nec94 – การเรียก referral จากคนเพิ่งพบกัน

 
การเรียก referral จากคนเพิ่งพบกันเป็นเรื่องที่มีคนอยากรู้ เราจะมาวิเคราะห์ถึงขั้นตอนการให้ referral ว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สมมุติว่า เรากำลังบรรยายเกี่ยวกับอาชีพของเรา ความสามารถของเรา ผลิตภัณฑ์ของเรา อะไรก็ตามที่อยู่ในการพรีเซ้นท์ของเรา ซึ่งในกลุ่มของเราก็คือการพรีเซ้น 5 นาที และมีคนฟังอยู่ในห้องนี้เต็มห้อง สมมุติว่าเราบรรยายได้ดี ฟังรู้เรื่อง มีคนสนใจ นั่นแปลว่า เรากำลังทำให้ตัวเองมีโอกาสรับ referral จากคนในห้อง เพราะว่า การพรีเซ้นที่ดีหรือการพูดที่ดีเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เรามี visibility สูงขึ้น และ ช่วยเพิ่ม creditability ให้สูงขึ้นไปพร้อมกัน  สองอย่างนี้ทำให้เราดูน่าเชื่อถือ  และคนฟังในห้องก็จะมีความรู้สึกว่าเราน่าสนใจ น่าจะให้ referral กับคนเราได้
 
 
เหตุการ์ณคล้ายๆกัน หากเราเพิ่งจะพูดสนทนากับใครสักคน และสิ่งที่พูดคุยกันเป็นประโยชน์ทางธุรกิจในทางใดทางหนึ่งสำหรับทุกคนในวงสนทนา  นั่นหมายความว่า เราเพิ่ม visibility ให้ตัวเอง และ เพิ่ม creditability ไปพร้อมกัน  เท่ากับว่าเราทำให้ตัวเองมีความพร้อมที่จะรับ referral แล้ว เพราะเรามี visibilityและ creditability ที่สูงขึ้น และคู่สนทนาของเราก็กำลังไว้ใจเรา เนื่องจากเขาฟังจนจบและฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นว่าที่ลูกค้าโดยตรง หรือ เป็นพาร์ทเนอร์ก็ตาม หากเขาเป็นลูกค้าโดยตรงได้ เราก็มีโอกาสได้ referral   หากเขาเป็นพาร์ทเนอร์ เราก็มีโอกาสได้รับการแนะนำเพื่อนของเขาให้กับเรา การอยู่ในเหตุการณ์สนทนาร่วมกัน หรือบรรยายร่วมห้องกันนี้ คือการมีจุดร่วมบางอย่างร่วมกัน พอเขาและเรามีบางอย่างเชื่อมกันแล้ว โอกาสที่จะแบ่งกันลูกค้าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาจากนี้ไป
แต่การให้ referralจะไม่เกิดขึ้นทันทีในวินาทีนี้   มันจะเกิดขึ้นในการพูดคุยกันอีกรอบหนึ่งที่ลึกขึ้นหลังจากนี้สัก 2-3 วัน  นั่นหมายความว่าให้เราติดตามผลด้วยการนัดไปทำ 1-2-1 กับเขา การพบปะกันรอบที่ 2 ที่พูดคุยสนทนากันลึกขึ้น เป็นโอกาสที่จะได้แบ่งปันซึ่งกันและกัน และการพบกันรอบสองนี่เองที่จะมีโอกาสเกิด referral ได้สูงที่สุด
 
 
 
 
 
 

nec93 – Visibility Creditability and not

688971275-1024x1024

ในการทำการตลาดแบบบอกต่อ เราจะมีคำที่คุ้นเคย 3 คำ ซึ่งคำนี้เป็นองค์ความรู้ของ bni โดยเฉพาะ นั่นคือ คำว่า vcp  หรือ เรียกรวมๆว่า VCP Process   ซึ่ง V คือ Visibility   C คือ creditability   P คือ Profitability  ความสัมพันธ์ของ 3 ตัวนี้เขียนเป็นสมการเท่ห์ๆได้ว่า Visibility + Creditability = Profitability

ในทางปฏิบัติ  ขั้นตอนการทำ VCP นี้ เป็นขั้นตอนของการทำให้เกิด referral  โดยไม่ใช่ขั้นตอนการขาย หรือ sale process  ก็คือมันยังไม่เป็นธุรกิจหรือยังไม่เกิดผลลัพธ์   สมมุตว่า ตอนที่เพื่อนในห้องยังไม่ได้ให้ referral กับเรา  นั่นก็คือเรากำลังอยู่ที่ระดับ creditability ยังไม่ก้าวข้ามไปถึงฝั่ง Profitability

