ทดสอบ macbook air 11นิ้ว

macbook air เป็นโน้ตบุ๊คของ apple ที่ออกมาหลายปีแล้ว ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่มีหน้าตาดูดีและรูปร่างที่เพรียวบางที่สุดในโลกรุ่นหนึ่ง ในครั้งแรกออกมาราคาแพงลิบริ่ว แต่ก็มีเทคโนโลยีที่ดีตามมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็นตัวถังแบบอะลูมิเนียมขึ้นรูปชิ้นเดียวทำให้มีความแข็งแรง การออกแบบที่แบนบางทำให้สามารถพกพาได้สะดวก การไม่มีช่องใส่ซีดีทำให้มีซอร์ฟแวร์แชร์ไดร์ฟซีดีจากเครื่องอื่นๆมายังเครื่อง macbook air ได้ โลกของอินเทอเน็ตแบบไร้สายเป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าเดิม

วันดีคืนดี macbook air กลับกลายมาเป็นโน้ตบุ๊คที่ราคาถูกที่สุดที่ apple เคยผลิตออกมา และขณะเดียวกันก็เป็นโน้ตบุ๊คที่มีน้ำหนักเบาที่สุดอีกต่างหาก โน้ตบุ๊คตัวเก่าของผมเป็น macbook pro จอ 15 นิ้ว เป็นโน้ตบุ๊คที่ตั้งใจซื้อมาเพื่อการทำงานโดยเฉพาะ และมันก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ มันทำได้ทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งควรจะทำได้ แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยขนาดตัวที่ใหญ่พอสมควร กระเป๋าโน้ตบุ๊คใบเก่าๆของผมหลายใบใช้กับ macbook pro ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาผมใช้โน้ตบุ๊คตัวเล็กมาตลอด เลยต้องหากระเป๋าใบใหม่ ใบที่ใหญ่พอจะใส่โน้ตบุ๊ค 15 นิ้วได้ ผลก็คือ กระเป๋าใหญ่และหนักมาก

ผมชอบโน้ตบุ๊คตัวเล็กมากกว่าตัวใหญ่ แต่โน้ตบุ๊คตัวเล็กๆอื่นๆที่เคยซื้อก็มีคุณภาพที่น้อยไปหน่อย บางตัวก็เล็กเกินไป บางตัวก็ช้าเหลือเกิน บางตัวก็ทั้งช้าและเล็ก เลยได้แต่รอว่า macbook air ลดราคาเมื่อไหร่จะได้ซื้อมาใช้แทนตัวเก่า

แล้วมันก็เป็นจริง macbook air หน้าจอ 11 นิ้ว มันเปิดตัวเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้ว และเมื่อวานนี้มันก็วางขายในประเทศไทย และวันนี้มันก็มาตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงานผมแล้วด้วยค่าตัว 34900 บาท

หน้าจอ 1366×768 พิกเซล ขนาดกว้าง 11.6 นิ้ว ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊คจอเล็ก แต่ก็ไม่เล็กเกินไป มันยังให้ความละเอียดที่เพียงพอต่อการทำงาน ดีกว่าเน็ตบุ๊คราคาหมื่นกว่าบาทที่หน้าจอให้มาเพียง 1024×600 พิกเซล อย่าง acer one ที่ผมเคยอยากได้ แต่พอซื้อมือสองมาลองแล้วถึงจะรู้ว่าเน็ตบุ๊คมันช้าเกินไปสำหรับการทำงานในปัจจุบัน

macbook air รุ่น 11.6 นิ้วตัวนี้ใช้ซีพียู intel core2duo ความเร็ว 1.4Ghz ดูเหมือนจะน้อยไปเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบันที่ความเร็วซีพียูวิ่งกันอยู่ที่ระดับ 2-3GHz กันแล้ว แต่ก็มีการทดลองเปรียบเทียบในต่างประเทศแล้ว และพบว่า macbook air ไม่ได้ช้าไปกว่าตัวอื่นๆเลย ตัวเลขซีพียูไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสามารถทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ มันมีอย่างอื่นอีกที่ทำให้ macbook air มีความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือการเลือกใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบโซลิทสเตท หรือไม่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบแม่เหล็กอีกแล้ว เพราะความเร็วของโซลิทสเตทมันเร็วกว่าแม่เหล็กอยู่หลายเท่า แถมยังประหยัดพลังงานกว่าอีกด้วย ระยะเวลาที่ใช้งานได้ของ macbook air รุ่น 11 นิ้วนี้ อยู่ในระหว่าง 5-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานเพียงพอ

การเชื่อมต่อที่มีให้ จะมีช่องต่อจอภาพใช้ขั้วต่อแบบ mini display port ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ apple ช่องต่อ usb 2 ช่อง ซึ่งดูเหมือนจะน้อยไปหน่อย และช่องเสียบสายหูฟังเท่านั้น ไม่มี card reader และไม่มีช่องเสียบไมโครโฟน คีย์บอร์ดที่ให้มามีขนาดใหญ่โตเป็นปกติ ทำให้การวางมือเพื่อเตรียมพิมพ์ข้อความเป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถพิมพ์ตัวหนังสือได้สะดวก เพียงแต่รู้สึกว่า ปุ่มกดต่างๆมันมีระยะจมตัวค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตัวถังโน้ตบุ๊คมันบางมาก ทำให้ปุ่มกดมีระยะยุบตัวน้อยตามไปด้วย แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะปรับตัวไม่กี่นาทีก็สามารถพิมพ์ข้อความเร็วๆและยาวๆเหมือนรีวิวนี้ได้

สิ่งที่ประทับใจทันทีก็คือระยะเวลาเปิดเครื่องทำได้ภายใน 15 วินาทีเท่านั้น แตกต่างจากเครื่องตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊คตัวเก่าที่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบแม่เหล็กอย่างไม่เห็นฝุ่น เดี๋ยวนี้ผมเล่นอินเทอเน็ตผ่านตัวต่อสัญญาณแบบ 3g ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาประเภทหนึ่ง มันมีหน้าตาคล้ายโทรศัพท์ มันมีปุ่มกดเพื่อเปิดเครื่อง กดเพื่อรับสัญญาณไวเลสแลน และกดปุ่มเพื่อต่อสัญญาณกับเครือข่ายโทรศัพท์ 3g ซึ่งไอ้เจ้าตัวต่อสัญญาณตัวนี้ หรือ เรียกย่อๆว่า mifi มันเปิดตัวเองและเข้าสู่โหมดพร้อมทำงาน ใช้เวลานานกว่า macbookair เสียอีก ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์อื่นมันช้า แต่เป็นเพราะ macbook air มันเร็วมาก

ใช้เล่นเน็ตไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองชั่วโมง ความเร็วของ macbook air ไม่ตกเลย การเปิดอ่านข้อมูลในอินเทอเน็ตหลายๆหน้าต่าง สลับแต่ละหน้าไปมา อ่านแล้วคลิก อ่านแล้วคลิกไปเรื่อยๆ มันราบลื่น ไม่หน่วง เวลาเปิดโปรแกรมต่างๆใช้เวลาโหลดน้อยลง พอโหลดเสร็จแล้วการเปลี่ยนโปรแกรมไปมาระหว่างสองถึงสามโปรแกรมทำได้เร็วมาก เร็วกว่าการทำงานในอดีตที่ผ่านมาทั้งชีวิตเลย ความดีความชอบครั้งนี้เป็นเพราะการใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบโซลิทสเตท ซึ่งมันคงเป็นอนาคตที่ทุกอุปกรณ์ทุกเครื่องมือจะต้องเข้าไปสู่ระบบเดียวกัน

การไม่มีฮาร์ดดิสก์แบบจานแม่เหล็ก ทำให้ไม่ต้องมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ทำให้ไม่เปลืองพลังงาน ลดการสึกหรอ อายุการใช้งานจะยาวนานยิ่งกว่าเดิม และชั่วโมงการทำงานด้วยแบตเตอรี่ก็จะนานขึ้น ความร้อนที่เกิดจาก macbook air ค่อนข้างน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เพราะ macbook pro ตัวเก่าของผมมันร้อนมากจนไม่อยากจับเลย การอุ้มโน้ตบุ๊คทำงานบนตักเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะมันร้อนจนน่าจะเอาไปรีดผ้าได้ แต่กับ macbook air ตัวใหม่นี้ เอามือจับที่ใต้เครื่องตอนที่ใช้งานไปสองชั่วโมง มันแค่อุ่นๆ

