ขอบฟ้าเล่นกล้องถ่ายรูป
สุดท้ายได้ภาพนี้
ภาพของขอบฟ้าที่บันทึกเอาไว้ได้ในช่วงเวลาต่างกัน ภาพทางซ้ายคือช่วงเวลาประมาณปลายปี 2013 ซึ่งเป็นการถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำและได้สแกนเก็บไว้เป็นไฟล์ ส่วนทางซ้ายก็ถ่ายในช่วงเวลาเดือนเมษายน 2558 เป็นระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 17 เดือน
ภาพต้นฉบับของทั้งคู่คือภาพต่อไปนี้

ภาพขาวดำจากกล้อง nikon fm2n เลนส์ 50f1.8 ฟิล์ม lucky200 ล้างด้วย d76 สแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์ม jumbl ราคา 99ดอลล่าร์จาก amazon
ในตลาดกล้องถ่ายภาพระบบ mirrorless มีเจ้าตลาดชื่อ olympus มี fuji เป็นผู้ท้าชิงที่สู้กันได้สูสี มี sony ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน สามค่ายนี้ดูไม่ออกว่าใครจะเป็นหัวแถวในระยะยาว nikon ก็ออกระบบ nikon1 ตามมา แม้จะไม่โด่งดังแต่ก็มีจุดขายที่ทำให้อยากใช้ในเรื่องโฟกัสไวขั้นเทพ ถ่ายวิดีโอได้เนียนและถ่ายต่อเนื่องได้นานมากเอาไปทำหนังได้เลย ส่วน canon ออกมากับเขาเหมือนกัน ใช้ชื่อว่า eos m แต่กลับโดนบ่นจากผู้ใช้ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
ทุกคนจะบอกว่า eos m เป็นกล้องที่โฟกัสช้า ช้าจนน่ารำคาญ และทำให้พลาดช็อตสำคัญไปบ่อยๆ มันก็เป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ แต่ความผิดหวังมันเด่นชัดเพราะมันโดนตั้งความหวังไว้สูง ประมาณว่ากล้องที่ซื้อทีหลัง กล้องที่ออกมาทีหลังควรจะทำได้ดีกว่ากล้องรุ่นที่ออกมาก่อน ระบบ mirrorless ของค่าย canon ซึ่งเป็นค่ายสุดท้ายที่ออกมาเล่นตลาดนี้ก็น่าจะเบียดค่ายอื่นให้ซบเซาขายไม่ออกได้ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น พอ eos m ออกมา ค่ายอื่นเลยกลายเป็นเทพไปหมดเลย ต้องปรบมือให้ canon จริงๆ
หลายครั้งที่มีการพูดคุยกันในฟอรัมต่างๆ หรือในเฟสบุ๊ค การตอบคำถามเกี่ยวกับการโฟกัสของ eos m มักจะต้องอธิบายกันบ่อยๆ ผมในฐานะคนที่ใช้งานกล้องตัวนี้ก็ได้แต่ตอบว่า eos m เหมาะกับการถ่ายภาพอะไรก็ได้ที่ไม่มีขา ถ้ามีขาก็ห้ามเดิน มันเป็นคำตอบที่ผมใช้บ่อย และเลือกที่จะตอบแบบนี้เสมอ เพราะความไวในการโฟกัสของ eos m มันเป็นปัญหาจริงๆ มือใหม่ที่ซื้อกล้องตัวแรก ถ้ามาใช้ eos m เลย ผมคิดว่าคงเสียความรู้สึกไปพอสมควร เพราะกล้องตัวนี้ไม่ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น เพราะแม้แต่ iphone ยังโฟกัสไวกว่า เพราะแม้แต่กล้องโบราณตัวอื่นๆยังโฟกัสไวกว่า eos m ไม่เหมาะกับมือใหม่สักเท่าไหร่