หลายคนก็ประสบกับเหตุการณ์ว่า เราอยู่ในกลุ่ม networking มาพักใหญ่ๆแล้ว แต่ทำไมยังไม่มีผลลัพธ์ แม้ว่าเราจะพยายามพัฒนา V และ C ให้สูงเต็มที่แล้ว เรากลับพบว่าสมการที่เราเจอคือ

Visibility + Creditability ไม่เท่ากับ Profitablity

เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว สมการที่ 2 นี่แหละที่เป็นจริงในกลุ่มของเรา    คือเราไม่สามารถไปถึงฝั่ง Profitability โดยอัตโนมัติ มันเป็นเพราะอะไร

ตัวแปรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่โผล่มาให้เราเห็นในตอนนี้จะเป็นตัวสำคัญที่พาเราข้ามฝั่งไป  แต่ก่อนที่เราจะไปถึงตัวแปรนั้น  ขอให้เราได้อยู่กับวิธีการ เพิ่ม visibility และ creditability กันจนสูงเต็มที่เสียก่อน  nec จะค่อยๆเพิ่ม สองตัวนี้ให้กับท่านไปทีละสัปดาห์  สัก 8 ครั้ง เราน่าจะพร้อมที่จะข้ามฝั่งแล้ว

nec23 – ความลับของการทำ networking ให้เกิดผลลัพธ์

จากประสบการณ์ 20 ปีของการทำการตลาดแบบบอกต่อของ bni  มีการค้นพบวิธีที่จะทำให้เราได้ธุรกิจจากการบอกต่ออย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งวิธีการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความลับพิเศษแต่อย่างใด

วิธีการนี้คือ  เราจะต้องใช้เวลากับการ networking ให้มากเพียงพอ  และการ networking นี้ จะต้องทำให้ถูกคนด้วย จากสถิติของ bni ได้ข้อสรุปว่า ผลลัพธ์ทางธุรกิจแปรผันตรงกับเวลาที่เราใช้ทำ networking  นั่นคือยิ่ง networking มาก ยิ่งได้ผลลัพธ์มาก

NetworkingSecretGraph

 

และจากสถิติที่รวบรวมไว้เมื่อทำเป็นกราฟออกมาก็จะเป็นไปตามภาพ ยิ่ง networking มาก ก็ยิ่งเกิดผลลัพธ์มาก  ดูลงไปในรายละเอียดของสถิติ เราจะพบว่า หากเราต้องการผลลัพธ์ที่มากขึ้น 50% เราควรใช้เวลาประมาณ 5-9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  ซึ่งตัวเลขนี้เป็นการรวบรวมของ bni  และค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์ 50% เกิดจากการใช้เวลาทำ networking 6.5 ชั่วโมง  ส่วนผลลัพธ์ 70% จะต้องใช้เวลา 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อ networking อย่างถูกต้อง

แล้วเราจะใช้เวลาของเราไปทำ networking กี่ชั่วโมงดีเพื่อธุรกิจของเราเอง

 

nec18-vcp-visibility

IMG_7357

การทำธุรกิจด้วยแนวคิดของ referral marketing ต้องอาศัยการบอกต่อ การแนะนำลูกค้าต่อเนื่อง
ความสำเร็จของคนที่ได้รับการแนะนำอย่างสม่ำเสมอ จะถูกอธิบายด้วยศัพท์ง่ายๆ 3 คำ คือ

Visibility คือการแสดงตัวตน การมีตัวตน ทำให้คนอื่นรู้ว่ามีเรา มีธุรกิจของเรา

Creditability คือ ความน่าเชื่อถือ  การรับรู้ว่าคุณมีคุณภาพ สินค้าของเราดี

Profitability คือการทำให้เกิดธุรกิจ

พวกเราส่วนใหญ่เคยฟังเรื่องราวของแต่ละคำมาบ้างแล้ว  เราขอทบทวนในบางข้อนั่นคือ Visibility

Visibility จะถูกสร้างขึ้นได้ด้วยการ ปรากฏตัวอย่างสม่ำเสมอ  ก็คือ การมาประชุมตรงเวลา  ไม่ขาดประชุม  ลองนึกดูว่า ถ้าเราจะเดินไปซื้อโทรศัพท์สักเครื่องหนึ่งที่ร้าน  เราจะเข้าร้านไหน   ร้านที่เปิดทุกวัน ไปเมื่อไหร่ก็เห็นว่าเปิดขายอยู่  กับ อีกร้านหนึ่งที่ไปเจอปิดร้านบ่อยมาก ปิดกันง่ายๆโดยไม่ต้องมีเทศกาล  เราอยากจะซื้อโทรศัพท์กับใคร?

