ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม leica minilux

 

กล้องฟิล์มเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีคนใช้ทำงานแล้ว คงเหลือแต่การใช้เพื่อความบันเทิง เพื่อความสุข เพื่อความมันส์ของช่างภาพยุคเก่าและช่างภาพรุ่นใหม่ที่อยากลองของเก่า ผมก็นับว่าเป็นช่างภาพยุคเก่า ยุคที่หัดถ่ายรูปในช่วงที่ฟิล์มได้รับความนิยมสูงสุด ยุคที่การถ่ายรูปรับปริญญาและงานแต่งงานคุยกันว่าถ่ายกันกี่ม้วน ยุคที่มีร้านล้างอัดฟิล์ม 24 ชั่วโมง ยุคที่ฟิล์มตลาดราคาสามม้วนสองร้อยบาท

พอพ้นจากช่วงเวลายุคทองของฟิล์มไปแล้ว ทุกคนก็หันหน้าเข้าสู่ดิจิทัล การทำงาน การรับจ้างถ่ายภาพเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด จากงานรับปริญญาที่ถ่ายกัน 4-5 ม้วน ได้ภาพเป็นเล่ม รวมกันไม่ถึงสองร้อยภาพ กลายเป็นงานรับปริญญามีภาพให้ดูพันภาพจากกล้องดิจิทัล งานแต่งงานมีภาพให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวดูกันสามพันภาพ ซึ่งไม่มีทางดูกันได้ครบถ้วน ฟิล์มที่เคยตุนเอาไว้เพื่อรับงานก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในบ้านไม่ถูกจับต้องอีกเลย ผ่านไปเกือบสิบปี ฟิล์มเหล่านั้นก็หมดอายุ และระหว่างที่เพลินกับการใช้กล้องดิจิทัล ผมก็ลืมฟิล์มไปแล้ว และคิดไปว่า ไม่มีฟิล์มสีดีๆขายอีกแล้ว เพราะมีแต่ข่าวการเลิกผลิต ปิดโรงงาน รวมไปถึงข่าวการล้มละลายของโกดัก

แต่ในความเป็นจริง ฟิล์มยังมีลมหายใจอยู่ แต่อยู่ในกลุ่มเล็กๆ ร้านถ่ายรูปย่านลาดพร้าวก็ปรับตัว หลายร้านปิดตัวลง บางร้านที่เคยเปิด 24ชม. ก็เปลี่ยนมาเป็นเปิดปิดเป็นเวลา ผมถ่ายรูปด้วยฟิล์มขาวดำอยู่บ้าง ซื้อน้ำยาไว้ล้างเอง ซ์้อฟิล์มขาวดำตุนไว้ถ่ายเล่น โดยที่ในใจก็คิดว่าไม่มีฟิล์มสีขายแล้ว เพราะถึงมีก็คงคุณภาพต่ำ อาจเป็นของเก่าเก็บ หรือเป็นงานผลิตใหม่แต่ไม่ได้มีคุณภาพเหมือนเดิม

ผมเพิ่งรู้จากเพื่อนว่าฟิล์มเน็กกาทีฟสีรุั่นใหม่ๆยังคงออกสู่ตลาด และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงซบเซาสุดขีด ผู้คนหันมาซื้อกล้องฟิล์มมือสอง ทำให้ต้องหาฟิล์มมาถ่ายเล่นด้วย ฟิล์มสีเกรดตลาดราคาร้อยกว่าบาท ค่าล้างฟิล์มราคาขึ้นไปเกินสองเท่าตัว และมีการส่งฟิล์มไปด้วยไปรษณีย์เพื่อให้ล้างและสแกนภาพแล้วส่งเป็นแผ่นซีดีกลับมา ซึ่งผมก็ลองใช้บริการดูแล้วก็ปลาบปลื้ม เลยเป็นที่มาของการเขียนโพสท์นี้

ฟิล์มฟูจิ c200 เป็นฟิล์มเน็กกาทีฟ น่าจะเป็นฟิล์มเกรดกลางๆ และกล้องที่ใช้ถ่ายก็เป็น leica minilux ตัวที่นอนพังอยู่หลายปี เพิ่งจะหาอะไหล่มาซ่อมได้ เมื่อซ่อมเสร็จก็เริ่มเดินเท้าอีกครั้งเพื่อตระเวณถ่าย แต่คำว่าตระเวณในวันเวลาของผม ก็คือการถ่ายรูปลูกเล่นจนหมดม้วน พกกล้องติดตัว พกไว้ในเป้สะพายตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสถ่ายก็ถ่ายรูปลูก เผลอแป๊ปเดียวหมดม้วน  ถ่ายเล่นราวกับปืนกล  ในสมัยที่ฟิล์มถูกๆผมยังไม่ถ่ายเร็วเท่านี้  ดูเหมือนการถ่ายภาพด้วยฟิล์มของผมในช่วงเวลานี้เหมือนคนลงแดง รีบถ่าย รีบล้าง อยากดูภาพแล้ว  อารมณ์เหมือนวัยรุ่นใจร้อนเลย

01012minilux-000048

การถ่ายภาพเด็กที่ง่ายที่สุดคือถ่ายตอนเขาหลับนั่นเอง  ลิงน้อยของผมที่มีความไวมากกว่าระบบออโต้โฟกัสของกล้องทุกตัว  กล้องคอมแพ็คระดับโปร วัดแสงแม่นมาก และโฟกัสก็แม่นมากเช่นกัน  ถ้าให้หมุนโฟกัสเองด้วยกล้องแมน่วล เลนส์แมน่วล ผมคิดว่าภาพจะไม่ชัดเท่านี้

 

01012minilux-000050

 

01013minilux-000048

 

