moserv นักออกแบบซอร์ฟแวร์

ในยุคปัจจุบันที่โลกเราเต็มไปด้วยระบบ AI และ โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ครอบครองพื้นที่ในอินเทอเน็ตไปเกือบทั้งหมด  ชีวิตคนเราต้องเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเสมอ  ภาคธุรกิจจะทำงานไม่ได้เลยถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์และ application นั่นทำให้อาชีพหนึ่งเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก และเป็นอาชีพที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาล  และแทบจะเป็นหัวใจของการทำงานยุคอินเทอเน็ตไปแล้ว นั่นคืออาชีพโปรแกรมเมอร์

โมเซิร์ฟเป็นบริษัทผลิตซอร์ฟแวร์ในหลายแพล็ตฟอร์ม  ซอร์ฟแวร์คือสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจ  หากเรามีซอร์ฟแวร์ที่ดีก็จะเหมือนเรามีเครื่องมือที่ดีในการแข่งขัน  และการได้มาซึ่งซอร์ฟแวร์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับธุรกิจของแต่ละคนก็จะต้องเป็นซอร์ฟแวร์ที่ถูกพัฒนาจากคนที่ทำงานเขียนโปรแกรมด้วยความเข้าใจและออกแบบอย่างปราณีต

โม หรือ ชิตสกุณ  คือเจ้าของบริษัทโมเซิร์ฟ  เริ่มต้นชีวิตการเขียนโปรแกรมจากการสังเกตและตั้งคำถามที่น่าสนใจ  นั่นคือตอนที่ได้หัดใช้คอมพิวเตอร์และได้รู้จักซอร์ฟแวร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เวิร์ดราชวิถี ซึ่งเป็นซอร์ฟแวร์ที่ใช้พิมพ์ข้อความ พิมพ์บทความต่างๆแทนเครื่องพิมพ์ดีดและดินสอปากกา  ก่อนที่โลกเราจะมีไมโครซอร์ฟเวิร์ดด้วยซ้ำ  โมรู้สึกว่า เวิร์ดราชวิถีเป็นซอร์ฟแวร์ที่น่าทึ่งและต่อมาก็ได้รูัว่าซอร์ฟแวร์ตัวนี้ถูกพัฒนาโดยคุณหมอ  ความสงสัยที่เกิดขึ้นตามมาคือมันจะเป็นยังไงถ้าซอร์ฟแวร์จะถูกพัฒนาด้วยคนที่ศึกษาและเรียนมาเป็นโปรแกรมเมอร์อย่างจริงจัง  จะทำให้ซอร์ฟแวร์ที่สร้างขึ้นมีความยอดเยี่ยมได้อีกแค่ไหน  นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยโมเริ่มเรียนเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม  เริ่มด้วยภาษาปาสคาล  ก่อนหน้านี้ก็ทดลองเขียนโปรแกรมมาบ้าง สมัยปี 1 ก็เห็นเพื่อนเล่นเกมส์  แคร็กข้อมูลเกมส์เพื่อแก้ไข โกงเกมส์บ้าง เอาชนะเกมส์บ้าง  เลยจับกลุ่มกันเล่นเกมส์   ในกลุ่มมีการแบ่งกันรับผิดชอบ  ตกลงกันว่าต่างคนต่างศึกษา  โมรับผิดชอบภาษาปาสคาล  เพื่อนคนอื่นไปศึกษาภาษาซี  แล้วนำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน

สมัยวินโดส์ 95  อาจารย์เห็นว่าโมมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ที่พอจะแบ่งปันกับผู้อื่นได้  อาจารย์เลยแนะนำให้ลองไปเขียนบทความลงหนังสือซีเอ็ดซึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนแนววิชาการเข้มข้น  โมก็ได้เขียนอยู่ 3 บทความ  การได้ลองเขียนแล้วได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือ  เกิดเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจทำให้เริ่มมีความมั่นใจในเรื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น  และเริ่มเห็นความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้  เพราะได้พบกับบทความเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย  และขณะเดียวกันก็มีบางคนที่เขียนแล้วเข้าใจยาก  ทำให้รู้ว่าศิลปะการถ่ายทอดมีความสำคัญมากเช่นกัน  ก่อนจะเรียนจบก็ทำโปรเจ๊คเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมมัลติทาสก์  ทำโปรแกรมหมุนรูปเลขาคณิตเพื่อสร้างภาพในจอ ความรู้จากเทคนิคนี้ในหลายปีต่อมาก็ถูกนำไปใช้สร้างระบบการ Report หรือทำเป็น Data visualizer