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

การมาประชุมก็เหมือนการเปิดร้าน  เราต้องแสดงความน่าเชื่อถือของตัวเราเองด้วยการ มาประชุมอย่างต่อเนื่อง  คนที่ตั้งท่าจะส่งงานให้ คนที่ตั้งท่าจะส่งลูกค้าให้เขาจะได้กล้าส่ง เพราะรู้ว่าเรามีคุณภาพ  เราตรงต่อเวลา เรารักษาสัญญา สัญญาว่าจะมาประชุมอย่างต่อเนื่อง

การมี Visibility อย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้าง Creditability  ความน่าเชื่อถือที่มากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้คนในกลุ่มกล้าจะแนะนำงานให้ Visibility และ Creditability มีเรื่องราวและเทคนิคน่ารู้อยู่จำนวนมาก เราควรใช้เวลากับการทำความเข้าใจจะทำให้เราได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เราคาดหวัง

nec17 – referal source ep5

referral source มีอยู่ 8 ช่องทาง ที่ผ่านมาเราคุยกันไป 5 ช่องทางครับคือ

1 คนใน contact sphere

2 ลูกค้าเก่า

3  คนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจเรา  เช่น ซัพพลายเออร์

4 คนที่เราไปอุดหนุน เช่น ช่างตัดผม ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านกาแฟ

5 คือ ลูกน้องในอ๊อฟฟิศ

IMG_0172

ช่องทางที่ 6 คนที่จะให้ referral แก่เราก็คือ  คนที่เราให้ referral กับเขานั่นเอง  เป็นเรื่องปกติมากๆในโลกธุรกิจ เราช่วยใคร เขาก็อยากจะช่วยเรากลับคืน  เพราะทุกคนมีพื้นฐานของการเป็นคนดี  เราสามารถเริ่มต้นที่จะรับ referral ได้โดยการเริ่มต้นให้ครับ  เราอยากได้จากใคร กาหัวไว้เลย แล้วจัดการ 1-2-1  ปกติ ใน powerteam เราจะมีลูกค้าคล้ายๆกัน ลูกค้าของทีมจะอุดหนุนบริษัทในทีมหลายๆอย่างอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้าของเพื่อน มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของเรา  สิ่งที่เราควรทำก็คือ เอาลูกค้าชั้นดีของเรามาส่งให้เพื่อน  แล้วเดี๋ยวเพื่อนก็จะส่งลูกค้าชั้นดีให้เรา   สรุปว่า ช่องทางที่6 เราจะได้รับ  referral จากคนที่เราเคยให้ referral ครับ

7 ช่องทางที่ 7  เราน่าจะได้ referral จากคนที่เคยให้ referral  ใครเคยให้เรา เขาจะให้เราซ้ำ  ตราบใดที่เรายังเป็นคนที่มีคุณภาพดีดังเดิม  ดีดังเดิมนั้นหมายถึงอะไรบ้าง  พบหน้าบ่อยเหมือนเดิม (attendant)  มี referral ให้เพื่อนเหมือนเดิม(ref)  1-2-1 บ่อยๆเหมือนเดิม thankyou และให้ testimonial สม่ำเสมอเหมือนเดิม นั่นก็คือเป็น good member นั่นเอง

nec17 – referal source ep4

 

IMG_2194

referral source มีอยู่ 8 ช่องทาง ที่ผ่านมาเราคุยกันไป 4 ช่องทางครับคือ

1 คนใน contact sphere

2 ลูกค้าเก่า

3  คนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจเรา  เช่น ซัพพลายเออร์

4 คนที่เราไปอุดหนุน เช่น ช่างตัดผม ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านกาแฟ

 

วันนี้เราจะพูดส่วนที่เหลืออีก ในช่องทางที่ 5-8 ครับ

ช่องทางที่ 5 คือ ลูกน้องในอ๊อฟฟิศ  ใครจะรู้ดีว่าเราทำอะไรได้ หรือเราเก่งเรื่องอะไรมากไปกว่าลูกน้องในอ๊อฟฟิศ  ไม่ใช่แค่พนักงานเซลส์ หรือมาเก็ตติ้ง  ตำแหน่งอื่นๆในบริษัทก็มักจะรู้ดีและสามารถบอกต่อได้เช่นกัน  จริงๆคือทุกตำแหน่งในอ๊อฟฟิศเลยที่จะช่วยบอกต่อได้  ลูกน้องเหล่านั้นเขาก็ย่อมมีเพื่อน  มีญาต มีคนรู้จักอีกมากมายอยู่ในเครือข่ายส่วนตัวของเขา  สิ่งที่เราควรทำกับลูกน้องก็คือ เราต้องทำให้เขามีความสุขกับการทำงาน  ดูแลทุกสุขของลูกน้องจะช่วยให้เขามีใจและพร้อมบอกต่อ ก็คือ พร้อมจะช่วยเราหางานนั่นเอง

 

