ดิจิทัลมาเก็ตติ้งคือความรู้ที่จำเป็นในยุคนี้

“ดิจิทัลมาเก็ตติ้งคือความรู้ที่จำเป็นในยุคนี้”

ในอดีตเมื่อเรามีสินค้าที่ผลิตออกมา  เราก็จัดจำหน่ายด้วยการนำไปวางขายในร้านค้า  มีทั้งร้านค้าปลีก ค้าส่ง  ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า  และบางอุตสาหกรรมก็ขายส่งไปต่างประเทศ  บางคนก็ขายให้ตัวแทนจำหน่ายแล้วตัวแทนจำหน่ายก็ไปกระจายสินค้าสู่ห้าง สู่ร้านค้าที่ปลายทางอีกทอดหนึ่ง บางคนก็อาจจะต้องไปเช่าพื้นที่ในห้างเพื่อขายสินค้าของตัวเอง  เป็นที่มาของคำว่าเปิดร้าน  การเปิดร้านเราต้องเลือกทำเล  เลือกห้าง เลือกภาพลักษณ์ของห้างนั้นๆเพื่อทำการขายสินค้าของเรา

ยอดขายที่ดีมาจากการขายได้จำนวนมาก  การขายได้จำนวนมากมาจากคนซื้อรู้จักสินค้า  คนรู้จักสินค้าเพราะการโฆษณา  การโฆษณาสินค้าหรือแผนการตลาดจึงเป็นสิ่งที่กำหนดความอยู่รอดของธุรกิจ  เราจำเป็นต้องรู้ว่าเราจะโฆษณาอะไร  ไปสู่ลูกค้าคนไหน  ด้วยวิธีการหรือด้วยสื่อในช่องทางใด  

หากคุณเปิดร้านอาหาร  นอกจากการตั้งร้านตกแต่งให้สวยงามเรียบร้อยแล้ว  สิ่งที่ต้องทำลำดับถัดไปก็คือ บอกคนในพื้นที่รอบร้านอาหารว่ามีร้านนี้เปิดบริการอยู่ ในยุคก่อนจะมีโซเชียลเน็ตเวิร์ค การบอกคนในพื้นที่จะทำผ่านใบปลิว  บ้างก็โฆษณาทางวิทยุ  ออกโทรทัศน์  ซื้อหน้าโฆษณาในนิตยสารและหนังสือพิมพ์   การทำใบปลิวถ้าไม่แจกด้วยตัวเองก็ต้องจ้างคนไปแจก  จ้างคนไปหย่อนใบปลิวหน้าบ้าน  หย่อนตู้ไปรษณีย์ของแต่ละบ้าน  นั่นคือการทำมาเก็ตติ้งแบบออฟไลน์ มีต้นทุนการทำสื่อ  มีต้นทุนการซื้อเวลาของสถานีวิทยุและโทรทัศน์  และมีต้นทุนในการกระจายสื่อให้ทั่วถึง

สินค้าแบบเดียวกัน หรือถ้าเป็นร้านอาหารแบบเดียวกันแล้วจะโฆษณาในยุคอินเทอเน็ตแบบปัจจุบัน นอกจากวิธีเก่าแบบออฟไลน์แล้ว เรายังมีทางเลือกอื่นที่ทรงประสิทธิภาพ  อย่างวิธีการเปิดเว็บไซต์  เปิดเพจในโซเชียลมีเดีย  เพราะผู้คนยุคปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนติดตัว ทุกคนเข้าสู่อินเทอเน็ตได้ตลอดเวลา  และทุกคนเป็นสมาชิกโซเชียลเน็ตเวิร์คบางตัวอยู่แล้ว  เราก็แค่เอาร้านของเราไปเปิดตัวในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กลุ่มเป้าหมายเราเล่นอยู่ แล้วก็ซื้อโฆษณาในโซเชียลเน็ตเวิร์ค  กลุ่มเป้าหมายของเราก็จะได้รับรู้ข้อมูลของร้านอาหารของเรา เห็นภาพ เห็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอ  และเราเลือกได้ว่าจะเข้าถึงลูกค้าแบบไหน ชายหรือหญิง ช่วงอายุเท่าใด  มีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหนก็เลือกได้ และสามารถเปลี่ยนภาพโฆษณาให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายที่จะมองเห็นภาพเห็นโปรโมชั่นแตกต่างกันได้ นี่คือความสามารถของการตลาดในยุคอินเทอเน็ตที่ทำได้มากขึ้นละเอียดขึ้น ประหยัดเวลากว่าแบบเก่า  ประหยัดแรงกว่า เราเรียกการตลาดที่เราทำบนอินเทอเน็ตว่า ดิจิทัลมาเก็ตติ้ง