สมัยเรียนยังได้ทำโปรเจ๊ค Computer Telephony โดยเน้นไปที่ระบบที่เรียกว่า interactive voice response หรือ ivr  เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถรับสายโทรศัพท์ได้อัตโนมัติ พร้อมมีเสียงตอบรับเพื่อให้ผู้ใช้เลือกกดเบอร์โทรติดต่อภายใน  และได้เอาไปใช้กับระบบโทรศัพท์ของมหาวิทยาลัย  ซอร์ฟแวร์ ivr ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส (Dos)  ในยุคสมัยนั้นการเขียนระบบมัลติทาสก์หรือระบบที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกันบนดอส เป็นเรื่องยากมาก  เพราะเครื่องมือ (Software Development Kit) ส่วนมากที่จะช่วยเหลือผู้พัฒนาจะมีให้ใช้แค่บนระบบปฏิบัติการวินโดส์เป็นส่วนใหญ่  นั่นทำให้การพัฒนาซอร์ฟแวร์บนดอส เป็นงานที่โดดเดี่ยว ไร้ผู้ช่วย แต่ก็ทำจนสำเร็จ ได้ใช้งาน

รุ่นพี่ได้มาเห็นฝีมือเลยชวนไปทำงาน บริษัท BEL  ไปทำงานเขียนโปรแกรมบนระบบปฏิบัติการยูนิกส์ (unix) เลยได้เขียนโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์ควบคุมระบบการทำงานต่างๆของเครื่องจักร เช่น ระบบจ่ายไฟ  ควบคุมเครื่องรดน้ำต้นไม้  ควบคุมแขนกลของหุ่นยนต์  โปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องจักร CNC  การเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เหล่านี้เป็นประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียนที่มีประโยชน์มาก  เพราะได้เรียนรู้ภาษาระดับที่เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง  นั่นทำให้ทักษะการเขียนโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นไปอีก

เรียนจบก็สมัครงานกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งหนึ่ง  ได้รับตำแหน่งการทำงานเป็น system analyst   เป็นงานโปรแกรมเมอร์ชนิดหนึ่ง  ยุคนั้นเป็นบริษัทในเครือสามารถคอร์เปอเรชั่น  บริษัทนี้เช่าเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากรายใหญ่ แล้วแบ่งแบนด์วิดธ์มาให้บริการลูกค้าในยี่ห้อ hello1800  โดยในการให้บริการ  เวลาคิดค่าบริการเจ้าของเครือข่ายจะส่งข้อมูลการใช้งานให้ hello แล้วโมต้องนำไฟล์เหล่านั้นมาคิดคำนวนค่าใช้จ่าย  หรือแม้แต่เวลามีปัญหาที่ตำรวจต้องการข้อมูลการโทร ก็ต้องเขียนโปรแกรมไปดึงบันทึกการใช้งานของเบอร์เป้าหมายมาให้ตำรวจ  นั่นคือการได้เริ่มทำงานกับ database ขนาดใหญ่นั่นเอง  

เรื่องน่าสนใจก็คือการคิดค่าโทรต้องดึงข้อมูลจากล็อกไฟล์แล้วมาคิดเงิน  ซอร์ฟแวร์คิดเงินตัวนี้เป็นของรัสเซีย ค่าซอร์ฟแวร์ 1 ล้านเหรียญ และทุกค่ายมือถือก็จำเป็นต้องใช้ซอร์ฟแวร์ตัวนี้  นั่นคือการจุดประกายว่าธุรกิจซอร์ฟแวร์น่าสนใจมาก

ทำงานอยู่สองปีก็มีบริษัทใหญ่มาเทคโอเวอร์  โมเลยถูกบริษัทแม่ดึงตัวไปอยู่อีกหน่วยงานหนึ่ง  ไปทำงานวงการประกันภัย  ตอนนี้ได้อยู่กับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมนั่นคือข้อมูลประกันภัยรถยนต์  ได้ทำระบบประมวลผล ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (mis)  ทำ report ต่างๆ  บริษัทประกันภัยแม้จะมีระบบอยู่แล้ว  แต่ก็ยังต้องการซอร์ฟแวร์เพิ่มเติม  โมเลยได้ทำงานกับฐานข้อมูลระดับโลกอย่าง Oracle  และ Db2  