น้ำหนักตัว 1.06 กิโลกรัม เวลาหยิบขึ้นมาใช้งานนับว่าเป็นความรู้สึกที่ดี เพราะมันเบา ทำให้ไม่รู้สึกเกี่ยงที่จะหยิบมาเปิดดูข้อมูลต่างๆ คือลดความรู้สึกลำบากลงไปได้เยอะ สิ่งที่น่าชื่นชมอีกประการหนึ่งก็คือ เวลาเอาโน้ตบุ๊ควางบนโต๊ะ เราสามารถมือเพียงข้างเดียวยกฝาเพื่อกางหน้าจอขึ้น ความหนืดของบานพับฝืดกำลังพอดี ไม่ได้ฝืดแน่นจนยกฝาแล้วคีย์บอร์ดด้านล่างก็ติดขึ้นมาด้วย เพราะโน้ตบุ๊คเกือบทุกตัวที่เคยใช้มา ต้องใช้สองมือเพื่อกางหน้าจอทั้งสิ้น คือมือนึงจับฝา มือนึงจับฐาน แล้วก็กางให้มันแยกกัน macbook air มันออกแบบบานพับได้ดี ดีมาตั้งแต่รุ่นแรกเสียด้วยซ้ำ

หลังจากได้มาสองวัน ก็ทะยอยลงโปรแกรมเพื่อทำงาน แล้วก็ทดสอบเปิดไฟล์อาร์ตเวิร์คต่างๆ ปกติ เวลาลูกค้าส่งไฟล์อาร์ตเวิร์คมาให้พิมพ์ ก็ต้องเปิดมาตรวจสอบ ปรับขนาด แล้วก็ save ออกไปเป็น pdf เพื่อเอาไฟล์ pdf ไปทำดิจิทัลปรู๊ฟ ผมลองกับงานตัวเดิมของลูกค้ารายหนึ่ง ผมเคยต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที สำหรับการเปิด ตั้งขนาด และ save ใหม่อีกครั้ง แต่บน macbook air ตัว 11 นิ้วนี้ ผมใช้เวลาประมาณ 1 นาทีก็ทำเสร็จแล้ว ถือว่าเป็นความเร็วที่น่าทึ่งมาก มันตอกย้ำชัดเจนว่า ความเร็วของหน่วยประมวลผล หรือ ซีพียู ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความเร็วของทั้งระบบ ทุกอย่างต้องมีความเร็วที่สอดคล้องกันมันถึงจะพาให้ทั้งระบบเร็วขึ้นได้ แปลเป็นภาษาชาวบ้านอีกทีก็ต้องบอกว่า ทีมเวิร์คที่ดี ทำให้ผลงานดี ความเร็วของเมนบอร์ด แรม ตัวเก็บข้อมูล ยิ่งเร็วทันกัน ระบบโดยรวมก็ยิ่งเร็วตามกันไป

การเตรียมเครื่องเพื่อใช้กับงานสิ่งพิมพ์และภาพถ่ายจะต้องมีการคาลิเบรตจอภาพด้วย ผมมีเครื่องมือสำหรับคาลิเบรตอยู่ มันคือ X-rite รุ่น i1 ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สิ่งที่พบก็คือผมไม่สามารถแขวนอุปกรณ์ตัวนี้บนหน้าจอ macbook air 11 นิ้วได้ เพราะจอมันเล็ก ความสูงของจอไม่เพียงพอ สุดท้ายก็เลยต้องวางนอน ปล่อยให้ macbook air นอนอ้าซ่าแบบในภาพเพื่อทำการคาลิเบลต ผลการคาลิเบลตก็ผ่านไปได้ด้วยดี ภาพก่อนทำ และหลังทำมีความแตกต่างกัน ภาพที่มากับตัวเครื่องจะมีความดำมากกว่าเล็กน้อย ส่วนภาพที่ผ่านการคาลิเบรตแล้วจะลดความดำลง คือเปิดให้เห็นรายละเอียดในส่วน shadow หรือ เงามืดได้มากขึ้น แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบเป็นหน่วยการรับแสง f-stop ผมคิดว่ามันเหมือนภาพสว่างขึ้นประมาณ 1/3 stop

สรุปสั้นสำหรับการทดสอบ macbook air หน้าจอ 11 นิ้วตัวนี้
มันสอบผ่านในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน เพราะมันทำงานหลายๆอย่างได้เร็วขึ้น
มันสอบผ่านในเรื่องของความเบา เพราะมันเบาเกือบจะที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คหน้าจอ 11 นิ้วตัวอื่น
มันสอบผ่านเรื่องความสวยงาม
มันสอบผ่านเรื่องราคา เพราะมันเป็นโน้ตบุ๊คของ apple ที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
มันสอบผ่านเรื่องแบตเตอรี่ เพราะมันทำงานไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ยิ่งรุ่นที่เป็นจอ 13 นิ้ว จะให้แบตมากกว่านี้อีก

โน้ตบุ๊คเสียอีกแล้ว คราวนี้เขาว่าเป็นที่ฮาร์ดดิสก์

โน้ตบุ๊คของ apple รุ่น macbook pro ความเร็ว 2.2GHz เป็นโน้ตบุ๊คประจำตัว ใช้งานมาแล้วสองปี ห้าเดือน ซื้อประกันเพิ่มเป็นสามปี เคยส่งซ่อมมาแล้วสามครั้ง ครั้งแรกซ่อมแบตเตอรี่ได้เปลี่ยนตัวใหม่มาเลย ครั้งที่สองซ่อมเมนบอร์ดเพราะว่าเปิดไม่ติด ครั้งที่สามซ่อมแบตเตอรี่อีกครั้ง ได้เปลี่ยนตัวใหม่มาอีกเช่นกัน

รอบนี้ ใช้งานอยู่ดีๆก็มีอาการเครื่องแฮงค์ คือไม่ตอบสนอง ต้องกดปุ่มปิดสถานเดียว แล้วเปิดใหม่ก็ไม่สามารถบูทเข้าไปใช้งานได้ ได้เห็นแค่หน้าจอสว่างขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลอะไรเคลื่อนไหวเลย พยายามจะบู๊ทเครื่องด้วยแผ่นซีดีก็ไม่สามารถทำได้ เลยยกเข้าไปส่งซ่อมที่ศูนย์ MCC หรือ Macintosh Center ที่ห้างฟอร์จูน

ส่งซ่อมรอตรวจเช็ค พนักงานแจ้งว่าฮาร์ดดิสก์เสีย พอถอดของเสียออกก็ใช้งานได้ ผมต้องเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่ เลยจัดการเอาตัวเก่าที่เคยได้รับมาพร้อมเครื่องขนาด 120g กลับไปใส่แทน แล้วเอาตัวที่เสียซึ่งผมเปลี่ยนเอง 320g ออกมาเพื่อส่งเคลมอีกยี่ห้อหนึ่ง เพราะ apple รับประกันเฉพาะชิ้นส่วนที่มาพร้อมเครื่อง สิ่งที่เปลี่ยนเอง สิ่งที่เพิ่มเอง ต้องไปแยกเคลมตามบริษัทที่ซื้อมา

เสียอารมณ์นิดหน่อยที่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องของเสีย เวลา 1 ชั่วโมงที่รอช่างตรวจสอบอยู่ก็แวะไปเดินเล่นที่ร้านขายคอมพิวเตอร์ apple แล้วก็ไปดูราคาเครื่องใหม่ โน้ตบุ๊คที่ถูกที่สุดราคา 34900 บาท ตัวเครื่องเป็นพลาสติกสีขาวดูสวยดี แต่ไม่กล้าซื้อเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าใช้ไปนานๆแล้วพลาสติกจะแตก