ความทรงพลังของดิจิทัลมาเก็ตติ้งยังมีมาในรูปแบบความเร็ว ความง่ายในการสื่อสาร  เราสามารถเพิ่มช่องทางการสอบถามความพึงพอใจเพื่อนำมาปรับปรุงบริการหรือปรับปรุงสินค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น  การร้องเรียนของลูกค้าผ่านระบบอินเทอเน็ตจะทำให้เราสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นและสามารถลงมือแก้ปัญหาได้เร็ว  ทำให้ลดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสินค้าได้  บริษัทยังสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำได้  ทำให้ผู้ประกอบการบางคนแทบจะหันหลังให้การตลาดแบบออฟไลน์หรือแบบดั้งเดิม  บางคนเลิกพิมพ์ใบปลิว  เลิกเดินแจกใบปลิวไปแล้ว  เพราะดิจิทัลมาเก็ตติ้งเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าในต้นทุนการตลาดที่ต่ำกว่า  การเรียนรู้และใช้งานดิจิทัลมาเก็ตติ้งจึงเป็นทางเลือกที่ต้องเลือกในปัจจุบัน 

การทำการตลาดที่แท้จริงก็จะหมายถึงการใช้เครื่องมือทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่เรามีเพื่อทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของเรานั่นเอง  บริษัทของเราควรจะมีแผนพัฒนาทั้งสินค้าและพัฒนาคนตลอดเวลา  การพัฒนาคนจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน  ถ้าธุรกิจของเราเป็นการทำงานแบบยุคเก่า  ไม่ยอมใช้เครื่องมือของดิจิทัลมาเก็ตติ้งในการทำตลาดเลยเราจะสูญเสียตลาดให้คู่แข่ง  เพราะคู่แข่งที่เกิดใหม่ทั้งหมดจะเข้าสู่ตลาดพร้อมเทคโนโลยี  คู่แข่งเก่าที่ปรับตัวพัฒนาตัวเองก็จะเก่งยิ่งกว่าเดิม  สื่อการตลาดชิ้นเดียวกันสามารถใช้เทคโนโลยีส่งโปรโมชั่นให้ว่าที่ลูกค้าได้นับล้านคนทั่วโลกพร้อมกัน  ซึ่งหากเราไม่รู้จักเครื่องมือ  ใช้ไม่เป็น สุดท้ายความไม่รู้จะเป็นปัญหา  และเราจะสูญเสียยอดขายที่ควรเป็นของเรา  หากเราละเลยไม่เรียนรู้เกี่ยวกับดิจิทัลมาเก็ตติ้งในวันนี้  วันข้างหน้าเราก็จะถูกบังคับให้เรียนรู้เพื่อให้ทันคู่แข่งอยู่ดี  แต่เมื่อวันนั้นมาถึงก็เท่ากับตลาดและคู่แข่งเริ่มทิ้งเราไปหลายก้าวแล้ว