01013minilux-000049

ตึกรามบ้านช่อง ข้าวของเครื่องใช้ และมุมภาพบางมุมในบ้านก็ถ่ายเล่นๆ เหมือนถ่ายเพื่อให้หมดม้วนเร็วขึ้นเลย  ความใจร้อนของผมมาจากอยากเห็นภาพสีจากกล้อง leica minilux ที่เพิ่งซ่อมเสร็จตัวนี้

 

01013minilux-000065

 

01013minilux-000068

วัยเด็กที่กำลังเรียนอนุบาลก็เป็นภาพที่ควรถ่ายเก็บไว้  เพราะการเปลี่ยนแปลงของเด็กวัยนี้จะรวดเร็วมาก หากพลาดหรือลืมถ่ายไว้ในช่วงวัยเด็กเล็กนี้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปถ่ายได้ใหม่อีกแล้ว  เด็กโตแล้วโตเลย ย้อนกลับไม่ได้ กลับไปถ่ายซ่อมก็ไม่ได้

 

01014minilux-000004

 

01013minilux-000058

 

01013minilux-000061

 

01013minilux-000066

 

01014minilux-000001

 

01014minilux-000030

 

01014minilux-000042

 

01014minilux-000047

 

ภาพที่เราอยากดูมักจะเป็นภาพของสิ่งของหรือคนอันเป็นที่รักของเรา จะของใช้ ของเล่น หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวต่างก็ควรจะมีภาพเดี่ยวของตัวเองเก็บไว้  ภาพที่น่าดูไม่จำเป็นต้องมีเทคนิกอะไรที่ล้ำหลุดโลก หรือองค์ประกอบภาพต้องเป๊ะ ขอแค่ภาพชัด ไม่มืดไม่สว่างเกินไปก็นับว่าเป็นภาพที่ดีแล้ว  ภาพบันทึกชีวิตไม่ใช่ภาพประกวด

 


 

การสแกนฟิล์มด้วยเลนส์มาโครและกล่องไฟ

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มในยุคดิจิทัลยังเป็นสิ่งที่มีลมหายใจอยู่  เมื่อก่อนในวันที่เป็นยุคทองของฟิล์ม เราถ่ายภาพ แล้วส่งล้างอัด แล้วก็ได้ภาพมาดูเป็นเล่ม  มันสะดวกมากสำหรับฟิล์มสี  ส่วนฟิล์มขาวดำก็ต้องล้างฟิล์มแล้วสั่งอัดภาพ  แต่การอัดภาพด้วยร้านถ่ายภาพสีทั่วไป ภาพสีขาวดำก็จะออกมาดูไม่น่ามอง  ภาพขาวดำที่ีสวยก็ต้องเป็นการอัดภาพลงบนกระดาษขาวดำแท้ๆเท่านั้น

แต่บางคนก็ไม่สามารถอัดภาพได้เอง  ต้องอาศัยวิธีสแกนภาพแล้วดูในคอมพิวเตอร์  หรือ ดูในมือถือแทนโดยไม่ต้องอัดบนกระดาษจริง  ยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค อยากมีภาพเป็นไฟล์เพื่อส่ง เพื่อแชร์ให้เพื่อนดูกันทั้งนั้น  การเอาภาพจากฟิล์มขาวดำก็ต้องใช้วิธี สแกน  ร้านถ่ายภาพทั่วไปก็มีบริการรับสแกน  แต่ค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นกว่าเดิม  ไหนๆเราก็มีกล้องดิจิทัลกันอยู่แล้ว ก็ลองใช้อุปกรณ์ของเราสแกนฟิล์มเลยดีกว่า ซึ่งกล้องดิจิทัลที่มีเลนส์มาโครหรือเลนส์ถ่ายใกล้ๆได้จะสามารถนำมาใช้สแกนฟิล์มได้  วิธีนี้ ประหยัด ไม่เสียเงินซักบาท  แต่อาจเสียเงินซื้อเลนส์มาโครแทน

scan-bw-IMG_0205

ให้จัดการเซ็ทอัพอุปกรณ์ตามนี้  ใช้กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ หรือ เล็กก็ได้ แต่ในภาพของผมจะใช้กล่องใหญ่เพราะตั้งใจจะใช้ถ่ายฟิล์มทั้งม้วนเลย  โดยการเอากล่องขาวขุ่นมาวางพื้น แล้วเอาฟิล์มบางบนกล่อง  หาของทับฟิล์มให้เรียบแนบไปกับกล่อง  กล่องขาวขุ่นนี้ผมซื้อจากร้านขายอุปกรณ์แต่งบ้าน มันถูกขายเป็นถังขยะสีขาว ผมเห็นแล้วก็ถูกใจเลยสอยมาใช้  ส่วนแสงสว่างที่ส่องในกล่อง ผมใช้แฟลชเก่าๆตัวนึงที่ทำงานได้ แล้วต่อชุดส่งสัญญาณแฟลชไร้สาย หรือ ไวเลสทริกเกอร์  โดยตัวส่งสัญญาณจะเสียบอยู่กับกล้องถ่ายภาพ  ตัวรับสัญญาณจะต่อกับแฟลช  เมื่อเรากดถ่ายภาพ แสงแฟลชก็จะทำงาน ส่งผลให้กล่องเรืองแสง

IMG_0198

ดูใกล้ๆก็จะเป็นแบบนี้  เราถ่ายภาพฟิล์มขาวดำด้วยกล้องดิจิทัลโดยตรงได้เลย  ภาพที่ได้ก็จะเป็นภาพแบบที่ตาเห็น คือ เป็นภาพดูไม่ค่อยรูัเรื่อง สีสันก็เป็นแบบตรงกันข้าม   หากเราจะสแกนภาพจากฟิล์มแค่บางภาพ เราก็ถอดฟิล์มจากซองมาวางบนกล่อง แล้วใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพซะเลย

DSCF7049

ถ้าเราจะสแกนฟิล์มขาวดำทั้งม้วน โดยให้เรียงตัวสวยๆเหมือนภาพ คอนแท็คปริ๊นท์ หรือcontact print ก็ใช้ใช้วิธี วางซองฟิล์มทั้งซองบนกล่องขาวขุ่นนี้เลย นี่คือเหตุผลที่ผมเลือกใช้กล่องขนาดใหญ่ เพราะต้องการถ่ายภาพฟิล์มทั้งม้วน ซึ่งใช้พื้นที่ใหญ่พอสมควร กล่องใหญ่ก็จะได้เปรียบคือทำงานคอนแท็คปริ๊นท์ได้นั่นเอง

DSCF7210

ภาพฟิล์มทั้งม้วนที่ถ่ายด้วยกล่องไฟจะเป็นแบบนี้  เมื่อถ่ายภาพได้แล้ว ก็เอาภาพ jpg ที่ได้มา ไปปรับค่าต่อในโฟโต้ช็อป โดยการสั่ง invert เพื่อกลับภาพจากดำเป็นขาว และ ขาวเป็นดำ  และทำการปรับระดับสีดำ และสีขาวให้สมจริง เราก็จะได้ภาพสีปกติออกมา

 

DSCF7210-contactsheet 20jul2012

แค่นี้เราก็ได้ภาพคอนแท็คปริ๊นท์ที่ดูคลาสิคมากออกมา  เราสามารถปริ๊นท์ภาพนี้เก็บไว้เป็นภาพโชว์ได้เลย  ขนาดภาพของคอนแท็คปริ๊นท์ในอดีตจะใหญ่เท่าจริง คือฟิล์มเรามาใหญ่แค่ไหน คอนแท็คปริ๊นท์แท้ๆก็จะใหญ่เท่านั้น

คราวนี้เราจะมาสแกนบางภาพที่เราต้องการบ้าง  บางภาพที่เราต้องการนี้ก็อาจจะเป็นภาพที่เราตั้้งใจจะโพสท์หรือตั้งใจจะเอาไปอัดขยายให้ใหญ่  เราก็จะทำการถ่ายฟิล์มที่ต้องการแค่ภาพเดียว ซึ่งการถ่ายฟิล์มแค่ภาพเดียวเราจะต้องใช้เลนส์มาโคร เพื่อให้สามารถถ่ายภาพฟิล์ม 1 ภาพให้ใหญ่เกือบเต็มเฟรมของกล้องดิจิทัล

IMG_0284

ภาพที่ถ่ายได้จากเลนส์มาโครจะทำให้เราได้ชิ้นฟิล์มค่อนข้างใหญ่  จริงๆเราสามารถใช้เลนส์มาโครระดับ 1:1 เพื่อถ่ายชิ้นฟิล์มได้ใหญ่กว่านี้  แต่ผมชอบภาพที่เห็นรูหนามเตยของฟิล์ม เพราะทำให้ภาพดูน่ามอง ดูเท่ห์กว่า  ก็เลยถ่ายแบบให้เห็นขอบฟิล์มเยอะหน่อย   จากนั้นก็เอาภาพมากลับสีด้วยคำสั่ง invert ในโปรแกรมโฟโต้ช็อป ซึ่งถ้าใครถนัดโปรแกรมอื่น หรือ ถนัดใช้ app ในมือถือ ก็แล้วแต่สะดวก  เมื่อกลับสีแล้วก็จัดการปรับค่าดำ ค่าขาว ในภาพให้ดูสมจริง ดูเป็นภาพขาวดำปกติ

IMG_0284bw

ออกมาได้แบบนี้เลย  ภาพลูกชาย วันแรกที่เกิด  ฟิล์ม lucky กล้องไลก้า minilux ล้างฟิล์มเอง สแกนเอง ภูมิใจเอง

 

รีวิว nikon fm2n + 35-70 macro ais + fuji c200

กล้อง nikon fm2n เป็นกล้องแมนน่วลโฟกัสรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดโลกและประเทศไทยในยุคของฟิล์ม  ช่างภาพอาชีพในไทยที่อายุระดับ 50+ เป็นรุ่นที่น่าจะเคยจับ เคยใช้ nikon fm2 ตัวนี้มากันทุกคน  โดยเฉพาะสายนักข่าว สายงานพิธีต่างๆ  และกล้องตัวนี้ก็มาอยู่ในบ้านผมเมื่อยี่สิบปีที่แล้วโดยได้มาจากร้านขายกล้องมือสอง วันที่ผมซื้อกล้องตัวนี้เข้าบ้าน เป็นการซื้อให้น้องชายเอาไปเรียนถ่ายภาพที่มหาวิทยาลัย ผมในวันนั้นยังไม่ได้หัดถ่ายรูปเลย  แค่ถามเพื่อนที่รู้เรื่องว่าจะซื้อกล้องไปเรียนต้องซื้อตัวไหน

IMG_0290

IMG_0425fotogear-r

เลนส์ 35-70 macro ais เป็นเลนส์ซูม คุณภาพดีและทนมาก  เลนส์ตัวนี้จะเป็นโลหะทั้งตัว และค่า f จะเริ่มที่ 3.3-4.5  ซึ่งถ้าเป็นบอดี้พลาสติกที่ดูราคาถูกและบอบบางกว่านี้ ค่า f ประจำตัวเลนส์จะเป็น 3.5-4.5 แต่ตัวที่ผมใช้จะเป็นค่า 3.3 เริ่มต้น และมีคำว่า macro อยู่บนเลนส์ด้วย   ตอนเพื่อนช่วยเลือกก็เลือกตัวแพงให้เลย

