รีวิวกล้อง Fuji instax mini41

ในอดีตเมื่อปี คศ 1944 มีคุณพ่อคนหนึ่งถ่ายภาพลูกสาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่มีอยู่ในยุคนั้น พอถ่ายภาพเสร็จลูกสาวก็ถามว่าทำไมไม่มีภาพให้ดูเลย เป็นคำถามจากเด็กที่ทำให้พ่อทำการค้นคว้าหาวิธีถ่ายภาพที่จะได้ภาพออกมาทันที และในที่สุดก็สร้างนวัตกรรมน่าทึ่งขึ้นมาจนกลายเป็น กล้องโพลารอยด์ กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพเลย และได้เปิดตัววางขายในปี 1948

IMG_1917

กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพทันทีเรียกว่า instant camera โดยยี่ห้อแรกที่พัฒนาขึ้นมาก็คือบริษัทโพลารอยด์ ส่วน Fuji จะเข้าสู่ตลาด instant ในปี 1998 และเริ่มขายกล้องกับฟิล์มเรียกชื่อว่า instax ต่อมาบริษัทโพลารอยด์ค่อยๆเสื่อมความนิยมและสูญเสียตลาดไปเกือบหมด เหลือเพียงบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงทำระบบ instant camera

IMG_1948

กล้อง instax รุ่นล่าสุดรุ่นหนึ่งของปี คศ 2025 ก็คือรุ่น instax mini41 ซึ่งเป็นกล้อง instant camera ที่ใช้แผ่นฟิล์มขนาดเท่าบัตรเครดิต ชื่อเรียกของภาพขนาดเล็กนี้เรียกว่า instax mini โดยมีพื้นที่ของภาพ 62×46 mm. แนวตั้ง โดยกล้องก็ออกแบบมาให้จับถือแนวตั้ง ถ่ายภาพแล้วได้ภาพแนวตั้ง ส่วนขนาดภาพอื่นที่ fuji ทำออกมาก็มีอีก 2 ระดับคือ instax square ให้ภาพขนาด 62×62 mm และขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า instax wide ขนาดภาพ 99×62 mm

Mini
Square
Wide

mini41 มีหน้าตาสวยงาม ออกแบบเป็นโทนสี ดำเทา พิมพ์ตัวหนังสือกำกับด้วยสีส้มและสีขาว เป็นดีไซร์ที่ดูทันสมัยผสมย้อนยุคนิดๆ มีการปรับปรุงสเป็คให้ทันสมัยลดข้อผิดพลาดที่ระบบ instax เดิมเคยมี เช่น มีระบบวัดแสงเพื่อตั้งค่าความไวชัตเตอร์อัตโนมัติ นั่นหมายถึงกล้องจะวัดแสงพอดีเสมอ เหมือนระบบ aperture piority ในกล้องโปร ไม่เหมือนกล้อง instax รุ่นเก่าที่มีความเร็วชัตเตอร์ตายตัวซึ่งจะทำให้ภาพ instax มักมีความมืดในฉากหลังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฉากหน้าหรือตัวคนก็จะได้รับแสงแฟลชในระดับที่พอดี ภาพถ่ายคนที่มีด้านหลังดำมักเป็นภาพจำของ instax ในอดีต

IMG_1912

mini41 ต้องใส่ถ่านขนาด AA จำนวน 2 ก้อน ถ่าน 1 ชุดสภาพสมบูรณ์จะถ่ายภาพได้ประมาณ 100 ภาพ การถ่ายภาพทุกครั้งจะยิงแฟลชออกไปด้วยไม่สามารถสั่งปิดได้ กล้องไม่มีรูเสียบขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่ายภาพ รวมถึงไม่มีระบบถ่ายภาพซ้อนหรือชัตเตอร์ B ด้วย ซึ่งลูกเล่นระดับโปรเหล่านี้จะอยู่ในกล้องรุ่นท๊อป นั่นหมายความว่า mini41 เป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นและสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพโดยไม่ต้องคิดเยอะ