ในเรื่องการทำตลาดด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์คก็มีประเด็นหลายอย่างที่ต้องคิดและวางแผนให้รอบคอบ  บางบริษัทลงทุนโฆษณาทางเฟสบุ๊คมายาวนาน แล้วก็ทำยอดขายได้เรื่อยๆจนวางใจ  วันหนึ่งเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเพจโดนปิด  โดนขโมย  หรือ หายไปเฉยๆ  สิ่งที่ลงทุนไว้  หรือกลุ่มเป้าหมายที่เรายิงโฆษณาไปถึงพวกเขาเกิดสูญหาย  การเชื่อมโยงกับผู้คนในเพจหายไปหมดเลย   ข้อมูลการติดต่อ การขาย การส่งสินค้า ข้อมูลลูกค้าควรจะนำมาเก็บในช่องทางอื่นแบบออฟไลน์ด้วย  จะเก็บในรูปแบบไฟล์  บันทึกชื่อที่อยู่เบอร์โทรลูกค้าไว้ในไฟล์เอกสาร excel ก็ได้  เรื่องเหล่านี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ  เพราะเหตุการณ์เพจโดนแฮ้คเกิดขึ้นตลอดเวลาทั่วโลก   และนอกจากแพลตฟอร์มอย่างเฟสบุ๊คแล้ว  โลกเราก็ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มให้เราเข้าไปทำตลาด  เราควรเข้าไปทุกแพลตฟอร์มที่มีกลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ในนั้น  ทั้ง ไลน์  ทวิตเตอร์ ติ๊กต๊อก และอื่นๆ  เหมือนกับคำที่เคยมีคนบอกว่า อย่าเก็บไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว  เราจึงควรทำตลาดดิจิทัลมาเก็ตติ้งในช่องทางที่หลากหลาย ทำในแพลตฟอร์มทั้งหมดที่ลูกค้าของเราอยู่ในนั้น

จากการเปิดบริษัทสอนทำดิจิทัลมาเก็ตติ้งมาหลายปี ผู้สอนยังรับจ้างทำการตลาดออนไลน์ให้ด้วย  เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สอนในหลักสูตรเป็นสิ่งที่นำมาทำจริงแล้วได้ผล  เพราะการลงมือยิงโฆษณาทำให้รู้ว่าต้องปรับปรุงความรู้ที่สอนในแง่ใดบ้าง  ต้องเพิ่มความทันสมัยของหลักสูตรทุกครั้งที่เปิดกลุ่มการสอนใหม่ตลอดเวลา  เพราะทุกแพลตฟอร์มก็ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลานั่นเอง

นอกจากบริษัทเอกชนที่มองเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ดิจิทัลมาเก็ตติ้งแล้ว  เป็นเรื่องน่ายินดีที่มหาวิทยาลัยก็เริ่มปรับปรุงหลักสูตรด้านมาเก็ตติ้ง  มีการเชิญไปสอนในหลักสูตร ปริญญาตรี และปริญญาโท  ส่วนของหน่วยงานราชการอย่างกระทรวงพาณิชย์ก็เชิญไปสอนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอยู่หลายครั้งต่อปี  ความรู้เรื่องดิจิทัลมาเก็ตติ้งกำลังจะเป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มผลประกอบการของภาคธุรกิจ  เริ่มเรียนรู้วันนี้เพื่อให้พรุ่งนี้เรายังอยู่ในธุรกิจของเราต่อไป

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265
https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

20180424094626_IMG_0397

น่าจะมีหลายคนสงสัยว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงฉลาดเกี่ยวกับคน  เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไร มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพฤติกรรมมนุษย์มาก่อน  บางคนอาจจะเผลอคิดไปเลยว่าเฟสบุ๊คน่าจะดักฟังเราอยู่ตลอดเวลา  เพราะบางทีการนั่งคุยเรื่องสิ่งของอย่างเช่น เสื้อผ้า  รองเท้า  ไปเที่ยว  ไปดูรถคันใหม่มา  พอวางสายจากการสนทนา หรือกลับถึงบ้าน  หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเราหยิบมือถือขึ้นมาดู หรือเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คก็พบว่ามีโฆษณาสินค้าที่เราเพิ่งพูดถึง หรือเพิ่งไปดูมา  และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมากกับชีวิตในทุกวันนี้

ในฐานะที่เป็นผู้ทำการสอนการยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คมาหลายปี  จะขอบอกว่าวันนี้เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคนมากจริงๆ  เฟสบุ๊ครู้จักเราหรือรู้จักเจ้าของเครื่องโทรศัพท์มือถือในหลายแง่มุม  และรู้ลึกรู้จริงจนอาจจะทำนายพฤติกรรมได้เลย  แล้วหลายคนก็อยากรู้ว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงมีความสามารถเช่นนั้น  ถ้าจะให้เล่าก็ต้องเล่าไปที่จุดเริ่มต้นว่าจริงๆแล้วเฟสบุ๊คเก่งเรื่องชาวบ้าน  เฟสบุ๊คเคยเปิดเผยข้อมูลว่า คนเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คมี 2 วัตถุประสงค์คือ