ยกตัวอย่าง  ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์ บางวันก็เดินมาบอกผมว่า ญาติเขาจะพิมพ์บิลใบเสร็จรับเงิน  ผมก็บอกดีเลย ให้เขาโทรมาหรือแวะเอาตัวอย่างงานมาให้ดูเลยก็ได้ เดี๋ยวคิดราคาให้  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครับ  เพราะลูกน้องทุกคนจะมีเครือข่ายของเขาเอง  และเขาก็รู้ว่าเราทำงานอะไร referral ที่เขาพบมาเราทำได้หรือไม่  ลูกน้องเรารู้ดีไม่ต่างจากเราแน่นอน  ดังนั้น  อย่าลืมทำให้ลูกน้องมีความสุขกับที่ทำงาน

bni กับแนวคิดของ การทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4121

วิธีการทำการตลาดแบบบอกต่อที่เป็นหัวใจของ bni เป็นวิธีที่เน้นการปลูกสร้างสายสัมพันธ์  หลายคำศัพท์ที่มักจะได้ยินในกลุ่มของนักธุรกิจ bni คือ เรามาทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4142

farming คืออะไร  ย้อนกลับไปที่คำศัพท์การทำฟาร์ม  การทำฟาร์มใดๆก็ตาม เราจะต้องได้ผลผลิตจากสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ถ้าเราทำฟาร์มไก่ เราก็เลี้ยงไก่ ผลผลิตเป็นไก่ เราได้ไก่กินทุกวัน เรามีไก่ไปขายทุกวัน  แม้เราหลับ เราตื่นมาก็มีไก่ให้กิน  เพราะฟาร์มจะมีผลลัพธ์ให้เราตลอดเวลา

ถ้าเราปลูกเห็ดขาย เรากำลังทำฟาร์มเห็ด  เราก็จะมีเห็ดให้เก็บขายทุกวัน  วันนี้เก็บไปแล้ว พรุ่งนี้มีเห็ดต้นใหม่ให้เก็บ เก็บขายทุกวัน นอนหลับตื่นมา พรุ่งนี้ก็มีเห็ดต้นใหม่

สิ่งที่ยกตัวอย่างมาคือเราทำฟาร์ม  ฟาร์มนั้นๆจะต้องให้ผลลัพธ์กับเราตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หล่อเลี้ยงฟาร์มนั้นด้วยสิ่งที่จำเป็น เลี้ยงไก่ ก็ต้อง ให้อาหาร ให้น้ำ เก็บกวาดขี้ไก่ทำความสะอาด  ปลูกเห็ดก็ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย สิ่งที่เราทำเพิ่มลงไปทุกวันๆก็เพื่อให้วันพรุ่งนี้มีผลผลิต

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4182

เรามา farming ใน bni  ก็คือ ฟาร์มแห่งนี้จะต้องให้ธุรกิจกับเราทุกวัน หรือ ให้บ่อยๆ หรือ ให้อย่างสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของเราด้วย  ถ้าเราเป็นคนรับเหมาสร้างบ้าน  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าสร้างบ้านกับเราตลอดปี  จบหลังแรก ก็มีหลังที่สองให้สร้างต่อ ทำให้บริษัทไม่ว่างงาน   หรือถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าที่สั่งพิมพ์งานทุกวัน หรือทุกสัปดาห์แล้วแต่ชนิดงาน ถ้าปีนึงลูกค้าสั่งงานโรงพิมพ์ 1 ครั้ง และเราใช้เวลาผลิตงานประมาณ 1 สัปดาห์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะทำให้เราได้ลูกค้า 52 รายเพื่อให้โรงพิมพ์ได้ทำงานส่งทุกสัปดาห์นั่นเอง

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

farming ใน bni คือการพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมของกลุ่มคนประมาณ 40-50 คน  คนในกลุ่มนี้จะมีหลายหลายอาชีพ และทุกคนอาชีพไม่ซ้ำกัน  การที่จะให้คนเหล่านี้แนะนำบอกต่อลูกค้ามาสั่งงานกับเรา ก็ต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง เช่น เราจะต้องได้รับความไว้วางใจว่าเรามีคุณภาพ เพื่อนถึงจะกล้าแนะนำงานให้  เราต้องเป็นเพื่อนเขา สนิทสนมกับเขาในระดับนึง  และ เขาต้องรู้จักเรา รู้จักธุรกิจของเรา  และรู้ว่า งานที่เขาจะช่วยบอกต่อมาถึงเรานั้น เป็นงานที่เราต้องการจริงๆหรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  เราก็อยากจะพิมพ์งานหลายอย่าง  แต่งานที่เราทำไม่ได้ก็มี เช่น งานพิมพ์หนังสือพิมพ์ เพราะเครื่องจักรของเราผลิตหนังสือพิมพ์ไม่ได้  ดังนั้นเพื่อนในกลุ่มถ้าเขารู้จักเรา รู้จักธุรกิจเรา เขาจะไม่แนะนำงานหนังสือพิมพ์มาให้เรานั่นเอง

