nec05 – คนที่จะพาเราไปสู่เป้าหมาย

IMG_0191

การจะค้นหาใครสักคนที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจได้ เราจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน  เป้าหมายของเรา หรือของธุรกิจเราคืออะไร  หากเราไม่มีข้อนี้ จงหยุดทำทุกอย่างแล้วนั่งคิด นั่งไตร่ตรอง อยู่กับตัวเองจนได้คำตอบ 


ระวังอย่าได้คิดว่าเราจะพิชิตเป้าหมายด้วยตัวคนเดียว  เพราะในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำทุกอย่างเอง  แม้แต่นักกีฬาที่เก่งที่สุดก็ไม่ได้ลุยไปคนเดียว  คนประสบความสำเร็จจะแวดล้อมไปด้วยผู้ช่วย


เมื่อได้เป้าหมายแล้ว จงวางแผนการทำงาน  คำถามต่อมาคือเราจะต้องพบใคร ใครจะพาเราไปสู่เป้าหมายได้ และจงตรวจสอบเป้าหมายทุกเดือนว่า เรากำลังทำสิ่งที่จะไปสู่เป้าหมายอยู่หรือเปล่า 

เมื่อมีเป้าหมายแล้ว  เรามีงานต้องทำ 2 อย่างคือ
1 หาคนที่ใช่ (คนที่จะพาเราไปสู่เป้าหมาย)
2 สร้างความสัมพันธ์กับเขาในระดับที่ลึกเพียงพอ


และเพื่อให้ง่ายสำหรับคนที่ยังมึนงงอยู่  ลองมองหาสิ่งต่อไปนี้ในการประชุม

5 อาชีพที่ทำงานให้ลูกค้าผู้เป็นเป้าหมายของเรา
2 business goals คิดให้ออก
2 คนที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่ 1 และ 
2 คนที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่ 2

BNI คืออะไร

BNI คือองค์กรที่เป็นที่รวมกลุ่มของนักธุรกิจเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน นักธุรกิจแต่ละคนจะเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มแล้วทุกคนจะช่วยกันหาลูกค้าให้เพื่อนสมาชิกด้วยกัน เราหาให้เพื่อน เพื่อนหาให้เรา เปรียบไปก็เหมือนเรามีเซลส์ช่วยขายเท่ากับจำนวนสมาชิกในกลุ่มของเรา และอาจจะมีเซลส์มากขึ้นหากเราติดต่อกับเพื่อนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งสมาชิกในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 1933 คน สมาชิกทั่วโลกมีอยู่ 227,000 คน (ข้อมูลปี คศ.2019)

ลองไปอ่านข้อมูลของ BNI กลาง http://www.bni.com/
ส่วน BNI ประเทศไทยก็ที่นี่ http://bnithailand.com/en-TH/index

BNI มาจากอเมริกา เข้ามาในไทยเมื่อปี คศ 2006 โดยคุณ Mr. Kollakit Thalerngnawachart ในไทยมีกลุ่มของ BNI อยู่หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีจำนวนสมาชิกไม่เท่ากัน บางกลุ่มขนาดใหญ่มีคนเยอะ บางกลุ่มขนาดเล็กเพราะคนยังไม่มาก กลุ่ม Heritage เป็นกลุ่มแรกที่เกิดขึ้นพร้อมกับ BNI ประเทศไทย

IMG_7312

กิจกรรมในกลุ่มมีมากมาย แต่วัตถุประสงค์หลักก็คือการรวมตัวกันทำธุรกิจ ต่างคนต่างช่วยเพื่อนทำธุรกิจ แนะนำลูกค้าให้เพื่อน สมาชิกในกลุ่มจะมีธุรกิจไม่ซ้ำกัน ลูกค้าของแต่ละคน อาจจะใช้สินค้าและบริการจากหลายแหล่ง การส่งต่อลูกค้าของเราให้ไปซื้อสินค้าและบริการอื่นๆที่เราไม่ได้ทำจากเพื่อนในกลุ่มเป็นการช่วยเพื่อนทำธุรกิจ เราส่งลูกค้าเราให้เพื่อน เพื่อนส่งลูกค้าให้เรา เรากับเพื่อนไม่ได้แย่งกันขายของเพราะธุรกิจคนละอย่างกัน ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกัน เรากับเพื่อนได้ธุรกิจ ลูกค้าของเราได้สินค้าและบริการที่หลากหลาย