IMG_1923

กล้องสามารถปรับหน้าเลนส์บิดไปตำแหน่งการถ่ายมาโคร จะเป็นการเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ให้มีระยะชัดประมาณ 30-50 cm ซึ่งพอดีสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ หรือถ่ายภาพสิ่งของระยะใกล้ ส่วนการโฟกัสปกติจะอยู่ที่ระยะ 50-infinity สิ่งที่ปรับปรุงจากรุ่นเก่าอีกอย่างหนึ่งก็คือช่องมองภาพจะมี 2 ระยะ ระยะปกติ และระยะมาโครที่จะแก้ไขการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ให้เอียงข้างหรือแก้พาราแล็กซ์ การใช้ mini41 ก็จะทำให้เราสามารถเล็งจุดสนใจให้อยู่กลางภาพได้เสมอไม่ว่าจะถ่ายไกล หรือ ใกล้ เลือกโดยการบิดเลนส์จากระยะปกติไปสู่มาโคร และหากเราจะถ่ายภาพตัวเองหรือถ่ายเซลฟี่ก็ต้องเลือกระยะเป็นมาโคร

image

ภาพที่ถ่ายจากกล้อง instax จะไหลออกจากกล้อง และใช้เวลาสร้างภาพประมาณ 90 วินาทีถึงจะขึ้นภาพครบและดูสวยงาม แต่จากการใช้งานจริง เมื่อครบ 90 วินาทีแล้วภาพยังมีคอนทราสต์และส่วนสีดำที่ยังไม่สมบูรณ์ เราอาจจะต้องรอสัก 10 นาทีเพื่อให้ภาพคงที่และส่วนสีดำค่อยข้างดำตามจริง และเมื่อสีคงที่แล้วภาพจะอยู่สภาพนั้นไปอีกนาน สามารถเก็บไว้ดูได้อีกหลายปี ถ้าเก็บดีแบบไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในอัลบั้มภาพที่มีการเปิดปิดบังแสงได้ ภาพจะคงสภาพนั้นได้นานมาก แต่ถ้าภาพโดนแสงแดดโดยตรง ในเวลาไม่กี่ปีภาพจะจางลงไปเรื่อยๆ การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บภาพให้ดีระวังไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง

IMG_20251003_171411344

ทุกภาพที่ถ่ายจะเปิดแฟลชเสมอ ถ่ายภาพคนจะได้หน้าคนสว่างพอดีจากแฟลช และฉากหลังจะได้แสงพอดีจากระบบการวัดแสงอัตโนมัติ

IMG_20251005_123203966

แสงภายนอกเหมาะสมอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง instax ค่าแสงที่ฉากหลังพอดี ความสว่างบนตัวคนก็พอดี ลักษณะท้องฟ้าสว่างแสงจ้ามีเมฆบังแดดนิดหน่อย

IMG_20251005_153548590

การถ่ายภาพภายในรถตอนกลางวันก็ให้รูปที่ได้รับแสงพอดีทั้งฉากหลังและหน้าของคน แสงแฟลชทำให้ตัวคนสว่างพอดี ส่วนด้านฉากหลังไม่มืดดำเพราะกล้องวัดแสงตามจริง ระบบอัตโนมัติสั่งความไวชัตเตอร์ให้เปิดรับแสงนานพอจะรับแสงจริง ก็ได้ภาพตามที่เห็น

IMG_20251004_123902737

หากเราจะปิดแฟลชเราจะต้องใช้วิธีบังแสงแฟลชไปเลย บางคนอาจใช้เทปกาวปิด แต่ถ้าไม่อยากติดเทป เอานิ้วบังแฟลชแทนก็ได้ ภาพก็จะได้แสงจริงของสถานที่นั้นโดยไม่มีความสว่างของแฟลชมารบกวน แต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อยกล้องจะเปิดชัตเตอร์ได้นานสุดไม่เกิน 1/2 วินาที ประกอบกับการถ่ายระยะใกล้เลนส์จะสูญเสียแสงไปอีกเล็กน้อยอาจจะ 1-2stop ทำให้ภาพมีสีเข้มหรืออันเดอร์ หากสภาพแสงจริงมีน้อยเกินไปภาพก็จะดูเข้มหรือดูมืดกว่าที่ควร ลองดูภาพเปรียบเทียบแสงจริงที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย

IMG_20251004_102141251

สเป็คกล้อง
ฟิล์มที่ใช้ ฟิล์มอินสแตนท์ FUJIFILM instax™ mini (จำหน่ายแยก)
ขนาดรูป 62 × 46 มม.
เลนส์ ทางยาวโฟกัส 60 มม. รูรับแสง _F 12.7
ช่องมองภาพ อัตราขยาย 0.37x พร้อมแก้ไขตำแหน่งของวัตถุในโหมดถ่ายระยะใกล้
ระยะถ่าย 0.3 เมตร ขึ้นไป โหมดถ่ายระยะใกล้ตั้งแต่ 0.3 – 0.5 เมตร
ชัตเตอร์ โปรแกรมชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/2 ถึง 1/250 วินาที สโลว์ซิงค์สำหรับแสงน้อย
การควบคุมแสง อัตโนมัติ, Lv 5.0 ถึง 14.5 (ISO 800)
ระยะเวลาในการแสดงภาพ ประมาณ 90 วินาที ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
Flash เวลาชาร์จแฟลช: 7 วินาที ช่วงใช้แฟลชที่มีประสิทธิภาพ: 0.3 ถึง 2.2 ม.
แหล่งจ่ายไฟ แบตเตอรี่ AA 2 ก้อน
ระบบอัตโนมัติ หลังจาก 5 นาที
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก) 104.5 × 122.5 × 67.5 มม.
น้ำหนัก 345 กรัม ไม่รวมแบตเตอรี สายคล้อง และฟิล์ม

ข้อดี
ให้ภาพฉากหลังไม่มืดเพราะมีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ จะวัดแสงพอดีเสมอ
ฟิล์ม fuji instax หาซื้อง่ายมาก และราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
มีระบบมาโคร
มีช่องมองภาพที่แก้ไขปรับตามระยะโฟกัส

ข้อเสีย
ไม่มีรูขาตั้งกล้อง
ไม่สามารถปิดแฟลชได้
ไม่มีระบบตั้งเวลาถ่าย

สรุปยาวๆ
ภาพจากกล้อง instax รุ่น mini11 mini12 mini40 mini41 จะเป็นกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ เปลี่ยนความไวชัตเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณแสง และกล้องจะมีระยะทำงานของชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 – 1/250 วินาที มีนักถ่ายภาพบางคนเคยบ่นว่า ภาพ instax จากกล้อง mini11 mini12 จะมีภาพที่สว่างหรือโอเวอร์เกินไปในสภาพแสงจ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากแสงแดดจัดมากและความไวชัตเตอร์ขึ้นได้ไม่สูงนั่นเอง เป็นปัญหาปกติที่เกิดกับกล้องความไวชัตเตอร์น้อยเกินไป

กล้อง instax ที่มีความไวชัตเตอร์สูงกว่านี้ คือกล้องรุ่น mini90 mini99 mini70 เป็นกล้องสเป็คโปร ความไวชัตเตอร์สามารถขึ้นได้สูงถึง 1/400 วินาที หรือสูงกว่าเกือบ 1stop เมื่อเทียบกับรุ่น mini11 mini12 mini41 ทำให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงแดดจัดมากได้ดีกว่า จะให้ภาพที่ดูไม่โอเวอร์เกินไป และกล้อง mini90 mini99 จะรองรับการใช้งานแบบโปร คือมีรูติดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพซ้อนได้ สามารถปิดแฟลชได้

กล้องรุ่นสมัครเล่นอย่างรุ่น mini8 mini9 เป็นกล้องที่ใช้ความไวชัตเตอร์คงที่ประมาณ 1/50 วินาที แต่สามารถเปลี่ยนรูรับแสงได้ 5 ระดับ ทำให้สามารถรองรับสภาพแสงได้กว้าง และทำให้ถ่ายภาพในสภาพแสงจ้ามากๆได้ดี ให้ภาพที่ไม่โอเวอร์ในสภาพแสงที่แดดจัด แต่ก็ต้องอาศัยการดูหลอดไฟแสดงผลว่าต้องบิดหน้ากล้องไปที่รูรับแสงเท่าไหร่ตามการวัดค่าแสงของกล้อง กล้องกลุ่มนี้เป็นกล้องที่ต้องทำความเข้าใจการวัดแสงบ้างเล็กน้อย ควรจะอ่านคู่มือกล้องก่อนใช้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อ่าน นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติอย่าง mini11 mini12 mini41 นั่นเอง

สำหรับ mini41 เป็นกล้องที่มีหน้าตาสวย มีฟังค์ชั่นพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพแบบไม่ต้องคิดอะไร หยิบออกมาเล็งแล้วกดถ่ายได้เลย ช่องมองภาพปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ไขให้ตรงกับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ เสียดายตรงที่ไม่มีรูติดขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่าย มันขาดอยู่สองอย่างเท่านั้นก็จะกลายเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือสมัครเล่น

