รีวิวกล้อง Fuji instax mini41

ในอดีตเมื่อปี คศ 1944 มีคุณพ่อคนหนึ่งถ่ายภาพลูกสาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่มีอยู่ในยุคนั้น พอถ่ายภาพเสร็จลูกสาวก็ถามว่าทำไมไม่มีภาพให้ดูเลย เป็นคำถามจากเด็กที่ทำให้พ่อทำการค้นคว้าหาวิธีถ่ายภาพที่จะได้ภาพออกมาทันที และในที่สุดก็สร้างนวัตกรรมน่าทึ่งขึ้นมาจนกลายเป็น กล้องโพลารอยด์ กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพเลย และได้เปิดตัววางขายในปี 1948

IMG_1917

กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพทันทีเรียกว่า instant camera โดยยี่ห้อแรกที่พัฒนาขึ้นมาก็คือบริษัทโพลารอยด์ ส่วน Fuji จะเข้าสู่ตลาด instant ในปี 1998 และเริ่มขายกล้องกับฟิล์มเรียกชื่อว่า instax ต่อมาบริษัทโพลารอยด์ค่อยๆเสื่อมความนิยมและสูญเสียตลาดไปเกือบหมด เหลือเพียงบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงทำระบบ instant camera

IMG_1948

กล้อง instax รุ่นล่าสุดรุ่นหนึ่งของปี คศ 2025 ก็คือรุ่น instax mini41 ซึ่งเป็นกล้อง instant camera ที่ใช้แผ่นฟิล์มขนาดเท่าบัตรเครดิต ชื่อเรียกของภาพขนาดเล็กนี้เรียกว่า instax mini โดยมีพื้นที่ของภาพ 62×46 mm. แนวตั้ง โดยกล้องก็ออกแบบมาให้จับถือแนวตั้ง ถ่ายภาพแล้วได้ภาพแนวตั้ง ส่วนขนาดภาพอื่นที่ fuji ทำออกมาก็มีอีก 2 ระดับคือ instax square ให้ภาพขนาด 62×62 mm และขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า instax wide ขนาดภาพ 99×62 mm

Mini
Square
Wide

mini41 มีหน้าตาสวยงาม ออกแบบเป็นโทนสี ดำเทา พิมพ์ตัวหนังสือกำกับด้วยสีส้มและสีขาว เป็นดีไซร์ที่ดูทันสมัยผสมย้อนยุคนิดๆ มีการปรับปรุงสเป็คให้ทันสมัยลดข้อผิดพลาดที่ระบบ instax เดิมเคยมี เช่น มีระบบวัดแสงเพื่อตั้งค่าความไวชัตเตอร์อัตโนมัติ นั่นหมายถึงกล้องจะวัดแสงพอดีเสมอ เหมือนระบบ aperture piority ในกล้องโปร ไม่เหมือนกล้อง instax รุ่นเก่าที่มีความเร็วชัตเตอร์ตายตัวซึ่งจะทำให้ภาพ instax มักมีความมืดในฉากหลังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฉากหน้าหรือตัวคนก็จะได้รับแสงแฟลชในระดับที่พอดี ภาพถ่ายคนที่มีด้านหลังดำมักเป็นภาพจำของ instax ในอดีต

IMG_1912

mini41 ต้องใส่ถ่านขนาด AA จำนวน 2 ก้อน ถ่าน 1 ชุดสภาพสมบูรณ์จะถ่ายภาพได้ประมาณ 100 ภาพ การถ่ายภาพทุกครั้งจะยิงแฟลชออกไปด้วยไม่สามารถสั่งปิดได้ กล้องไม่มีรูเสียบขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่ายภาพ รวมถึงไม่มีระบบถ่ายภาพซ้อนหรือชัตเตอร์ B ด้วย ซึ่งลูกเล่นระดับโปรเหล่านี้จะอยู่ในกล้องรุ่นท๊อป นั่นหมายความว่า mini41 เป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นและสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพโดยไม่ต้องคิดเยอะ