2018-09-25 12.48.31 1

สมาชิกในกลุ่มจะประชุมร่วมกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง กลุ่ม heritage จะประชุมวันอังคาร 7.00 น. ในการประชุมจะมีการแจ้งข่าวสาร และให้สมาชิกพรีเซ้นธุรกิจของตัวเอง 1 นาที ผู้ที่เข้าประชุมจะประกอบไปด้วยสมาชิก และ Visitor ซึ่ง visitor จะเป็นคนที่สนใจอยากมาเข้าร่วมเพื่อเป็นสมาชิก หรือ มาเพื่อช็อปปิ้งสินค้าและบริการจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งผู้เป็น Visitor ก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะพูดเพื่อขายของหรือพรีเซ้นธุรกิจของตนเองเช่นกัน ผมเองก็เป็นสมาชิกในกลุ่ม Heritage เข้ามาในกลุ่มด้วยธุรกิจโรงพิมพ์

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะพอเข้าใจภาพรวมของกลุ่มธุรกิจ BNI ว่ามีที่มาที่ไปและทำอะไรกัน หากท่านอยากใช้สินค้าและบริการในกลุ่ม Heritage ก็ลองติดต่อสมาชิกในกลุ่มดูสักคน หากท่านอยากช็อปปิ้งแบบมาครั้งเดียว เจอซัพพลายเออร์เต็มไปหมดเลย ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา ก็ขอเชิญมาเป็น Visitor ในการประชุมประจำสัปดาห์ ครับ แต่ว่า เราจะประชุมกันตอนเช้า 7.00 น. วันอังคาร เช้ามาก ตื่นลำบาก แต่มันมีข้อดีคือ เราประชุมเสร็จ เราแยกย้ายกลับไปทำงาน ไปดูแลบริษัทตัวเองต่อได้ครับ ไม่เสียงาน

ติดต่อทีมงานของผม ฝากชื่อและอีเมลไว้ได้ครับ

Go back

Your message has been sent

Warning
Warning
Warning
Warning

Warning.

nec96 – สร้าง creditability ให้สูงที่สุด

IMG_7312

การตลาดแบบบอกต่อทรงพลังมาก  ผู้คนจำนวนมากเชื่อถือสิ่งที่ถูกบอกต่อมากกว่าสิ่งที่เห็นในใบโฆษณา  และที่มันยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ ต้นทุนที่เราจ่ายในการทำการตลาดแบบบอกต่อ มันถูก มันย่อมเยากว่าการโฆษณามหาศาล 

สิ่งหนึ่งที่เป็นสัจจธรรมก็คือ ไม่มีอะไรฟรี  และ ไม่มีของถูก  การจ่ายเงินน้อยลงกับไปกับการตลาดแบบบอกต่อ  มันไม่ได้น้อยในด้านตัวเงินด้านเดียว  แต่เราจ่ายในรูปแบบอื่นทดแทนเข้าไป นั่นคือเราเอาเวลาและความพยายามจ่ายแทนเงิน  และมันก็หมายความว่า นอกจากเงินค่าประชุมค่าสมาชิกแล้ว ต้องใช้เวลาและความพยายามจากเราด้วย แล้วมันเป็นยังไง เวลาและความพยายาม

การใช้เวลาก็คือการไปประชุม ไปวางแผน ไปแนะนำตัว การวางแผนที่จะทำให้เราเป็นที่รู้จักในการประชุมทุกแห่ง ในกลุ่ม networking ทุกกลุ่ม และในการทำ 1-2-1ด้วย   และ เมื่อมีโอกาสทำงาน เราจะใช้ตัวที่สองก็คือความพยายามในการทำงานนั่นเอง  

