เปลี่ยนกรองแอร์สวิฟท์ swift2012 aug2025

สวิฟท์ปี 2012 ใช้งานมานานแล้ว และก็นึกได้ว่าพ้นกลางปีไปก็ควรจะเปลี่ยนไส้กรองอากาศสำหรับแอร์ในรถ หรือเรียกสั้นๆว่ากรองแอร์ ไส้กรองชิ้นนี้ราคาประมาณ 100 บาท ซื้อจาก online เวลาสั่งซื้อก็ซื้อทีละ 2 อันเพื่อให้ประหยัดค่าส่ง

เปลี่ยนกรองแอร์สวิฟท์ swift2012

วันนี้สลับรถกับคุณภรรยาใช้งาน แล้วรู้สึกว่าอากาศแปลกๆ ง่วงนอนเร็วกว่าปกติ เลยลองดูกรองแอร์ในรถซะหน่อย ก็เห็นว่ามีฝุ่นจับจนดำและมีเศษใบไม้เศษกระดาษตกอยู่บนกรองแอร์เยอะ หยิบของใหม่ที่เตรียมไว้มาแกะแล้วถ่ายรูปเทียบกับ มันต่างกันเยอะเลย ก็จัดการเปลี่ยนซะ ย้อนดูประวัติของเก่า กรองแอร์ในรถที่เปลี่ยนออกมาถูกเปลี่ยนเมื่อกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้วเอง ผ่านมาแค่ห้าเดือนก็ดำขนาดนี้แล้ว น่ากลัวมากฝุ่นในประเทศไทย

20250126172300_IMG_1588

ผมชอบเลือกใช้กรองแอร์สีขาว เพราะมันจะเห็นความดำของฝุ่นได้ดี เวลาถอดออกมาเปลี่ยนก็จะทำให้รู้สึกสบายใจที่ได้เปลี่ยนเป็นตัวใหม่สีขาวซะที กรองแอร์ทำหน้าที่กรองอากาศในรถยนต์ให้สิ่งสกปรกที่ลอยอยู่ในอากาศถูกกรองเก็บไว้ ไม่ลอยปะปนไปกับอากาศในรถยนต์ ความละเอียดของกรองแอร์จะอยู่ในระดับประมาณ pm1 หรือเล็กกว่า นั่นก็หมายความว่ากรองแอร์สามารถกรองฝุ่น pm2.5 ได้ด้วย ทำให้เราสามารถหายใจในรถยนต์ได้อย่างสบายใจแม้ว่าอากาศนอกรถจะมีฝุ่นในระดับอันตรายต่อสุขภาพ

20250126172346_IMG_1591

กรองแอร์ราคาประมาณ 100-200 บาท ถ้าจะเปลี่ยนทุก 3-6 เดือนตามสภาพฝุ่นในประเทศไทยก็สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆเพราะราคาไม่แพง เราไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องกรองอากาศมาติดในรถยนต์ให้เสียเงินซ้ำซ้อน เพราะระบบกรองของแอร์รถยนต์ทำงานได้ดีอยู่แล้ว

ฟิลเตอร์ปกป้องหน้าเลนส์อาจทำให้ภาพแย่ลง

ปกติเวลาเราซื้อกล้องและเลนส์มาใช้งาน คนขายก็มักจะขายฟิลเตอร์พ่วงให้มาด้วย ด้วยคำแนะนำว่าเอาไว้ปกป้องหน้าเลนส์ ในยุคของการถ่ายฟิล์ม ฟิลเตอร์ติดหน้าเลนส์มีหลายหน้าที่นอกจากปกป้องหน้าเลนส์ คือบ้างก็เป็นฟิลเตอร์ UV ป้องกันแสง UV หรือไม่ก็เป็นฟิลเตอร์ Skylight เพื่อลดผลของแสงสีฟ้าที่จะทำให้ภาพดูจืดลง

ฟิลเตอร์ที่ไม่ลดค่าแสง และอาจจะช่วยเปลี่ยนสีของการถ่ายภาพด้วยฟิล์มเล็กน้อยเหล่านี้กลายเป็นฟิลเตอร์สามัญประจำบ้าน ประจำกล้อง ประจำเลนส์ ทุกคนจะหาฟิลเตอร์ 1 ชิ้นมาติดหน้าเลนส์เสมอ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือป้องกันหน้าเลนส์จากการขีดข่วน เพื่อรักษาเลนส์ให้ปลอยภัย แต่ฟิลเตอร์หน้าเลนส์เหล่านี้ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไปตามราคา ยิ่งใช้เลนส์แพง ก็ยิ่งจะต้องหาฟิลเตอร์ติดหน้าเลนส์ที่ราคาแพงขึ้นมาใช้ มันมีเหตุผลอยู่