1 เข้าไปดูเรื่องชาวบ้าน คนอื่นทำอะไร ไปไหน โพสท์อะไร 

2 ไปดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา  เราโพสท์แล้วมีคนอ่านไหม มีคนมากดไลค์  หรือพิมพ์คอมเม้นท์หรือเปล่า

ข้อหนึ่งคงไม่ต้องสงสัย  เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้เวลาค่อนข้างมากกับเฟสบุ๊ค  เราจะไปดูความเป็นไปของสังคม ชีวิตเพื่อนเรา ดูชีวิตคนที่เรารู้จัก  เพื่อนเราไปไหน เที่ยวไหน  กินอะไร ซื้ออะไร  เราดูสิ่งเหล่านี้ทุกวันผ่านเฟสบุ๊ค

ส่วนข้อสองเวลาเราจะดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา ก็จะดูจากชาวบ้านมากดไลค์เรื่องของเรา  พอเราไปเที่ยวมีรูปสวยๆกลับมาก็โพสท์ลงเฟสบุ๊ค เพื่อนได้เห็น เพื่อนก็กดไลค์   บางทีเราก็ขอให้เพื่อนมากดไลค์รูปของเราด้วยซ้ำไป  เพื่อนบางคนก็เป็นขาประจำชอบดูภาพที่เราโพสท์  พ่อแม่บางคนก็โพสท์รูปเด็ก  ความเปิ่นความทะเล้นของลูก  แล้วมีคนมาคอมเม้นท์เราก็รู้สึกดี

เหตุที่เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคน เพราะเฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราในออนไลน์ในระดับที่ลึกมากถึงลึกที่สุด  โดยมีข้อมูลของเราอยู่ 4 ช่องทางที่เฟสบุ๊คจะรู้จักตัวเรา  และรู้ลึกขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป รู้มากขึ้นตามพฤติกรรมที่เราทำผ่านเฟสบุ๊คทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว เราลองมานับหรือทบทวนกันว่าเฟสเก็บข้อมูลเรา 4 ช่องทางนี้ ที่ไหน อย่างไรกันดีกว่า

http://www.freepik.com

ช่องทางที่1  เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราจากโพรไฟล์ที่เราสมัคร  การกรอกข้อมูลครั้งแรก  ชื่อ อีเมล  และข้อมูลข้างเคียงอื่นๆเราก็มักจะมีบอกหรือกรอกแทบจะครบทุกช่องเลย  อย่างเช่น ข้อมูล อายุ โรงเรียน ทำงานอะไร ชอบเที่ยวแบบไหนดูหนังอะไร อ่านหนังสืออะไร  เราใส่ข้อมูลความชอบส่วนตัวให้กับเฟสบุ๊คไปแล้วตั้งแต่ตอนสมัครเข้าใช้งานครั้งแรก  และบางคนก็กรอกประวัติการศึกษา  รวมถึงประวัติการทำงานก็มีการกรอกเข้าไปด้วย

พอเรามีประวัติที่ละเอียดขึ้น ผู้ประกอบการต่างๆก็ใช้ประโยชน์จากประวัติการศึกษาของผู้ใช้เฟสบุ๊คได้ อย่างเช่นเรื่องประวัติการศึกษา  ถ้าเราจะค้นหาคนที่สนใจจะซื้อสินค้าของเราโดยอยากได้คนที่มีกำลังซื้อ  เราก็ค้นหาจากประวัติการศึกษาได้เพราะประวัติการศึกษาจะเกี่ยวข้องกับกำลังซื้อหรือรายได้  ถ้าเราจะหาลูกค้าที่จบมหาวิทยาลัยชั้นนำ  กลุ่มนี้ก็จะมีกำลังซื้อมากกว่าคนที่จบการศึกษาระดับมัธยม  หรือแม้แต่ประวัติการศึกษาจากเมืองนอกก็จะได้กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงมาก  สิ่งนี้ภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเฟสบุ๊คได้โดยตรง