IMG_0088

การทำงานแล้วช่วยสร้างความน่าเชื่อถือที่สูงที่สุด  ก็คือการทำงานด้วยมาตรฐานสูงที่สุดเสมอและสูงที่สุดตลอดเวลา  เช่นการนัดหมายต้องตรงต่อเวลา  นัดส่งของก็ส่งของได้ตรงเวลา  ผลิตของก็มีคุณภาพเท่ากับที่รับปากไว้  วัตถุดิบหรือบุคลากรที่ใช้กับงานก็มีคุณภาพสูงเสมอในทุกขั้นตอน

สองปัจจัยนี้ครับ เวลา และ ความพยายาม  ที่จะช่วยสร้าง creditability ให้สูงลิบ สูงที่สุด สูงจนผู้คนจดจำและนึกถึงเราเมื่อต้องการสินค้าและบริการที่เราทำ

nec95 – การเพิ่ม Visibility ด้วยการทำตัวเป็นเจ้าภาพ

Bod heritage

การทำให้เกิด visibility หรือการมีตัวตนของท่านแบบตรงไปตรงมาก็คือการแนะนำตัว การแจกนามบัตร ซึ่งเป็นวิธีปกติทั่วไปที่จะต้องทำกันอยู่บ่อยๆ  นอกจากวิธีทางตรงเหล่านี้แล้ว ยังมีวิธีทางอ้อมอื่นๆที่ทำให้ท่านถูกมองเห็นและจดจำได้  และที่สำคัญ มันสร้างความประทับใจได้มากกว่าการแจกนามบัตรเสียด้วย


ลองนึกภาพถึงตอนที่คุณมาร่วมงานประชุมทางธุรกิจ หรืองานสังสรรค์ทางธุรกิจสักงานหนึ่ง  คุณมาร่วมงาน  แขกคนอื่นมาร่วมงาน  เขาไม่รู้จักคุณ  คุณก็ไม่รู้จักแขก  ไม่มีอะไรเชื่อมโยงคุณกับแขกเลย  มากที่สุดอาจจะเป็นการยัดเยียดนามบัตร ซึ่งเราก็รู้อยู่แก่ใจว่า ยัดเยียดนามบัตรไม่เกิดประโยชน์

แขกที่มาร่วมงานจะยังงงๆ  ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าใครจะมางานบ้าง  ไม่รู้ว่ากำหนดการเป็นอย่างไร  ต้องทำอะไรก่อน หลัง  และส่วนมากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับคนอื่นๆอย่างไร  จะดีไหมถ้ามีใครสักคนมาอาสาทำตัวเหมือนเป็นเจ้าภาพ  มาชวนแขกคุย  มาแนะนำว่างานจะดำเนินอย่างไร  ใครจะมาบ้าง  มีใครที่คุณอยากคุยด้วยไหม  ของกินอยู่ด้านไหน  ห้องน้ำอยู่ทางไหน แขกสามารถนั่งโซนไหนได้  คนที่จะทำเช่นนี้ หากคุณเป็นคนทำเอง  แขกจะประทับใจและจดจำคุณได้  นั่นคือ visibility จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

สิ่งที่เราน่าจะลองทำในบทเจ้าภาพก็คือ  มาถึงงานก่อนเวลา  จดจำกำหนดการสำคัญในงาน  ดูรายชื่อแขกว่าจะมีใครมาบ้าง  เพื่อดูว่าเราอยากพบกับใครเป็นพิเศษ  จำแผนผังที่นั่ง  ห้องน้ำอยู่ทางไหน ของกินอยู่ทางไหน  เราจะแนะนำแขกเพื่อให้แขกรู้สึกสบาย และอบอุ่น  และจะทำให้แขกจำท่านได้  จำอาชีพของท่านได้