แถม

IMG_2793

กระเป๋าใส่กล้อง mini41 ก็มีทำขายโดยเฉพาะเลย ดีไซร์รูปทรงไปในแนวทางเดียวกันกับกล้อง สีสันก็เข้ากัน สินค้าชิ้นนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย แต่มีขายในญี่ปุ่นราคา 4290 เยนที่ร้าน bigcamera ประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทยคงต้องหาจากเว้บ shoping ต่างๆ ซึ่งผมก็ได้มากจากเว็บเช่นกัน ราคาถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่นซะงั้น แปลกดี

fuji instax evo แสดงวันที่

ในยุคสมัยของกล้องฟิล์ม กล้องถ่ายภาพส่วนมากจะไม่มีการแสดงวันที่ในภาพ แต่กล้องรุ่นที่สามารถใส่วันที่ลงไปในฟิล์มซึ่งจะทำให้ภาพที่อัดขยายออกมาเห็นวันที่กำกับอยู่ก็จะมีราคาสูงขึ้นกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย นักถ่ายภาพระดับจริงจัง ระดับทำงานมืออาชีพมักจะไม่ชอบให้มีการพิมพ์วันที่ลงไปในฟิล์ม เพราะมันเป็นการรบกวนภาพ ทำให้ดูไม่สวย

ส่วนในยุคของกล้องดิจิทัล ระบบแสดงวันที่ในภาพไม่มีแล้ว เพราะไฟล์ดิจิทัลมีข้อมูลการถ่ายภาพที่สำคัญบันทึกไว้ เราสามารถดูคุณสมบัติต่างๆของไฟล์ดิจิทัลได้ สามารถดูวันที่ เวลาถ่ายภาพ ค่าความไวชัตเตอร์ รูรับแสง ความไวแสงของเซ็นเซอร์ ดูได้ละเอียดมาก ส่วนภาพที่พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษจากไฟล์ดิจิทัลก็จะไม่มีวันที่บอกไว้ เมื่อเวลาผ่านไปนานสักหน่อยเราก็อาจจะลืมวันเวลาของเหตุการณ์ไปแล้ว

DSCF0593
ภาพจากไฟล์ดิจิทัล ไม่มีวันที่กำกับไว้

ในยุคปัจจุบันกล้องดิจิทัลบางรุ่นเริ่มใส่วันที่เข้ามาแสดงในหน้าจอ เพราะเป็นความนิยมอดีตชนิดหนึ่งที่ช่างภาพยุคนี้โหยหา กล้อง Fuji instax evo เป็นกล้องดิจิทัลที่สามารถพิมพ์ภาพบนฟิล์ม instax ได้ และตัวกล้องก็มีลูกเล่นการแสดงวันที่ด้วย เราสามารถตั้งค่าเพื่อดูวันที่ในภาพได้เลยบนจอ และวันที่นั้นก็สามารถจะถูกพิมพ์ติดออกมากับภาพด้วย ซึ่งในทางเทคนิค ไฟล์ดิจิทัลในกล้องไม่ได้ถูกใส่ภาพวันที่เอาไว้ กล้องใช้ซอร์ฟแวร์แสดงวันที่ให้เห็นตอนดู และตอนพิมพ์เท่านั้น ถ้าเราก็อปปี้ไฟล์ไปเปิดในเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ ส่วนของวันที่ซึ่งแสดงผลในภาพด้วยสีส้มก็จะไม่มีให้เห็น ดูจากภาพตัวอย่างในโพสท์นี้ภาพแรก ที่เป็นภาพจากแผ่นหน่วยความจำ

IMG_20250824_081518510
ภาพที่พิมพ์ออกมาเป็นใบจะมีวันที่สีส้มกำกับไว้ด้านมุมขวาล่าง

ภาพที่สองจะเป็นภาพจากการพิมพ์ออกมา ตัวหนังสือบอกวันที่ซึ่งเป็นสีส้มจะแสดงอยู่ในแผ่นภาพ(แผ่นฟิล์ม) ให้ความรู้สึกเหมือนดูภาพถ่ายสมัยเด็กๆ(โบราณ) มีข้อดีคือเรารู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงปีไหน ช่วยทำให้ความทรงจำชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งคนดูอายุเยอะขึ้นยิ่งต้องการวันที่ในภาพประกอบด้วย

IMG_20250824_085614854

กล้อง Fuji instax Evo เป็นกล้องดิจิทัลที่พยายามทำตัวให้โบราณ เป็นส่วนผสมของความทันสมัยโดยการใช้กล้องดิจิทัล แต่เลียนแบบผลลัพธ์ของยุคอดีต ยิ่งใช้งานก็ยิ่งรู้สึกสนุก ติดขัดอยู่อย่างเดียว คุณภาพของภาพจากกล้องตัวนี้ค่อนข้างต่ำ ความละเอียดไม่มาก ถ่ายในสภาพแสงน้อยไม่สวย