ในเวลาต่อมาโมถูกชวนไปทำงานกับบริษัทให้บริการมือถือในสิงคโปร์ ด้วยลักษณะงานคือไปเช่าเครือข่ายท้องถิ่น แล้วนำมาให้บริการโทรศัพท์   ต้องทำการตลาดเอง  คิดค่าบริการเอง เก็บเงินเอง  ตอนไปทำงานระบบนี้ ก็ได้ทำระบบคิดเงิน (billing)  ระบบข้อความสั้น (sms alert system)  การได้เริ่มวางแผน เขียนโปรแกรมการทำงานทุกอย่างของธุรกิจสื่อสาร ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและเป็นต้นทุนที่สำคัญที่ทำให้ได้รับโอกาสที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา

จนวันที่กลับเมืองไทย และหางานทำในประเทศ ก็ได้งานในการดูแลเว็บวาไรตี้แห่งหนึ่ง  เหตุผลที่ได้งานก็เพราะมีประสบการณ์การทำงานต่างประเทศและมีทักษะการเขียนโปรแกรมระดับใหญ่ๆมาแล้ว  จากนั้นไม่นานก็ย้ายไปร่วมงานกับ Leonics

ที่ทำงานใหม่ให้พัฒนาระบบ Erp โดยเน้นไปที่ระบบมอนิเตอร์การทำงานของโซล่าฟาร์ม  ต้องแสดงผลสถานะ ตัวเลขและข้อมูลทุกชนิดที่ธุรกิจพลังงานอยากเห็น  การสร้างระบบการแสดงผลที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ใช้เครื่องมือเดิมที่เคยมี  ต้องพัฒนาโปรโตคอลการสื่อสารเองทุกอย่าง  ผลก็คือมีระบบการมอนิเตอร์ที่ทันสมัย  เป็นห้องวอร์รูมที่มีการแสดงผลระดับที่สวยงามเหมือนห้องควบคุมที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ต่างประเทศ 

มีการย้ายงานอีกครั้ง  ไปอยู่บริษัท  M touch เป็นบริษัทเกี่ยวกับระบบมือถือ  เนื่องจากบริษัทได้เห็นเรซูเม่ (Resume) จาก head hunter เลยอยากได้ตัวมาทำงาน  ตอนเข้าไปทำงาน ได้โชว์ผลงานที่เคยทำให้ดู  CTO ( Chief Technology Officer) ได้เห็นความยากของงานต่างๆและเข้าใจได้ว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  โมเริ่มงานในตำแหน่ง Software Engineer  ต้องเขียน Daily Report ทุกวัน  ตอนเข้าไปทดลองงานก็มีสัญญา 6 เดือน  เป็นตำแหน่ง senior บังเอิญมีจังหวะที่ต่างประเทศมีปัญหากับฐานข้อมูล  และโมทำงานแก้ปัญหาได้ โดยที่คนอื่นในทีมในบริษัททำไม่ได้   ทักษะการเขียนโปรแกรมติดต่อกับฐานข้อมูลกลายเป็นสิ่งที่แตกต่าง  คนอื่นทำงานครึ่งวันแล้วไม่จบ  แต่โมทำได้ภายใน 30 วินาที  เลยได้รับการยอมรับ และได้โปรโมท สุดท้ายได้ไปเป็น Regional ดูแล 3 ประเทศ  และได้ไปประจำอยู่ฮ่องกง  

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  โม  รู้วิธีบริหารธุรกิจหลายอย่าง และทำซอร์ฟแวร์ได้เกือบทุกอย่างในบริษัทเทคโนโลยี ทำให้ได้รับการสนับสนุนให้ออกมาเปิดบริษัท แม้จะมีความไม่กล้าไม่มั่นใจอยู่บ้างก็ตาม  จนในที่สุดก็เกิดเป็นบริษัทโมเซิร์ฟ  โดยโมบริหาร  เป็นบริษัทที่ให้บริการในการสร้างซอร์ฟแวร์ เริ่มต้นจากบริษัทที่มีโปรแกรมเมอร์คนเดียว  ปัจจุบันโมเซิร์ฟทำงานมีโปรแกรมเมอร์และพนักงานซัพพอร์ตรวม 20 คน  ที่นี่โมตั้งใจจะไม่ใช้คนเยอะ  เพราะงานซอร์ฟแวร์ใช้สมองมากกว่ากำลังคน  แม้คนจะไม่มากแต่โมเซิร์ฟก็สามารถเขียนซอร์ฟแวร์ให้ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้  รวมถึงสามารถออกแบบ Erp ให้เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าได้ด้วย  เพราะงานที่ทำคือประสบการณ์ตรงที่เคยผ่านมาแล้วทั้งหมด