IMG_1923

กล้องสามารถปรับหน้าเลนส์บิดไปตำแหน่งการถ่ายมาโคร จะเป็นการเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ให้มีระยะชัดประมาณ 30-50 cm ซึ่งพอดีสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ หรือถ่ายภาพสิ่งของระยะใกล้ ส่วนการโฟกัสปกติจะอยู่ที่ระยะ 50-infinity สิ่งที่ปรับปรุงจากรุ่นเก่าอีกอย่างหนึ่งก็คือช่องมองภาพจะมี 2 ระยะ ระยะปกติ และระยะมาโครที่จะแก้ไขการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ให้เอียงข้างหรือแก้พาราแล็กซ์ การใช้ mini41 ก็จะทำให้เราสามารถเล็งจุดสนใจให้อยู่กลางภาพได้เสมอไม่ว่าจะถ่ายไกล หรือ ใกล้ เลือกโดยการบิดเลนส์จากระยะปกติไปสู่มาโคร และหากเราจะถ่ายภาพตัวเองหรือถ่ายเซลฟี่ก็ต้องเลือกระยะเป็นมาโคร

image

ภาพที่ถ่ายจากกล้อง instax จะไหลออกจากกล้อง และใช้เวลาสร้างภาพประมาณ 90 วินาทีถึงจะขึ้นภาพครบและดูสวยงาม แต่จากการใช้งานจริง เมื่อครบ 90 วินาทีแล้วภาพยังมีคอนทราสต์และส่วนสีดำที่ยังไม่สมบูรณ์ เราอาจจะต้องรอสัก 10 นาทีเพื่อให้ภาพคงที่และส่วนสีดำค่อยข้างดำตามจริง และเมื่อสีคงที่แล้วภาพจะอยู่สภาพนั้นไปอีกนาน สามารถเก็บไว้ดูได้อีกหลายปี ถ้าเก็บดีแบบไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในอัลบั้มภาพที่มีการเปิดปิดบังแสงได้ ภาพจะคงสภาพนั้นได้นานมาก แต่ถ้าภาพโดนแสงแดดโดยตรง ในเวลาไม่กี่ปีภาพจะจางลงไปเรื่อยๆ การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บภาพให้ดีระวังไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง

IMG_20251003_171411344

ทุกภาพที่ถ่ายจะเปิดแฟลชเสมอ ถ่ายภาพคนจะได้หน้าคนสว่างพอดีจากแฟลช และฉากหลังจะได้แสงพอดีจากระบบการวัดแสงอัตโนมัติ

IMG_20251005_123203966

แสงภายนอกเหมาะสมอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง instax ค่าแสงที่ฉากหลังพอดี ความสว่างบนตัวคนก็พอดี ลักษณะท้องฟ้าสว่างแสงจ้ามีเมฆบังแดดนิดหน่อย

IMG_20251005_153548590

การถ่ายภาพภายในรถตอนกลางวันก็ให้รูปที่ได้รับแสงพอดีทั้งฉากหลังและหน้าของคน แสงแฟลชทำให้ตัวคนสว่างพอดี ส่วนด้านฉากหลังไม่มืดดำเพราะกล้องวัดแสงตามจริง ระบบอัตโนมัติสั่งความไวชัตเตอร์ให้เปิดรับแสงนานพอจะรับแสงจริง ก็ได้ภาพตามที่เห็น

IMG_20251004_123902737

หากเราจะปิดแฟลชเราจะต้องใช้วิธีบังแสงแฟลชไปเลย บางคนอาจใช้เทปกาวปิด แต่ถ้าไม่อยากติดเทป เอานิ้วบังแฟลชแทนก็ได้ ภาพก็จะได้แสงจริงของสถานที่นั้นโดยไม่มีความสว่างของแฟลชมารบกวน แต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อยกล้องจะเปิดชัตเตอร์ได้นานสุดไม่เกิน 1/2 วินาที ประกอบกับการถ่ายระยะใกล้เลนส์จะสูญเสียแสงไปอีกเล็กน้อยอาจจะ 1-2stop ทำให้ภาพมีสีเข้มหรืออันเดอร์ หากสภาพแสงจริงมีน้อยเกินไปภาพก็จะดูเข้มหรือดูมืดกว่าที่ควร ลองดูภาพเปรียบเทียบแสงจริงที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย

IMG_20251004_102141251

สเป็คกล้อง
ฟิล์มที่ใช้ ฟิล์มอินสแตนท์ FUJIFILM instax™ mini (จำหน่ายแยก)
ขนาดรูป 62 × 46 มม.
เลนส์ ทางยาวโฟกัส 60 มม. รูรับแสง _F 12.7
ช่องมองภาพ อัตราขยาย 0.37x พร้อมแก้ไขตำแหน่งของวัตถุในโหมดถ่ายระยะใกล้
ระยะถ่าย 0.3 เมตร ขึ้นไป โหมดถ่ายระยะใกล้ตั้งแต่ 0.3 – 0.5 เมตร
ชัตเตอร์ โปรแกรมชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/2 ถึง 1/250 วินาที สโลว์ซิงค์สำหรับแสงน้อย
การควบคุมแสง อัตโนมัติ, Lv 5.0 ถึง 14.5 (ISO 800)
ระยะเวลาในการแสดงภาพ ประมาณ 90 วินาที ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
Flash เวลาชาร์จแฟลช: 7 วินาที ช่วงใช้แฟลชที่มีประสิทธิภาพ: 0.3 ถึง 2.2 ม.
แหล่งจ่ายไฟ แบตเตอรี่ AA 2 ก้อน
ระบบอัตโนมัติ หลังจาก 5 นาที
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก) 104.5 × 122.5 × 67.5 มม.
น้ำหนัก 345 กรัม ไม่รวมแบตเตอรี สายคล้อง และฟิล์ม

ข้อดี
ให้ภาพฉากหลังไม่มืดเพราะมีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ จะวัดแสงพอดีเสมอ
ฟิล์ม fuji instax หาซื้อง่ายมาก และราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
มีระบบมาโคร
มีช่องมองภาพที่แก้ไขปรับตามระยะโฟกัส

ข้อเสีย
ไม่มีรูขาตั้งกล้อง
ไม่สามารถปิดแฟลชได้
ไม่มีระบบตั้งเวลาถ่าย

สรุปยาวๆ
ภาพจากกล้อง instax รุ่น mini11 mini12 mini40 mini41 จะเป็นกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ เปลี่ยนความไวชัตเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณแสง และกล้องจะมีระยะทำงานของชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 – 1/250 วินาที มีนักถ่ายภาพบางคนเคยบ่นว่า ภาพ instax จากกล้อง mini11 mini12 จะมีภาพที่สว่างหรือโอเวอร์เกินไปในสภาพแสงจ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากแสงแดดจัดมากและความไวชัตเตอร์ขึ้นได้ไม่สูงนั่นเอง เป็นปัญหาปกติที่เกิดกับกล้องความไวชัตเตอร์น้อยเกินไป

กล้อง instax ที่มีความไวชัตเตอร์สูงกว่านี้ คือกล้องรุ่น mini90 mini99 mini70 เป็นกล้องสเป็คโปร ความไวชัตเตอร์สามารถขึ้นได้สูงถึง 1/400 วินาที หรือสูงกว่าเกือบ 1stop เมื่อเทียบกับรุ่น mini11 mini12 mini41 ทำให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงแดดจัดมากได้ดีกว่า จะให้ภาพที่ดูไม่โอเวอร์เกินไป และกล้อง mini90 mini99 จะรองรับการใช้งานแบบโปร คือมีรูติดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพซ้อนได้ สามารถปิดแฟลชได้

กล้องรุ่นสมัครเล่นอย่างรุ่น mini8 mini9 เป็นกล้องที่ใช้ความไวชัตเตอร์คงที่ประมาณ 1/50 วินาที แต่สามารถเปลี่ยนรูรับแสงได้ 5 ระดับ ทำให้สามารถรองรับสภาพแสงได้กว้าง และทำให้ถ่ายภาพในสภาพแสงจ้ามากๆได้ดี ให้ภาพที่ไม่โอเวอร์ในสภาพแสงที่แดดจัด แต่ก็ต้องอาศัยการดูหลอดไฟแสดงผลว่าต้องบิดหน้ากล้องไปที่รูรับแสงเท่าไหร่ตามการวัดค่าแสงของกล้อง กล้องกลุ่มนี้เป็นกล้องที่ต้องทำความเข้าใจการวัดแสงบ้างเล็กน้อย ควรจะอ่านคู่มือกล้องก่อนใช้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อ่าน นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติอย่าง mini11 mini12 mini41 นั่นเอง

สำหรับ mini41 เป็นกล้องที่มีหน้าตาสวย มีฟังค์ชั่นพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพแบบไม่ต้องคิดอะไร หยิบออกมาเล็งแล้วกดถ่ายได้เลย ช่องมองภาพปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ไขให้ตรงกับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ เสียดายตรงที่ไม่มีรูติดขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่าย มันขาดอยู่สองอย่างเท่านั้นก็จะกลายเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือสมัครเล่น

แถม

IMG_2793

กระเป๋าใส่กล้อง mini41 ก็มีทำขายโดยเฉพาะเลย ดีไซร์รูปทรงไปในแนวทางเดียวกันกับกล้อง สีสันก็เข้ากัน สินค้าชิ้นนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย แต่มีขายในญี่ปุ่นราคา 4290 เยนที่ร้าน bigcamera ประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทยคงต้องหาจากเว้บ shoping ต่างๆ ซึ่งผมก็ได้มากจากเว็บเช่นกัน ราคาถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่นซะงั้น แปลกดี

