพเกรดเลนส์ติดกล้อง เริ่มหาเลนส์ 18-135 17-85 มาใช้ เหตุผลส่วนใหญ่ที่อัพเกรดก็เพราะอยากได้ระยะโฟกัสที่เพิ่มขึ้น และอยากได้คุณภาพที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ บางคนซื้อกล้องรุ่นใหญ่แบบไม่เอาเลนส์คิทหรือเลนส์แถมก็มี

cs2c_MG_3313

ในช่วงที่กล้อง DSLR เริ่มแถมเลนส์คิทตัวใหม่อย่าง 18-55is เป็นช่วงเวลาที่เลนส์แถมเริ่มมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา นักถ่ายภาพหลายคนติดอยู่กับความเชื่อเก่ากว่าเลนส์แถมเป็นของคุณภาพต่ำ แต่ของแถมในยุคที่เป็นเลนส์ 18-55is นั้นเป็นของแถมที่มีคุณภาพดีมาก หลายภาพที่ได้เห็นจากในอินเทอเน็ตมีคุณภาพสูงขึ้นมาก จนผมได้มีโอกาสลอง ขอยืมเลนส์ของเพื่อนมาลองถ่ายเล่นๆ แล้วเมื่อได้ดูภาพแล้ว ก็ติดตามหาซื้อมือสองทันที แล้วก็ได้เลนส์ 18-55is ที่เจ้าของเก่าขายต่อให้ถูกๆ

1may2008-suanrodfai_MG_3675

กล้องที่ผมใช้คือ canon และเลนส์ 18-55is ของ canon คือเลนส์แถมที่มีคุณภาพดีมาก ดีจนรู้สึกว่าเราสามารถอยู่กับมันได้ ใช้งานมันได้ตลอดทริปท่องเที่ยวหรือทำงานง่ายๆ แน่นอนว่าเลนส์ 18-55 ไม่สามารถให้ภาพฉากหลังละลายเหมือนเลนส์รูรับแสงกว้างได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเน้นการถ่ายให้ภาพชัด เน้นเรื่องความคม ความใสของภาพ มันก็ทำได้ดีน่าประหลาดใจ และผมก็ใช้มาตลอดโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอีกเลย ตัวอย่างภาพที่ใช้เลนส์ 18-55is ถ่ายก็ดูได้ตามภาพด้านล่างนี้

1may2008-suanrodfai_MG_3702
pattayaMos-30dec2007_MG_2389
dpp-picStyle-samedFull3022

คุณภาพกล้องและเลนส์ในระบบดิจิทัลดีขึ้นเรื่อยๆ จนในช่วงเวลาที่ canon ทำกล้อง eos m ซึ่งเป็นกล้องไร้กระจก หรือ mirrorless ออกมาขาย ก็มีกล้อง eos m พร้อมเลนส์ 18-55is stm ตัวใหม่ออกมา โดยจะเป็นเลนส์คิทหรือเลนส์แถมมากับกล้องอีกเช่นกัน เซ็นเซอร์รับภาพของ eos m มีขนาด APSC ซึ่งก็ถือว่าเป็นกล้องตัวคูณ 1.6X เช่นกัน ดังนั้นระยะเลนส์ที่แถมก็เลยเป็นตัวเลขทางยาวโฟกันเท่าเดิม แต่ในเลนส์ระบบใหม่นี้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลสองอย่างคือ เทคโนโลยีการผลิตดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นระบบกล้องที่ออกมาทีหลัง และเหตุผลอีกข้อคือ ระบบกล้อง eos m ไม่มีกระจกมากั้นหน้าเซ็นเซอร์ ดังนั้น เลนส์ระบบ eos m จะสามารถวางใกล้กับเซ็นเซอร์รับภาพได้มากกว่าเดิม ชิ้นเลนส์ที่ใกล้เซ็นเซอร์รับภาพก็จะให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่า ดังนั้นระบบเลนส์ 18-55is stm ในกล้อง eos m ก็เลยเป็นเลนส์คิทหรือเลนส์แถมที่ให้คุณภาพดีที่สุดของค่าย

kobfa-feb2014-IMG_8631

ในบางทริปที่ไปแบบลุยๆ การเลือกเลนส์ราคาประหยัดไปเที่ยวแบบเผื่อเสียเผื่อพังก็จะอาศัยใช้เลนส์ kit ไปถ่าย ยอมวางเลนส์ L ไว้กับบ้าน เน้นพกของเล็กๆไปเที่ยว จะไปทะเลเผื่อกล้องพัง เผื่อเลนส์ตกทะเลก็จะไม่เสียดายมาก แล้วเราก็ได้ภาพกลับมาแบบที่น่าทึ่งมาก
ประกอบกับเลนส์คิทเป็นเลนส์ขนาดเล็ก ทำให้ฟิลเตอร์ที่จะใช้กับเลนส์คิทมีราคาถูก เมื่อไปทะเลสิ่งที่พกไปด้วยก็คือฟิลเตอร์โพลาไรซ์ เมื่อใช้ฟิลเตอร์แล้วหมุนหามุมตัดแสงสะท้อน ก็จะได้ภาพสวยโอเวอร์เลย