รีวิว Fuji instax mini evo

กล้องฟูจิ instax มีพัฒนาการมายาวนาน ตั้งแต่เป็นกล้องอนาลอกถ่ายแล้วภาพไหลออกมาให้ลุ้นทันทีก็พัฒนามาถึงระบบกล้องไฮบริดที่รวมระบบกล้องดิจิทัลไว้กับเครื่องพิมพ์ฟิล์มinstaxขนาดเล็ก ถ่ายรูปเห็นภาพก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพิมพ์ภาพหรือไม่พิมพ์ นั่นทำให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดเงินค่าฟิล์มถ่ายภาพได้ หรือ ทำให้ลดการผิดพลาดที่ถ่ายแล้วได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์

กล้อง Fuji instax mini evo เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล ที่มีระบบการพิมพ์ฟิล์ม instax ในตัว ตัวกล้องมีปุ่มเลือกโหมดฟิล์มได้ 10 ชนิด และ มีปุ่มเลือกลูกเล่นการแต่งภาพอีก 10 ชนิด ทำให้เมื่อใช้งานผสมกันแล้วก็สามารถสร้างภาพที่แตกต่างกันได้ 100 ชนิด

IMG_20250220_201346

ลักษณะทั่วไป
เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล
มีช่องใส่ micro SD
ช่องชาร์จไฟเป็นแบบ usb-c
มีสายคล้องคอแถมมาด้วย
แบตเตอรี่สามารถถ่ายภาพและพิมพ์ได้ 100 ภาพ
สามารถถ่ายมาโครได้
แฟลชเป็นหลอดไฟ LED

20250323134936_IMG_2918

ในโหมดการถ่ายภาพ ทุกภาพจะถูกบันทึกไว้ในเมมโมรี่ คุณภาพของกล้องดิจิทัลอยู่ในระดับที่แย่มาก ใครคิดจะใช้แทนกล้องดิจิทัลหรือใช้แทนมือถือให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเลย เหมือนฟูจิไปเอาเซ็นเซอร์โบราณที่ไม่มีใครเอามาสร้างกล้องตัวนี้ คนที่ชอบกล้องคอมแพ็คอย่างผมยังเผลอคิดจะใช้แทนกล้องฟิล์ม หรือกล้องถ่ายเล่น โดยคาดหวังว่าไฟล์จะมีคุณภาพ แต่เมื่อเห็นไฟล์ที่ได้จากกล้องแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจในการดูภาพแค่ภาพไม่กี่นาที

DSCF0037

DSCF0032

DSCF0033
DSC07306
DSCF0342
DSCF0128
DSCF0222
DSCF0556
DSCF0529
DSCF0651
DSCF0654

ยังดีที่ evo ยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจ คือการทำตัวเป็นเครื่องพิมพ์ เราสามารถโหลด application ที่เชื่อมต่อกับกล้อง แล้วสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือได้ นั่นทำให้เราได้เครื่องพิมพ์ภาพติดตัวที่สามารถถ่ายภาพได้ ซึ่งส่วนของการถ่ายภาพก็พอทนใช้งานในเวลาฉุกเฉิน ส่วนของการพิมพ์ภาพนั้นให้คุณภาพที่ดีน่าพอใจ ปกติฟิล์ม instax มักจะมีสีสันไม่สวย ภาพไม่คมชัด นั่นเป็นเพราะเป็นการถ่ายภาพตรงๆที่โฟกัสไม่แม่นและวัดแสงไม่ชัวร์ในแบบกล้องอนาลอกดั้งเดิม ภาพ instax ที่เคยมีก็เลยไม่คมชัดและสีไม่สวย แต่เมื่อทำงานในแบบเครื่องพิมพ์ เราเลือกภาพคมชัดสีสวยจากมือถือไปสั่งพิมพ์ เราก็ได้ภาพสีสวยคมชัดตามที่เราต้องการ

1740053908929
DSC07256

IMG_2521

Fuji evo เหมาะกับใคร
Fuji evo เป็นกล้องดิจิทัลที่พิมพ์ภาพได้ เหมาะกับคนที่ต้องการมีประสบการณ์การใช้งานกล้อง instax ที่ยังไม่มั่นใจตัวเอง สามารถเลือกภาพที่จะพิมพ์ได้ ประหยัดการซื้อฟิล์มได้