IMG_0048

ในขณะที่เรากำลังสร้างฟาร์มที่จะมีลูกค้า มีงานส่งมาถึงเราอย่างต่อเนื่อง  เราก็เป็นฟาร์มของคนอื่นเช่นกัน  คนอื่นจะต้องพยายามสร้างความไว้วางใจให้ได้  เขาจะต้องทำให้เราเชื่อและไว้ใจว่าเขามีคุณภาพ และจะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับลูกค้าที่เราส่งไปให้  การหล่อเลี้ยงฟาร์มแห่งนี้เพื่อให้เกิดการแนะนำบอกต่ออย่างต่อเนื่องนั้น เราจะต้องมีวิธีการประจำวันที่จะทำงานกับระบบแบบนี้  ดังต่อไปนี้

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4280

1  ต้องพบกันอย่างสม่ำเสมอ  ในทางปฏิบัติ ก็คือการเจอกัน คุยกันอย่างเป็นประจำ  คำว่าเป็นประจำมีความหมายยิ่งกว่าบ่อยๆ  ในกลุ่ม networking ทางธุรกิจ จะมีการพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เจอกันบ่อยยิ่งกว่าญาตพี่น้องเสียอีก  การพบกันอย่างสม่ำเสมอทำให้เราและเขาได้รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน  แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และสามารถนำไปสู่ความไว้วางใจในการส่งต่อลูกค้าได้  ให้ลองคิดเล่นๆว่า  เราจะบอกต่อลูกค้าคนสำคัญของเราให้กับเพื่อนแบบไหน เพื่อนแบบที่นัดแล้วไม่มา  ไม่ค่อยได้เจอ  หรือเพื่อนที่พบกันทุกสัปดาห์และเขารับผิดชอบงานดี

2  ต้องใช้เวลาพูดคุยกันอย่างถึงแก่นของธุรกิจ  รู้ในสิ่งที่ควรรู้ของเพื่อน  เช่น  ต้องรู้ถึงระดับที่ว่า งานที่เราพบเจอใช่งานของเพื่อนเราจริงไหม  อย่างเช่น  ถ้ามีคนจะซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน  และในกลุ่ม network ของเรามีผู้รับเหมาสร้างบ้าน  เราต้องรู้ว่า ผู้รับเหมาที่เราพบกันประจำเขารับงานต่อเติมไหม  บางคนอาจรับแต่งานสร้างใหม่  ส่วนงานซ่อมหรืองานต่อเติมไม่รับ  ดังนั้น  เวลาเราจะเลือกส่งต่องาน เราควรรู้ว่า คนรับเขาอยากได้งานนั้นๆจริงหรือไม่  และการที่จะได้รู้ว่าเขาอยากรับ หรือ ไม่อยากรับ  เราต้องผ่านการพูดคุยกันในเชิงลึก  ผ่านการได้ดูได้เห็นผลงานของเขา  ในทางกลับกัน  ถ้าเพื่อนผู้รับเหมาจะส่งงานมาให้เรา  เขาก็ควรรู้จักเราว่าเราชอบงานนั้น หรือ ไม่ต้องการงานแบบนั้น

เมื่อเราพบกันสม่ำเสมอ และรู้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งกันและกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนทั้งสองฝ่าย  การแนะนำลูกค้าที่เรามีอยู่ให้ใช้บริการเพื่อนในกลุ่มก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  ไม่ตะขิดตะขวงใจ  คนเรามีลูกค้าติดตัวรวมถึงคนรู้จักที่พูดคุยได้อย่างน้อย 200 คน  ถ้าเรารวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อย 5 คน ก็เท่ากับมี 1000 ว่าที่ลูกค้า  ถ้าเรารวมกลุ่มกัน 40 คน เราจะมีว่าที่ลูกค้า 8000 คน  นี่คือความน่าจะเป็นของการทำธุรกิจด้วยวิธีการบอกต่อ  แต่เราบอกต่อแบบมีคุณภาพ และมีโครงสร้างการติดตามงานที่ชัดเจน ทำให้การบอกต่อเป็นการบอกต่อที่เกิดผลลัพธ์  ซึ่งมันก็คือการทำฟาร์มที่จะได้ผลเป็นลูกค้านั่นเอง  เพราะในกลุ่มจะวนเวียนเกิดงานใหม่ๆให้แก่สมาชิกเสมอ

ความสอดคล้องระหว่างตัวตนและธุรกิจของเรา

IMG_7357

 

ในการประชุมกลุ่มด้วยกัน หากมีใครสักคนยืนขึ้นเพื่อพูดอธิบายว่าเขาคือใคร ทำธุรกิจอะไร ลูกค้าที่ใช้บริการจะได้อะไร  แต่ถ้าหากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ณ เวลาที่พูด กับสิ่งที่เขาขายนั้นไม่สอดคล้องกัน  มันจะไม่เกิดผลลัพธ์อะไรเลย เช่น