สำหรับมืออาชีพหรือมือเก่าที่ถ่ายภาพมาเนิ่นนาน ถ้าจะหากล้องสำรองสำหรับการรับงาน ตัวนี้ก็ไม่เหมาะอยู่ดี เพราะมันใช้ถ่ายงานอีเว้นไม่ค่อยดี การโฟกัสช้าจะทำให้พลาดภาพสำคัญไปได้ ถ้าเป็นงานที่ต้องทำมาหากิน eos m ก็ไม่เหมาะเลย แล้วมันเหมาะกับใครกันบ้างล่ะ แล้วมันมีอะไรน่าสนใจถึงทำให้มีรีวิวนี้
ถ้าเราตัดเรื่องความสามารถในการโฟกัสออกไป ที่เหลือของ eos m มันคือกล้องที่ดีมากตัวหนึ่ง มันเปลี่่ยนวิธีพกและวิธีใช้กล้องไปอย่างสิ้นเชิง คุณภาพของภาพก็อยู่ในระดับหัวแถวของวงการ อาจจะแพ้กล้องเซ็นเซอร์ใหญ่แบบ full frame ไป แต่มันก็ให้ภาพที่ดีที่สุดในกลุ่มเซ็นเซอร์ aps-c ณ วันที่มันเปิดตัว
ในช่วงเวลารุ่งเรืองของฟิล์มถ่ายรูป การหัดถ่ายภาพของช่างภาพส่วนใหญ่จะต้องผ่านการใช้งานเลนส์ฟิกซ์มาสักตัว บางคนก็ใช้เลนส์ 50มม. บางคนก็ใช้เลนส์ช่วงอื่นๆซึ่งมีให้เลือกหลายช่วง ตั้งแต่ 24 28 35 50 85 105 135มม. ซึ่งเลนส์เดี่ยวสักตัวจะต้องเคยผ่านมือช่างภาพกำลังพัฒนาแน่นอน ผมเองก็มีเลนส์ตัวโปรดเป็นช่วง 35มม. โดยมีเลนส์ EF35f2 เป็นเลนส์ติดกล้องสมัยถ่ายด้วยฟิล์ม และยังใช้งานต่อเนื่องมาถึงยุคดิจิทัลด้วย บุคคลิกของเลนส์ 35 เป็นอย่างไรจะจำได้ขึ้นใจ ระยะการยืนห่างจากแบบหรือวัตถุเมื่อใช้เลนส์ 35มม.จะอยู่ในหัวโดยความเคยชิน เราสามารถใช้เลนส์ 35มม. ตัวเดียวถ่ายได้ทั้งทริป ซึ่งมันติดเป็นความชอบ และเมื่อเรามองหากล้องตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวสำรอง ตัวไหนก็ตาม เราก็จะหากล้องที่ใช้งานในช่วง 35มม. ได้สนุกไว้ก่อน
ก่อนจะมี eos m ผมก็ใช้ fuji x100 เป็นกล้องติดตัวอยู่เกือบสองปี ซื้อเพราะมันเป็นเลนส์ 23f2 ซึ่งอยู่กับเซ็นเซอร์ aps-c แล้ว มันก็จะเทียบเท่า 35มม. กล้องตัวนี้คุณภาพดีมาก แต่ขายออกไปเพราะว่ามันโฟกัสช้าและถ่ายภาพลูกกำลังคลานไม่ทัน ต่อมาก็ได้กล้อง nikon v1 มาใช้งาน กล้อง v1 โฟกัสเร็วมาก แก้ปัญหาการถ่ายภาพลูกได้เกือบหมด แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเราชอบภาพที่มีหลังเบลอเยอะๆหน่อย เซ็นเซอร์ nikon1 เล็กจนทำให้หลังเบลอลำบาก เรียกได้ว่าเลนส์เกรดธรรมดาที่แถมมากับกล้อง nikon v1 ไม่สามารถให้ภาพหน้าชัดหลังเบลอได้เท่าที่ต้องการ
eos m เปิดตัวออกมาพร้อมเลนส์ 2 ตัว คือ 22f2 และ 18-55stm การใช้ 18-55stm บนบอดี้ eos m ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหนือความคาดหมาย กล้อง DSLR ก่อนหน้านี้ก็ให้เลนส์ Kit ช่วง 18-55mm เช่นกัน คุณภาพก็พอใช้ได้ เป็นเลนส์ที่คนส่วนใหญ่จะวางไว้เฉยๆหรือขายทิ้งแล้วไปหาเลนส์เกรดสูงกว่านี้มาใช้แทน แต่กับ Eos m ไม่มีเลนส์เกรดสูงกว่านี้ เพราะระบบนี้เพิ่งเกิด ยังไม่มีเลนส์เกรดสูงช่วงซูมเดียวกันให้เลือกใช้ ก็เลยต้องทนใช้ไป