การเล่นบทเจ้าภาพที่รู้งาน  เป็นคุณสมบัติเบื่องต้นของคนมีคอนเน็คชั่นเยอะ   visibility ของท่านจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสายตาของผู้คนในงาน  โดยเฉพาะแขกที่ท่านมุ่งหวังอยากรู้จักเป็นพิเศษ

nec14 – การออกจากการสนทนา

nec14 - how to leave conversation 9oct2018-p4

ทุกการสนทนาของคนเราจะต้องมีวันจบ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่เราพูดคุยกับผู้อื่นในวง networking อยู่ สิ่งที่เราควรทำก็คือ หาให้เจอว่ามีใครสักคนที่เราควรทำความรู้จักให้มากขึ้น เพื่อลงรายละเอียด พัฒนาความสัมพันธ์ เมื่อหาเจอแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ ตัดบท จบการสนทนาให้เร็ว และจัดแจงนัดหมายในวันอื่นๆ เพื่อขอคุยกันอีกครั้ง แล้วเราจะตัดจบอย่างไรไม่ให้เสียบรรยากาศ ไม่ให้เสียความรู้สึก

ถ้าเขาเป็น A list เป็นคนที่คาดว่าจะช่วยเหลือทางธุรกิจต่อกันได้ อย่าทำแค่แลกนามบัตรแล้วบอกว่าจะโทรหา สิ่งที่เราควรทำก็คือ แสดงเจตนาว่าเราขอพบเขาในเวลาหลังจากนี้ เพื่อที่จะพูดคุยในรายละเอียด แล้วให้เราจดโน้ตต่อหน้าเขาเลยว่าเราขอจองเวลาของเขา มีปฏิทินก็หยิบมาเขียน มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเบล็ตก็หยิบมาคีย์ข้อมูลทันที ถ้าคู่สนทนาของเราเห็นด้วยว่าควรจะคุยรายละเอียดกันเพื่อพัฒนาธุรกิจซึ่งกันและกัน เขาจะยินยอมให้นัดหมายอย่างแน่นอน

ถ้าเขาเป็น B list เป็นคนที่น่าสนใจ และน่าจะมีอะไรบ้างอย่างเชื่อมโยงกันได้ในอนาคต ให้แลกนามบัตรกันแล้ว แล้วขอบคุณและขอตัวแยกออกไปคุยกับคนอื่นต่อ โดยเราสามารถจะติดต่อภายหลังด้วยการส่งข้อความ ส่งอีเมล หรือไลน์ ไปทักทายในภายหลัง

ถ้าเขาเป็น C list อย่าเสียเวลาคุยนานเกินไป ให้ขอบคุณและขอตัวอย่างสุภาพ อาจจะรู้สึกว่ามันห้วนและสั้นไปหน่อย แต่ไม่ต้องคิดมาก วิธีนี้สุภาพเพียงพอแล้วสำหรับการจบบทสนทนา

nec29- การค้นหาจุดเด่นของตัวเอง

2018-09-25 12.48.31 1

การค้นหาจุดเด่นของตัวเอง
ในการแนะนำตัว หรือการพูดคุยเพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการของเรานั้น  สิ่งที่เราควรจะนำเสนอต่อลูกค้าก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าที่เรากำลังคุยด้วย  มันก็คือการคุยที่เน้นเรื่องประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อใช้บริการเรา  แต่ถ้าเรานึกถึงข้อดีไม่ออก  ไม่สามารถบอกจุดเด่นของเราที่ลูกค้าต้องการได้  เรามีวิธีค้นหาข้อดีเหล่านั้นเพื่อใช้พูดกับว่าที่ลูกค้าคนต่อไปเรามีข้อดีอะไร  เรามีจุดเด่นอะไร  ถ้าเรียบเรียงคำพูดไม่ได้  ให้ลองวิธีนี้คือ  ให้นึกถึงลูกค้าคนที่แล้ว หรือลูกค้าที่เราจบงานมาแล้ว หรือลูกค้าคนที่เราชอบ แล้วลองเล่ารายละเอียดหรือเขียนออกมา สองข้อดังต่อไปนี้

1  ลูกค้าคนนี้ ก่อนมาเจอเรา ลูกค้าเจอปัญหาหรือสถานการณ์อะไร

2  เราแก้ปัญหาอย่างไรให้ลูกค้า  และทำให้ลูกค้าพอใจหรือทำงานต่อได้

การที่เราหาคำตอบสำหรับคำถามนี้เอาไว้  คำตอบเหล่านี้จะเป็นตัวแม่เหล็กที่จะทำให้ว่าที่ลูกค้าเห็นความสำคัญในสินค้าหรือบริการของเรา  มันเป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยให้เราหาข้อดีของเราหรือ benefit ที่ลูกค้าจะได้รับ  เป็นเรื่องจริงที่เราลงมือทำและแก้ปัญหาให้ลูกค้าไปแล้ว

 

nec01 – อย่าลืมเหตุผลที่เราพบกัน

อย่าลืมเหตุผลที่เราพบกัน

 การทำเน็ตเวิร์คกิ้งที่ดีเป็นอย่างไร  สิ่งที่จะต้องจำให้ขึ้นใจและไม่ลืมก็คือ เราต้องมาประชุมด้วยทัศนคติที่ดี  หรือเราต้องเป็นคนคิดบวก และ คิดถึงการให้ความช่วยเหลือเพื่อนเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นประเด็นสำคัญ

การคิดบวกมีความหมายครอบคลุมหลายอย่าง  สิ่งหนึ่งที่เราควรจะทำตัว “คิดบวก” ก็คือ ไม่บ่นในสิ่งที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของการประชุม หรือ  ลองสังเกตดูนะครับ สมมุตเราไปโรงแรมแห่งหนึ่งที่จัดสัมมนา เรากำลังไปเน็ตเวิร์คกิ้ง  เราเคยได้ยินไหมว่า โรงแรมนี้อาหารไม่อร่อย  ซึ่งจริงๆแล้ว เรามาทำอะไรครับ  เรามาทำธุรกิจนี่คือประเด็นหลัก เราไม่ได้มาเพื่อกินอาหาร  ประเด็นอาหารเป็นเรื่องรอง

หรือ เราเคยได้ยินหรือเป็นผู้บ่นเองไหมว่า ห้องประชุมไม่สวย ลำโพงเสียงไม่ดี ที่จอดรถแย่  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงประเด็นรองครับ  ประเด็นหลักคือ เรามาประชุม เพื่อสร้างลูกค้าในอนาคต  เรากำลังเพาะบ่ม เรามาเพื่อออกแบบ referral และออกแบบว่าที่ลูกค้า  นั่นคือเรากำลังมาเน็ตเวิร์คกิ้ง

ข้อเสียเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่ประเด็นที่เราควรจะใช้เวลากับมัน สิ่งที่ควรทำก็คือการโฟกัสกับการประชุม การทำให้การประชุมเป็นการประชุมที่มีคุณภาพ สามารถสร้างธุรกิจต่อเนื่องได้ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นหัวใจ

อย่าลืมเหตุผลที่เราพบกัน


nec94 – การเรียก referral จากคนเพิ่งพบกัน

 
การเรียก referral จากคนเพิ่งพบกันเป็นเรื่องที่มีคนอยากรู้ เราจะมาวิเคราะห์ถึงขั้นตอนการให้ referral ว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สมมุติว่า เรากำลังบรรยายเกี่ยวกับอาชีพของเรา ความสามารถของเรา ผลิตภัณฑ์ของเรา อะไรก็ตามที่อยู่ในการพรีเซ้นท์ของเรา ซึ่งในกลุ่มของเราก็คือการพรีเซ้น 5 นาที และมีคนฟังอยู่ในห้องนี้เต็มห้อง สมมุติว่าเราบรรยายได้ดี ฟังรู้เรื่อง มีคนสนใจ นั่นแปลว่า เรากำลังทำให้ตัวเองมีโอกาสรับ referral จากคนในห้อง เพราะว่า การพรีเซ้นที่ดีหรือการพูดที่ดีเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เรามี visibility สูงขึ้น และ ช่วยเพิ่ม creditability ให้สูงขึ้นไปพร้อมกัน  สองอย่างนี้ทำให้เราดูน่าเชื่อถือ  และคนฟังในห้องก็จะมีความรู้สึกว่าเราน่าสนใจ น่าจะให้ referral กับคนเราได้
 