ภาพจากกล้อง Harman Reusable Camera

IMG_20200228_180152_1
2020-03-07_12-55-29-01

ภาพจากการใช้กล้อง Harman Reusable Camera ใส่ฟิล์ม fuji c200 ซึ่งเป็นฟิล์มเน็กกาทีฟสี และทำการล้างอัดพร้อมสแกนภาพเสร็จสรรพ ได้เป็นภาพสีดูได้ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ภาพสีที่ได้ก็ไม่ค่อยสวยนัก เพราะกล้องที่ใช้เป็นกล้องคุณภาพต่ำ จุดประสงค์ของกล้องเป็นกล้องที่ใช้เพื่อทดแทนกล้องใช้แล้วทิ้ง เป็นกล้องพลาสติก เลนส์พลาสติก ผลิตขึ้นมาเพื่อการบันทึกภาพเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือเหตุการณ์เร่งด่วน

2020-03-07_12-55-42-01

แม้ว่าสีสันจะไม่ดี ความคมชัดก็แค่ระดับพอใช้ได้ แต่หากเรานำภาพมาปรับแต่งเป็นโทนขาวดำ แล้วเราปรับภาพอย่างเข้าใจ คือปรับด้วยประสบการณ์ว่า ภาพขาวดำที่ดีควรจะเป็นอย่างไร เราก็จะได้ภาพขาวดำดีๆออกมาได้เช่นกัน

การทำภาพเป็นขาวดำด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะมีวิธีการปรับที่ยืดหยุ่น เราสามารถได้ภาพแทบจะดังใจนึก โทนสีขาวสุด ดำสุด เราสามารถกำหนดได้ตามใจเรา ซึ่งการปรับเพื่อดูในหน้าจอคอมพิวเตอร์นี้บางทีผมว่า มันให้ภาพที่ดีกว่าการอัดขยายบนกระดาษขาวดำแล้วค่อยมาสแกนกระดาษเสียอีก เพราะแม้แต่การสแกนจากกระดาษขาวดำ เราก็ยังต้องปรับภาพอยู่ดี อย่างน้อยก็ปรับเรื่องความสว่างและคอนทราสต์ของภาพ

2020-03-07_12-55-02-01

ผมชอบภาพสีขาวดำที่ปรับจากภาพสี เพราะว่าข้อมูลสีที่เป็นสีธรรมชาติมันประกอบไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก มากกว่าภาพโทนขาวดำจากฟิล์มขาวดำแท้ๆด้วยซ้ำ นั่นทำให้เราได้การไล่ระดับสีเข้มอ่อนได้ละเอียดกว่าการสแกนฟิล์มขาวดำเป็น grayscale โดยตรง เพราะข้อมูล Grayscale จะมีความละเอียดเพียง 8bit เทียบเป็นระดับความเข้มสุดไปอ่อนสุดเท่ากับ 256 ระดับ เท่านั้น

2020-03-07_12-55-21-01

แต่ถ้าเราใช้ภาพสี jpg หรือ tif ที่เป็นสี RGB หรือภาพสแกนจากฟิล์มเน็กกาทีฟสี เราจะมีข้อมูลตั้งต้นเป็น RGB อย่างละ 8bit x 3 = 24bit คิดเป็นระดับความเข้มไล่ไปอ่อนได้ 16.7 ล้านระดับ เห็นไหมว่าแตกต่างกันมาก

2020-03-07_12-54-52-01

ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิกใช้ฟิล์มขาวดำ แต่แนะนำว่า การเล่นขาวดำจากฟิล์มเน็กกาทีฟสีแล้วดูแค่บนจอภาพไม่อัดลงกระดาษ เราสามารถได้คุณภาพงานขาวดำที่ดีได้เช่นกันจากหลักการที่อธิบายไป เรื่องศิลปะไม่มีผิดถูก ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น และอยากเสริมอีกนิดว่า ศิลปะ สะดวกแบบไหนก็ทำตามสะดวก เราก็จะได้งานเช่นกัน

2020-03-07_12-56-00-01

2020-02-19_04-23-13-02
2020-02-19_04-23-02-02
2020-02-19_04-22-53-01
2020-02-19_04-23-50-01