แต่กับเลนส์ 22f2 stm เป็นคนละเรื่องเลย เลนส์ฟิกซ์ยังคงเป็นเลนส์ที่มีคุณภาพดีมากแม้จะเป็นการผลิตแบบราคาถูก ช่วง 22mm บนกล้อง eos m เซ็นเซอร์ aps-c เทียบเท่ากับ fullframe ที่ระยะ 35mm เท่ากับเรามีเลนส์ 35f2 ใช้นั่นเอง ซึ่งเป็นระยะเลนส์ที่นิยมมากโดยเฉพาะคนที่ต้องการพกเลนส์ตัวเดียวแล้วถ่ายมันทุกอย่างที่ผ่านตาเข้ามา เป็นเลนส์ที่นักถ่ายภาพแนว street มักจะใช้ กล้องรุ่นยอดนิยมอย่าง Fuji x100 ก็ให้เลนส์ติดกล้องมาเทียบเท่ากับ 35f2 บน fullframe เช่นเดียวกัน
การใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างระดับ f2 ทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะมันถ่ายภาพได้เกือบทุกสภาพแสง ยิ่งมีระบบปรับ iso ได้อัตโนมัติที่ขึ้นสูงได้ถึง 6400 หรือ 12500 ยิ่งทำให้กล้องสามารถใช้งานได้แทบจะตลอดเวลาตราบใดที่เรามองเห็นกล้องก็ถ่ายติด ถึงแม้จะมืดมากจนมองลำบาก กล้อง eos m ก็มีไฟช่วยโฟกัสเป็นแสงนำที่ใช้ led เปิดไฟส่องให้เลย เป็นไฟช่วยโฟกัสที่ติดอยู่บนบอดี้ ไม่ได้เป็นระบบยิงแฟลชเพื่อช่วยโฟกัส เพราะ eos m ไม่มีแฟลชในตัวนั่นเอง ซึ่งเลนส์ 22f2 กับบอดี้ eos m สามารถหาซื้อได้ในราคาต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท หรือซื้อเซ็ทใหญ่ก็ได้ในราคาหมื่นกลางๆเท่านั้น ราคาระดับนี้มันน่าใช้ขึ้นมาทันที

eos m + 22f2 stm + flash ex-90

eos m + 18-55is stm – wireless flash ex90 with 580exII

eos m + 18-55is stm – wireless flash ex90 with 580exII
การที่ eos m ไม่มีแฟลชในตัวทำให้มันต้องออกแฟลชแยกขนาดเล็กออกมาในชุดด้วย แฟลชตัวเล็กที่ว่านี้ชื่อรุ่น ex-90 ใช้ถ่านขนาด AAA จำนวน 2 ก้อน ดูขนาดภายนอกจะเล็กมาก พวงกุญแจของคนเราทุกคนยังอาจจะใหญ่กว่าแฟลชตัวนี้ก็ได้ แต่ความเล็กกลับไม่ธรรมดา ex-90 เป็นแฟลชไฮเทคและความสามารถสูง เพราะมันมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสารไร้สายกับแฟลชตัวอื่นในระบบของ canon โดยมันสามารถทำตัวเป็น master ควบคุมการยิงแฟลชไร้สายได้ ถ้าเราจะเล่นแฟลชไร้สายของ canon แต่เดิมเราจะต้องมีแฟลชตัวท๊อปกับตัวรองท๊อปของค่ายนี้อย่างละหนึ่งตัวเพื่อให้ตัวท๊อปเป็นตัว master และตัวรองท๊อปหรือตัวท๊อปอีกตัวเป็น slave รับคำสั่ง ซึ่งการเล่นแฟลชไร้สายค่าย canon มีค่าใช้จ่ายเกินสองหมื่นบาทแน่นอน หรือหากเราอยากจะใช้ตัวส่งสัญญาณแฟลชโดยเฉพาะอย่าง ST-E2 ที่ทำตัวเป็น master อย่างเดียว ตัวนี้ก็เกือบหมื่นบาท แต่ eos m แถมแฟลชตัวเล็ก ex-90 ที่ทำหน้าที่เป็น master ได้