 
เหตุการ์ณคล้ายๆกัน หากเราเพิ่งจะพูดสนทนากับใครสักคน และสิ่งที่พูดคุยกันเป็นประโยชน์ทางธุรกิจในทางใดทางหนึ่งสำหรับทุกคนในวงสนทนา  นั่นหมายความว่า เราเพิ่ม visibility ให้ตัวเอง และ เพิ่ม creditability ไปพร้อมกัน  เท่ากับว่าเราทำให้ตัวเองมีความพร้อมที่จะรับ referral แล้ว เพราะเรามี visibilityและ creditability ที่สูงขึ้น และคู่สนทนาของเราก็กำลังไว้ใจเรา เนื่องจากเขาฟังจนจบและฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นว่าที่ลูกค้าโดยตรง หรือ เป็นพาร์ทเนอร์ก็ตาม หากเขาเป็นลูกค้าโดยตรงได้ เราก็มีโอกาสได้ referral   หากเขาเป็นพาร์ทเนอร์ เราก็มีโอกาสได้รับการแนะนำเพื่อนของเขาให้กับเรา การอยู่ในเหตุการณ์สนทนาร่วมกัน หรือบรรยายร่วมห้องกันนี้ คือการมีจุดร่วมบางอย่างร่วมกัน พอเขาและเรามีบางอย่างเชื่อมกันแล้ว โอกาสที่จะแบ่งกันลูกค้าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลาจากนี้ไป
แต่การให้ referralจะไม่เกิดขึ้นทันทีในวินาทีนี้   มันจะเกิดขึ้นในการพูดคุยกันอีกรอบหนึ่งที่ลึกขึ้นหลังจากนี้สัก 2-3 วัน  นั่นหมายความว่าให้เราติดตามผลด้วยการนัดไปทำ 1-2-1 กับเขา การพบปะกันรอบที่ 2 ที่พูดคุยสนทนากันลึกขึ้น เป็นโอกาสที่จะได้แบ่งปันซึ่งกันและกัน และการพบกันรอบสองนี่เองที่จะมีโอกาสเกิด referral ได้สูงที่สุด
 
 
 
 
 
 

nec93 – Visibility Creditability and not

688971275-1024x1024

ในการทำการตลาดแบบบอกต่อ เราจะมีคำที่คุ้นเคย 3 คำ ซึ่งคำนี้เป็นองค์ความรู้ของ bni โดยเฉพาะ นั่นคือ คำว่า vcp  หรือ เรียกรวมๆว่า VCP Process   ซึ่ง V คือ Visibility   C คือ creditability   P คือ Profitability  ความสัมพันธ์ของ 3 ตัวนี้เขียนเป็นสมการเท่ห์ๆได้ว่า Visibility + Creditability = Profitability

ในทางปฏิบัติ  ขั้นตอนการทำ VCP นี้ เป็นขั้นตอนของการทำให้เกิด referral  โดยไม่ใช่ขั้นตอนการขาย หรือ sale process  ก็คือมันยังไม่เป็นธุรกิจหรือยังไม่เกิดผลลัพธ์   สมมุตว่า ตอนที่เพื่อนในห้องยังไม่ได้ให้ referral กับเรา  นั่นก็คือเรากำลังอยู่ที่ระดับ creditability ยังไม่ก้าวข้ามไปถึงฝั่ง Profitability