IMG_20170423_084444_245

กล้องและเลนส์ตัวนี้อยู่กับน้องชายผม 1 เทอม และก็วางให้ฝุ่นกิน  พอผมตัดสินใจหัดถ่ายภาพ ก็ลองเอามาใช้ และก็ติดตัวมาตลอดจนถึงทุกวันนี้  เนื่องจากเป็นกล้องฟิล์ม เลนส์มือหมุน ทำให้มันเป็นอุปกรณ์ที่คงกระพัน ท้าทายกาลเวลาอย่างมาก  แม้ว่าตอนที่ผมหัดถ่ายภาพจริงๆ จะไปซื้อกล้องออโต้โฟกัสใช้  และตอนรับงานก็ใช้ออโตโฟกัสพร้อมเลนส์เกรดโปรสาย canon ทำงาน  แต่ nikon ชุดนี้ผมก็แอบใช้อย่างสม่ำเสมอ  ยิ่งในตอนที่เดินทางไปเที่ยวแบบเน้นน้ำหนักเบา ก็จะวาง canon ไว้ที่บ้านและพก nikon กับเลนส์สักตัวไปเท่านั้น

IMG_20170424_165503_451

เมื่อฟิล์มเสื่อมความนิยม  และกล้องดิจิทัล DSLR ก็ราคาถูกลงจนทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ผมก็แทบจะเลิกใช้ เลิกซื้อฟิล์มไปแล้ว  ฟิล์มที่ซื้อไว้ถ่ายงานเมื่อปี 2005 ป่านนี้ยังใช้ไม่หมดเลย  เคยลองเอามาถ่ายในช่วงปี 2016 ก็พบว่าฟิล์มเน่าจนเก็บภาพไม่ได้แล้ว ให้สีสันในภาพได้แย่สุดๆ  ควรจะทิ้งไปจริงๆ  แต่ปีนี้ 2017 ผมได้ลองซื้อฟิล์มมาใหม่  และก็เป็นที่มาของการลองถ่ายเล่นๆในรีวิวนี้

000032

000033

000031

000019

000005

กล้อง nikon fm2n   เลนส์ nikon 35-70macro  ฟิล์ม fuji200  ล้างและสแกนภาพที่ร้าน a&b ย่านลาดพร้าว  ภาพฟูจิออกมาได้โทนสีฟ้า ดูไม่สดใสในแบบที่ผมเคยเห็นสมัยสิบปีที่แล้ว  ยังไม่รู้เหตุผลว่าเป็นการเปลี่ยนบุคลิกสีโดยฟิล์มเองที่เป็นรุ่นใหม่  หรือ เป็นสีของเครื่องสแกน  เพราะเท่าที่เคยจำได้ สีจากฟิล์มฟูจิรุ่นตลาดๆ จะให้สีที่ดูอุ่นและฉูดฉาดกว่านี้

IMG_20170408_105420_647

 

สรุป

เวลาที่ผ่านมาสัก 20 ปี nikon fm2n พร้อมเลนส์ 35-70 ตัวนี้ ยังคงทำงานได้ดี  ในปีหลังๆนี้ เริ่มมีจังหวะชัตเตอร์ติดขัดบ้าง ซึ่งก็แก้ปัญหาด้วยการเปิดฝาด้านล่างแล้วใช้นิ้วเขี่ยกลไกข้างในนิดหน่อย ก็กลับมาเป็นปกติ  อาการนี้นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้ง  คาดว่าเป็นเพราะไม่ได้ใช้งานบ่อยๆนั่นเอง  ถ้าใช้เป็นประจำคงไม่เกิดอาการนี้    นอกจากเลนส์ตัวนี้แล้ว ยังสามารถเลือกใช้เลนส์อื่นๆได้อีกมาก ผมยังเคยใช้ 135f2.8 ais ด้วย ภาพจากเลนส์เทเล 135 ตัวนี้ให้ภาพคมชัดในฉากหลังนุ่มละมุนมากๆ  ถ้าไม่ใช่ 135f2.8ตัวนี้ ตัวถัดไปที่จะใช้แทนคือ ef 70-200f2.8L ที่ใหญ่เท่ากระบอกข้าวหลาม

IMG_20180324_092648

แถมภาพจากเลนส์ nikon 135f2.8 ais ให้อีกภาพครับ

ในแง่ของความสนุกในการถ่ายภาพ  กล้องชนิด แมน่วล ยังคงเป็นเครื่องมือสำหรับช่างภาพทุกระดับฝีมือ การถ่ายภาพต้องการสมองในการคิดอ่าน และใช้กล้องเพียงแค่ กดชัตเตอร์ด้วยสปีด และรูรับแสงเท่าไหร่ แค่นั้นจริงๆ  กล้องที่ดีที่สุดคือกล้องที่อยู่ในมือเรา  จะถูก จะแพงก็แล้วแต่ความถูกใจของคนซื้อ ส่วนสำคัญของภาพ อยู่ที่หัวคิดของเราเอง  หากจะหากล้องคู่ใจ ติดตัวไปในทุกสภาพอากาศและทุกทริปเดินทาง กล้องแมน่วลแบบ fm2 ให้ภาพได้แน่นอน

 



คุยเล่นเรื่องเลนส์ canon EF35 F2

เลนส์ canon EF 35 F2 เป็นเลนส์ไวด์ทางยาวโฟกัสเดียว 35 มิลลิเมตร หน้าเลนส์ขนาด 52 มิลลิเมตร รูรับแสงกว้าง F2 ซึ่งไวแสงกว่าเลนส์ซูมเกรดโปรที่ขายกันสี่ห้าหมื่นบาทไทย แต่ราคาขายของเลนส์ 35F2 ตัวนี้อยู่ที่ระดับหมื่นกว่าบาท เลนส์ตัวนี้ผมได้มาเกือบสิบปีแล้ว เป็นเลนส์ที่ทำให้การถ่ายภาพมีความสนุกมากขึ้น คนที่สนใจเลนส์ตัวนี้มักจะเป็นคนที่ได้เคยใช้เลนส์ซูมมาแล้ว การได้ลองเลนส์เดี่ยวไม่ว่าช่วงทางยาวโฟกัสใดก็ตามมักจะให้ความสวยงามและความสนุกมากกว่าเลนส์ซูม