ไปดูอีกรุ่นที่แพงขึ้น ราคา 40900 บาท macbook pro ตัวนี้เป็นจอ 13 นิ้ว ของเดิมผมใช้จอ 15 นิ้ว รุ่นใหม่จอเล็ก ราคาถูกลง ความสามารถเครื่องเร็วขึ้น แต่การเชื่อมต่อและพอร์ตต่างๆจะน้อยกว่ารุ่น 15 นิ้ว รุ่น 13 นิ้วนี้เป็นตัวที่น่าซื้อเพราะราคาถูกมากแล้วเมื่อเทียบกับของเก่า แต่ผมก็ยังรู้สึกอยากได้เครื่องใหญ่กว่าอยู่ดี เลยดูไปที่รุ่นจอ 15 นิ้ว มันราคา 61900 บาท ตัวนี้อยากได้ แต่เงินไม่พอ ซื้อไม่ไหว ทนซ่อมทนใช้ของเก่าไปก่อนดีกว่า

งานที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เสียมีบางงานที่ยังไม่ได้แบ็คอัพไว้ คาดว่าจะเสียรูปถ่ายไปประมาณ 1-2 งาน และข้อมูลลูกค้าบางส่วนที่เสียแน่ๆ แต่ว่ายังพอไปขอก็อปปี้จากลูกค้าได้ ถือว่าการเสียหายครั้งนี้ไม่สร้างผลเสียมากนัก แต่ก็ทำให้หงุดหงิดพอสมควร หงุดหงิดตรงที่ว่าเครื่องมือทำมาหากินมันเสียแล้วทำให้เราทำงานต่อไม่ได้ แต่การจะสำรองโน้ตบุ๊คไว้สองเครื่องเผื่อเสียมันก็ดูจะเกินความจำเป็นไป

ทำไมถึงไม่คิดจะหาเครื่องสำรองสำหรับงานคอมพิวเตอร์กันหนอ กล้องยังมีสำรองเลย คอมพิวเตอร์สำรองตัวละสี่หมื่นมันก็ราคาพอๆกับกล้องถ่ายรูป คิดได้แต่ก็ยังไม่รู้สึกอยากทำ

กล่องใส่ magic mouse กลายเป็นกล่องใส่นามบัตร

magic mouse เป็นเม้าส์ของ apple ที่ออกแบบมาเป็นแบบไม่มีปุ่ม และมีมัลติทัชให้ใช้งาน ถือว่าเป็นเม้าส์ที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในโลกตัวหนึ่ง หน้าตาดี สวยงามตั้งแต่กล่องใส่กันเลย และผมก็ซื้อมาใช้งานแล้วหลายเดือน

วันนี้เหลือบไปดูบนชั้นวางของ เห็นกล่องใส่ magic mouse ที่ดูดี ราคาแพง วางอยู่เฉยๆ เลยคิดออกว่าเอามาใช้งานดีกว่า เลยเอามาใส่นามบัตรซะเลย เพราะกล่องใส่นามบัตรทั่วไปมักจะเป็นกล่องใสๆอยู่แล้ว ก็เอามาใช้แทนกันไปเสีย เวลาหยิบนามบัตรแจก คนที่พบเห็นจะได้รู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น

พอเอามาวางในกล่องแล้วลองจับมันวางเพื่อค้ำยันให้ฝากล่องมันเปิดทิ้งไว้ ดูแล้วรูสึกว่ามันสวยดี เลยจัดการถ่ายรูปเก็บไว้เสียหน่อย แต่จะถ่ายให้สวยก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยบ้าง ก็คือเอาเข้าไปถ่ายด้วยชุดไฟสำหรับถ่ายสินค้าเสียเลย ใช้ความรู้เกี่ยวกับการจัดแสงแฟลชเล็กน้อย แล้วก็ได้ภาพแบบนี้

เบื้องหลังก็คือ กล่องไฟอนาถาราคาประหยัด กับแฟลชถ่ายรูป นามบัตรที่ใส่ในกล่องก็ทำขึ้นมาใหม่เดี๋ยวนั้นเลย พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิทัล แล้วก็ตัดขอบมนรอบด้าน มันก็กลายเป็นนามบัตรหรูหรา พร้อมกล่อง magic mouse ที่หรูหรายิ่งกว่า

ห้องมืดถูกใช้เป็นสตูดิโอขนาดย่อม เพราะว่าสภาพห้องมันมีโต๊ะวาง ทำให้่ถ่ายของสะดวก มีแอร์เปิดเย็นสบายทำให้ทำงานในห้องนี้ได้นาน คราวต่อไปจะดัดแปลงกล่องไฟอนาถาให้ใหญ่ขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น อนาถาจะได้กลายเป็นผู้ดีมีราคา

ปล. ข้อมูลการถ่าย กล้อง Eos5d เลนส์ Tamron 28-75/2.8 แฟลช canon550 พร้อมตัวส่งสัญญาณ trigger ขณะถ่ายภาพปรับรูรับแสง f5.6 speed 1/125 iso100

ฟังเพลงระบบไร้สายด้วย Airport Express

จากบทความตอนที่แล้วที่ผมได้จัดหา Airport Express มาใช้งานทำระบบแลนแบบมีสายในบ้านให้เป็นไร้สาย  นอกจากความสามารถหลักของมันแล้ว ของแถมที่ได้มายังมีฟังค์ชั่นน่าใช้อีกสองอย่าง  คือมีช่องต่อ USB เอาไว้ต่อกับปริ๊นเตอร์  ทำให้เราสามารถสั่งพิมพ์งานแบบไร้สายได้เลย  และอีกฟังค์ชั่นหนึ่งก็คือการต่อลำโพงเข้ากับตัวมันเพื่อฟังเพลงโดยโปรแกรม iTune

การฟังเพลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เรามักจะต่อลำโพงเข้ากับเครื่องที่เราใช้งาน  หรือถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คก็จะมีลำโพงมาให้อยู่แล้ว  คุณภาพเสียงก็จะเล็กน้อยไม่สามารถคาดหวังอะไรได้  ส่วนใหญ่เราต้องการแค่ได้ยินเท่านั้น  หากเราสามารถทำให้เสียงไปออกยังลำโพงสเตอริโอในบ้าน  หรือ ชุดเครื่องเสียงหลักที่มีคุณภาพดี  เราก็สามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเปิดเพลงฟังเพราะๆได้เลย  การเดินสายไปยังเครื่องเสียงหลักในบ้านจะเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว  เพราะการเดินสายระโยงระยางเป็นเรื่องวุ่นวาย ไม่น่าดู

Airport Express นอกจากจะเป็นระบบแลนไร้สายแล้ว ตัวมันเองยังรับสัญญาณเพลงจากโปรแกรม iTune ได้อีกด้วย  ถ้าเราฟังเพลงด้วยโปรแกรม  iTune และเรามี Airport Express อยู่ในระบบเน็ทเวิร์คของเรา  เราก็สามารถเลือกให้  iTune ส่งสัญญาณเสียงไปออกที่ Airport Express ได้อีกช่องทางหนึ่ง  แทนที่จะออกแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา  จะให้ออกจุดไหนจุดเดียวก็ได้  หรือออกทั้งสองจุดก็ได้

คุณภาพเสียงที่ได้จาก Airport Express มีคุณภาพดีใกล้เคียงเครื่องเล่น iPod มากๆ  และอาจจะดีกว่ายืดหยุ่นกว่าตรงที่  มันสามารถส่งสัญญาณขาออกแบบดิจิทัลได้ด้วย  กล่าวคือ  ถ้าเราต่อสายสัญญาณแบบอนาลอกเข้ากับเครื่องขยายเสียงมันก็จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเสียงไปตามปกติ  แต่เราสามารถเลือกสายต่อที่เป็นสายไฟเบอร์ออพติก เพื่อต่อสัญญาณดิจิทัลออกมาได้  สัญญาณดิจิทัลประเภทนี้จะต้องส่งไปเข้าตัวถอดรหัสเสียง  ซึ่งถ้าเรามีเครื่องเล่นโฮมเธียเตอร์ที่สามารถรับสัญญาณดิจิทัลได้  เราก็จะสามารถใช้โฮมเธียเตอร์ของเราถอดรหัสดิจิทัลให้เป็นอนาลอก แล้วก็ฟังเพลงได้ตามปกติ  แม้ว่าขั้นตอนดูจะยุ่งเหยิงเรื่องมาก  แต่ก็เป็นวิธีการเพิ่มคุณภาพเสียงประการหนึ่งที่ถูกออกแบบมาไว้ให้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มคุณภาพเสียงแลกกับการเดินสายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย  ซึ่งนักเล่นเครื่องเสียงมักจะคุ้นเคยและรู้ว่ามีเครื่องถอดรหัสเสียงดิจิทัลเป็นอนาลอกให้เลือกใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาหลักพัน ไปถึงหลักแสน  เราชอบแบบไหนเราก็เลือกสิ่งนั้นมาใส่เพิ่มในระบบได้

ความคุ้มค่ามีมากน้อยแค่ไหนคงไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน  บางคนต้องการแต่ได้ยิน  บางคนต้องการฟัง  บางคนต้องการเสพ  แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของแถมในโลกไอที ที่ apple ได้ทำเอาไว้ให้เป็นทางเลือก  เพราะคิดว่าคนออกแบบผลิตภัณฑ์ตัวนี้คงจะเคยพบกับความรู้สึกว่า  อยากฟังเพลงนี้กับเครื่องเสียงดีๆในบ้าน  แต่ไม่อยากเดินสาย  ทำอย่างไรดี….