หลายคนก็ประสบกับเหตุการณ์ว่า เราอยู่ในกลุ่ม networking มาพักใหญ่ๆแล้ว แต่ทำไมยังไม่มีผลลัพธ์ แม้ว่าเราจะพยายามพัฒนา V และ C ให้สูงเต็มที่แล้ว เรากลับพบว่าสมการที่เราเจอคือ

Visibility + Creditability ไม่เท่ากับ Profitablity

เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว สมการที่ 2 นี่แหละที่เป็นจริงในกลุ่มของเรา    คือเราไม่สามารถไปถึงฝั่ง Profitability โดยอัตโนมัติ มันเป็นเพราะอะไร

ตัวแปรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่โผล่มาให้เราเห็นในตอนนี้จะเป็นตัวสำคัญที่พาเราข้ามฝั่งไป  แต่ก่อนที่เราจะไปถึงตัวแปรนั้น  ขอให้เราได้อยู่กับวิธีการ เพิ่ม visibility และ creditability กันจนสูงเต็มที่เสียก่อน  nec จะค่อยๆเพิ่ม สองตัวนี้ให้กับท่านไปทีละสัปดาห์  สัก 8 ครั้ง เราน่าจะพร้อมที่จะข้ามฝั่งแล้ว

nec23 – ความลับของการทำ networking ให้เกิดผลลัพธ์

จากประสบการณ์ 20 ปีของการทำการตลาดแบบบอกต่อของ bni  มีการค้นพบวิธีที่จะทำให้เราได้ธุรกิจจากการบอกต่ออย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งวิธีการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความลับพิเศษแต่อย่างใด

วิธีการนี้คือ  เราจะต้องใช้เวลากับการ networking ให้มากเพียงพอ  และการ networking นี้ จะต้องทำให้ถูกคนด้วย จากสถิติของ bni ได้ข้อสรุปว่า ผลลัพธ์ทางธุรกิจแปรผันตรงกับเวลาที่เราใช้ทำ networking  นั่นคือยิ่ง networking มาก ยิ่งได้ผลลัพธ์มาก

NetworkingSecretGraph

 

และจากสถิติที่รวบรวมไว้เมื่อทำเป็นกราฟออกมาก็จะเป็นไปตามภาพ ยิ่ง networking มาก ก็ยิ่งเกิดผลลัพธ์มาก  ดูลงไปในรายละเอียดของสถิติ เราจะพบว่า หากเราต้องการผลลัพธ์ที่มากขึ้น 50% เราควรใช้เวลาประมาณ 5-9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  ซึ่งตัวเลขนี้เป็นการรวบรวมของ bni  และค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์ 50% เกิดจากการใช้เวลาทำ networking 6.5 ชั่วโมง  ส่วนผลลัพธ์ 70% จะต้องใช้เวลา 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อ networking อย่างถูกต้อง

แล้วเราจะใช้เวลาของเราไปทำ networking กี่ชั่วโมงดีเพื่อธุรกิจของเราเอง

 

nec18-vcp-visibility

IMG_7357

การทำธุรกิจด้วยแนวคิดของ referral marketing ต้องอาศัยการบอกต่อ การแนะนำลูกค้าต่อเนื่อง
ความสำเร็จของคนที่ได้รับการแนะนำอย่างสม่ำเสมอ จะถูกอธิบายด้วยศัพท์ง่ายๆ 3 คำ คือ

Visibility คือการแสดงตัวตน การมีตัวตน ทำให้คนอื่นรู้ว่ามีเรา มีธุรกิจของเรา

Creditability คือ ความน่าเชื่อถือ  การรับรู้ว่าคุณมีคุณภาพ สินค้าของเราดี

Profitability คือการทำให้เกิดธุรกิจ

พวกเราส่วนใหญ่เคยฟังเรื่องราวของแต่ละคำมาบ้างแล้ว  เราขอทบทวนในบางข้อนั่นคือ Visibility