รีวิว nikon fm2n

nikon fm2n เป็นกล้องถ่ายภาพฟิล์มที่มีความทนทานเหลือเชื่อ และเหมาะกับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาฝีมือในหลายๆด้าน แม้ว่าระบบดิจิทัลจะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าฟิล์ม แต่หากเราอยากกลับไปถ่ายฟิล์ม กล้องที่ตอบสนองต่อความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพก็ควรจะมีสเป็คระดับ nikon fm2n ตัวนี้

IMG_0077

การใช้กล้องแมน่วลแบบนี้เราจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง ลองมาไล่กัน อย่างแรก เราจะได้เรียนรู้การวัดแสง การวัดแสงที่เราจะต้องกำหนดค่า isoตามฟิล์มที่เราใช้ กำหนดรูรับแสงที่ต้องการใช้ และเราจะต้องหาค่าสปีดชัตเตอร์ที่ทำให้ได้แสงพอดี การได้บิด ได้หมุนทุกอย่างจะทำให้ตัวเลขต่างๆผ่านสายตา และเราจะรู้ความสัมพันธ์ของค่ามาก ค่าน้อยต่างๆ

IMG_0064

ยกตัวอย่าง เมื่อเราใส่ฟิล์ม iso200 เรากำลังจะถ่ายภาพวิวต้นไม้ที่อยู่ในสวนสาธารณะ แดดออกตอนเช้ากำลังสวย เราอยากจะใช้รูรับแสง f8 เพื่อให้ได้ภาพชัดทั้งภาพ สปีดชัตเตอร์ที่ได้แสงพอดีอาจจะ 1/250 วินาที พอเราถ่ายภาพเสร็จ เปลี่ยนมุม แสงแดดแรงขึ้นอีกเล็กน้อย ภาพที่สอง เราถ่ายด้วยค่าเดิม แสงจะมากเกินไป ค่าแสงที่วัดได้ในกล้องจะแจ้งว่าเป็น + หรือโอเวอร์ เราจะต้องปรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ค่าแสงในกล้องลดลงมาที่พอดี เราอาจจะปรับรูรับแสงเป็น f11 แล้วได้ค่าแสงพอดี หรือถ้าเราจะใช้รูรับแสงเดิม f8 เราก็ต้องปรับสปีดชัตเตอร์เป็น 1/500 วินาที เพื่อให้ค่าแสงพอดีก็ได้เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสงและสปีดชัตเตอร์นี้เป็นความรู้ความเข้าใจในการวัดแสง เราได้เรียนรู้แน่ๆจากการใช้กล้องที่เราต้องปรับทุกอย่างเอง

สมมุติว่า เราใช้ฟิล์ม iso 100 และเราปรับสปีดกล้องไว้ที่ 1/125 วินาที การใช้กล้องแมน่วลจะทำให้เราได้เห็นค่ารูรับแสงที่เปลี่ยนไปเมื่อเราถ่ายในแต่ละเหตุการณ์

หากเราถ่ายในที่แสงแดดจัดจนแสบตา เราต้องปรับรูรับแสงประมาณ f16

หากเราถ่ายภาพที่มีแสงแดดปกติ เราต้องปรับค่า f11

หากเราไปถ่ายที่สภาพแสงแดดอ่อนๆ รูรับแสงที่พอดีจะเป็น f8

ค่าแสง f16 f11 f8 ที่เปลี่ยนไปนี้ จะตรงกับกฏ sunny16 ที่เป็นความรู้คู่กับช่างภาพมายาวนาน กฏนี้ถูกกำหนดขึ้นจากสถานการณ์แสงแดดที่มีค่าต่างๆ

นี่คือเรื่องราวที่เราจะผ่านการเรียนรู้จากการใช้กล้องแมน่วล

ผมทำคลิปแนะนำการใช้งานกล้อง nikon fm2 เอาไว้ให้ดูเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่สนใจกล้องแมน่วลตัวนี้

ภาพตัวอย่างที่ถ่ายด้วยกล้อง nikon fm2n

slide-img089
slide-img092
slide-img328
slide-img744
neg-samui-img580

neg-place-img-giantswing

img4800dpi397e

img1200dpi460e

scanSuanlun-Sep2007-012

scanSuanlun-Sep2007-006

กล้องฟิล์ม canon eos33

IMG_5395

กล้องฟิล์มของ canon eos33 เป็นกล้องระดับกลางของค่าย  ในยุคที่กล้องรุ่นสูงสุด ไฮเทคสุดของกล้องฟิล์มยุคสุดท้ายคือกล้อง eos3 ที่เป็นเกรดโปร  มีรุ่นกลางเป็น eos33 eos30 และมีรุ่นเล็กเป็น eos300 ซึ่งเป็นแนวทางของ canon ที่ตัวเลขประจำรุ่นสูงจะใช้เลขตัวเดียว  ส่วนรุ่นเล็กจะเป็นเลข 3 หลัก