ถ้าเทรนเนอร์การออกกำลังกาย  มีรูปร่างน้ำหนักเกินไปเยอะ  บางคนเรียกว่าอวบระยะสุดท้าย  แล้วใครอยากจะใช้บริการของเขา  ถ้าเรามีเพื่อน เราจะกล้าแนะนำให้เขามาออกกำลังกายกับเทรนเนอร์คนนี้ไหม  คำตอบก็คือไม่กล้าแนะนำ  ดังนั้นเคสนี้ก็ไม่เกิดการแนะนำทางธุรกิจแน่นอน

ถ้าคนขายรถยนต์  ใช้รถเก่า ซ่อมบ่อย เราจะกล้าแนะนำเพื่อนไปซื้อรถจากโชว์รูมเขาหรือไม่  คำตอบก็คือ ไม่กล้าแนะนำ

เราขายอะไร เราก็ควรจะเป็นพรีเซนเตอร์สิ่งนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ เป็นตัวอย่าง เป็นผู้ชี้นำที่ดูน่าเชื่อถือในสินค้าเหล่านั้น  ยกตัวอย่าง คนทำออโตเมชั่น ที่บ้านหรือในรถก็ควรมีของแบบนี้ใช้งานเอง  คนขายเครื่องเขียนก็ควรใช้สิ่งที่ตนขาย อย่าเผลอใช้ยี่ห้ออื่นให้เห็น  รายละเอียดเหล่านี้จะทำให้คนฟัง คนที่ร่วมประชุมด้วยเกิดความเชื่อถือ

ความสอดคล้องของสินค้าและบริการ กับ ตัวตนของเจ้าของธุรกิจนั้น เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการพบปะผู้คน  หากเรายังไม่สามารถทำให้มันสอดคล้องกันได้  ก็ต้องอย่าทำให้มันขัดแย้งกัน เพื่อให้คนที่พบเราเชื่อว่าเราเป็นตัวจริงในธุรกิจนั้นๆ

 

 

Heritage จัดงาน BOD

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ทาง Heritage ได้จัด Business Open Day เพื่อหาสมาชิกเข้าสู่ เพาเวอร์ทีม (powerteam)   บรรยากาศการต้อนรับและการประชุมเต็มไปด้วยความคักคัก อบอุ่น  มีการแลกเปลี่ยน connection จำนวนมากซึ่งกันและกัน ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า

เพาเวอร์ทีมคือะไร

เพาเวอร์ทีมคือ บริษัทอื่นๆที่ขายของให้ลูกค้าของเรา แต่ไม่ได้ขายของแบบเดียวกับเรา  นั่นทำให้เราและเพาเวอร์ทีมไม่ได้แย่งกันขาย แต่ต่างคนต่างบริการลูกค้าด้วยกัน  อย่างเช่น บริษัทออแกไนเซอร์ ให้บริการจัดงานอีเว้นให้กับลูกค้า A  และขณะเดียวกันลูกค้า A ก็ยังมีการสั่งผลิตเสื้อยูนิฟอร์มเพื่อใช้ในบริษัท  โรงงานการ์เม้นที่ให้บริการเสื้อยูนิฟอร์มก็จะนับได้ว่าเป็นเพาเวอร์ทีมกับบริษัทออแกไนเซอร์ได้  เพราะต่างมีลูกค้าคนเดียวกัน  และไม่ได้แย่งกันขาย

 

การมีเพาเวอร์ทีมที่ขายของหลากหลาย หรือทำงานบริการหลากหลาย  ทุกคนในเพาเวอร์ทีมจะสามารถส่งต่อลูกค้าคนเดียวกันไปสู่ทุกคนในทีมได้  ทำให้การบอกต่อเกิดขึ้นหลายครั้ง  หากต่างคนต่างพาลูกค้าตัวเองมาส่งต่อในทีมคนละ 2 ราย  ในเพาเวอร์ทีม 5 คน จะมีลูกค้ามาแบ่งกัน 10 ราย  ทุกคนมีโอกาสเพิ่มลูกค้าอีกจาก 2 กลายเป็น 10  นี่คือพลังของเพาเวอร์ทีม

 

การหาเพาเวอร์ทีมที่ใช่คือเป้าหมายของการทำการตลาดแบบบอกต่อ  การบอกต่ออย่างเป็นระบบ การคัดสรรหาเพาเวอร์ทีมอย่างเข้าใจ ทำให้เราไม่เหนื่อยในการหาลูกค้าเอง  แค่นำลูกค้าที่มีอยู่มาแชร์กัน มันง่ายดายกว่ามาก

 