ในส่วนข้อมูลประวัติการทำงาน  ก็ช่วยหาลูกค้ากระเป๋าหนักได้  บางคนใส่ข้อมูลการทำงานระดับสูง  คนเรามักจะใส่ประวัติการทำงานที่สวยหรูละเอียดยิบ  คนส่วนมากอยากใส่โพรไฟล์หน้าที่การงานที่ดี หรูหรา  ชอบที่จะเล่าเรื่องการเรียนจบแล้วเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก  ไปต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยท๊อปเท็นของอเมริกา  บางคนยังพยายามเล่าต่อด้วยว่ารับงานเป็น MD ให้บริษัทเอกชนอยู่เป็นปีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาเอก แถมยังมีบริษัทมาซื้อตัวไปเป็น ceo  เรียกว่าใส่ข้อมูลระเอียดยิบราวกับพระเอกหนังจากวอลสตรีท  นี่คือธรรมชาติของคนเล่นเฟสบุ๊คส่วนใหญ่  จึงทำให้เจ้าของสินค้า หรือนักการตลาด online สามารถใช้ประโยชน์จากโพรไฟล์ขั้นเทพเหล่านี้เพื่อคัดกรองหาลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าของเราได้

http://www.freepik.com

ช่องทางที่2 เก็บข้อมูลจากฟีดที่เราอ่าน  การเลื่อนหน้าจออ่านข้อมูลในเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ  เฟสบุ๊คก็เก็บข้อมูลการใช้งานของเราตลอดเวลา  เฟสบุ๊คไม่ได้เก็บข้อมูลแค่สิ่งที่เราอ่าน แต่เริ่มเก็บตั้งแต่วิธีที่เราไถฟีดเลื่อนหน้าจอเลย เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลอัตราความเร็วของนิ้วโป้งที่เลื่อนหน้าจอ  ความเร็วเฉลี่ยในการเลื่อน 1 หน้าจอของคนทั่วโลกอยู่ที่ประมาณหน้าละ 1 วินาที  และเมื่อเราเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงสิ่งที่เราสนใจ เราจะเลื่อนช้าลง  เฟสบุ๊คก็จะมีตัว ai มาจับพฤติกรรมของเราได้ และเก็บข้อมูลว่า เราเห็นข้อมูลอะไรแล้วทำให้เราไถหน้าจอช้าลง หรือ ข้อมูลอะไรทำให้เราหยุดไถหรือหยุดเพื่ออ่าน เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเราหยุดที่เนื้อหาแบบไหน   และหากเราหยุดนานแล้วเอานิ้วไปแตะเนื้อหาเพื่ออ่านละเอียดขึ้น  เฟสบุ๊คก็จะตรวจจับได้ว่าเราสนใจเรื่องนั้น  ระบบจะไปดูเนื้อหาในโพสท์นั้น  caption หรือ details ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ภาพอะไร วิดีโอเกี่ยวกับอะไร  เฟสบุ๊คจะบันทึกสิ่งนั้นเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่เราสนใจ  และถ้าเราอยู่กับโพสท์นั้นอย่างจริงจังมากขึ้นถึงกับไปกดไลค์  เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเรื่องนี้เราชอบมาก   และพอเราทำมากขึ้นไปอีกขั้นเราแสดงความชอบโดยการใส่คอมเม้นท์ เฟสบุ๊คก็จะเก็บข้อมูลว่าเราชอบมากเป็นพิเศษ  

บางโพสท์หากคนใช้งานยังไม่ว่างอ่าน บางคนใช้วิธีกดแชร์ แล้วใส่ tag เอาไว้ว่า “แปะ”   หรือ “เดี๋ยวมาอ่าน”  นั่นก็จะยิ่งทำให้เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบเรื่องนั้นในระดับซีเรียสสุดๆ  พฤติกรรมแบบนี้อยู่ในสายตาของเฟสบุ๊คทั้งหมด  การกดเข้าไปดูภาพ  ดูคลิปวิดีโอ ก็ทำให้เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลได้ลึกขึ้น และทำให้เฟสบุ๊คเริ่มทำการคาดเดาว่าเราน่าจะชอบเรื่องแนวนี้   เฟสบุ๊คก็จะไปหาเนื้อหา ทั้งภาพและคลิปที่คล้ายกันมาให้เราดู  และยิ่งเราตอบสนองต่อสิ่งที่เฟสบุ๊คหยิบยื่นให้  เฟสบุ๊คก็จะยิ่งมีข้อมูลที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