กล้องยุคสุดท้ายของฟิล์มผมจะวัดจากกล้องที่รองรับระบบแฟลช e-ttl ที่เป็นระบบแฟลชไฮเทคมาก  เป็นระบบแฟลชของ canon ที่พัฒนาจนทำให้ช่างภาพกล้องฟิล์มสามารถควบคุมแสงแฟลชได้ดังใจยิ่งกว่าแฟลชแมน่วลเสียอีก  หากเราศึกษาทำความเข้าใจระบบแฟลชไฮเทคของ canon จนใช้งานได้เป็น  มันจะให้ความแม่นยำของแสงแฟลชระดับจับวาง  เกือบจะแม่นจำเท่ากับการวัดด้วยมิเตอร์วัดแสงแฟลชเลย

eos33 เป็นกล้องที่ผมซื้อมาใช้เพื่อรับงานถ่ายภาพรับจ้าง โปรคนอื่นใช้ eos1  eos3 ส่วนผมใช้ eos33 เนื่องจากไม่สามารถลงทุนกับบอดี้ได้หนักเท่ากับมืออาชีพ  เพราะผมแค่หาเงินเติมน้ำมัน หาเงินเที่ยวเท่านั้น  แต่มันก็อยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเข้ามา มันทำเงินให้ผมตั้งแต่วันแรกเลย  และในตอนที่เริ่มใช้ดิจิทัล eos33 ก็ถูกวางเก็บไว้ เก็บลืมไปเลย  จนหลายปีผ่านมา หยิบออกมาเล่นดู ก็พบกว่ายางเหนียวทั้งตัว  และด้วยความหงุดหงิด  ก็เลยหาอะไรมาเช็ดให้ยางหายเหนียว  ทิชชูอยู่ใกล้ตัวก็เลยใช้ทิชชู่เช็ด  เช็ดไปเช็ดมาเศษขาวๆของทิชชู่ก็ติดอยู่กับบอดี้ตั้งแต่วันนั้น

วันนี้ความนิยมกล้องฟิล์มค่อยๆเพิ่มขึ้น  กล้องมือสองที่ราคาร่วงติดดิน กล้อง SLR ที่เคยขายทิ้งกันหลักร้อยบาทก็ค่อยๆราคาแข็งขึ้น จนขึ้นมาอยู่ระดับหลายพันบาท   วันนี้เลยหยิบออกมาตรวจอีกครั้ง และทดลองใส่เลนส์เพื่อลองใช้งานดู  ผลก็คือใช้งานได้ดี  ระบบไฟฟ้ายังทำงานครบถ้วนเหมือนเดิม หน้าจอดิจิทัลที่แสดงสถานะก็ทำงานทุกส่วน ทุกค่าสามารถแสดงผลได้

คาดว่าจะได้นำไปใช้ถ่ายภาพอีกครั้งในเร็วๆนี้

ตอนนี้ขอหาภาพเก่าๆที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มตัวนี้มาแปะไว้ดูเล่นก่อน