Fuji evo เหมาะกับคนที่ต้องการพิมพ์ภาพถ่ายแบบทันทีทันใด สะดวกต่อการพกพา แต่ก็จะได้ภาพขนาดเท่าบัตรเครดิตหรือบัตรประชาชนเท่านั้น

Mini evo ไม่เหมาะกับใคร
ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพสวยคมชัดระดับเดียวกับเทคนิคการพิมพ์ Dye-sub ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับตลาดผู้ใช้งานทั่วไป อย่างเช่นเครื่องพิมพ์ selphy ของ Canon

ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ เพราะ mini instax ให้ภาพขนาดเล็ก ส่วนคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ต้องดูเครื่องพิมพ์พกพาระบบอื่น หรือถ้าเป็น instax ก็จะมีรุ่น wide ที่ให้ภาพใหญ่ขึ้น

DSC07264

ตัวอย่างการสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือ mini evo จะรับคำสั่งพิมพ์จากโทรศัพท์ แล้วก็ส่งภาพออกมา เราต้องรอเวลาอีกประมาณ​2 นาที ภาพถึงจะขึ้นสมบูรณ์มีความคมชัดในระดับที่น่าพอใจ

เปรียบเทียบภาพถ่ายจากหลายระบบ

การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนแล้วในยุคอินเทอเน็ต 5G เพราะโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องมีกล้องติดมาด้วย และส่วนมากก็จะมีคุณภาพดีพอใช้ได้ทั้งสิ้น ผู้คนถ่ายภาพกันเป็นจำนวนมาก และบางทีก็อยากจะพิมพ์ภาพออกมาเป็นกระดาษบ้าง อาจจะใช้ใส่อัลบั้มเพื่อดูในเวลาอื่นๆ อาจจะใช้แจกเป็นที่ระลึก ซึ่งเมื่ออยากจะพิมพ์ภาพถ่ายดิจิทัลออกมา เราก็จะเป็นจะต้องไปอัพภาพที่ร้านรูปตามห้าง และบางคนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีปริ๊นเตอร์สีเอาไว้ทำงาน ก็อาจจะพิมพ์ภาพเองเลย และนอกจากเครื่องพิมพ์สำหรับสำนักงานแล้ว โลกเราก็มีเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนมากจะพิมพ์ภาพขนาดเล็ก 

เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพถ่ายสำหรับใช้ในบ้านที่มีให้เราใช้ในยุคปัจจุบันเท่าที่เหลืออยู่ก็จะเป็นระบบ

1 Zink paper ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Polaroid เพื่อทดแทนระบบการพิมพ์ภาพดั้งเดิมที่ใช้มานานหลายสิบปี ส่วนระบบดั้งเดิมที่ Polaroid สร้างจนมีชื่อเสียงแต่ไม่ยอมทำตลาดต่อ ก็ถูก Fuji นำไปทำตลาด นำเทคโนโลยีไปไปใช้ในกล้อง instant ของตัวเอง

2 Fuji instax ระบบถ่ายภาพลงบนแผ่นฟิล์ม เป็นสิ่งที่เกิดจากบริษัท Polaroid  ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนปัจจุบันยังคงมีกล้องระบบ instax ของ Fuji ออกมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง และมีหลายขนาดให้เลือกใช้

P_20160505_143122
กล้อง Polaroid ที่ใช้ระบบการพิมพ์ภาพแบบ Zink paper

3 Canon Selphy การพิมพ์ภาพถ่ายของ Canon โดยใช้ระบบการพิมพ์ Dye-Sublimation ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงและใช้อยู่ในเครื่องพิมพ์ Canon selphy ที่ขายอยู่ราคาไม่แพง และได้รับความนิยมในกลุ่มช่างภาพที่อยากได้ภาพคุณภาพสูง มีทั้งแบบเครื่องพกพา และเครื่องตั้งโต๊ะ

2018-03-15_12-37-38
ซ้ายคือภาพจากระบบ zink ขวาคือภาพจาก Dye-Sublimation

แต่ละระบบจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน และมีจุดด้อยของใครของมันที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องปวดหัวและต้องเสียเงินซื้อหลายระบบ เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง ทำให้คนรักการพิมพ์รูปแทบจะต้องเสียเงินซื้อทุกอย่าง