http://www.freepik.com

ช่องทางที่3 เก็บจากลิงค์ภายนอกที่เราไปกด   ถ้าในโพสท์ของเฟสบุ๊คมีเนื้อหาเว็บที่เป็นลิงค์สู่ภายนอก  เมื่อเรากด เราจะออกกระโดดออกจากเฟสบุ๊ค   เฟสบุ๊คจะคอยจดจำว่า เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรที่ทำให้เราออกจากเฟสบุ๊ค สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราสนใจมากเช่นกัน  ความสนใจแบบนี้ก็จะถูกบันทึกไว้  ตลอดเวลาที่เราใช้งานเฟสบุ๊ค  ระบบ ai ของเฟสบุ๊คจะเรียนรู้ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร กดอะไร อ่านอะไร ไปอ่านเรื่องของใครบ่อยๆ  แม้แต่การออกจากเฟสแล้วไปเล่นใน app อื่น หรือไปเล่นในเว็บอื่น  เฟสบุ๊คก็จะยังรู้ได้ว่าเราไปไหน  เพราะเฟสบุ๊คมีเครื่องมือที่ชื่อว่า pixel ที่เป็นชุดคำสั่งสำหรับการฝังไว้ในเว็บ โค้ดชุดนี้จะถูกสร้างจากการโฆษณาของเรา  เจ้าของเพจจะสามารถใส่ pixel ไว้ในเว็บได้  และชุดคำสั่งนี้จะส่งข้อมูลการใช้งานของผู้คนกลับมายังเฟสบุ๊ค  มันละเอียดถึงระดับที่ว่า ลูกค้าอยู่หน้าไหน ลูกค้าอยู่ในเว็บนานแค่ไหน  กำลังดูอะไรอยู่  ทุกอย่างจะถูกรายงานทันที  เจ้าของสินค้าจะรู้ว่ามีคนกำลังใช้เวลากับเว็บ  เราสามารถใช้เงื่อนไขพฤติกรรมนี้เพื่อส่งโฆษณาไปให้เขาได้เลย  พอเขาเปิดเฟสอีกครั้ง โฆษณานี้จะขึ้นในเครื่องเขาในหน้าแรกๆทันที

แล้วกรณีที่บริษัทเราไม่มีเว็บเป็นของตัวเอง เราก็ยังสามารถไปเปิดร้านในมาเก็ตเพลสอย่าง lazada หรือ shopeeได้  เมื่อเราเอาสินค้าไปวางขาย  ตัวระบบของมาเก็ตเพลสก็จะมีเครื่องมือที่จะรายงานว่า มีคนดูโปรดักส์ของเราอยู่กี่คน  เครื่องมือของเฟสบุ๊คนี้ถ้าติดตั้งในเว็บเรียกว่า facebook pixel ถ้าติดตั้งใน application จะเรียกว่า facebook SDK

เคยสังเกตุไหมว่าเมื่อเราดูเว็บagoda เพื่อดูห้องพักโรงแรม  พอเราออกจาก agoda แล้วไปเล่นเฟสบุ๊ค เราจะเห็นโฆษณาจาก agoda เข้ามาในเฟสบุ๊คของเราอีกรอบ  แทบจะทันที  มันเป็นการทำงานของระบบ pixel เวลาเราดูข้อมูลห้องพักโรงแรม แล้วเรายังไม่จอง เมื่อเราไปเล่นในเว็บอื่น หรือ กลับไปเล่นในเฟสบุ๊ค  เราจะไปเจอโฆษณาห้องพักนั้นในเฟสบุ๊ค  โฆษณาจะตามติดไปกับเราอีกพักใหญ่ๆจนกว่าเราจะซื้อ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้ว ระบบก็จะรับรู้และเตรียมโฆษณาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับเรา  อย่างเช่น เมื่อเราดูโฆษณาเคสโทรศัพท์มือถือ พอดูแล้วเลือกแต่ยังไม่ซื้อ  เราจะเห็นโฆษณาเคสโทรศัพท์เข้ามาในเฟสบุ๊คอย่างสม่ำเสมอ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้วระบบก็จะเปลี่ยนโฆษณาโดยอัตโนมัติ  เฟสบุ๊คอาจจะเอาสายชาร์จและเพาเวอร์แบงค์มาให้เราดูแทน  นั่นคือความฉลาดของระบบ ai  ซึ่งเว็บไซต์และ app หลายๆตัวก็มีความสามารถแบบนี้เป็นส่วนใหญ่  เราเรียกกระบวนการเปลี่ยนสินค้าที่โฆษณานี้ว่า cross selling หรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งจะมีอีกคำที่มาคู่กันคือ upselling หรือ ขายสินค้าในปริมาณที่มากขึ้นหรือความพยายามที่จะทำให้นักช็อปจ่ายเงินมากขึ้น