neg-place-img203

neg-place-img395

neg-sanamluang-img343

slide-img105

neg-fruit-img017-resize

neg-fruit-img018

slide-img673

ลองเล่นกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์ contax t3

IMG_20170515_171804_472

IMG_1474contax-t3 กล้องคอมแพ็คเกรดสูงในตลาดเท่าที่นึกออกจะมี leica cm leica minilux ricoh gr1 nikon 35ti และ contax t3 จริงๆอาจมีมากกว่านี้ที่มีคุณภาพสูง แต่ตัวที่ยกขึ้นมาเป็นตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและมีมือสองให้พอซื้อได้ บางตัวก็แพง บางตัวก็ถูก บางตัวก็มีประวัติว่าอายุสั้นว่าสายแพขาด ซึ่งกล้องคอมแพ็คออโตโฟกัสคงมีปัญหาสายแพรขาดกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเจอก่อน ใครเจอทีหลัง PICT0076 การมีกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์สักรุ่นหนึ่งมาติดกระเป๋า เอามาใช้งานในวันที่ไม่เร่งรีบ ในวันที่อยากจะเสียเงินซื้อฟิล์ม เสียเวลาล้างฟิล์ม ทั้งล้างเองหรือหาร้านล้างให้ก็ตาม แถมยังต้องเสียเวลาสแกนฟิล์มเอามาดูเป็นไฟล์ดิจิทัลอีกต่างหาก มันเป็นช่วงเวลาการถ่ายรูปที่ได้รับความสุนทรีย์อย่างที่ดิจิทัลให้ไม่ได้ เสน่ห์มันอยู่ตรงไหนก็ไม่สามารถอธิบายได้ครบถ้วน รู้แค่ว่า อยากมีกล้องฟิล์ม อยากมีกล้องคุณภาพดี อยากพกมันติดตัว และอยากใช้มันถ่ายภาพแค่บางภาพเท่านั้น contax t3 suan - -7 กล้อง contax t3 เป็นกล้องที่ติดเลนส์ 35มม. f2.8 สามารถตั้งรูรับแสงเองได้ สามารถชดเชยแสงได้ มีความเร็วโฟกัสค่อนข้างเร็ว วัดแสงแม่นยำมาก อาจจะเป็นเพราะเราถ่ายมันด้วยฟิล์มขาวดำล้วนๆก็ได้ ภาพจะออกเข้มไปหน่อย อ่อนไปนิด เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเสีย อีกอย่าง เวลาล้างฟิล์มออกมาแล้วก็ต้องเอามาสแกนเพื่อดูบนจอคอมพิวเตอร์ การสแกนก็สามารถปรับความเข้มอ่อนได้เล็กน้อยทำให้เราไม่รู้เลยว่ากล้องถ่ายพลาดหรือไม่ contax t3 suan - -9 ภาพขาวดำที่ออกจากเลนส์ของ contax t3 เป็นภาพที่มีรายละเอียดสูงมาก มีการไล่ระดับตั้งแต่ส่วนมืดไปถึงส่วนสว่างที่กว้างมากและต่อเนื่อง จะบอกว่ามีคอนทราสต์สูงก็พอบอกเช่นนั้นได้ เทียบกับกล้องดิจิทัลที่ปรับโหมดขาวดำแล้วถ่ายออกมาเทียบกัน ภาพจากกล้องดิจิทัลก็ยังให้ระดับสีดำแบบนี้ไม่ได้ นอกเสียจากกล้องดิจิทัลตัวนั้นจะมีโหมดขาวดำพิเศษที่เร่งคอนทราสต์ให้แรงขึ้นก็อาจจะพอเทียบเคียงได้ contax t3 v2--12 ด้วยวิธีการใช้กล้องคอมแพ็คฟิล์มมาถ่ายภาพต่างๆ  เราจะต้องเอาตาเล็ง กล้องจะสัมผัสกับหน้าผาก ทำให้กล้องมีความมั่นคงมากเมื่อเทียบกับการยกกล้องดิจิทัลมาถ่ายแบบปัจจุบัน  ทำให้เราสามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้พอสมควร  สภาพแสงในโรงพิมพ์เป็นตึกมิดชิด มีเพียงแสงจากไฟฟลูออเรสเซ้นต์ที่ติดในโรงงานเท่านั้น  เราก็ยังสามารถถ่ายให้ภาพไม่สั่นได้  แม้ความไวชัตเตอร์จะต่ำไปสักหน่อย ความไวฟิล์มก็ต่ำเพราะเร่ง iso ไม่ได้  แต่การจับถือก็ให้ความมั่นคงเพียงพอ ทำให้เรายังคงเก็บภาพในที่แสงน้อยได้   contax t3 v2--7 การโฟกัสก็ทำได้แม่นยำมาก  แม้จะไม่มีช่องที่มองผ่านเลนส์  แต่เราก็สามารถประมาณด้วยสายตาและเล็งโฟกัสไปยังวัตถุที่เราต้องการได้ง่ายดาย  กล้องล๊อคโฟกัสได้แทบจะทันที และเมื่อกดถ่าย  ภาพก็ถูกบันทึกอย่างคมชัดไว้ในฟิล์มแล้ว   contx t3 scan10dec2013 --3 ในสภาพแสงภายนอก contax t3 ให้ภาพสวยชวนฝันจริงๆ คนที่หลงไหลกับภาพขาวดำน่าจะชอบบุคลิกของกล้องตัวนี้  เพราะสีดำก็ดำสนิท สีโทนกลางๆก็ไล่ระดับต่อเนื่องน่ามอง ส่วนขาวก็ไม่ได้ขาวโพลน  ถ้ามีกล้องดิจิทัลที่สามารถให้ภาพแบบนี้ได้จากการถ่ายด้วยโหมดสำเร็จรูปของกล้องเชื่อว่าน่าจะทำให้กล้องตัวนั้นขายดีมาก   contx t3 scan10dec2013 --2 เลนส์ 35มม. เข้าใกล้วัตถุได้มากพอสมควร  แม้จะไม่ได้ใกล้แบบการถ่ายภาพมาโคร แต่ก็ใกล้จนเห็นรายละเอียด และยังคงให้โทนสีดำที่เข้มลึก  มีน้ำหนัก  พอล้างฟิล์มออกมาแล้วเพิ่งจะได้มานั่งดู  พอดูภาพเสร็จก็อยากจะเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปถ่ายรูปเล่นทันทีเลย Untitled การพกพากล้อง contax t3 ทำได้ไม่ยุ่งยาก ตัวกล้องมีซองหนังให้ใส่ดูดี เพื่อเก็บกล้องแล้วสามารถยัดใส่กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าอะไรก็ได้ยกเว้นกระเป๋าสตางค์ กล้องคอมแพ็คฟิล์มจะไม่ต้องพกแท่นชาร์จ เพราะถ่านในตัวสามารถถ่ายรูปได้เกินสิบม้วนฟิล์มอย่างแน่นอน ไม่ต้องมีแบตก้อนที่สองอีกต่างหาก เรียกได้ว่า พกกล้องติดกระเป๋าพร้อมฟิล์มกลักนึงเราอาจจะพกจนลืมไปเลยก็ได้ เพราะกว่าที่ผมจะถ่ายหมดม้วนก็ใช้เวลาหลายเดือน