DSC00562
ฟิลเตอร์ uv ติดหน้าเลนส์

ZV1FW
กล้อง Sony ZV-1F ยังไม่ใส่ฟิลเตอร์

IMG_1192
กล้อง Sony ZV-1F ใส่ฟิลเตอร์ UV

ปกติเลนส์จะให้คุณภาพสูงสุดเท่าที่วัสดุที่ใช้ทำเลนส์จะให้ได้ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ชิ้นแก้วที่กระจอกที่สุดในเลนส์ตัวนั้นคือตัวกำหนดคุณภาพของเลนส์ทั้งชิ้น ยกตัวอย่างเช่น เลนส์หนึ่งกระบอกจะมีชิ้นแก้วภายในสมมุติว่ามี 10 ชิ้น แต่ละชิ้นก็จะทำหน้าที่ส่งผ่านแสงไปเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าพูดอีกอย่างว่า คุณภาพชิ้นแก้วในเลนส์ตัวนี้จะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 1/10 ของราคาเลนส์ ถ้าเลนส์ราคา3 หมื่น ชิ้นแก้วทั้ง 10 ชิ้น ก็จะมีราคาประมาณ 3000 บาท ดังนั้น ฟิลเตอร์ที่จะนำมาบังหน้าเลนส์ ก็ควรจะมีคุณภาพไม่ด้อยหรือคุณภาพควรจะดีเทียบเท่าวัสดุในเลนส์เป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้ลดทอนคุณภาพชิ้นแก้วทั้งหมด เราก็ควรหาฟิลเตอร์ที่มีคุณภาพสูงระดับราคาประมาณ 3000 บาทมาใช้ การจะไปซื้อฟิลเตอร์ราคา 100 บาท มาติดหน้าเลนส์ เราคงได้แค่กระจกธรรมดาไม่มีคุณภาพในการส่งผ่านแสงที่ดีเหมือนในชิ้นแก้วในเลนส์

เราจึงเห็นฟิลเตอร์ UV หรือ ฟิลเตอร์ปกป้องหน้าเลนส์ ชิ้นละ 3000-4000 บาท ยี่ห้อมีชื่อเสียง เป็นฟิลเตอร์คุณภาพสูงที่ส่งผ่านแสงได้ดี และไม่สร้างผลเสียกับแสงที่วิ่งผ่านไป อาการแฟลร์จะน้อยลง ความเพี้ยน หรือ ภาพหลอนจะน้อยลง เพราะวัสดุคุณภาพสูง จะได้ไม่ลดทอนเลนส์ราคาแพงที่เราซื้อมาใช้

ลองดูผลของฟิลเตอร์ราคาถูกกันดีกว่า ว่าการซื้อมาปกป้องหน้าเลนส์แล้วมีผลอย่างไร

DSC00561
ภาพตัวอย่างที่ 2 กล้อง Sony ZV-1F ไม่ใส่ฟิลเตอร์
DSC00560
ภาพตัวอย่างที่ 3 กล้อง Sony ZV-1F ใส่ฟิลเตอร์ uv. เพื่อปกป้องหน้าเลนส์

ภาพตัวอย่างภาพ2 ถ่ายด้วยกล้อง ZV-1F ซึ่งเป็นกล้องคอมแพ็ค ตัวกล้องมีเกลียวสำหรับใสฟิลเตอร์ได้ ถ่ายภาพแรกโดยไม่ใส่ฟิลเตอร์ใดๆ และภาพตัวอย่างที่3 ก็ใส่ฟิลเตอร์ UV 40.5 มม เป็นฟิลเตอร์ราคา 100 บาทยี่ห้ออะไรก็จำไม่ได้ ใส่ไว้เพื่อปกป้องหน้าเลนส์ ลองถ่ายภาพมุมเดียวกัน ซึ่งเป็นมุมที่มีดวงอาทิตย์อยู่ในภาพด้วย ผลก็คือขอบฟิลเตอร์สะท้อนแสงและส่งผลให้เปิดเป็นภาพหลอน ติดอยู่ในภาพ