digital-airport-29nov2005f66

ช่องทางที่4 เก็บจาก location หรือ gps บนโทรศัพท์  ปกติที่เราพกโทรศัพท์ติดตัวไปตลอดเวลา  โทรศัพท์ก็จะบันทึกสถานที่ที่เราเดินทางไป เฟสบุ๊คจะรู้ตำแหน่งของเรา  ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของลูกค้าได้  เจ้าของร้านอาหารสามารถโฆษณาให้คนที่พักอาศัยหรือทำงานใกล้ร้านค้าได้เห็นโฆษณาเมนูอาหารได้  ร้านอาหารไม่ต้องใช้วิธีดั้งเดิมในการเดินแจกใบปลิว  ถ้าเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเราก็สามารถให้เฟสบุ๊คหาคนสนใจก๋วยเตี๋ยวในพื้นที่ ระยะทางไม่เกิน 3 กม. แล้วส่งโฆษณาเข้าไปที่มือถือของเขาได้เลย  ตัวเลข 3 กม.เป็นตัวเลขสวรรค์ ตัวเลขนี้มาจากผู้ให้บริการส่งอาหารแล้วพบว่าลูกค้าส่วนมากจะซื้ออาหารไม่เกิน 3.2 กม. ด้วยเหตุผลว่าค่าส่งจะถูก หรือ ยอมรับค่าส่งได้  ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร ก็ควรโฆษณาแล้วหาลูกค้าในระยะ 3 กม. ก่อน หากตอบสนองลูกค้าทัน สามารถรับลูกค้าเพิ่มได้ก็ค่อยเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นได้

ถ้าคุณเป็น โรงแรม หรือทำธุรกิจท่องเที่ยว  คุณก็สามารถใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าให้ได้เลย  อย่างเช่น ตอนที่เราเดินลงจากเครื่องบินในสนามบินเชียงใหม่  โฆษณารถเช่ารถรับจ้างก็จะเด้งเข้ามาในโทรศัพท์ทันที  เรื่องนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่สนามบิน  ผู้ให้บริการที่ใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าเช่ารถย่อมไม่พลาดวิธีนี้

เราพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเฟสเก็บข้อมูลจาก 4 แหล่งอย่างประสิทธิภาพ  มีความถูกต้องสูงมาก  และเมื่อนำข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดมาประมวลผลทำให้เฟสบุ๊คมีความสามารถในการพยากรณ์ว่าใครน่าจะเป็นลูกค้าเราโดยมีความแม่นยำมากถึง 85%   ความแม่นยำนี้ทำให้มีหลายคนถึงกับพูดว่า เฟสบุ๊ครู้จักตัวเรายิ่งกว่าตัวเราเองเสียอีก  ซึ่งทำให้ข้อสังเกตเรื่องการดักฟังกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเลย  เพราะเฟสบุ๊ครู้จักเราลึกมากจากแหล่งที่มาข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา

สำหรับธุรกิจ เฟสบุ๊คสามารถหาคนที่น่าจะสนใจสินค้าของเรามาให้ได้อย่างต่อเนื่อง  เรียกได้ว่าเฟสบุ๊คหา opportunity ให้กับเรา ในขณะเดียวกันสินค้าของเราก็ต้องมีความพร้อมที่จะปิดการขายด้วย  ฝ่ายขายของธุรกิจต้องมีความสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อด้วยถึงจะเกิดผลลัพธ์   แปลว่านอกจากความรู้เรื่องการยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว งานหลังบ้านอย่างทีมเซลส์ที่จะปิดการขาย ทีมเก็บเงิน ทีมส่งสินค้าก็ต้องพร้อมเช่นกัน  

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265
https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

IMG_0845