2018-02-27 06.10.52 1

2018-02-27 06.12.02 1

2018-02-27 06.14.14 1

2018-02-27 07.37.13 2

2018-02-27 07.37.14 4

2018-02-27 07.37.16 1

2018-02-27 07.37.16 3

2018-02-27 07.37.16 4

2018-02-27 06.09.07 1

 

nec pocket06

สื่อสารให้เรียบง่าย ตรงประเด็น และเจาะจง

DSCF8198

ในการทำตลาดแบบบอกต่อ หรือ referral marketing สิ่งทำคัญอย่างหนึ่งก็คือการพูดอธิบายตัวตนของเราต่อลูกค้า หรือ ต่อสมาชิกเพื่อนฝูงที่จะหาลูกค้าให้เรา การสื่อสารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าสื่อสารผิดมันส่งผลเสียหลายอย่าง ตั้งแต่การเข้าใจผิด การไม่อุดหนุนต่อ และถ้ามันใหญ่โตมันเกิดเป็นสงครามได้ไม่ยากเลย และการสื่อสารในการทำ networking ก็ต้องทำให้ ชัดเจน จำง่าย และตรงประเด็น

วิธีการที่ผิดในการสื่อสารจะมีดังนี้
1 พูดมากเกินไป
2 พูดศัพท์เทคนิคมากเกินไป
3 พูดธรรมดาเกินไป

การพูดมากจะทำให้คนจำไม่ได้ เราควรเลือกคำพูดที่กลั่นกรองมาแล้ว รวบรัดย่อส่วนให้เหลือแต่ใจความสำคัญมาแล้ว  การพูดศัพท์เทคนิคเยอะ จะทำให้คนตามไม่ทัน และพาลไม่สนใจเพราะฟังไม่รู้เรื่อง เราควรเลือกใช้คำพูดที่พบเจอในชีวิตประจำวันของคนปกติ  พูดธรรมดาเกินไปจะทำให้คนไม่เห็นว่าคุณเก่ง หรือ น่าสนใจ เพราะใครๆก็มีหรือเป็นแบบที่คุณพูด

 

ยกตัวอย่าง

ผมทำ IT consult ครับ แนวนี้คือศัพท์เทคนิคล้วนๆ มันมากเกินไปสำหรับคนธรรมดา
อาจต้องลองเปลี่ยนเป็น ผมดูแลคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้ตลอดทุกวัน ปัญหาส่งเมลไม่ได้ พิมพ์เอกสารไม่ได้ จะหมดไป

 

ฉันทำบัญชี ดูแลเรื่องภาษี แนวนี้คือ ธรรมดาเกินไป ฟังแล้วไม่แตกต่างจากบริษัททั่วไป
อาจลองเปลี่ยนเป็น ฉันวางแผนเรื่องเอกสารทางบัญชีอย่างฉลาดและรัดกุม ทำให้เสียภาษีน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่มา http://businessnetworking.com/communicate-simply-specificity/

 

 

 

 

 

 

 

.

 

 

 

 

 

.

 

NEC pocket05

การทักทายในโหมดนักธุรกิจ
IMG_8375

สวัสดีครับ คนไม่รักสันโดษ

เวลาเราไปเจอใครก็ตามที่ถามทุกข์สุขกัน คำถามที่มักจะเจอก็คือ  เป็นไงบ้าง  งานเยอะไหม  มีอะไรน่าสนใจรึเปล่าและเราก็มักจะตอบกันแบบเคยชิน  ก็ดี  เรื่อยๆ  ยุ่งมาก  คำตอบแนวนี้จะทำให้คนตอบไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ คนฟังก็เหมือนกัน คือฟังแล้วไม่อยากทำงานต่อ  ฟังแล้วเนือยๆ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า  แทนที่คนถามจะส่งต่อลูกค้าให้เรา  พอเจอเราตอบว่า ยุ่งมาก  เขาก็ไม่กล้าส่งลูกค้าให้ซะแล้ว

สิ่งที่เราควรทำก็คือ ตอบคำถามให้สร้างสรร  ตอบคำถามให้นำไปสู่งานใหม่  คำตอบควรจะพาธุรกิจเข้ามา ไม่ใช่ปฏิเสธธุรกิจ

เรามีคำตอบดีๆให้ลองเอาไปปรับเล็กน้อยเพื่อใช้กับธุรกิจของทุกท่านครับ

ช่วงนี้เป็นไง

แทนที่จะตอบว่า ก็ดี  ยุ่งมาก  ลองเปลี่ยนเป็น

A1  ชีวิตตอนนี้เยี่ยม  ผมกำลังจะจบงานลูกค้ารายใหญ่

A2  ผมกำลังสนุกมาก  เพราะผมกำลังขยายแฟรนไชน์

มันอธิบายว่าคุณงานเยอะ  แต่คุณยังมองหาความก้าวหน้าและงานที่มากขึ้น

 