Think Different ของ Apple

ในปี 1997 แคมเปญโฆษณาที่ชื่อว่า ‘Think Different’ ของ Apple ถูกส่งสู่สายตาคนทั่วอเมริกา พวกเขาอัญเชิญบุคคลสำคัญของโลกทั้งหลายเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, มหาตมะ คานธี, บ็อบ ดีแลน, มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, จอร์น เลนน่อน และอีกมากมายที่เคยสร้างปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ด้วย “ความคิดที่แตกต่าง” มารวมตัวกันอยู่ในโฆษณาชุดนี้ 

พวกเขาไม่ได้คิดคำโฆษณาสวยหรูที่ติดหูคนทั่วโลกชุดนี้ เพียงเพื่อทำให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ที่ดี หรือเพียงเพื่อรองรับการสร้างโฆษณาแต่เป็นเพียงปรัชญาในการทำงานของบริษัท ที่ถูกกร่อนจนเป็นวลีสั้นๆ และนำมาประกอบโฆษณาต่างหาก 

Apple ดำรงอยู่ด้วยการ “คิดต่าง” อย่างที่ว่ามาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท (ถึงแม้ตอนนั้นจะมีเพียง Steve jobs และ Steve Wozniak ก็ตาม) หลักฐานก็คือ ในปีที่ Apple กำเนิดขึ้น ทุกคนบนโลกล้วนรู้จักคอมพิมเตอร์ในรูปแบบของ ‘DOS’ ที่ต้องใช้งานผ่านการพิมพ์บนคีบอร์ด พวกเขาก็ปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์ด้วยการนำอุปกรณ์ที่ชื่อว่า “เมาส์” และ ‘Graphic User Interface'(ก็พวกหน้าตาของ Desk top หรือ Folder ที่เราเห็นกันนั่นแหละ) มาใช้เป็นรายแรกซึ่งเป็นการพลิกโฉมของคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล… 

 

 

แม้แต่โลโก้ของบริษัทที่แสนเรียบง่าย โค้งมน ก็ยังคงแตกต่างจากบริษัทคอมพิวเตอร์ร่วมยุค ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกแบบให้รู้สึกมั่นคง น่าเชื่อถือ แข็งแรง แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม คือไม่น่าเข้าใกล้ ไม่อยากคบหา และสัมผัสได้ยาก เหมือนที่เรายังคงเกร็งเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าพนักงานธนาคาร 

ความที่แตกต่างในแบบฉบับบริษัท Apple ถูกนำมาประยุกต์เป็นหลักในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอัน ภายใต้การหมกมุ่นพัฒนา 3 อย่าง คือ ประสิทธิภาพ(Quality) ความล้ำสมัย(Innovation) และความเรียบง่าย(Simplicity) หลักฐานฟ้องคาตาจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น 

นั่นแหละ ธรรมชาติของความคิดที่เรียบง่ายคือ…คิดโคตรยาก! 
แต่แม้ยาก ผลงานมากมายที่ได้มาก็คุ้มค่า เช่น ความคลาสสิกของ Macbook ที่อยู่มานานร่วม 2 ปีโดยไม่มีเปลี่ยนหน้าตา และกำลังขายดีแบบก้าวกระโดด หรือฟังค์ชั่นที่กระแทกใจคนทั่วโลกอย่าง ‘Multi-touch'(ระบบสัมพัสพร้อมกัน 2-3 จุด) โดยไม่ต้องสร้างปุ่มมาเพิ่มความวุ่นวายให้ผู้ใช้ หรือ ‘Click Wheel'(ระบบวงล้อแบบสัมผัส) บนหน้าจอ iPod ที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้ดี นุ่มนวลและใช้งานเสถียรได้เท่า รวมถึงการออกแบบโปรแกรมที่ใช้งานสบายเข้าใจง่าย รูปลักษณ์ที่พิถีพิถัน จนส่งให้ Macintosh เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีการผสมผสานงานศิลป์กับเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว สวยงามจนอยากเอาไปโชว์คนอื่น 

ซึ่งไม่แปลก เพราะตลอดเวลาที่บริษัทอื่นล้วนมุ่งทุ่มงบก้อนที่ใหญ่อันดับหนึ่งให้ความสำคัญแก่การตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือการโฆษณา การสนับสนุนคอนเสิร์ต หรือมอบเงินแก่การกุศล หรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้ถูกผู้คนจดจำ ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จของการสร้างแบรนด์อย่างที่นักการตลาดทุกคนร่ำเรียนเขียนอ่าน แต่ Apple โยนทิ้งตำรา ทุ่มทุนกว่าครึ่งของงบประมาณไปกับแผนกวิจัยและพัฒนาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง 

ครั้งหนึ่งมีคนถาม Steve Jobs ผู้นำแห่งบริษัท Apple ว่า ถ้าเขาอยู่ในภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย เขาจะทำอย่างไร? จะปลดพนักงานเพื่อลดรายจ่ายไหม หรือจะลดงบประมาณด้านพัฒนาลงหรือไม่ 

Jobs ส่ายหน้า บอกว่าไม่มีทางปลดพนักงานออก และไม่คิดลดงบประมาณการพัฒนา แถมให้เหตุผลว่า “ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังทรุด เรามีโอกาสพัฒนาสินค้าให้ก้าวหน้าได้ และเมื่อเศรษฐกิจกลับสู่สภาพเดิม เราจะเป็นผู้นำทันที!” -ฟังดูห่าม แต่ทำจริง! ในช่วงปี 2000-2002 Apple ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างสูง กำไรต่อปีจาก 8,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหลือ 5,700 ล้าน ตอนนั้นเขาก็ยังอัดเงินสู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 446 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หน้าตาเฉย 

เป็นเรื่องที่น่าขำ เพราะตอนนั้นแนวคิดของ Apple ที่มุ่งไปพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ และไม่มีใครคิดจะทำ แต่ต่อมาไม่นาน สิ่งที่พวกเขาได้รับก็คือ Macintosh คอมพิวเตอร์ที่ขายดีเป็นอับดับ 1 และ Apple ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมดีที่สุดในโลก….. 

‘Dr.Pilips Kotler’ ปรมาจารย์ด้านการตลาดเจ้าของตำรา ‘Marketing Management’ ที่นักการตลาดทั่วโลกใช้ร่ำเรียน เคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาครั้งหนึ่ง เขาทักทายผู้ร่วมงานว่า “นักการตลาดทั้งหลายเอ๋ย ในฐานะที่พวกท่านเป็นผู้นำทางมาร์เกตติ้ง…ท่านต้องหันกลับไปมอง Apple” -ครับ Apple ที่ไม่ได้ทำอะไรตามตำราการตลาดเลยสักนิด 

จะไม่เชื่อก็ได้ แต่พวกเขาแทบไม่เสียเงินให้กับการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด โฆษณาชุด ‘Think Different’ ก็เป็นโฆษณาของ Apple ที่สามารถหาดูได้ยาก เพราะมีน้อยชิ้นเหลือเกินแต่ทำไมบริษัทที่ไม่สนใจการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ ยังได้ครองแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกและอันดับ 6 ของแบรนด์ทรงคุณค่า แถมยังคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเล่า? 