eos m มี adaptor ที่เอาไว้ใช้แปลงเลนส์ ef และ efs มาใช้กับ eos m ออกมาด้วย นั่นทำให้เลนส์ตัวเก่าที่มีอยู่สามารถใช้กับ eos m ได้ทุกตัว และสามารถใช้งานได้เต็มระบบด้วย และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ระบบ eos m มีเลนส์ในระบบน้อย เพราะว่าสามารถใช้เลนส์ ef และ efs ได้นั่นเอง

eos m + 22f2 stm + touchshutter
หน้าจอด้านหลังเป็นแบบ touchscreen สามารถสั่งการและปรับค่าต่างๆได้จากการสัมผัส สามารถดูภาพและเอานิ้วเลื่อนได้เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป ความไวในการเปลี่ยนภาพไม่เร็วมากแบบไอโฟนตัวล่าสุด แต่ก็ถือว่าไม่ช้าน่ารำคาญ และด้วยหน้าจอสัมผัสทำให้คำสั่งการลั่นชัตเตอร์สามารถเลือกได้ว่าจะลั่นจากการแตะหน้าจอด้วย หรือ touchershutter ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากกับการใช้งานส่วนใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเราจะวานให้คนอื่นช่วยถ่ายภาพ เราก็แค่บอกคนถ่ายว่า ให้แตะที่หน้าคนกล้องก็จะถ่าย ผมให้ลูกอายุสองขวบช่วยกดถ่ายภาพ ก็ได้ภาพชัดที่หน้าได้อย่างง่ายดาย
eos m สามารถถ่ายวิดีโอได้ระดับ full HD คุณภาพวิดีโออยู่ในระดับที่ดีมาก แต่ปัญหาการโฟกัสผิดพลาดจะทำให้วิดีโอนั้นเสียไปได้ง่ายๆเช่นกัน ถ้าตั้งค่าเลนส์ให้เป็นแมน่วลโฟกัสไปเลยได้จะดีที่สุด หรือใช้เลนส์มือหมุนไปเลยจะได้ไม่หงุดหงิดใจ
แบตเตอรี่ที่ให้มาขนาดค่อนข้างเล็ก คงเป็นเพราะบอดี้ขนาดเล็กเลยต้องทำให้แบตเล็กไปด้วย การท่องเที่ยวด้วยกล้อง eos m ควรจะมีแบตติดไปสัก 3 ก้อน เพราะกล้องระบบ mirrorless จะใช้พลังงานเยอะกับการแสดงผลหน้าจอ และมันเปิดหน้าจอตลอดเวลาด้วยทำให้แบตหมดเร็ว การถือกล้องเดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆน่าจะทำได้ไม่เกินสองชั่วโมงหากเราไม่ปิดกล้องเลย ผมเคยเอากล้องไปถ่ายภาพอีเว้น ใช้ได้ประมาณ 120 ภาพแบบไม่ถ่ายคร่อมไม่ถ่ายเผื่อเสียเลยแบตก็หมดแล้ว แบตสำรองก้อนที่สองและสามจึงเป็นทางเลือกที่ควรเตรียมไว้ เสียดายที่ eos m ไม่มีแบตเตอรี่แพ็คหรือกริ๊ปในระบบของตัวเอง
โหมดการโพรเซสภาพหลังการถ่ายก็เป็นลูกเล่นที่มีมาให้ในกล้อง เราสามารถเลือกสไตล์ภาพก่อนที่จะถ่ายได้เพื่อให้ได้ภาพที่มีบุคลิคแปลกตาตามรูปแบบที่มีให้เลือกสำเร็จรูป หรือเราจะถ่ายด้วยภาพปกติแล้วค่อยมาเลือกโพรเซสภาพตามสไตล์เหล่านี้ก็ได้ กล้องจะเซพภาพใหม่ที่ผ่านการประมวลผลแล้วให้เป็นไฟล์ใหม่ไม่ทับไฟล์เดิม ลูกเล่นเหล่านี้มาตามสมัยนิยม กล้องในปัจจุบันแทบทุกตัวจะมีความสามารถตรงนี้แล้วเช่นกัน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเมื่อพก eos m แทนกล้องตัวใหญ่ก็คือ มันมีขนาดเล็ก สามารถใส่กล้องและเลนส์พร้อมแฟลชลงไปในกระเป๋าย่ามได้อย่างสบายๆ ทำให้การยกกล้องมาถ่ายในสถานการณ์ต่างๆเป็นเรื่องง่ายดาย การพก eos m ติดเลนส์ 22f2 ครอบคลุมการใช้งานส่วนใหญ่ของผม และ มันให้คุณภาพระดับกล้องโปรเลยทีเดียว ภาพที่ออกจากเลนส์ 22f2 เป็นภาพที่มีคุณภาพ มีระยะชัดตื้นเมื่อเปิด f กว้างสุดกำลังดี ต่อให้เปลี่ยนไปใช้กล้องโปรอย่าง eos 6d ก็ใช่ว่าจะได้คุณภาพภาพและไฟล์ที่ดีกว่านี้ ขนาดที่เล็กมันทำให้เราหยิบใช้ได้บ่อยขึ้น การท่องเที่ยวด้วย eos m เป็นคำตอบที่ดีมากสำหรับคนที่ไม่ต้องการน้ำหนักเยอะ และที่สำคัญสามารถไหว้วานให้คนอื่นช่วยถ่ายภาพให้ได้ ช่างภาพมีโอกาสได้มีภาพตัวเองบ้างโดยที่คนถ่ายก็สามารถโฟกัสภาพได้ชัด ขอเพียงแค่คนถ่ายมีตาและนิ้ว
























เปรียบเทียบค่าการเปิดรูรับแสง f 1.8 เทียบกับ f8 เพื่อให้ดูว่าฉากหลังที่เปลี่ยนไปตามค่า f ค่า f น้อยๆจะเป็นช่วงที่ให้ภาพชัดตื้น จุดที่โฟกัสจะมีระยะชัดไม่มาก ฉากหลังที่ถอยห่างออกไปจะเบลอมาก ส่วนค่า f มากๆอย่าง f8 ก็เป็นค่าที่ให้ระยะชัดมากขึ้น ฉากหลังก็จะชัดมากขึ้น
ภาพจาก f 1.8
ภาพจาก f 8
ถ่ายด้วยกล้อง eos 6d
เลนส์ canon ef 85 f1.8
บังเอิญว่ามีอุปกรณ์ canon อยู่หลายชิ้น และมีสองชิ้นที่สเป็คเดียวกัน แต่ออกมาให้ใช้กับคนละบอดี้ คือ ef-s 18-55is MkII ที่ได้มาตั้งแต่ช่วงปี 2007 ซึ่งเป็นช่วงที่ยังใช้กล้อง Dslr รุ่น eos350 อยู่ และ อีกตัวเป็นเลนส์ efm 18-55stm ที่ออกมาเป็นเลนส์ Kit ของกล้อง eos-m ซึ่งเป็น mirrorless ตัวแรกของ canon
สิ่งที่เป็นสมมุตฐานในใจก็คือ เลนส์รุ่นใหม่ๆจะคมชัดกว่าเลนส์รุ่นเก่า เป็นสิ่งที่สังเกตุมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โอกาสทดสอบแบบสเป็คเดียวกันเสียที การทดสอบก็จะใช้กล้อง eos-m เป็นตัวรับภาพหลัก เปลี่ยนเลนส์สองตัวเข้าไปแล้วถ่ายทุกค่า F มาเปรียบเทียบกับ เลนส์ stm จะต่อตรงเข้ากับกล้อง ส่วน 18-55is จะต่อผ่าน adaptor ef to efm ก่อน ภาพที่ถ่ายเป็นกระดาษชาร์จสี เมื่อถ่ายแล้วเอาด้านบนซ้ายของภาพมาเปรียบเทียบกัน เพื่อวัดคุณภาพของขอบภาพของเลนส์แต่ละตัว เหตุที่ไม่เอากลางภาพมาคิดเพราะเลนส์ส่วนใหญ่จะดีที่กลางภาพอยู่แล้ว เอาที่ขอบภาพซึ่งเป็นของยากมาเทียบกันเลยจะเห็นผลแตกต่างมากที่สุด
กล้อง eos-m ตั้งค่าดังนี้ iso400 whitebalance เป็น Daylight ใช้โหมด Av เก็บภาพเป็น jpg ภาพทดสอบถ่ายไปหลายสิบภาพ ดูไปดูมาก็เร่ิมงง ก็ขอเอาภาพตัดสินมาวางเทียบเลยดังนี้

ภาพบนเป็นของ efm 18-55stm ช่วงซูมที่ 18 ค่า f8 ให้ความคมชัดสูงสุด กว่าค่า f อื่นๆ

ภาพล่างเป็นภาพของ ef-s 18-55is MkII ช่วงซูมที่ 18mm ค่า f8 ซึ่งให้ความคมชัดสูงสุดเช่นกัน