Zink ย่อมาจาก Zero ink เป็นระบบที่สะดวก ทำให้เล็กได้ สามารถยัดเข้าไปอยู่ในกล้องถ่ายรูปได้ และทำเป็นเครื่องพิมพ์แยกอิสระได้ การพิมพ์ระบบนี้ต้องใช้ไฟล์ดิจิทัลเท่านั้น ความคมชัดและคุณภาพสีอยู่ในระดับปานกลาง ความคงทนอยู่ในระดับต่ำ คือในเวลาไม่เกินสองปีภาพจะเกิดอาการสีซีด ไม่เหมาะกับการเก็บภาพชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าเราถ่ายภาพแม่ไว้ วันนึงในอีกหลายปีข้างหน้าภาพแม่จะจางหายไป

Fuji instax เป็นระบบถ่ายภาพทันใจอีกชนิด ต้นกำเนิดเกิดจากบริษัท Polaroid แต่เสื่อมความนิยมไปพักใหญ่ แล้ว Fuji ก็นำมาทำตลาดต่อ เป็นระบบการพิมพ์ภาพแบบอนาลอก ฟิล์มแผ่นที่ผ่านการถ่ายจะไหลออกมาจากกล้อง รอเวลาสักครู่ก็จะปรากฏเป็นภาพที่สวยงาม ระบบนี้ได้รับความนิยมมากเพราะสะดวก รวดเร็ว ถ่ายแล้วภาพไหลพรวดออกจากกล้อง แม้จะต้องรอเวลาสัก 1 นาทีเพื่อให้ภาพขึ้นชัดเจนแต่ก็เป็นความสนุกที่น่าลองใช้งาน เมื่อก่อนเป็นอนาลอก ปัจจุบัน Fuji พัฒนาให้เป็นเครื่องพิมพ์ภาพ ทำให้สร้างภาพดิจิทัลไว้บนแผ่นฟิล์ม instax ได้ ทำให้เรามีเครื่องพิมพ์ระบบ instax และทำให้ Fuji ทำกล้องดิจิทัลที่ยัดเครื่องพิมพ์ภาพ instax ไว้ข้างในออกมาขายด้วย ข้อดีคือเร็ว ข้อเสียคือภาพเล็ก เพราะขนาดที่นิยมและขายดีทั่วโลกก็มีขนาดแค่บัตรเครดิตเท่านั้น แม้จะมีขนาดจตุรัสออกมาบ้างก็ยังไม่ได้รับความนิยม 

Canon Selphy เป็นระบบ Dye-Sublimation ที่ให้ภาพสวยที่สุด ระบบการพิมพ์ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว ต้องใช้เครื่องพิมพ์โดยเฉพาะ ไม่สามารถทำให้เล็กได้ ทำให้เราไม่สามารถยัดระบบการพิมพ์แบบนี้เข้าไปในกล้องถ่ายภาพ ข้อดีคือภาพสวยคุณภาพสูงมาก ข้อเสียคือ ใหญ่ เทอะทะ ต้องทำงานในสภาพของปริ๊นเตอร์ คือพกพาลำบาก แต่จะเก็บภาพได้ยาวนานที่สุด canon เลยบอกว่าสามารถเก็บภาพได้ถึง 100 ปี ถ่ายภาพพ่อแม่ไว้ พ่อแม่จะอยู่ในกระดาษไปจนเราตาย ภาพก็ยังไม่จืด อันนี้เรียกว่าดีมาก

สรุป

การเลือกระบบการพิมพ์ภาพขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ภาพ ถ้าเราต้องการความเร็ว เช่นงานปาร์ตี้ ถ่ายแล้วได้ภาพทันที คุณภาพไม่ต้องดีที่สุด เราก็ใช้ระบบของ fuji instax ที่เป็นอนาลอกได้เลย คือถ่ายแล้วไหลพรวด

ถ้าเราอยากได้ภาพสวย สีสันยอดเยี่ยม มีคำตอบเดียวคือ canon selphy ให้ภาพขนาด 4×6นิ้ว

ถ้าเราอยากได้เครื่องพิมพ์ภาพจากไฟล์ดิจิทัลที่พกพาได้ เรามีทางเลือกคือ zink paper กับ ระบบ fuji instax printer ทั้งสองแบบเป็นเครื่องพิมพ์พกพา สามารถเลือกภาพดิจิทัลมาสั่งพิมพ์ได้ 

ถ้าเราอยากได้กล้องดิจิทัลที่ถ่ายแล้วเลือกภาพแล้วค่อยพิมพ์ เราก็มีทางเลือกที่เป็นกล้องระบบ zink ใช้กระดาษ zink paper กับกล้อง fuji รุ่นดิจิทัลที่พิมพ์ภาพบนแผ่นฟิล์ม instax ได้