เขาคิดกันอย่างนี้. ‘เมื่อมีสินค้าที่ดี ใครจะไม่ยอมมีไว้ใช้?’ และ ‘เมื่อมีข่าวคราวที่ดี และกำลังเป็นที่นิยม สื่อหน้าไหนจะไม่อยากนำเรื่องราวของมันไปบอกต่อ? ‘ -ซึ่งก็จริง เพราะ iPhone ที่กำลังดังกระหึ่มโลกขณะนี้ Apple นอกจากร่อนแคมเปญก่อนงานเปิดตัว 1 สัปดาห์แล้ว ก็ไม่ได้จ่ายเงินซักเหรียญเพื่อทำการโฆษณา แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกนำไปลงสื่อทั่วโลก อย่างนิตยสาร Times ที่นอกจากยกย่องให้เป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี ก็นำ iPhone ไปลงปกมาแล้ว! ไม่ต้องมองไกลถึงนิตยสารที่เกี่ยวกับการออกแบบหรือเทคโนโลยีทั่วโลกหรอก ‘คู่สร้าง คู่สม’ บ้านเราก็เอาไปพูดถึงกับเขาเหมือนกัน 

หรือหากย้อนกลับไปอีกนิด ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2001 ที่ทุกคนกำลังคลั่งไคล้กับวัฒนธรรมของ ‘CD Walkman’ ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่าอีก 1 อาทิตย์จะมีเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมของพวกเขาได้ เวลานั้นสื่อมวลชนในประเทศอเมริกาได้รับบัตรเชิญปริศนาจาก Apple ที่โปรยข้อความ ‘เชิญไปร่วมงานเปิดตัวอุปกรณ์ดิจิทัลใหม่ล้ำสมัยที่สุด (ใบ้ให้ว่าไม่ใช่เครื่อง Mac)’ 

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ โลกก็ได้รู้จัก ‘iPod’ เครื่องเล่นไฟล์เพลง MP3 เครื่องแรกของโลก ก่อนที่มันจะถูกขายไปถึง 125,000 เครื่องในปลายฤดูหนาวปีเดียวกัน 

การ “เซอร์ไพร์ส” แบบ ‘กั๊ก’ข่าว ที่ดูน่าหมั่นไส้เอามากๆฉบับ Apple นี้ เป็นสิ่งที่ถูกคิดและวางแผนไว้แล้วเพื่อดึงดูดความสนใจเพิ่มสีสันน่าตื่นเต้น ซึ่งพวกเขาก็หวงแหนและรักษา ‘ความลับ’ ของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวเอามากๆ จนว่ากันว่าคนทั่วโลกที่รู้ล่วงหน้าว่า Apple กำลังทำอะไร มีไม่ถึง 10 คน! ต่างกับบริษัทอื่นที่พนักงานรู้ล่วงหน้าว่าบริษัทของตัวเองกำลังจะมีอะไรใหม่ถึง 6 เดือน ยิ่งถ้าเป็นฝ่ายวิจัยพัฒนาแล้วก็ 2 ปี…. 

แต่ไม่รู้ใครช่างปล่อยข่าวออกมาว่า Apple ตอนนี้เปรียบเสมือน ‘พ่อมดหมดมนต์ขลัง’ ที่กำลังจะสิ้นฤทธิ์ในการเสกสร้างสุดยอดเทคโนโลยีใหม่ใดอีก 
“ไม่จริงหรอก ยังมีอีกเยอะ” -นี่ก็อีกข่าว แต่คราวนี้เรารู้ว่าใครเป็นผู้ปล่อย 

เห็นว่าชื่อ ‘Steve Jobs’ 

อืม…ควรจะเชื่อใครดีเนี่ย? 

ที่มา: macmania A day เล่ม 94

ผู้ออกแบบ iMac ‘โจนาธาน พอล ไอฟ’ (Jonathan Paul Ive)

ใครที่ตัดสินใจเลือกใช้ Apple เพราะดีไซน์ น่าจะทำความรู้จัก ‘โจนาธาน พอล ไอฟ’ (Jonathan Paul Ive) เอาไว้สักหน่อย ไม่, เขาไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนัก ก็แค่เป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์แทบทุกชิ้นของ Apple ก็เท่านั้น 

Ive เป็นนักออกแบบชาวอังกฤษที่เติบโตมาในยุคคอมพิวเตอร์ยังไม่พัฒนา เริ่มรู้จักการออกแบบตั้งแต่ยังเดินไม่ค่อยคล่อง และคลั่งการหลั่งไอเดียมาตลอดนับแต่ตอนนั้น จนกระทั่งวัย 14 ปีก็เริ่มเข้าขั้น ‘หนัก’ เพราะพวกเล่นออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภัณฑ์ 

โดยไม่ต้องรอผู้ใหญ่เห็นแวว เขาตั้งดินสอปากกามุ่งหน้าร่ำเรียนด้านการออกแบบโดยตรงที่ North Umbria University (ปัจจุบันคือ Newcastle Polytechnic, ใช่! เขาเป็นเด็กช่างกล) 

จนกระทั่งจบการศึกษา เขาจับมือกับเพื่อนก่อตั้งบริษัทชื่อ Tangerine ที่รับงานออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาทำมาตั้งแต่เด็ก รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภัณฑ์ ฯลฯ -ไม่รู้เรียกว่าพวกไม่รู้จักโตได้รึเปล่า แต่ถ้าอ้างคำของไอน์สไตน์ที่ว่า “อย่าลืมความเป็นเด็ก” ก็น่าจะเข้าท่าดีเหมือนกันในกรณีนี้… 

อย่างที่บอกว่า Ive เติบโตมาในยุคก่อนคอมพิวเตอร์เฟื่องฟู เมื่อรู้ว่าไอ้กลุ่มเศษเหล็กที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์น่าจะช่วยทำงานด้านศิลป์ได้ เขาจึงหัดจับเมาส์เขย่าคีบอร์ด ก่อนจะพบว่าเครื่องแมคอินทอชนี่มันเจ๋งชะมัด! และลงมือค้นคว้าเกี่ยวกับบริษัท Apple ที่เขาประทับใจ ว่าก่อตั้งอย่างไร เดินไปทางไหน อุดมการณ์เป็นยังไง ก่อนที่จะหิ้วพอร์ตโฟลิโอซื้อตั๋วรถทัวว์ไปสมัครงานกับ Apple ซึ่งขณะนั้นต้องการที่ปรึกษาด้านดีไซน์อยู่พอดี 

หลังจากคุยกับ John Scully (ผู้บริหารระดับสูงสุดของ Apple ในขณะนั้น) เขาก้ต้องกลับไปนั่งกัดเล็บคิดหนัก เพราะหลงรักกับอุดมการณ์ของบริษัทนี้เหลือเกิน แต่ก็ยังมีบริษัท Tangerine ของตัวเองอยู่ ก่อนตัดสินใจอย่างกำปั้นทุบดิน (จริงๆ แล้วไม่ได้ทุบ) ว่าจะหิ้วสัมภาระไปทำงานประจำที่ California รังใหญ่ของ Apple ในปี 1992 

แต่ทางไม่ได้โรยด้วยกลีบลิลลี่ เพราะ John Scully ไม่ได้มองเรื่องศิลป์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคอมพิวเตอร์ จึงทำให้เขาผู้ซึ่งอยู่ในทีมออกแบบต้องหัวเสียไปขนานใหญ่ เพราะงบประมาณด้านการออกแบบไม่เข้าออกแบบอะไรไปก็ไม่ถูกใจ แถมผลกำไรขณะนั้นก็เกิดยุบตัวฮวบฮาบจนมีทีท่าว่า Apple จะเน่าเสียแล้ว แต่ Ive ก็ยังกัดฟันสู้จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อ Steve Jobs(ผู้ก่อตั้ง และผู้บริหารสูงสุดของ Apple คนปัจจุบัน) ที่ถูกบีบออกจากบริษัทเมื่อปี 1985 กลับมาในปี 1997 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Ive ไต่เต้าจนได้เป็นหัวหน้าทีมออกแบบพอดี 

หลังจากเพียงปีเดียว Apple ก็กลายเหมือนทีมฟุตบอลโด๊ปยา ที่เล่นผิดหูผิดตาต่างจากครึ่งแรก 

เพราะงานออกแบบที่ผ่านจากขุมสมองของ Ive ถ่ายทอดออกมาตรงใจของ Steve Jobs กลายเป็นก้าวแรกของโลกคอมพิวเตอร์ยุค New ROM ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น รวมถึงเปลี่ยนรูปลักษณ์หน้าตาของคอมพิวเตอร์ที่ทะมึนทึบไปสิ้นเชิง (ถึงแม้ว่าบางค่ายก็ยังทำได้ทะมึนอยู่ก็ตามที) 

หลักฐานคือ iMac G3 ที่โด่งดัง ซึ่งขายไปกว่า 2 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงปี.. 