อาการภาพหลอนจากการสะท้อนแสงขนาดแรงเท่านี้ปกติจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ถ่ายย้อนแสง หรือ แหล่งกำเนิดแสงอย่างดวงอาทิตย์ไม่อยู่ในภาพ คำบอกเล่าของช่างภาพในอดีตจึงมักจะมีคำแนะนำว่าอย่าถ่ายภาพย้อนแสง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการหลีกเลี่ยงแสงแฟลร์ แสงสะท้อน หรือภาพหลอนเหล่านี้นั่นเอง ฟิลเตอร์ติดหน้าเลนส์จะมีผลต่อภาพหลอนเหล่านี้ ดังนั้นหากเราจะต้องถ่ายภาพย้อนแสงตรงๆ หรือ มีดวงอาทิตย์อยู่ในภาพด้วย เราก็ควรจะคิดระวังเรื่องฟิลเตอร์จะสร้างภาพหลอน เราก็ควรจะถอดฟิลเตอร์ถ่ายภาพ เพื่อป้องกันอาการภาพหลอน ภาพเพี้ยนจากการสะท้อนแสงที่ไม่ต้องการ

อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าจะมีผลด้วยคือ กล้องสีขาว วัสดุหน้าเลนส์ก็สีขาว ทำให้สะท้อนแสงแรงมาก และสะท้อนไปกระทบฟิลเตอร์ ทำให้เลนส์มองเห็นภาพสะท้อนบนฟิลเตอร์ อาการเหมือนรถยนต์ที่เราวางของอะไรไว้บนคอนโซลรถยนต์ที่เป็นสีอ่อนๆ เราจะเห็นเงาสะท้อนสีอ่อนๆหรือเห็นวัตถุนั้นเลยในกระจก ตาเราก็เหมือนเซนเซอร์ กระจกรถก็เหมือนฟิลเตอร์ คอนโซลรถก็เหมือนวัสดุหน้าเลนส์ ของที่วางก็เหมือนสีขาวที่อยู่หน้าเลนส์

DSC00563

DSC00564
ภาพตัวอย่างที่ 5 กล้อง Sony ZV-1F ถอดฟิลเตอร์

ภาพตัวอย่างที่ 4 คือการถ่ายภาพที่เราจัดให้ดวงอาทิตย์อยู่ที่ขอบภาพด้านซ้ายบน และดูในจอภาพก็เห็นแสงสะท้อนจำนวนมากอยู่ที่ด้านขวาของภาพ มันคือแสงสะท้อนในฟิลเตอร์แล้วเกิดเป็นภาพหลอน พอเห็นว่ามีอาการหลอนแบบนี้ก็เลยถอดฟิลเตอร์แล้วถ่ายภาพใหม่ เราก็จะได้ภาพตัวอย่างที่ 5 ซึ่งไม่มีภาพหลอนแล้ว

การถอดฟิลเตอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาภาพหลอนหรือภาพคุณภาพต่ำได้ เพราะฟิลเตอร์ที่นำมาใช้งานเพื่อปกป้องหน้าเลนส์มักเป็นฟิลเตอร์ราคาถูก วัสดุที่ใช้ทำฟิลเตอร์ก็จะมีคุณสมบัติทางแสงที่ไม่ดี กล้องและเลนส์ราคาแพงที่เราซื้อมาหากโดนฟิลเตอร์ราคาต่ำบดบังหน้าเลนส์เอาไว้ คุณภาพของภาพก็จะแย่เท่าฟิลเตอร์ ดังนั้นการเลือกฟิลเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิถีพิถัน ถ้าเราอยากถ่ายภาพให้มีคุณภาพสูงตลอดเวลา เราควรลงทุนกับฟิลเตอร์ด้วย แต่หากเราคิดว่าฟิลเตอร์ไม่ควรจะซื้อแพง การไม่ใช้ฟิลเตอร์เลยจะให้ผลที่ดีกว่า และดีที่สุดด้วย ดีกว่าฟิลเตอร์ทุกยี่ห้อทุกรุ่น

แต่ก็มีบางกรณีที่เราจำเป็นต้องใช้ฟิลเตอร์ เพราะเราอาจต้องการผลลัพธ์บางอย่างจากฟิลเตอร์ ยกตัวอย่างภาพด้านล่างนี้ แสงสะท้อนเป็นวงกลมที่เกิดขึ้นในภาพเป็นสิ่งที่ช่วยให้ภาพนี้ดูมีเรื่องราว มีชีวิตชีวามากขึ้น การใช้ฟิลเตอร์เพราะคิดแล้วว่าอยากได้ผลลัพธ์อะไรเป็นสิ่งที่ใช้ได้เพราะคิดก่อนใช้