หลังจากได้มีโอกาสใส่ฟิล์มสีไปถ่ายภาพ  ก็ขอเอามาวางให้ดูไว้เป็นข้อมูล

000041

ภาพ selfie ยกกล้องขึ้นเล็งแล้วกดถ่ายเลย  ไม่ได้คิดเรื่องชดเชยแสงแต่อย่างใด  ผมยืนอยู่นอกห้องน้ำที่ได้รับแสงจากหน้าต่าง  ส่วนห้องน้ำได้แสงสว่างจากไฟเพดาน สองสภาพแสงที่ความสว่างไม่เท่ากัน แต่ก็อยู่ในภาพเดียวกันดูกลมกลืนดี

000040

ภาพสองพี่น้อง ยกกล้องขึ้นโฟกัสที่หน้า แล้วจัดองค์ประกอบให้ได้ส่วนที่ต้องการ โหมด P ของกล้องวัดแสงแม่นยำให้ภาพที่สวยพอดี ไม่มืด ไม่สว่างเกินไป

000042

ภาพย้อนแสงค่อนข้างมาก ก็ยังพอได้ภาพที่ไม่น่าเกลียด แม้ดูแล้วจะรู้สึกว่ากล้องวัดแสงผิดพลาด แต่คงเป็นเพราะกล้องพยายามจะทำให้ฉากหลังไม่สว่างเกินไปด้วย  แสงที่หน้าคนเลยไม่มากเท่าที่ควร  แต่มันก็ยังไม่เป็นภาพเสีย

000070

ภาพนักฟุตบอลถือตระกร้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก  กล้อง T3 อยู่ในมือ รีบเปิดกล้อง แล้วเล็งถ่าย ยอมให้แฟลชขึ้น เพราะต้องการใช้เป็นกล้อง snap โฟกัสเร็วทันแล้ว

000048

ตอนกลางวันแสงดีๆ ถ่ายภาพเด็กในร้านอาหาร แสงหน้าต่าง แสงภายนอกอาหาร ทำให้ภาพแนวนี้ดูสวยได้ง่ายๆเลย

000064

สภาพแสงที่คาดเดายาก เราก็ปล่อยให้กล้องคิดแทนเรา ถ่ายแล้วลุ้นว่าจะถูกใจไหม แล้วก็ได้ภาพที่น่าพอใจเกินคาด

000035

ภาพเด็กกำลังซน ถ่ายในร้านฟาสฟู้ด แสงหน้าต่างเข้าทางด้านซ้าย  ปิดแฟลชถ่าย ระบบวัดแสงทำงานได้แม่นยำน่าพอใจทุกครั้ง

000043

ขอปิดท้ายด้วยภาพ self portrait และ contactsheet ที่ทำด้วยการปริ๊นท์ระบบดิจิทัล

Contax T3

วิธีล้างฟิล์มขาวดำและสแกนไว้ดูในคอมพิวเตอร์ ดูได้ที่นี่  ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ

เริ่มต้นขายภาพ online ได้ที่นี่ครับ