จากสองภาพก็จะเห็นได้ว่า efm18-55 ชัดกว่า efs18-55is อย่างชัดเจน เป็นไปตามสมมุติฐานว่าเลนส์รุ่นใหม่ สเป็คเดิม จะคุณภาพสูงกว่าเลนส์รุ่นเก่า
สิ่งที่จะทดสอบต่อไปก็คือ เลนส์ฟิกซ์ เทียบกับเลนส์ L ไว้ทำเสร็จจะมาโพสท์อีกทีครับ
ผมใช้เครื่อง macbook air มาประมาณ 1 สัปดาห์ เป็นการใช้งานที่รู้สึกดี เพราะมันเร็วถูกใจ ความเร็วจากการเปิดเครื่องปิดเครื่อง เปลี่ยนโปรแกรมทำได้ดีโดนใจ มันเป็นจุดเด่นจากการที่ใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบ SSD และความดีความชอบจากระบบบัสที่เร็ว สิ่งที่จะเป็นจุดอ่อนของ macbook air ที่ใช้ความเร็วซีพียูแค่ 1.4Ghz ก็คือการประมวลผลหนักๆ เพราะการประมวลผลจะใช้ความสามารถของซีพียูเป็นหลัก ผมก็เลยลองให้มันประมวลผลภาพสักชุดหนึ่ง
ผมเตรียมไฟล์ภาพชนิด Raw ถ่ายด้วยกล้อง eos 5d ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แล้วทำการแปลงไฟล์ raw ให้เป็น jpg ด้วยโปรแกรม digital photo professional หรือ dpp รุ่น 3.8 ของ canon โดยผมจะทำการสั่งให้แปลงไฟล์จำนวน 10 ไฟล์แล้วดูเวลาที่มันสร้างไฟล์ JPG ออกมา ว่าภายในเวลา 1 นาที macbook air 1.4Ghz หน้าจอ 11 นิ้วตัวนี้ทำได้กี่ไฟล์ ผลลัพธ์เป็นไปตามภาพ นั่นคือ ในเวลา 1 นาทีมันสามารถทำได้ 5 ภาพ
สรุปว่าความสามารถการแปลงไฟล์เป็นสัดส่วนตามความเร็วของซีพียู core2duo รุ่นอื่นๆ เพราะเครื่อง mac mini ความเร็ว 2.0Ghz ผมสามารถแปลงไฟล์ได้ประมาณ 7 ภาพต่อนาที และ macbook pro ความเร็ว 2.2Ghz ผมทำได้ประมาณ 9 ภาพต่อนาที
ผมนึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมา เพราะว่าชีวิตผมเริ่มต้องทำงานแบบโปรเฟสชั่นนัลเสียที ในสมัยที่ยังหาเงินได้ไม่เยอะ จะซื้อจะหาอะไรมาเล่นหรือใช้งาน ก็มักจะหาของถูก ของลดราคา หรือแม้แต่ของตกรุ่นมาใช้ ผลก็คือผมมีของใช้งานจริงตามที่ตั้งใจ แต่ก็แลกมากับข้อจำกัดบางอย่างที่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าพ่อเป็นนักการเมืองผมก็คงจะเลือกใช้ของที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจเรื่องตัวเงิน แต่ว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เงินที่มีอยู่จำกัด เลยต้องใช้แบบจำกัด เลยต้องพยายามใช้ของถูกเข้าไว้ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตในวันที่ผ่านมา เพราะผมใช้ของเหล่านั้นเพื่อความเพลิดเพลิน แต่ระยะหลังงานอดิเรกหลายอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นรายรับได้ เลยทำให้เริ่มอยากทำอะไรมากขึ้น เริ่มไปถึงข้อจำกัด และสุดท้ายอยากก้าวให้พ้นข้อจำกัดของถูก หรือ ของที่ยังไม่โปรเฟสชันนัลเสียที