IMG_20191215_185505
ภาพที่ 6 แสงสะท้อนดวงอาทิตย์ กล้อง Canon EOS 6D เลนส์ 24-105L ฟิลเตอร์ UV ใช้ฟิลเตอร์เพื่อสร้างภาพหลอนวงกลม

สรุป

ฟิลเตอร์ปกป้องหน้าเลนส์จะทำลายคุณภาพของภาพถ่ายหากเราใช้ฟิลเตอร์คุณภาพต่ำ การไม่ใช้ฟิลเตอร์จะให้คุณภาพดีที่สุด นอกเสียจากเราต้องการใช้ฟิลเตอร์เพื่อสร้างผลลัพธ์บางอย่างที่เราต้องการ การศึกษาทำความเข้าใจอุปกรณ์เป็นสิ่งจำเป็น ทำให้เราพัฒนาฝีมือการถ่ายภาพให้สูงขึ้นได้ และช่วยให้เราประหยัดเงินได้ แค่เราไม่ซื้ออุปกรณ์ที่ทำให้ภาพไม่สวย ก็ประหยัดเงินได้มากแล้ว

แต่เคสภาพหลอนหน้าเลนส์ครั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากกล้องเป็นสีขาว วัสดุหน้าเลนส์เป็นสีขาว และมีส่วนที่ดูเป็นโลหะสีเงิน ซึ่งน่าจะสะท้อนแสงแดดแล้วไปเกิดภาพหลอดบนกระจกฟิลเตอร์ ทำให้เซ็นเซอร์รับภาพหลอนที่ชัดเจนมาก การเลือกซื้อกล้องจึงไม่ควรเลือกสีขาว โดยเฉพาะวัสดุที่อยู่หน้าเลนส์ก็ไม่ควรมีสีขาวเลย

แล้วก็ถ้าจะจำว่า อย่าถ่ายภาพย้อนแสงก็เป็นคำแนะนำที่ไม่ผิด ไม่แย่ ช่วยให้เราได้ภาพที่มีคุณภาพได้ แต่จะขอให้คำแนะนำเพิ่มเติมใหม่ใช้จำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ อย่าให้เลนส์โดนแสงอาทิตย์ตรงๆ มันก็คือการป้องกันแสงสะท้อนที่ไม่พึงประสงค์นั่นเอง การป้องกันไม่ให้เลนส์โดนแสง เราสามารถทำได้ตั้งแต่ ไม่ถ่ายภาพย้อนแสง หรือ หาอะไรมาบังทำหน้าที่เป็นฮู้ดบังแสง เพื่อไม่ให้แสงจากดวงอาทิตย์กระทบกับชิ้นเลนส์โดยตรง เพราะ Best filter in no filter.

ลองปรับภาพให้ได้โทนเท่ห์ๆแบบฝรั่ง

ภาพนี้เป็นภาพสมัยที่ลูกผมอายุ 3 ขวบ และบ้านเราก็หอบหิ้วกันไปเที่ยวญี่ปุ่น ลูกตัวเล็กน่ารัก กำลังนั่งมองการ์ตูนในแท็บเบล็ตที่เราพกไว้สำหรับใช้ถ่วงเวลา เวลาที่งอแงหรือกินอะไรยากเย็น แสงสว่างตอนเช้าส่องเข้าที่หน้าต่าง แดดยังไม่แรง ความสว่างในระยะเริ่มต้นวันใหม่กำลังสวย เลนส์ efm 22f2 เป็นเลนส์ที่ใช้อยู่บนกล้อง canon eos m1 ซึ่งเป็นกล้อง mirrorless รุ่นแรกของ canon

ผมถ่ายภาพนี้ด้วย setting แบบ jpg+raw และตั้งค่าการถ่ายเป็น Av f2 ตั้งค่าให้กล้องไม่ต้องชดเชยขอบมืด เพราะเจตนาอยากได้ภาพที่ขอบมืดเล็กน้อย กลางภาพสว่างจะดูเด่นขึ้น ส่วนค่า White balance ก็ตั้งไว้ที่ Auto ซึ่งกล้องก็ทำงานได้ภาพที่ดี รูรับแสง F2 ทำให้นายแบบดูคมชัดและด้านหลังที่เป็นกำแพงก็ดูเบลอไปเล็กน้อย ชัดตื้นระดับแค่คนชัดข้างหลังเบลอเป็นลักษณะภาพที่สวยและต้องการอุปกรณ์ที่ดีระดับหนึ่ง เพราะหากเป็นเลนส์ที่รูรับแสงไม่กว้างมากก็ยากที่จะได้ภาพที่มีความเบลอด้านหลังแบบนี้