โมเซิร์ฟได้รับความไว้วางใจจากธนาคารด้วย  โดยได้รับโปรเจ็คสร้างระบบ Telesale ซอร์ฟแวร์จะต้องรัดกุมและไม่ล่ม  มีกล้องวงจรปิดมอนิเตอร์ห้องทำงาน Telesale ตลอดเวลา  ก่อนจะเริ่มโปรเจ็คนี้จะต้องตอบแบบสอบถามจากธนาคารเป็นพันข้อ  เพื่อความมั่นใจว่ามีคุณภาพที่ตรงกับความต้องการ  เพราะธนาคารจะมีหน่วยงานควบคุมคุณภาพซอร์ฟแวร์โดยเฉพาะ และโมเซิร์ฟผ่านทุกเงื่อนไข

โมเซิร์ฟเชื่อว่าการเขียนซอร์ฟแวร์มีความสวยงามของมันอยู่  แต่คนทั่วไปมักตัดสินคนที่ความสำเร็จทางธุรกิจ  ไม่ได้สนใจในด้านของการพัฒนาซอร์ฟแวร์อย่างถูกต้องถูกทาง  วงการซอร์ฟแวร์มีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง  งานวิจัยซอร์ฟแวร์ไปไกลมาก ถ้าจะเทียบกับดาวพลูโตซอร์ฟแวร์โซเชียลเน็ตเวิร์คที่กำลังฮิตกันอยู่ถือว่าอยู่แค่บรรยากาศของโลกเท่านั้น  พลังของซอร์ฟแวร์ยังมีอีกมากรอเพียงเวลาที่จะนำออกมาใช้

อย่างเช่น ศาสตร์ของระบบ AI ก็เป็นการสร้างความฉลาดให้คอมพิวเตอร์ด้วยโครงสร้างวิธีคิดแบบมนุษย์  ปัจจุบันสามารถเขียนโปรแกรมให้คิดเหมือนคนได้แล้ว  สมมุติว่าถ้ามนุษย์เรามีความรู้ 100 อย่าง แล้วเอาสิ่งที่มีอยู่มาสร้างเป็นความรู้ใหม่  วิธีการนี้วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็ทำได้แล้ว  ในสายวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าคอมพิวเตอร์ฉลาดมาก ไม่มีอะไรที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้

มนุษย์อาจจะใช้เวลาทำโจทย์แก้ปัญหาบางอย่างประมาณ 1 ชั่วโมง  ส่วนคอมพิวเตอร์ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องฮาร์ดแวร์  คอมพิวเตอร์ก็สามารถแก้ปัญหานั้นได้ไม่ต่างกับคน แต่จะเร็วกว่ามากจนเหมือนเป็นความมหัศจรรย์

ปัจจุบัน โมเซิร์ฟ ชำนาญการสร้าง application ทั้งในเวอร์ชั่นบนระบบคอมพิวเตอร์และในระบบ mobile  รวมถึงสร้างระบบ Erp ที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้บริษัทไม่ต้องเสียเงินซื้อแพ็คเกจใหญ่ที่ไม่จำเป็น  และการทำงานกับ Erp เจ้าของธุรกิจควรจะได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนที่จะตัดสินใจเลือก  เพราะการการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พัฒนาและติดตั้งไปแล้วจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องเสียเวลาเรียนรู้และอบรมพนักงานกันใหม่  เวลาและทรัพยากรที่เคยทุ่มเทให้ระบบเก่าจะกลายเป็นสูญเปล่าเมื่อจะเปลี่ยน Erp   ดังนั้นการตัดสินใจในวันแรกบนความเข้าใจที่ถูกต้องโดยมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องซอร์ฟแวร์ให้คำปรึกษาจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด

ข้อมูลโดย

ชิตสกุณ ศุภศรี
Chitsakun Suphasri

https://th.moserv.co.th/home/