เครื่องเล่นเพลงต่างๆที่ผมเคยใช้มา สมัยเด็กๆ ผมใช้เครื่องเล่นซีดีที่ราคาต่ำที่สุดในท้องตลาด เครื่องขยายเสียงหรือแอมป์ก็รุ่นเล็ก แค่ได้ใช้งานแผ่นซีดีเพลงก็รู้สึกยอดเยี่ยมแล้ว รู้ว่ามีของราคาแพงกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า แต่ผมก็พอใจกับเครื่องเล่นซีดีที่ผมพยายามเก็บเงินซื้อ และทนใช้จนเรียนจบ วันที่ผมเริ่มเที่ยวเล่นไปตระเวณฟัง ไปดูการทำงานในห้องบันทึกเสียง ผมก็เริ่มจะเข้าใจว่าเสียงที่ดีกว่าเครื่องเล่นซีดีถูกๆของผมนั้นเป็นอย่างไร ผมฟังออกรับรู้ทุกอย่าง แต่ก็ทำใจบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ขนาดนั้น ทำไมเครื่องเล่นซีดีในห้องบันทึกเสียงถึงต้องแพงเหยียบแสน เครื่องเล่นซีดีของนักทดสอบเครื่องเสียงหลายๆคนราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่แตกต่างก็คือมันให้เสียงที่ดีกว่า ตอบสนองย่านความถี่กว้างกว่า ให้เสียงที่ชัดกว่า ผมถามตัวเองว่าแล้วมันมีประโยชน์กับเราไหม ผมมีคำตอบให้ตัวเองว่า เราฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่ได้ฟังเพื่อวิจารณ์ทดสอบ เราไม่ต้องใช้ขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผมจะต้องวิจารณ์เครื่อง หรือวิจารณ์เพลง ผมก็คงจะเลือกซื้อเครื่องแพงๆเหล่านั้นเอาไว้ใช้เป็น “เครื่องมือ” สำหรับทำงาน โชคดีที่วันนี้ผมยังไม่ต้องวิจารณ์เครื่องเสียง
กล้องถ่ายรูปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด ผมหัดถ่ายภาพด้วยกล้องราคาประหยัด ฟังค์ชั่นพอใช้ได้ และเลือกใช้เลนส์อเนกประสงค์ คุณภาพเป็นอย่างไรช่างมัน เอาซูมช่วงกว้างเยอะๆเข้าไว้ จะถ่ายอะไรก็สามารถเลือกซูมภาพได้ตามใจ ผมเลือกใช้เลนส์ช่วงซูม 28-200 ยี่ห้อแทมรอน เป็นเลนส์ที่ผมเรียนรู้หลักการถ่ายภาพและเที่ยวเล่นไปพร้อมๆกัน มันทำงานให้ผมได้ตรงตามความต้องการ คือจะถ่ายมุมกว้างก็ได้ ถ่ายซูมใกล้ๆก็ได้ สิ่งที่ผมรู้ในวันนั้นก็คือ ไม่เห็นจะต้องใช้ของแพงเลย เลนส์ที่แพงกว่าผมห้าเท่า แต่ซูมแคบกว่ามากๆ ไม่เห็นจำเป็นเลย สองปีผ่านไปเลนส์อเนกประสงค์ของผมก็เริ่มมีอาการรวน และสุดท้ายมันเสียหายไม่สามารถใช้การได้ มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่จะมีของเสียหาย รวมไปถึงกล้องถ่ายภาพที่เริ่มรวนบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเพราะผมใช้งานมันอย่างหนัก ปีแรกเอาไว้หัดถ่าย ปีที่สองเป็นต้นมาผมเริ่มรับจ้างถ่ายภาพ