IMG_8995
dpp-japan2015t-IMG_8995

ในตอนเดินทางเราพบเหตุการณ์อะไร มีอะไรน่าสนใจ เราก็ถ่ายภาพเก็บไว้เรื่อยๆตลอดทริป และทริปนี้ก็เป็นทริปที่ผมพกกล้องและเลนส์ไปตัวเดียว ชุดเดียวถ้วน ไม่มีสำรอง ไม่มีเลนส์เปลี่ยน เนื่องจากการเดินทางข้ามประเทศพร้อมลูกเล็กและรถเข็นเด็กก็ทำให้มีข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้ไม่อยากพกอุปกรณ์กล้องไปเยอะ ผมไม่มีแม้แต่กล้องสำรอง คิดเพียงว่าถ้ากล้องพัง กล้องเสีย หรือ กล้องหาย ก็ซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นไปเลย

เมื่อกลับมาเมืองไทย และเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เปิดดูภาพชุดนี้อยู่เรื่อยๆ และหลายปีต่อมา ก็ทดลองเอามาปรับสีเล่นเพื่อให้ดูคล้ายๆกับแนวทางของช่างภาพเมืองฝรั่งดูบ้าง เพราะภาพแนวสตรีทหรือแนวชีวิตผู้คนก็มักจะมีโทนสีหม่นๆ หรือ อมเขียว อมฟ้าอย่างบอกไม่ถูก กำแพงห้องที่เป็นสีโทนขาว ในหนังอาร์ต หรือหนังฮอลีวู้ดบางเรื่องก็ถ่ายออกมาอมเขียวรุนแรงมาก ผมก็เลยคิดว่า ถ้าเราปรับโทนของภาพ ให้โทนขาวเทาดำมีความเจือปนสีเขียวเล็กน้อยจะเป็นอย่างไร ก็เลยออกมาเป็นภาพเหล่านี้

ภาพโทนอมฟ้าอมเขียวเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามกระแสกล้องฟิล์มที่ฮิตมากอย่างน่าประหลาดใจในช่วงหลายปีก่อน ฟิล์มที่ไม่มีคนสนใจเริ่มถูกซื้อไปถ่ายเล่น กล้องเก่าเริ่มขายดี ฟิล์มถ่ายภาพจากม้วนละไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท กลายเป็นสองร้อย สามร้อย และในปีนี้ คศ 2023 ฟิล์มสีม้วนละ 550 บาทไปแล้ว การลองย้อนไปถ่ายฟิล์มเพื่อให้ได้โทนสีแบบฟิล์มก็ดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ดิจิทัลที่นอนนิ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ลองเอามารับเล่นดูดีกว่า เลยเกิดเป็นภาพอมเขียว อมฟ้า เล็กน้อยแบบนี้

โพสท์แบบ compare

เปลี่ยนกรองแอร์ honda freed 25nov2017

 

ฮอนด้าฟรีดในปีที่7 ก็ได้เปลี่ยนกรองแอร์อีกครั้ง  ครั้งนี้ของเก่าในรถถอดออกมาก็ดำปี๋ชนิดที่น่าสยดสยอง  อากาศในรถและท้องถนนมันมีฝุ่นเยอะขนาดนี้เลย  ของที่ถอดออกมาใช้งานมานานแค่ไหนผมก็ลืมไปแล้ว  แต่ก็ตั้งใจจะเปลี่ยนให้ได้ทุก 6 เดือน  รอบนี้ก็เลยสั่งกรองแอร์มาหลายชิ้น ตั้งใจจะใช้ไปอีกหลายครั้ง

IMG_0209

 

 

 

IMG_0210

ตัวไส้กรองทำจากกระดาษสีขาวจั๊วะ  แต่พอใช้งานไปเกินหกเดือนก็จะดำแบบนี้

 

P_20141108_140028

ให้ดูของใช้งาน 6 เดือน เทียบกับของใหม่แกะกล่อง

 

P_20141108_140051

กรองแอร์ที่ใช้  ซื้อเปลี่ยนเองอันละ 140 บาท  ถ้าไปเข้าศูนย์รายการนี้จะโดนเกือบพัน ไม่รู้ว่าศูนย์ใช้ยี่ห้ออะไรแต่ยี่ห้อที่ผมเลือกใช้ก็ทำงานได้ดี  ไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากสมัยที่เคยใช้ของศูนย์