 

งานเยอะไหม

แทนที่จะตอบว่า เรื่อยๆ  งานเยอะทำไม่ทันเลย

A1 ปีนี้ผมมีลูกค้าใหม่ 8 รายแล้ว แต่ผมตั้งเป้าไว้ที่ 20

A2 ยอดขายเพิ่มขึ้น 50% และผมวางแผนจะเพิ่มคนงาน

A3 ช่วงที่ผ่านมายอดขายเป็นไปตามเป้า  เรากำลังวางแผนเพิ่มเป้า และเพิ่มลูกค้า

 

 

มีอะไรใหม่ มีอะไรน่าสนใจไหม

แทนที่จะตอบว่าตอนนี้ว่างๆ  ไม่มีอะไรใหม่

A1 ผมกำลังเทรนพนักงานขายคนใหม่ คนนี้ท่าทางขายเก่ง

A2 ผมให้สัมภาษณ์หนังสือไปเล่มหนึ่ง  คาดว่าจะได้วางแผงเร็วๆนี้

A3 ตอนนี้ผมกำลังลงเรียนคอร์สการลดขั้นตอนการบริหารงานขาย

 

นี่เป็นตัวอย่างการตอบคำถามที่เรามักจะต้องตอบในชีวิตประจำวัน  เราควรจะเตรียมคำตอบเหล่านี้เอาไว้ในใจตอบให้ขึ้นใจ  เพื่อจะให้มันดีกว่าการตอบว่า เรื่อยๆ  หรือ ยุ่งมาก เพราะถ้าคุณตอบว่ายุ่งมาก  เพื่อนคุณที่กำลังจะส่งลูกค้ามาให้อาจจะเปลี่ยนใจไม่กล้าส่ง

อย่าลืมว่า เราพบกันใน bni เพราะเราอยากได้ธุรกิจใหม่  อยากได้ลูกค้าใหม่

NEC pocket04

วันนี้เราจะมายกตัวอย่างการส่ง ref ที่เป็นธุรกิจต่อเนื่องให้สมาชิกในทีมนะครับ

IMG_0205

เริ่มต้นจาก  มีนักอสังหาฯ ไปรับงานขายบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง  ลูกค้าของเขาเป็นเศรษฐี  แต่ไม่มีเวลาประกาศขายเองจึงเลือกใช้บริการนักอสังหาริมทรัพย์หรือตัวแทนขายบ้าน  นักอสังหาฯ เริ่มงานบริการของเขากับลูกค้า  สิ่งที่ตามมาก็คือ  นักอสังหาฯ มีประสบการณ์สูง  รู้ว่าบ้านสะอาดมีโอกาสขายได้สูงกว่าบ้านสกปรก  ก็เสนอบริการทำความสะอาดเพิ่มเข้าไป   นักอสังหาฯ รู้ว่า ภาพถ่ายบ้านสวยๆ จะทำให้ลูกค้าสนใจมากกว่าภาพถ่ายคุณภาพต่ำ  ก็เสนอบริการถ่ายภาพเพิ่มให้  ขั้นตอนการขายยังดำเนินไปถึงการสั่งพิมพ์ป้ายแบนเนอร์อีกด้วย จะเห็นได้ว่า  การติดต่อลูกค้าหนึ่งครั้งจะไม่จบแค่เพียงหนึ่งบริการ แต่เอเจ้นสามารถยิงคำถามไปยังลูกค้าเพื่อถามหาบริการอื่นๆที่เขามองหา  ทั้งบริการที่ลูกค้าอยากได้โดยตรง  และบริการต่อเนื่องที่เราสามารถคอนซัลให้กับลูกค้าได้ เพื่อนำธุรกิจส่งต่อให้กับทีม

การถามเพื่อชี้นำลูกค้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถส่งลูกค้าเข้าสู่สมาชิกท่านอื่นๆได้  หลังจากวันนี้  ให้ท่านลองดูนะครับ  เมื่อท่านบริการลูกค้าของท่านเสร็จแล้ว  ให้ลองถามถึงสิ่งที่เขาต้องการเพิ่มเติม  หรือ ให้ท่านลองวิเคราะห์ลูกค้าของท่าน แล้วเสนอสิ่งที่ลูกค้าควรจะใช้หรือสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของท่านเพื่อนำพาลูกค้ามาใช้บริการอื่นๆในทีมของท่าน  ถ้าคุณเป็นมืออาชีพเพียงพอ  ถ้าลูกค้าไว้ใจคุณอยู่แล้ว  การแนะนำ การคอนซัลใดๆของคุณ  หรือการนำเสนอเซอร์วิสอื่นๆของทีม  คุณจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ  และลูกค้าไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด  ตราบใดที่คุณหาของดี หรือ บริการดีๆให้ลูกค้า