เจ้าของเล่นชิ้นนี้อยู่ในบ้านผมมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็ได้รับบริจาคมาจากป้า เป็นของเล่นที่ยังไม่ได้แกะเลย ท่าทางจะเป็นของที่เล่นไม่ทันและลูกของป้าก็โตพ้นวัยไปเยอะแล้ว ของชิ้นนี้เลยตกเป็นมรดกมาให้ลูกผมเอง ขอบฟ้าเป็นเด็กโชคดีมากที่มีญาติเป็นนักช็อปปิ้ง
Brain Box คือชื่อของเล่นชิ้นนี้ มันเป็นชุดของเล่นที่เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย มีสวิตซ์ มีตัวนำ มีหลอดไฟ มอเตอร์ ลำโพง วงจรสำเร็จรูปทำหน้าที่ได้หลายอย่าง มีเซ็นเซอร์แสง มีตัวต้านทาน มีคาปาซิเตอร์ มีสวิตซ์แปลกๆ คู่มือที่มากับกล่องบอกว่าสามารถต่อได้ 500 วงจร ในคู่มือจะมีวิธีเล่น มีวงจรไล่ไปทีละวงจร แต่ละวงจรมีรายละเอียดปลีกย่อย มีคำอธิบาย และมีสอนให้เปลี่ยนบางอย่างในแต่ละวงจรเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง
ผมลองเล่นกับลูกไป 2 ชั่วโมง ก็พบว่า มันดึงความสนใจของเด็กได้ต่อเนื่องมาก มันให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กเจ็ดขวบได้จริง แต่ที่สะดุดใจเป็นการส่วนตัวก็คือ ของเล่นชุดนี้มันเหมือนเป็นแล็บทดลองวิชาไฟฟ้าสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีเลย หลักการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเป็นอย่างไรเราจะได้ทดลองสร้างวงจรจริงเพื่อดูผลการทำงานแต่ละอุปกรณ์ มันสร้างความเข้าใจให้กับเด็กวิศวะไฟฟ้าได้ง่ายดายมาก

ยกตัวอย่างสวิตซ์ก็ได้ ปกติสวิตซ์จะทำงานปล่อยไฟฟ้า หรือ ตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อเรากดสวิตซ์ให้ทำงาน ไฟจะไหลไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ได้เหมือนต่อสายไฟตรง เมื่อสวิตซ์ตัดการทำงาน ก็จะเหมือนตัดสายไฟ หลักการมีแค่นี้ เด็กเรียนวิชาไฟฟ้าก็เรียนแบบนี้ วิศวกรก็เรียนแบบนี้ แต่สวิตซ์ 3 ชนิด คือ 1 สวิตซ์กดติดปล่อยดับ กับ 2 สวิตซ์แม่เหล็กหรือ dry reed (ศัพท์นี้ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย)ชนิดโดนแม่เหล็กแล้วต่อวงจร เอาแม่เหล็กออกก็จะดับ กับ 3 สวิตซ์แบบซีเล็คเตอร์เลื่อนไปเปิด แล้วต้องเลื่อนกลับเพื่อปิด แค่ 3 อย่างนี้ก็ทำให้ทึ่งแล้ว เพราะในทางวิศวกรรม สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิด เมื่อทำงาน มันก็จะส่งไฟฟ้าผ่านไปยังอุปกรณ์ได้เหมือนกัน ในการออกแบบวงจรมันเหมือนกัน ในการวิเคราะห์วงจรบนกระดาษมันเหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติมันให้ผลไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ถ้าไม่อยู่หน้างานจริงไม่มีทางได้รู้ เด็กวิศวกรที่อยู่กับแบบเรียนแต่ไม่ลงมือทำชิ้นงานจริงจะไม่มีทางรู้เลยว่าสวิตซ์ทั้ง 3 แบบมันให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน
ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกสักหน่อย เราจะพบว่า สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิดนี้น่าจะมีความต้านทานที่หน้าสัมผัสไม่เท่ากัน มันทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านไปไม่เท่ากัน มีผลทำให้ อุปกรณ์ที่ต่อใช้งานทำงานไม่เท่ากัน ถ้าเราต่อวงจรด้วยหลอดไฟแสงสว่าง เราจะเห็นหลอดไฟสว่างทั้งหมด แต่ตาเราจะแยกแยะความสว่างที่ต่างกันเล็กน้อยไม่ได้ ดูด้วยตาเราจะบอกว่าหลอดไฟสว่างเท่ากันนั่นเอง แต่หากเราเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนใบพัดให้ลอยตัวขึ้น เราจะเห็นว่ามอเตอร์หมุนเร็วมากเหมือนกัน เพราะสายตาเราแยกไม่ออก แต่ใบพัดที่หมุนแรงจนเกิดแรงยกทำให้ลอยตัวขึ้นไป มันมีความแตกต่างกันว่าสวิตซ์แต่ละชนิดส่งใบพัดให้ลอยสูงไม่เท่ากัน การทดลองบอกเราว่า สวิตซ์เลื่อนเปิดและต้องเลื่อนกลับเพื่อปิดส่งใบพัดได้สูงที่สุด สวิตซ์กดติดปล่อยดับส่งใบพัดให้ลอยขึ้นไม่แน่นอน และสวิตซ์แม่เหล็ก ทำงานด้วยการแหย่แม่เหล็กเข้าไปใกล้ๆสวิตซ์เพื่อให้ต่อวงจรและเมื่อชักแม่เหล็กออกสวิตซ์จะตัดไฟ เจ้าระบบแม่เหล็กนี้ส่งใบพัดให้ลอยออกไปได้ต่ำที่สุด นี่คือผลความแตกต่างที่เกิดจากความต้านทานในหน้าสัมผัสสวิตซ์มีค่าไม่เท่ากัน แค่เด็กทดลองเล่นเราไม่ต้องลงลึกก็ได้ ของเล่นแนวนี้เหมาะที่จะให้เด็กเล่นเป็นพื้นฐาน เพื่อทำความรู้จักกับวงจรไฟฟ้า
โลกเราไม่ได้ต้องการแค่คนปลูกข้าวกับโปรแกรมเมอร์ เรายังต้องการวิศวกรเพื่อออกแบบระบบที่ทำงานได้ตรงวัตถุประสงค์ เรายังต้องการคนเข้าใจฮาร์ดแวร์ เรายังต้องการคนออกแบบที่รู้ถึงข้อจำกัดต่างๆของอุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้สอนกันยาก การมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาความรู้นี้ทำให้เราประหยัดเวลาได้มาก เพราะในรุ่นผม กว่าจะได้เรียนรู้ กว่าจะได้เข้าใจเหตุผลทางไฟฟ้าเหล่านี้ก็ต้องรอจนอายุยี่สิบกว่า ขณะที่เด็กเจ็ดขวบได้เรียนรู้และได้เริ่มสัมผัสกับมันแล้ว การจะต่อยอดไปให้เข้าใจมากขึ้นก็ทำได้รวดเร็ว โลกเราก้าวหน้าไปมาก เครื่องมือการเรียนรู้ก็พัฒนาไปมาก ผู้ใหญ่อย่างรุ่นผมก็คงต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพื่อให้เราสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกได้อย่างรู้เท่าทัน