 
 

ผลพวงจากการออกแบบ iMac และ iPod ทำให้ชื่อของ Ive ขึ้นสู่ดีไซเนอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยตำแหน่ง Designer of the year โดย Design Museum ในปี 2002 แต่เขาไม่ใช่ศิลปินประเภทขี้ฟลุค เพราะผลงานต่อมาของ Ive ไม่หย่อนคุณภาพลงสักนิด หลักฐานคือลูกหลานตระกูล iPod เช่น Mini, Nano, Shuffle, หรือ iMac รุ่น G ต่างๆ รวมถึงโน๊ตบุ๊ก(หรือใครเรียก Laptop ก็ตามสบายใจ) Powerbook, iBook, Macbook จนกระทั่ง iPhone ที่ใช้กันทั่วเมืองขณะนี้ ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเดียวกันติดต่อ 2 สมัย จนตอนนี้กรรมการทั้งหลายคงเริ่มเบื่อหน้า ก็เลยจับเขามานั่งเป็นกรรมการตัดสินด้วยเสียเลย นี่ยังไม่รวมถึงรางวัลจากสถาบันอื่นมากมายที่เขาและทีมออกแบบของ Apple ไปคว้ามาจนไม่ตู้จะวางโชว์เกรงว่าถ้าบอกจนหมดจะต้องเปลืองหน้ากระดาษเกินจำเป็น 

ที่ไม่ธรรมดากว่านั้น Ive ได้รับพระราชทานยศอิสริยาภาณ์ขั้นที่ 2 จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘Commander of the Most Excellent Order of the British Empire’ (CBE) ที่มอบไว้สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปรบแต่ก็สร้างชื่อเสียงให้แก่ชาติอังกฤษ จนส่งผลให้ประเทศสืบต่อไปได้… 

พูดให้เท่มากๆ ก็คือ Ive ปกป้องชาติด้วยการออกแบบ! 

ด้วยประสบการณ์และผลงาน ปัจจุบัน โจนาธาน ไอฟ เป็นไอดอลให้แก่เด็กที่ฝันอยากเป็นนักออกแบบทั่วโลก แถมเป็นหนึ่งในร้อยผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกจากการสำรวจของนิตยสาร TIME ลำดับที่ 16 เทียบเท่ากับ David Beckham 

นักออกแบบ และนักสัมภาษณ์บอกไว้ว่า หลักการออกแบบของ Ive มีอยู่ไม่กี่อย่าง 

 

 

ข้อแรก ความเป็นธรรมชาติ เช่น iMac G4 ที่ได้รับอิทธิพลมาจากดอกทานตะวัน (ที่เราพยายามมองมาทั้งวันว่ามันเหมือนตรงไหน? )Apple Pro Mouse ที่มาจากหยดน้ำ หรือแม้กระทั่งสีน้ำเงิน Bondi Blue ของ iMac G3 ที่เขาตั้งใจให้มันเป็นสีเดียวกันน้ำ รวมถึงสีต่างๆ ในชุดเดียวกันก็มีต้นแบบมาจากผลไม้ทั้งหมด รวมถึงความเป็นธรรมชาติของวัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ในถิ่นต่างๆ ก็ล้วนเป็นส่วนประกอบในงานออกแบบต่างๆ ของเขาที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ 

สอง, ความ Minimalism แต่เต็มไปด้วยความสวยงาม สังเกตจากผลิตภัณฑ์ของ Apple ทุกชิ้นที่พยายามหลักหนีการออกแบบที่เต็มไปด้วยโลโก้หรือคำโฆษณาเพื่อการตลาดมาตลอด หรือตั้งป้อมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกที่พยายามเพิ่มปุ่มปฎิบัติการให้ดูไฮเทค ขณะที่ Apple ทำทุกอย่างให้มันน้อยที่สุด ไม่เชื่อก็ลองนับสายไฟที่มีอยู่เพียงสายเดียวของเครื่อง iMac กับ PC ดูเอาเอง-ใครน้อยกว่าชนะ 

สาม, ความจริงใจ หลักฐานคือการเลือกใช้วัสดุในการสร้าง Ive คิดเผื่อให้ทนไม้ทนมือของคนทุกระดับ ตั้งแต่คนมือหนักชอบขว้างปาข้าวของ(คำเตือน: อย่าลองดีขว้างปาอะไรทั้งสิ้น) กระทั่งคนคนมือเบาชนิดวางของลงโต๊ะยังไม่มีเสียงเขาตั้งใจจุกจิกสรรหาวัสดุที่ทนทานกับงานทุกประเภทและคำนึงว่ามันต้องไม่เสียความสวยหรูไปแม้แต่น้อย ถึงแม้จะหยิบอะลูมิเนียมมาประกอบก็ตามที 

สุดท้ายคือความเป็นมิตร หน้าตาของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจึงถูกออกแบบมาให้คล้ายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ซึ่งต่อยอดจากความต้องการของ Jobs ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น ใครมีเครื่อง iMac หรือ Macbook ก็แทบอยากจะเอาไปตั้งโชว์หน้าบ้าน ถ้าไม่กลัวหายเสียก่อน 

 

 

 

นับได้ไม่รู้กี่ปีที่ Ive วนเวียนอยู่ในวงการออกแบบ แต่ขณะนี้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง Senior Vice President ของบริษัท Apple ด้วยวัยที่นับได้ 41 ปี และทุกวันนี้ก็ยังคงออกแบบอยู่อย่างไม่รู้จักโตเหมือนเดิม เขาอยู่เพื่อค้นหาดีไซน์ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงโลกจากอากาศอย่างที่เขาทำมานักต่อนัก 

น่ากลัวว่างานออกแบบของเขาที่เข้าตาและถูกใจคนทั่วโลก จะนับไม่ได้เข้าสักวัน 

เห็นไหมว่าคนอย่างนี้คบหา รู้จักไว้สักนิดก็ดีนะ…..

You got to find what you love

 

You’ve got to find what you love’ Jobs says

 

ไม่กี่วันหลังจากที่สตีฟ จ็อปส์เปิดตัวแผนการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Macintosh ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า ในงาน World Wide Developers Conference 2005 เขาไปกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดเนื่องในงานรับปริญญา สิ่งที่เขากล่าวนั้นน่าสนใจอย่างมาก เชิญติดตาม

“คุณต้องค้นหาสิ่งที่คุณรักให้พบ” จ็อปส์ว่าอย่างนั้น นี่เป็นสุนทรพจน์ที่กล่าวในงานรับปริญญาโดยสตีฟ จ็อปส์ CEO ของ Apple Computer และ Pixar Animation Studios เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2005 ที่ผ่านมา

 

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาร่วม งานกับทุกคนวันนี้ในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก ผมไม่เคยเรียนจบสูงขนาดนี้ มันเป็นความสัตย์จริง นี่เป็นระดับสูงที่สุดที่ผมสำเร็จจากสถาบันอุดมศึกษา วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของผมให้ฟังสัก 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่อง 3 เรื่อง

เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมต่อเรื่องราวต่างๆ

ผมตัดสินใจหยุดเรียนชั่วคราวหลังจากเข้าเรียนที่ Reed College ได้ประมาณ 6 เดือน แต่ก็ยังไปเรียนอยู่ประมาณ 18 เดือนก่อนที่จะลาออกจริงๆ ทำไมผมถึงเลือกที่จะหยุดเรียนชั่วคราวหล่ะ? เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ผมเพิ่งลืมตามาดูโลกนี้ แม่บังเกิดเกล้าของผมขณะนั้นอายุยังน้อย ยังไม่ได้แต่งงาน และยังเรียนหนังสือระดับอุดมศึกษาอยู่ ท่านก็ตัดสินใจที่จะพาผมไปฝากเลี้ยงไว้สักที่หนึ่ง ท่านมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าต้องหาคนที่เรียนจบอุดมศึกษามาเลี้ยงดูผม ท่านจึงทำทุกอย่างให้ผมได้อยู่กับทนายความท่านหนึ่งกับภรรยาของเขาตั้งแต่ผม เกิด แต่ปรากฏว่าท่านทั้งสองต้องการลูกสาวมากกว่า จึงต้องเปลี่ยนไปเลือกครอบครัวอื่นที่อยู่ในรายชื่อ กลางดึกคืนนั้นแม่ของผมโทรไปหาและถามว่า “เรามีเด็กชายแรกเกิด คุณต้องการเลี้ยงเขาไหม?” ปลายทางตอบตกลง แต่แม่บังเกิดเกล้ามาพบทีหลังว่าแม่ใหม่ของผมไม่ได้จบระดับอุดมศึกษา แถมพ่อใหม่ของผมก็ไม่ได้จบมัธยมด้วยซ้ำ ท่านจึงไม่ยอมลงนามในเอกสารส่งตัวผม จนหลายเดือนต่อมาท่านจึงยอมเมื่อพ่อและแม่ใหม่ของผมสัญญาว่าจะส่งเสียให้ผม ได้เรียนจนถึงระดับอุดมศึกษา

 

17 ปีผ่านไป ผมได้เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาจริงๆ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมเลือกที่จะเรียนในที่ที่ค่าเล่าเรียนแพงพอๆ กับ Stanford เงินเก็บของผู้ปกครองของผมที่สะสมมาต้องนำมาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน เมื่อผ่านไป 6 เดือน ผมไม่เห็นว่ามันจะได้อะไร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องการอะไรในชีวิต ไม่รู้เลยว่าสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้จะช่วยให้ผมรู้อะไรมากขึ้น และผมก็กำลังใช้เงินที่ผู้ปกครองของผมเก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิตของท่าน ผมจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียนชั่วคราว และเชื่อมั่นว่านั่นเป็นการดี ผมรู้สึกกลัวเหมือนกันขณะนั้น แต่เมื่อมองถอยกลับไป นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม เมื่อผมเลือกที่จะหยุดเรียนจากหลักสูตรปกติ ผมสามารถเลือกที่จะไม่เรียนวิชาที่ผมไม่สนใจ แล้วเริ่มเสาะหาที่เรียนเฉพาะวิชาที่ผมสนใจเท่านั้นพอ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมไม่มีแม้หอพัก ผมต้องนอนที่พื้นห้องของเพื่อน ผมต้องหาขวดน้ำอัดลมเปล่าไปแลกเงิน 5 เซนต์เพื่อซื้ออาหาร ทุกคืนวันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองเป็นระยะทางกว่า 7 ไมล์เพื่อไปรับประทานอาหารดีๆ ที่โบถส์ Hare Krishna ผมชอบมาก และเมื่อผมได้เดินตามความอยากรู้อยากเห็นและความคิดชอบแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่สูงค่ายิ่งนักในเวลาต่อมา ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่อง

 

ที่ Reed College ขณะนั้นมีหลักสูตรการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ที่ดีที่สุดในประเทศ ตัวหนังสือที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไปในที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ หรือป้ายหน้าลิ้นชัก จะเป็นตัวหนังสือสวยๆ ที่ประดิบประดอยด้วมมือ และขณะนั้นผมยังพักการเรียนอยู่ ผมไม่ต้องเข้าเรียนตามปกติ ผมจึงเลือกที่จะไปเรียนเรื่องการออกแบบตัวอักษร ผมต้องเรียนตัวอักษรทั้งแบบเซอรี (serif) และ ซอง เซอรี (san serif) การเลื่อนไหลของแบบตัวหนังสือ และการทำให้ตัวอักษรนั้นดูดีที่สุด มันสวยงาม มันน่าประทับใจ มันเป็นศิลปะในแบบที่อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และผมตกหลุมรักมันเข้าแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมไฝ่ฝันว่าจะนำมาใช้ในชีวิตผม แต่สิบปีให้หลัง เมื่อครั้งที่ผมและทีมงานกำลังออกแบบเครื่อง Macintosh เครื่องแรกอยู่นั้น มันก็ผุดขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง ผมและทีมงานจึงบรรจุมันไว้ในเครื่อง Mac ด้วย มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ใช้ตัวหนังสือที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้เลือกเรียนวิชานั้น เครื่อง Mac ก็จะไม่มีตัวหนังสือหลายๆ รูปแบบ แถมยังมีช่องไฟที่เปลี่ยนไปตามแบบตัวอักษร (proportionally spaced fonts) ขณะที่ Windows เองก็ทำได้เพียงเลียนแบบ Mac ก็จะไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนมีแบบนี้เลย และถ้าผมไม่ได้พักการเรียนชั่วคราว ผมก็คงจะไม่ได้เข้าเรียนวิชานั้น และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลบนโลกนี้ก็จะไม่มีตัวหนังสือสวยๆ ให้ใช้ แน่นอนว่ามันไม่อาจจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้เลย ถ้าผมยังเรียนหนังสือแบบเดิม มันชัดเจนมากเมื่อมองย้อนกลับไปสัก 10 ปี และเช่นกันคุณจะไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวไปในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าได้เลย คุณทำได้แค่เพียงมองย้อยกลับไปในอดีต ดังนั้นคุณต้องเชื่อมั่นว่าเรื่องราวมันจะเชื่อมโยงไปถึงอนาคต คุณต้องเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกึ๋นของคุณเอง พรหมลิขิต หรือแม้แต่กรรมของคุณ แนวคิดนี้ไม่เคยทำให้ผมท้อถอย มีแต่จะทำให้สิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในชีวิตของผม

 

เรื่องที่สองเรื่องของความรักและการสูญเสีย

ผมโชคดีครับ ผมได้พบสิ่งที่ผมรักที่จะทำแต่เนิ่นๆ Woz (Steve Wozniak – ผู้แปล) และผมก่อตั้ง Apple ขึ้นในโรงรถที่บ้านของผม เมื่อครั้งผมอายุประมาณ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในเวลา 10 ปี Apple เติบโตขึ้นจากเราแค่ 2 คนในโรงรถ เป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญ กับพนักงานถึง 4000 คน เราได้เปิดตัวนวัตกรรมที่ดีที่สุด นั่นคือ Macintosh ก่อนที่ผมจะอายุเต็ม 30 ด้วยซ้ำ จากนั้นผมก็ถูกกดดันให้ลาออก ผมจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ผมสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ครั้งนั้น Apple เติบโตขึ้น เราต้องจ้างใครบางคนที่โดดเด่นพอมาบริหารบริษัทคู่กับผม ในช่วงปีแรก ทุกอย่างไปได้สวย แต่วิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มขัดแย้งกัน และเราก็เริ่มตกต่ำ เมื่อเราเริ่มเดินหน้า คณะผู้บริหาร (Board of Directors) เห็นด้วยกับเขา ผมจึงต้องจากไป เมื่อผมอายุแค่ 30 เท่านั้น ต้องจากไปจากสังคมนี้ สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำสำหรับชีวิตวัยทำงานของผมหายไปหมด มันแย่สุดๆ เลย ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อในช่วงสองสามเดือนแรก ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้นักธุรกิจรุ่นก่อนหน้าผมผิดหวังว่าเมื่อเขาอุตสาห์ส่ง ไม้ต่อให้แล้ว ผมดันทำมันหลุดมือไป ผมได้พบกับ David Packard และ Bob Noyce และพยายามขอโทษในสิ่งที่ผมทำพลาดไป ผมทำให้อะไรๆ มันแย่ไปหมด แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มทำให้ผมมีความหวัง ผมยังรักในสิ่งที่ผมได้ทำไป มันเป็นโอกาสที่ Apple ไม่เคยจะเหลียวมอง ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมยังรักมันอยู่ ผมจึงคิดที่จะเริ่มมันใหม่อีกครั้ง ผมยังไม่เข้าใจอะไร แต่เหมือนกับว่าการที่ผมต้องออกจาก Apple นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกหนักใจที่จะต้องประสบความสำเร็จกลับกลายเป็นความสบายใจที่จะเป็น ผู้เริ่มต้นทำอะไรใหม่อีกครั้ง ไม่มั่นใจอะไรมากเกินไป มันทำให้ผมเข้าสู่ช่วงที่ผมได้สร้างสรรสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ในช่วง 5 ปีต่อมา ผมเริ่มก่อตั้งบริษัท NeXT และ Pixar แถมยังได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่ในที่สุดก็ได้อยู่กินด้วยกัน Pixar ได้สร้าง Toy Story ภาพยนต์เรื่องแรกที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ และเป็นบริษัทในวงการที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก และในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ Apple ก็ซื้อกิจการ NeXT ผมก็กลับมาทำงานที่ Apple โดยมีเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่ NeXT เป็นหัวใจสำคัญของ Apple ยุคใหม่ ส่วน Laurene และผมก็มีชีวิตครอบครัวที่วิเศษมาก ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าผมไม่ได้ออกจาก Apple ขณะนั้น เรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนยาขม แต่ผมว่าคนไข้ก็ต้องการมัน บางครั้งคุณก็ถูกเขกหัวด้วยก้อนอิฐอย่างจัง อย่าเพิ่งหมดศรัทธา ผมอยากบอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังเดินหน้าต่อไปก็คือผมรักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่คุณรักให้พบ มันสำคัญอย่างมากถ้างานของคุณเป็นไปเพื่อคนที่คุณรัก งานของคุณต้องเข้าไปเป็นส่วนสำคัญส่วนใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต และทางเดียวที่จะสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ได้คือรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหาไม่เจอ จงหาต่อไป อย่าหยุดยั้ง ด้วยแรงใจทั้งหมด คุณจะรู้เองเมื่อพบมัน มันเหมือนเรารู้จักใครสักคน มันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดังนั้นคุณต้องหาจนกว่าจะพบ อย่าหยุดยั้ง