ขอยืมภาพเลนส์จาก Wikimedia Commons

(ภาพถ่ายที่เหลือทั้งหมดผมถ่ายเอง)

slide-img087

kodak extractor 100 + ef35f2

รูรับแสงกว้างทำให้มันเหมาะกับสภาพแสงที่ไม่มากเท่าไร อย่างเช่นแสงในอาคาร ในห้องต่างๆ แต่เมื่อเอาไปใช้กับสภาพแสงธรรมชาติ วันท้องฟ้าแดดสวย เลนส์ตัวนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราถ่ายภาพเก่งขึ้นได้เองโดยที่ใช้ความพยายามเท่าเดิม การถ่ายภาพต่างๆด้วยเลนส์รูรับแสงกว้างๆเราจะได้ภาพที่มีความนุ่มนวล มีช่วงชัดเพียงเล็กน้อยแล้วสิ่งที่อยู่นอกระยะโฟกัสก็จะค่อยๆเบลอออกไปเรื่อยๆ

slide-img104

fuji velvia 50 ef35f2

นักถ่ายภาพหลายๆท่านน่าจะเคยมีความคิดที่จะพกอุปกรณ์เพียงน้อยนิดที่สุดเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวที่คล่องตัว ผมก็เป็นกลุ่มที่อยากจะพกของเบาๆโดยยังคงมีคุณภาพสูงอยู่ เลนส์เ้ดี่ยวสักตัวเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่ามันก็มีเลนส์ให้เราเลือกกันเยอะแยะไปหมด ถ้าให้นึกตอนนี้ก็จะนึกถึงเลนส์ 50 35 28 24 20 มม.

slide-img105

fuji velvia 50 ef35f2

เลนส์ 50 มม. เป็นเลนส์ที่สว่างที่สุดในบรรดาเลนส์ต่างๆ เพราะจะมีรูรับแสงประมาณ 1.8 ไปจนถึง 1.4 สำหรับราคาตลาดที่พอจะให้ชาวบ้านได้ซื้อมาใช้ อย่าไปคุยถึงเลนส์ F1.0 ที่ราคาขายเป็นแสน เพราะมันสูงเกินไป เลนส์ 50 มม. มีคุณภาพดีเกินราคา แต่มันไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบพกเลนส์ตัวเดียว เพราะมันค่อนข้างจะใช้งานยากในที่แคบ และไม่สามารถจะถ่ายภาพวิวได้ตามที่ต้องการ แม้ว่ามือโปรหลายๆคนจะบอกว่ามันถ่ายได้ ผมก็ไม่เถียง แต่ผมรู้สึกว่ามันลำบากเกินไป

slide-img229e

kodak extractor 100 + ef35f2

เลนส์ 20 มม. เป็นเลนส์ที่เอามาถ่ายวิวได้ดีมาก เก็บภาพได้เต็มตา เหมาะกับของใหญ่ๆที่เราต้องการเก็บทั้งหมด แต่มันจะไม่สวยเลยเมื่อเอาเลนส์ตัวนี้ไปถ่ายชีวิตผู้คน เพราะมันมุมกว้างเกินไป และมันก็จะเห็นขอบเบี้ยวๆตามธรรมชาติเ้ลนส์อย่างเด่นชัด สั้นๆก็คือถ่ายวิวสวยแต่ถ่ายชีวิตผู้คนไม่ถูกใจ และข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งของเลนส์ระยะนี้ก็คือมักจะมีรูรับแส่ง 2.8 ซึ่งไม่ได้สว่างเลยเมื่อเทียบกับเลนส์ช่วงอื่น เพราะเลนส์ซูมเกรดโปรก็มีรูรับแสง 2.8 เหมือนกัน ถ้าให้พก ขอพกเลนส์ซูมจะน่าสนใจกว่า

slide-img227

kodak extractor 100 + ef35f2

เลนส์ 24 มม. น่าจะเป็นเลนส์ที่พกไว้ท่องเที่ยวได้เกือบดี เพราะว่ามันกว้างพอจะเก็บภาพวิวที่เรามองเห็นได้ไม่แพ้เลนส์ 20 มม. และการเอาไปถ่ายสิ่องของเน้นๆหรือชีวิตผู้คนก็เกือบดี มันน่าพกกว่าเลนส์ 20 มม. แต่ก็ยังตะขิดตะขวงใจถ้าต้องถ่ายภาพคน และความสว่างของเลนส์ก็มักจะอยู่ที่ 2.8 เช่นกัน ยังไม่ถือว่าสว่าง เลนส์ 28 มม. เป็นช่วยทางยาวโฟกัสที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ขอผ่าน เลนส์ 35 มม. อันนี้เป็นเลนส์ไวด์นิดๆ คือสามารถใช้ถ่ายวิวได้บ้าง ถ่ายชีวิตผู้คนได้บ้าง และรวมไปถึงการถ่ายสิ่งของใกล้ๆก็ทำได้เช่นกัน มันทำได้อย่างละนิดละหน่อย ความเบี้ยวก็ไม่มาก มันเป็นการประณีประนอมกันระหว่างภาพมุมกว้างกับภาพช่วงปกติ มีจุดเด่นอีกอย่างตรคงที่รูรับแสงกว้างระดับ F2.0 ซึ่งถือว่าไวแสงระดับหนึ่ง ทำให้การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยยังคงทำได้ การพกเลนส์ตัวเดียวผมคิดว่า เลนส 35f2 คือคำตอบที่ดีในหลายๆสถานการณ์