สองปีผ่านไปกล้องกลับเลนส์ทำงานหนักมาก จนในที่สุดก็เสีย และมันดันเสียวันที่ผมกำลังรับจ้างทำงาน นาทีนั้นถ้าเสกได้ ผมจะเสกกล้องกับเลนส์รุ่นท๊อปมาใช้เลย โดยเหตุผลประการเดียวคือความทนทาน ซึ่งมันหมายถึงผมไว้ใจมันได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นว่ามันสามารถอยู่กับผมจนงานจบ นั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจช่างภาพอาชีพที่เขาใช้ของระดับโปร ราคาสูงกว่าผม กล้องของเขาไว้ใจได้ว่าทนกว่ากล้องระดับสมัครเล่น เลนส์ของเขาแต่ละคนมีอายุไม่น้อย บางคนห้าปี บางคนสิบปี แต่ผมกลับต้องทิ้งเลนส์ตัวเองในปีที่สามเท่านั้น ผมต้องซื้อกล้องตัวใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว ซื้อเลนส์ตัวใหม่อีกหนึ่งตัว ซึ่งผมดันคิดงกกับตัวเองคือไม่ยอมซื้อเลนส์แพงๆเกรดดีมาใช้ อีกปีต่อมาผมก็ต้องทิ้งเลนส์แล้วซื้อตัวใหม่อีกเหมือนเดิม แบบนี้เขาเรียกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย
ในที่สุดวันหนึ่งที่ผมต้องซื้อเลนส์อีกครั้ง ผมเลือกซื้อเลนส์เกรดโปรราคาแพงที่สุดที่ผมเอื้อมถึง แล้วมันก็ทำงานให้ผมได้อย่างยอดเยี่ยม คุณภาพดีกว่าเลนส์ราคาถูกอย่างไม่ต้องเทียบ ภาพสวยจากเลนส์แพงๆมันเป็นอย่างไรผมก็ได้สัมผัส และสิ่งที่ตามมามากกว่านั้นคือมันไว้ใจได้ มันทนมาก หยิบออกมาใช้งานผมไม่เคยต้องกังวลว่ามันจะมีปัญหาอะไร สามปีผ่านไปมันยังทำงานได้เหมือนวันแรก ไม่มีอาการโทรมให้เห็นเลย เป็นกรณีตัวอย่างที่ดีสำหรับผม ทำให้ผมมั่นใจว่าคิดไม่ผิด
ในงานถ่ายภาพ นอกจากเลนส์ก็มี แฟรชอีกตัวหนึ่งที่เข้าข่ายเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเหมือนกัน ผมเริ่มต้นด้วยของถูก ถูกมากๆ แล้วมันก็เสียบ้าง ไม่สามารถใช้งานได้ในบางสถานการณ์บ้าง คุณภาพที่ได้จากแฟรชก็ไม่ดีเท่าของเกรดโปร ลูกเล่นและความสามารถพิเศษที่สามารถเนรมิตภาพได้ทันจินตนาการก็ต่ำตามงบประมาณ ผมใช้ของถูกหลายตัว เพราะมันทำบางอย่างไม่ได้ เลยต้องมีหลายตัว สุดท้ายผมซื้อของถูกรวมๆกันใช้เงินแพงกว่าซื้อของดีแค่ตัวเดียว วันดีคืนดี แฟรชที่ใช้งานอยู่เกิดเสีย ตัวอื่นๆที่มีอยู่ก็ไม่มีฟังค์ชั่นที่ผมต้องการใช้ หมายความว่าผมไม่มีแฟรชสำรองให้ใช้เลย วันนั้นผมต้องถ่ายรูปงานรับปริญญาของลูกค้าคนหนึ่ง ผมคงจะไม่หงุดหงิดสักเท่าไรถ้าลูกค้าคนนั้นไม่ใช่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้เขาจะเป็นคนธรรมดา แต่ในใจผมก็อยากจะมีผลงานที่ผมถ่ายคนดังเก็บไว้ แฟรชเสียขณะกำลังจะถึงเวลานัดพบ ผมต้องอาศัยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนให้ไปซื้อแฟรชตัวใหม่ให้ทันที แล้วรีบเอามาให้ผมให้เร็วที่สุด และแน่นอนที่สุด ผมให้เพื่อนช่วยซื้อรุ่นท๊อปมาให้ ของถูกอยู่กับผมสองปี เสียหนึ่งครั้ง ของแพงอยู่กับผมปีที่สี่แล้ว ยังไม่เสียเลย มันเป็นเรื่องที่อดคิดไม่ได้ว่าของเกรดโปร ดีกว่าจริงๆ