Visibility จะถูกสร้างขึ้นได้ด้วยการ ปรากฏตัวอย่างสม่ำเสมอ  ก็คือ การมาประชุมตรงเวลา  ไม่ขาดประชุม  ลองนึกดูว่า ถ้าเราจะเดินไปซื้อโทรศัพท์สักเครื่องหนึ่งที่ร้าน  เราจะเข้าร้านไหน   ร้านที่เปิดทุกวัน ไปเมื่อไหร่ก็เห็นว่าเปิดขายอยู่  กับ อีกร้านหนึ่งที่ไปเจอปิดร้านบ่อยมาก ปิดกันง่ายๆโดยไม่ต้องมีเทศกาล  เราอยากจะซื้อโทรศัพท์กับใคร?

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

การมาประชุมก็เหมือนการเปิดร้าน  เราต้องแสดงความน่าเชื่อถือของตัวเราเองด้วยการ มาประชุมอย่างต่อเนื่อง  คนที่ตั้งท่าจะส่งงานให้ คนที่ตั้งท่าจะส่งลูกค้าให้เขาจะได้กล้าส่ง เพราะรู้ว่าเรามีคุณภาพ  เราตรงต่อเวลา เรารักษาสัญญา สัญญาว่าจะมาประชุมอย่างต่อเนื่อง

การมี Visibility อย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้าง Creditability  ความน่าเชื่อถือที่มากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้คนในกลุ่มกล้าจะแนะนำงานให้ Visibility และ Creditability มีเรื่องราวและเทคนิคน่ารู้อยู่จำนวนมาก เราควรใช้เวลากับการทำความเข้าใจจะทำให้เราได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เราคาดหวัง

nec17 – referal source ep5

referral source มีอยู่ 8 ช่องทาง ที่ผ่านมาเราคุยกันไป 5 ช่องทางครับคือ

1 คนใน contact sphere

2 ลูกค้าเก่า

3  คนที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจเรา  เช่น ซัพพลายเออร์

4 คนที่เราไปอุดหนุน เช่น ช่างตัดผม ร้านอาหาร ฟิตเนส ร้านกาแฟ

5 คือ ลูกน้องในอ๊อฟฟิศ

IMG_0172

ช่องทางที่ 6 คนที่จะให้ referral แก่เราก็คือ  คนที่เราให้ referral กับเขานั่นเอง  เป็นเรื่องปกติมากๆในโลกธุรกิจ เราช่วยใคร เขาก็อยากจะช่วยเรากลับคืน  เพราะทุกคนมีพื้นฐานของการเป็นคนดี  เราสามารถเริ่มต้นที่จะรับ referral ได้โดยการเริ่มต้นให้ครับ  เราอยากได้จากใคร กาหัวไว้เลย แล้วจัดการ 1-2-1  ปกติ ใน powerteam เราจะมีลูกค้าคล้ายๆกัน ลูกค้าของทีมจะอุดหนุนบริษัทในทีมหลายๆอย่างอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้าของเพื่อน มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของเรา  สิ่งที่เราควรทำก็คือ เอาลูกค้าชั้นดีของเรามาส่งให้เพื่อน  แล้วเดี๋ยวเพื่อนก็จะส่งลูกค้าชั้นดีให้เรา   สรุปว่า ช่องทางที่6 เราจะได้รับ  referral จากคนที่เราเคยให้ referral ครับ

7 ช่องทางที่ 7  เราน่าจะได้ referral จากคนที่เคยให้ referral  ใครเคยให้เรา เขาจะให้เราซ้ำ  ตราบใดที่เรายังเป็นคนที่มีคุณภาพดีดังเดิม  ดีดังเดิมนั้นหมายถึงอะไรบ้าง  พบหน้าบ่อยเหมือนเดิม (attendant)  มี referral ให้เพื่อนเหมือนเดิม(ref)  1-2-1 บ่อยๆเหมือนเดิม thankyou และให้ testimonial สม่ำเสมอเหมือนเดิม นั่นก็คือเป็น good member นั่นเอง