slide-img430

kodak extractor 100 + ef35f2

หากเราอ่านข้อมูลเกี่ยวกับช่างภาพแนวสตรีท แนวข่าว  แนวพกเลนส์ตัวเดียวถ่ายทุกอย่าง เราก็จะเจอกับเลนส์ 35มม บ่อยที่สุด  ซึ่งเลนส์ระยะนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ได้รับความนิยมไปในหลายๆสายอาชีพ  แม้แต่ผมเองก็ปลาบปลื้มกับเลนส์ระยะนี้  กล้องคอมแพ็คตั้งแต่ยุคของฟิล์มที่ทำออกมาเกรดไฮเอนด์ ก็จะใช้เลนส์ 35 กันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น contax t3   fuji klasse  nikon 35ti ซึ่งลามไปถึงกล้องดิจิทัลคอมแพ็คเทพ อย่าง sony rx1  และ leica q  คอมแพ็คเทพระดับรองที่ใช้เซ็นเซอร์เล็กแบบ aps-c ก็ใช้เลนส์ประมาณ 22mm หรือ 23mm เพื่อให้มุมรับภาพใกล้เคียงกับ 35mm บนเซ็นเซอร์ full frame

slide-img671

fuji sensia 100 + ef35f2

เลนส์ ef 35f2 อยู่กับผมมานาน และใช้งานบ่อยมากในยุคของฟิล์มรุ่งเรือง  และใช้งานแบบสมบุกสมบัน ไม่ค่อยดูแลสักเท่าไหร่  ในที่สุดเลนส์ก็หมดสภาพ โทรม และ ใช้งานไม่ได้ ซ่อมไปสองครั้ง ก็ยังคงเสียอีก  เลยต้องยอมปล่อยให้มันกลายเป็นที่ทับกระดาษไป

slide-img673

fuji sensia 100 + ef35f2

IMG_0273dppr
EF35f2 + Eos5d

img_1149r
EF35f2 + Eos5d
IMG_0252
EF35f2 + Eos5d

ลองเล่นกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์ contax t3

IMG_20170515_171804_472

IMG_1474contax-t3 กล้องคอมแพ็คเกรดสูงในตลาดเท่าที่นึกออกจะมี leica cm leica minilux ricoh gr1 nikon 35ti และ contax t3 จริงๆอาจมีมากกว่านี้ที่มีคุณภาพสูง แต่ตัวที่ยกขึ้นมาเป็นตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและมีมือสองให้พอซื้อได้ บางตัวก็แพง บางตัวก็ถูก บางตัวก็มีประวัติว่าอายุสั้นว่าสายแพขาด ซึ่งกล้องคอมแพ็คออโตโฟกัสคงมีปัญหาสายแพรขาดกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเจอก่อน ใครเจอทีหลัง PICT0076 การมีกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์สักรุ่นหนึ่งมาติดกระเป๋า เอามาใช้งานในวันที่ไม่เร่งรีบ ในวันที่อยากจะเสียเงินซื้อฟิล์ม เสียเวลาล้างฟิล์ม ทั้งล้างเองหรือหาร้านล้างให้ก็ตาม แถมยังต้องเสียเวลาสแกนฟิล์มเอามาดูเป็นไฟล์ดิจิทัลอีกต่างหาก มันเป็นช่วงเวลาการถ่ายรูปที่ได้รับความสุนทรีย์อย่างที่ดิจิทัลให้ไม่ได้ เสน่ห์มันอยู่ตรงไหนก็ไม่สามารถอธิบายได้ครบถ้วน รู้แค่ว่า อยากมีกล้องฟิล์ม อยากมีกล้องคุณภาพดี อยากพกมันติดตัว และอยากใช้มันถ่ายภาพแค่บางภาพเท่านั้น contax t3 suan - -7 กล้อง contax t3 เป็นกล้องที่ติดเลนส์ 35มม. f2.8 สามารถตั้งรูรับแสงเองได้ สามารถชดเชยแสงได้ มีความเร็วโฟกัสค่อนข้างเร็ว วัดแสงแม่นยำมาก อาจจะเป็นเพราะเราถ่ายมันด้วยฟิล์มขาวดำล้วนๆก็ได้ ภาพจะออกเข้มไปหน่อย อ่อนไปนิด เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเสีย อีกอย่าง เวลาล้างฟิล์มออกมาแล้วก็ต้องเอามาสแกนเพื่อดูบนจอคอมพิวเตอร์ การสแกนก็สามารถปรับความเข้มอ่อนได้เล็กน้อยทำให้เราไม่รู้เลยว่ากล้องถ่ายพลาดหรือไม่ contax t3 suan - -9 ภาพขาวดำที่ออกจากเลนส์ของ contax t3 เป็นภาพที่มีรายละเอียดสูงมาก มีการไล่ระดับตั้งแต่ส่วนมืดไปถึงส่วนสว่างที่กว้างมากและต่อเนื่อง จะบอกว่ามีคอนทราสต์สูงก็พอบอกเช่นนั้นได้ เทียบกับกล้องดิจิทัลที่ปรับโหมดขาวดำแล้วถ่ายออกมาเทียบกัน ภาพจากกล้องดิจิทัลก็ยังให้ระดับสีดำแบบนี้ไม่ได้ นอกเสียจากกล้องดิจิทัลตัวนั้นจะมีโหมดขาวดำพิเศษที่เร่งคอนทราสต์ให้แรงขึ้นก็อาจจะพอเทียบเคียงได้ contax t3 v2--12 ด้วยวิธีการใช้กล้องคอมแพ็คฟิล์มมาถ่ายภาพต่างๆ  เราจะต้องเอาตาเล็ง กล้องจะสัมผัสกับหน้าผาก ทำให้กล้องมีความมั่นคงมากเมื่อเทียบกับการยกกล้องดิจิทัลมาถ่ายแบบปัจจุบัน  ทำให้เราสามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้พอสมควร  สภาพแสงในโรงพิมพ์เป็นตึกมิดชิด มีเพียงแสงจากไฟฟลูออเรสเซ้นต์ที่ติดในโรงงานเท่านั้น  เราก็ยังสามารถถ่ายให้ภาพไม่สั่นได้  แม้ความไวชัตเตอร์จะต่ำไปสักหน่อย ความไวฟิล์มก็ต่ำเพราะเร่ง iso ไม่ได้  แต่การจับถือก็ให้ความมั่นคงเพียงพอ ทำให้เรายังคงเก็บภาพในที่แสงน้อยได้   contax t3 v2--7 การโฟกัสก็ทำได้แม่นยำมาก  แม้จะไม่มีช่องที่มองผ่านเลนส์  แต่เราก็สามารถประมาณด้วยสายตาและเล็งโฟกัสไปยังวัตถุที่เราต้องการได้ง่ายดาย  กล้องล๊อคโฟกัสได้แทบจะทันที และเมื่อกดถ่าย  ภาพก็ถูกบันทึกอย่างคมชัดไว้ในฟิล์มแล้ว   contx t3 scan10dec2013 --3 ในสภาพแสงภายนอก contax t3 ให้ภาพสวยชวนฝันจริงๆ คนที่หลงไหลกับภาพขาวดำน่าจะชอบบุคลิกของกล้องตัวนี้  เพราะสีดำก็ดำสนิท สีโทนกลางๆก็ไล่ระดับต่อเนื่องน่ามอง ส่วนขาวก็ไม่ได้ขาวโพลน  ถ้ามีกล้องดิจิทัลที่สามารถให้ภาพแบบนี้ได้จากการถ่ายด้วยโหมดสำเร็จรูปของกล้องเชื่อว่าน่าจะทำให้กล้องตัวนั้นขายดีมาก   contx t3 scan10dec2013 --2 เลนส์ 35มม. เข้าใกล้วัตถุได้มากพอสมควร  แม้จะไม่ได้ใกล้แบบการถ่ายภาพมาโคร แต่ก็ใกล้จนเห็นรายละเอียด และยังคงให้โทนสีดำที่เข้มลึก  มีน้ำหนัก  พอล้างฟิล์มออกมาแล้วเพิ่งจะได้มานั่งดู  พอดูภาพเสร็จก็อยากจะเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปถ่ายรูปเล่นทันทีเลย Untitled การพกพากล้อง contax t3 ทำได้ไม่ยุ่งยาก ตัวกล้องมีซองหนังให้ใส่ดูดี เพื่อเก็บกล้องแล้วสามารถยัดใส่กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าอะไรก็ได้ยกเว้นกระเป๋าสตางค์ กล้องคอมแพ็คฟิล์มจะไม่ต้องพกแท่นชาร์จ เพราะถ่านในตัวสามารถถ่ายรูปได้เกินสิบม้วนฟิล์มอย่างแน่นอน ไม่ต้องมีแบตก้อนที่สองอีกต่างหาก เรียกได้ว่า พกกล้องติดกระเป๋าพร้อมฟิล์มกลักนึงเราอาจจะพกจนลืมไปเลยก็ได้ เพราะกว่าที่ผมจะถ่ายหมดม้วนก็ใช้เวลาหลายเดือน