แถมให้

ระบบ Zink เทียบกับ instax อันไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งสองระบบเป็นระบบการพิมพ์ที่ยัดไว้ในกล้องได้ ก็ขอให้ดูภาพตัวอย่างด้านล่าง ภาพแรกถ่ายสิ่งของพร้อมกัน ได้ภาพออกมาพอใช้ได้ทั้งคู่ zink จะใหญ่กว่าเพราะขนาดที่ใช้คือ 2×3นิ้ว ส่วน instax เล็กกว่าเพราะขนาดเท่าบัตรเครดิต

P_20160505_175002
ซ้าย Zink paper จากกล้อง Polaroid Z340 ขวาคือ Fuji instax จากกล้อง Mini8

เมื่อเวลาผ่านไป16 เดือน เอาภาพทั้งสองใบมาเทียบกันอีกครั้ง เราจะเห็นว่าภาพจาก zink จะซีดลงไปเยอะมาก สีสันจริงของวัตถุในภาพอาจจะดูไม่รู้แล้วว่าเคยเป็นสีอะไร ข้อมูลภาพอาจจะค่อยๆหายเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ส่วน instax ยังคงอยู่ดีดูไม่ค่อยแตกต่างจากปีแรก คาดว่า instax จะอยู่ได้อีกหลายปี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถึง 20 ปีไหม

IMG_0206
ซ้ายคือ Fuji instax ที่เวลาผ่านไป 16 เดือน ขวาคือ Zink paper


เปรียบเทียบภาพจาก latest polaroid vs antique polaroid

ทดลองเปรียบเทียบภาพถ่ายที่ปริ๊นลงกระดาษจากกล้องสองตัวที่เทคโนโลยีต่างกันเกือบร้อยปี  ด้านซ้ายคือภาพจากกล้อง polaroid z340 ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกล้องดิจิทัลรวมกับปริ๊นเตอร์ขนาดเล็ก ส่วนด้านขวาเป็นภาพจากฟิล์ม fuji instax บนกล้อง fuji instax mini8

การถ่ายภาพแล้วได้ภาพแทบจะทันทีเป็นสิ่งที่บริษัท polaroid ได้มอบไว้ให้แก่โลกเรามานานแล้ว  แต่ในปัจจุบัน polaroid หันไปสู่ดิจิทัลเต็มตัว  ส่วนเทคโนโลยีมรดกโลกกลับกลายเป็น fuji ที่รับระบบอนาลอกของ polaroid มาใช้อย่างจริงจัง และทำตลาดจนกลายเป็น instax mini ที่ฮิตกันมากในปัจจุบัน และนอกจากฟูจิแล้ว ยังมีผู้ผลิตกล้องอย่าง  leica ที่ลงมาเล่นตลาดนี้ด้วยการส่งกล้องใช้ฟิล์มโพลารอยด์ออกมาขายด้วย  และ ยังมีค่ายอินดี้อย่าง Mint ที่ออกกล้องใช้ฟิล์มแบบนี้ออกมาอีก

ข้อดีของ z340 คือ มีไฟล์ดิจิทัลเก็บไว้ด้วย สามารถเลือกภาพเพื่อพิมพ์หรือไม่พิมพ์ก็ได้  แต่แบตเตอรี่ในกล้องจะใช้พิมพ์ภาพได้ไม่เกิน 10 รูปในการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามสเป็ค ถ้าแบตหมดจะต้องกลับบ้านมาเสียบสายชาร์จเท่านั้น

Instax mini8 ของ fuji ดีตรงที่สามารถถ่ายภาพได้ 100 ภาพ ด้วยถ่านอัลคาไลน์ AA 2 ก้อน   แต่ต้องพิมพ์ทุกภาพที่ถ่าย เลือกไม่ได้

ภาพที่ได้จากการพิมพ์จากสองระบบให้คุณภาพแค่พอใช้ได้ ดูรู้เรื่อง ให้อารมณ์มากกว่าคุณภาพ  การชมภาพที่ไหลออกมาจาก z340  เทียบกับการรอภาพค่อยๆปรากฏขึ้นของฟูจิ ใช้เวลารวมไม่ต่างกัน  เราจะอยู่กับระบบไหนก็ได้  มันสนุกเหมือนกัน  แต่ฟูจิจะมีข้อดีกว่าตรงที่ ไม่ต้องกลัวแบตหมด  ถึงหมดก็ซื้อสำรองไปใส่ได้ไม่ยาก ร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็มีแบตขาย

image