2020-01-02_10-34-35-01
IMG_0074

การใช้เลนส์คิทให้ถูกใจเป็นเรื่องไม่ยาก หากเราเข้าใจพื้นฐานการถ่ายภาพ เราจะพบว่าภาพที่ดีมักจะไม่ได้ดีเพราะเลนส์ดี แต่ดีเพราะเราใช้อุปกรณ์ของเราอย่างเข้าใจ และเรียกประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด

IMG_6202

ปกติเลนส์ก็จะมีคุณสมบัติความคมชัดสูงสุดอยู่ที่รูรับแสงขนาดกลางประมาณf8-f11 อยู่แล้ว ซึ่งในการท่องเที่ยวและถ่ายภาพวิวหรือสิ่งของต่างๆ เราก็จะมีโอกาสถ่ายภาพที่รูรับแสงกลางๆแบบนี้บ่อยมาก อย่างภาพวิวที่ต้องการชัดทั้งภาพ รูรับแสงระดับ f11 ก็ทำให้ภาพชัดและได้คุณภาพสูงสุดของเลนส์ ต่อให้เราถ่ายภาพด้วยเลนส์เกรดโปร เมื่อเราเอาไปถ่ายวิวในสภาพแสงสวยๆ เราก็มักจะใช้ค่า f8 หรือ f11 เพื่อถ่ายภาพเช่นกัน

IMG_6097

อีกเทคนิคหนึ่งที่แนะนำเพื่อให้ภาพถ่ายมีคุณภาพสูงขึ้นก็คือ การถ่ายในระยะที่ใกล้แบบ หมายถึง ถ้าเราสามารถเข้าใกล้สิ่งที่จะถ่ายได้ การถ่ายใกล้ๆ จะได้ภาพที่คมชัดมากกว่าถ่ายไกล อันนี้เป็นข้อสังเกตส่วนตัว

IMG_3893
IMG_3888

เทียบกล้องโปรกับกล้องถ่ายเล่น

คิดถึงกล้องบางตัว

เวลาเดินผ่านตู้โชว์กล้องในห้าง ก็แอบชำเลือง แอบมอง ว่ามีอะไรลดราคา มีอะไรน่าใช้ มีอะไรน่าซื้อบ้าง  ปกติผมจะเป็นคนไม่ค่อยมองของใหม่ถ้าของเก่ายังไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อวานเห็นกล้องในตู้ที่ขาย  บางตัวก็ดูดีน่าสนใจ แต่ก็ติดตรงที่ว่า ผมมีกล้องหลายตัวแล้ว  และตัวที่น่าสนใจในตู้นั้นก็ไม่ได้มาทดแทน หรือ ทำอะไรได้ดีกว่าตัวที่มีอยู่ ก็เลยได้แต่มองแล้วผ่านไป  แต่ในใจกลับนึกถึงกล้องอยู่ตัวนึงที่เคยมีใช้และปัจจุบันก็ตกพัง  กลายเป็นของเสียอยู่ นั่นคือกล้อง nikon v1

นิสัยของช่างภาพที่ถ่ายรูปมานานจะติดอยู่กับการมองภาพผ่านช่องมองภาพ ซึ่งกล้องรุ่นใหม่ๆหลายๆตัวก็ตัดช่องนี้ออกไปแล้ว  กล้อง nikon v1 ก็เป็นรุ่นที่มีช่องมองภาพมาให้และใช้งานได้สนุกสมกับเป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพรุ่นใหญ่  การจับถือและการเล็งผ่านช่องมองภาพให้อารมณ์และความใส่ใจต่อแบบมากกว่าการมองจอหลัง  ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ภาพจากกล้องสไตล์นี้จะได้องค์ประกอบภาพที่เป็นไปดังใจ  แม้ว่า nikon1 v1 จะมีเซ็นเซอร์รับภาพที่เล็ก มีผลทำให้ภาพหลังเบลอสู้พวกเซ็นเซอร์ใหญ่ไม่ได้  แต่ก็ไม่ได้แย่ระดับกล้องมือถือ หรือ ดิจิทัลถูกๆ  แถมเรายังสามารถใช้เลนส์เก่าๆของ nikon มาร่วมกับ v1 ทำให้ได้ภาพสวยได้ไม่ยาก

DSC_2901.JPG

nikon1 v1 + lens 50f1.8 ais mf

IMG_20180709_212554_402

ภาพเด็กคนนี้คือลูกชายที่ผมเล็งถ่ายในช่วงเวลาที่เขาอายุประมาณ 2 ขวบ  ความซนเป็นอุปสรรคกับการโฟกัสภาพอย่างมาก  แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม  ความยากเหล่านี้จะเป็นตัวคัดแยกระหว่าง ช่างภาพความตั้งใจสูง กับ ช่างภาพขี้เกียจฝึกฝนออกจากกัน