หลังจากได้มีโอกาสใส่ฟิล์มสีไปถ่ายภาพ  ก็ขอเอามาวางให้ดูไว้เป็นข้อมูล

000041

ภาพ selfie ยกกล้องขึ้นเล็งแล้วกดถ่ายเลย  ไม่ได้คิดเรื่องชดเชยแสงแต่อย่างใด  ผมยืนอยู่นอกห้องน้ำที่ได้รับแสงจากหน้าต่าง  ส่วนห้องน้ำได้แสงสว่างจากไฟเพดาน สองสภาพแสงที่ความสว่างไม่เท่ากัน แต่ก็อยู่ในภาพเดียวกันดูกลมกลืนดี

000040

ภาพสองพี่น้อง ยกกล้องขึ้นโฟกัสที่หน้า แล้วจัดองค์ประกอบให้ได้ส่วนที่ต้องการ โหมด P ของกล้องวัดแสงแม่นยำให้ภาพที่สวยพอดี ไม่มืด ไม่สว่างเกินไป

000042

ภาพย้อนแสงค่อนข้างมาก ก็ยังพอได้ภาพที่ไม่น่าเกลียด แม้ดูแล้วจะรู้สึกว่ากล้องวัดแสงผิดพลาด แต่คงเป็นเพราะกล้องพยายามจะทำให้ฉากหลังไม่สว่างเกินไปด้วย  แสงที่หน้าคนเลยไม่มากเท่าที่ควร  แต่มันก็ยังไม่เป็นภาพเสีย

000070

ภาพนักฟุตบอลถือตระกร้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก  กล้อง T3 อยู่ในมือ รีบเปิดกล้อง แล้วเล็งถ่าย ยอมให้แฟลชขึ้น เพราะต้องการใช้เป็นกล้อง snap โฟกัสเร็วทันแล้ว

000048

ตอนกลางวันแสงดีๆ ถ่ายภาพเด็กในร้านอาหาร แสงหน้าต่าง แสงภายนอกอาหาร ทำให้ภาพแนวนี้ดูสวยได้ง่ายๆเลย

000064

สภาพแสงที่คาดเดายาก เราก็ปล่อยให้กล้องคิดแทนเรา ถ่ายแล้วลุ้นว่าจะถูกใจไหม แล้วก็ได้ภาพที่น่าพอใจเกินคาด

000035

ภาพเด็กกำลังซน ถ่ายในร้านฟาสฟู้ด แสงหน้าต่างเข้าทางด้านซ้าย  ปิดแฟลชถ่าย ระบบวัดแสงทำงานได้แม่นยำน่าพอใจทุกครั้ง

000043

ขอปิดท้ายด้วยภาพ self portrait และ contactsheet ที่ทำด้วยการปริ๊นท์ระบบดิจิทัล

Contax T3

วิธีล้างฟิล์มขาวดำและสแกนไว้ดูในคอมพิวเตอร์ ดูได้ที่นี่  ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ

เริ่มต้นขายภาพ online ได้ที่นี่ครับ


ขอบฟ้าโตขึ้นเยอะเลย

pic20150407002758

ภาพของขอบฟ้าที่บันทึกเอาไว้ได้ในช่วงเวลาต่างกัน ภาพทางซ้ายคือช่วงเวลาประมาณปลายปี 2013 ซึ่งเป็นการถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำและได้สแกนเก็บไว้เป็นไฟล์ ส่วนทางซ้ายก็ถ่ายในช่วงเวลาเดือนเมษายน 2558 เป็นระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 17 เดือน

ภาพต้นฉบับของทั้งคู่คือภาพต่อไปนี้
PICT0010
ภาพขาวดำจากกล้อง nikon fm2n เลนส์ 50f1.8 ฟิล์ม lucky200 ล้างด้วย d76 สแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์ม jumbl ราคา 99ดอลล่าร์จาก amazon

IMG_7711.JPG
ภาพขอบฟ้าเดือนเมษายน ถ่ายด้วยกล้อง canon eos6d เลนส์ 85f1.8

ความผิดพลาดที่น่าดู

ประมาณปี คศ 2004 ผมยังคงไม่ได้ใช้กล้องดิจิทัลใดๆ  และยังสนุกกับการหัดถ่ายภาพในรูปแบบต่างๆ  นอกจากงานภาพขาวดำที่ผมพยายามเรียนรู้จนเข้าใจกระบวนการแล้ว  การถ่ายภาพด้วยฟิล์มใหญ่ขนาด 6x6cm ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของผม  เพราะการถ่ายภาพแฟชั่นในระดับอาชีพจะใช้ฟิล์มประเภทนี้เสมอ  แต่ผมไม่มีเงินพอจะซื้อกล้องแพงๆเหล่านั้นได้  เพราะต้องจ่ายเกือบแสน  แต่ผมก็ดั้นด้นไปหากล้องเก่าโบราณมาเล่นจนได้  

 

กล้องตัวนี้ใช้ฟิล์ม 6x6cm หรือฟิล์ม 120 (ตามที่ในวงการถ่ายภาพเขานิยมเรียกัน  ส่วนกล้องทั่วไปใช้ฟิล์มเล็กจะเรียกว่า 135)  การใช้งานกล้องโบราณตัวนี้จะมีโอกาสผิดพลาดสูง  ตั้งแต่การใส่ฟิล์ม  การเลื่อนฟิล์ม  และการเอาฟิล์มออกจากกล้อง  การถ่ายภาพแต่ละครั้งเมื่อถ่ายไปแล้วจะต้องหมุนฟิล์มให้เคลื่อนที่ไป  ฟิล์มส่วนที่ถ่ายไปแล้วจะขยับออกจากช่องรับภาพ  กล้องสมัยใหม่(สำหรับช่วงเวลานั้น)จะออกแบบให้ถ่ายแล้วง้างคานขึ้นชัดเตอร์เพื่อเลื่อนฟิล์ม  ถ้าไม่เลื่อนฟิล์ม ปุ่มชัดเตอร์จะกดไม่ลง  เป็นการออกแบบไม่ให้ถ่ายภาพซ้อนลงไปบนฟิล์มเดียวกัน  แต่กล้องโบราณที่ผมใช้  กลไกมันอยู่ตัวใครตัวมัน  หมายความว่า จะเลื่อนหรือไม่เลื่อนฟิล์ม  ปุ่มชัตเตอร์ก็ยังคงทำงานได้เหมือนเดิม  ถ้าเราลืมเลื่อนฟิล์ม  แล้วกดชัตเตอร์ซ้ำลงไป  ภาพก็จะซ้อน  ตามรูปที่เห็นนี่แหละ  แต่ภาพนี้กลับกลายเป็นดี  ตอนถ่ายภาพแรก  ผมให้เพื่อนช่วยถ่ายให้  ผมเล็งองค์ประกอบให้เพื่อนดู แล้วก็ไปยืนในภาพ  ให้เพื่อนช่วยกดถ่ายภาพให้  จากนั้นก็เดินเล่นไปดูมุมอื่นๆในสวนสาธารณะ  แล้วผมก็ไปเจอภาพดอกไม้กลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าน่าถ่ายเก็บไว้  ก็เลยเล็งดอกไม้แล้วถ่ายไปเลย  ตอนล้างฟิล์มออกมาถึงจะรู้ว่าภาพซ้อนกัน  สาเหตุที่ซ้อนก็เพราะถ้าผมเป็นคนถ่ายเอง  เมื่อกดชัตเตอร์ไปแล้วผมก็จะเลื่อนฟิล์มทันที  ภาพต่อไปจะได้ไม่ซ้อน  แต่พอให้เพื่อนช่วยถ่ายให้  เพื่อนไม่รู้เรื่องก็ถ่ายให้อย่างเดียว  ไม่ได้เลื่อนฟิล์มให้  ผมก็ลืมที่จะเลื่อนฟิล์มให้ทันทีที่ได้รับกล้องคืนจากเพื่อน  พอลืม  ก็นึกว่าได้ทำไปแล้ว  เจอเหตุการณ์หรือมุมสวยๆถัดไปก็ถ่ายไปทันที  มันก็ซ้อนด้วยประการฉะนี้….

  แต่ภาพนี้ก็เป็นภาพถ่ายตัวเองที่ผมชอบที่สุดตั้งแต่หัดถ่ายรูปมา  อาจจะเพราะมันดูไม่ค่อยชัดเลยดูดีกว่าสภาพจริง ยังคงเก็บฟิล์มชิ้นนี้เอาไว้  กะว่าวันหนึ่งอาจจะเอาออกมาขยายติดฝาบ้าน