 

เรื่องที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย

เมื่อผมอายุราว 17 ผมได้อ่านประโยคเด็ดในทำนองว่า ถ้าคุณใช้ชีวิตราวกับว่าแต่ละวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของชีวิต วันหนึ่งคุณจะสมหวัง ผมประทับใจมาตลอด 33 ปี ทุกเช้าผมจะมองกระจกและถามตัวองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมอยากทำอะไร และวันนี้ผมจะทำอะไร? และเมื่อใดที่คำตอบกลับมาว่า ไม่อยากทำอะไร หลายๆ วันเข้า คุณต้องรู้แล้วว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตแล้ว การใช้มรณานุสติเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผมตัดสินใจเรื่องใหญ่ของ ชีวิต เพราะสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากผู้คนทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียงทั้งปวง ความกลัวที่จะเสียหน้าหรือกลัวที่จะล้มเหลว มันก็จะหายไปเมื่อเราตาย เหลือไว้เพียงเรื่องที่สำคัญจริงๆ มรณานุสตินี่เองที่จะช่วยให้คุณหลบหลีกกับดักทางความคิดที่ว่าคุณไม่อยากจะ สูญเสียอะไร จริงแล้วคุณไม่มีอะไรติดตัวเลย จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำอะไรตามที่ใจคุณต้องการ เมื่อปีที่แล้วผมตรวจสุขภาพพบว่าเป็นมะเร็ง ผมเข้ารับการตรวจประมาณ 7 โมงครึ่ง และผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร คุณหมอบอกกับผมว่ามะเร็งชนิดนี้รักษาไม่หาย และผมจะอยู่ได้ไม่เกินสามถึงหกเดือน คุณหมอแนะนำว่าให้กลับบ้านแล้วสะสางเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย เหมือนเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมตัวตาย มันดูเหมือนจะให้ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมคิดไว้สำหรับ 10 ปีจากนี้ไปให้เด็กๆ ฟังให้หมดภายในสองสามเดือน มันเหมือนว่าให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับครอบครัวของคุณ มันเหมือนให้เตรียมที่จะลาจากไป ผมครุ่นคิดแต่เรื่องผลการตรวจตลอดทั้งวัน ในช่วงเย็นวันนั้น ผมต้องตัดชึ้นเนื้อไปตรวจ โดยการสอดกล้องเข้าทางปาก ผ่านคอไปยังกระเพาะและลำไส้ จากนั้นก็ใช้เข็มเจาะเข้าที่ตับอ่อนเพื่อเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อจากเนื้อร้าย นั้น ผมรู้สึกสงบนิ่ง แต่ภรรยาของผมที่อยู่ด้วยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคุณหมอส่องกล้องตรวจดู เนื้อเยื่อนั้นแล้วก็เริ่มวิตกกังวล เพราะมันเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในที่สุดผมก็เข้ารับการผ่าตัด และตอนนี้ผมก็สบายดี มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเข้าใกล้ความตายที่สุด และผมก็หวังว่าจะไม่ใกล้ไปกว่านี้อีกสำหรับอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า เมื่อผ่านช่วงนั้นมาได้ ผมก็นำมาเล่าให้คุณฟังได้เต็มปาก มันไม่เพียงเป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องของหลักคิดดีๆ อีกด้วยว่า ไม่มีใครอยากตาย แม้กระทั่งคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายเพื่อจะไปที่นั่น อย่างไรก็ดี ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เรามีร่วมกัน ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เพราะความตายนั้นเรียกได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษสุดของชีวิต มันเป็นเหมือนเครื่องมือเปลี่ยนชีวิต มันสะสางคนรุ่นเก่าเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ ขณะนี้พวกคุณนั่นเองคือคนรุ่นใหม่ แต่วันหนึ่งไม่นานจากนี้ไป คุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนรุ่นเก่าที่จะต้องถูกสะสาง ขออภัยถ้ามันดูเหมือนหนังชีวิตไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง คุณมีเวลาจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตแบบคนอื่น อย่าตกหลุมลัทธิความเชื่อที่ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างที่ผู้คนเขาคิดกันว่าควรจะ เป็น อย่าปล่อยให้ความคิดของคนอื่นเข้ามารบกวนเสียงจากใจของคุณ (inner voice) และที่สำคัญที่สุด คุณต้องมีความกล้าที่จะทำตามหัวใจและการหยั่งรู้ (intuition) ของคุณ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นจริงๆ แล้วก็ปล่อยให้เรื่องอื่น
ๆ นั้นเป็นเรื่องรองไป

 

เมื่อ ครั้งที่ผมยังเด็กอยู่ มันหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อ The Whole Earth Catalog มันวิเศษมาก มันเป็นเหมือนคัมภีร์สำหรับคนรุ่นผมเลยก็ว่าได้ เขียนโดย Stewart Brand ผู้อยู่แถวๆ Menlo Park นี่เอง เขาสร้างมันขึ้นอย่างมีศิลปะ เวลานั้นราวๆ ช่วงปลายของทศวรรษ 1960 ก่อนจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และระบบการพิมพ์ตั้งโต๊ะ (desktop publishing) เขาใช้การพิมพ์ด้วยพิมพ์ดีดธรรมดา กรรไกร และกล้องโพราลอยด์ มันดูเหมือน Google ในแบบที่เป็นหน้ากระดาษ หลังจากนั้น 35 ปี Google ก็เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนอุดมคติ สร้างขึ้นด้วยเครื่องมืออันปราณีตและความคิดอันยิ่งใหญ่ Stewart และทีมงานผลิต The Whole Earth Catalog อยู่หลายฉบับ และเมื่อครบถ้วนแล้ว พวกเขาก็ออกฉบับสุดท้าย เวลานั้นก็ราวๆ ช่วงกลางทศวรรษ 1970 แล้ว ที่ปกหลังของฉบับสุดท้ายมีรูปถ่ายของถนนในชนบทตอนรุ่งเช้า แบบที่คุณคงเคยโบกรถไปเที่ยว ถ้าคุณชอบผจญภัย ใต้รูปนั้นมีคำพูดว่า จงใฝ่รู้อยู่เสมอ จงทำตัวโง่อยู่เสมอ (Stay Hungry. Stay Foolish.) มันเป็นคำบอกลาของพวกเขา และผมก็หวังที่จะเป็นอย่างนั้น และขณะนี้พวกคุณเพิ่งสำเร็จการศึกษา กำลังเป็นคนรุ่นใหม่ ผมก็หวังว่าคุณจะเป็นเช่นกัน จงใฝ่รู้อยู่เสมอ จงทำตัวโง่อยู่เสมอ

ขอบคุณทุกๆ คนครับ